space
space
space
space

อาการคัน



อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง







อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เมื่อคันแล้วก็ต้องเกา ๆๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า อาการคันเป็นความรู้สึกที่ผิวหนัง ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ บางครั้งคล้ายแมลงไต่ ทำให้รำคาญ หงุดหงิด

อาการคันเกิดที่ผิวหนังทั่วร่างกาย และเยื่อบุตา อาการคันจะมากหรือน้อยจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันอาการคันจึงแตกต่างกัน แต่ละส่วนของร่างกายก็ไวต่ออาการคันต่างกัน ที่รุนแรงพบบริเวณรอบทวารหนัก รอบอวัยวะเพศ ช่องหู เปลือกตาและช่องจมูก ในแต่ละส่วนของร่างกายมีความไวต่ออาการคันต่างกัน ดังนั้นโรคเดียวกันผื่นอยู่คนละแห่งก็จะคันต่างกัน

ความรุน แรงของอาการคันในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันขึ้นกับหลาย ปัจจัย เช่น สภาพจิต บุคคลซึ่งเคร่งเครียด วิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหว ขี้กลัว โกรธง่าย จะมีอาการคันมากกว่าบุคคลซึ่งมีสภาพจิตปกติ

เวลาและอุณหภูมิ ก็มีส่วน โดย กลางคืนจะคันมากกว่าเวลากลางวัน เพราะการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในเวลากลางคืนเพิ่มขึ้น เป็นผลให้หลอดเลือดขยายตัวเป็นปัจจัยตัวกระตุ้นให้คัน และความอบอุ่นในเวลากลางคืน ยังทำให้สมองส่วนกลางซึ่งควบคุมความรู้สึกคันไวต่ออุณหภูมิที่ร้อนเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยซึ่งมีอาการคันในเวลากลางคืนมักเป็นโรคไม่ใช่สาเหตุจากด้านจิตใจ และโรคผิวหนังบางโรคผู้ป่วยจะเกาประมาณร้อยละ 10 ของเวลาหลับ
สาเหตุการเกิดอาการคัน มีดังนี้

1.การเปลี่ยนแปลงชั้นผิวหนัง คันจากการสัมผัส สารระคาย หรือสารภูมิแพ้ สารใยแก้ว หนามและขนของแมลง พืชบางชนิดก็ทำให้คันได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อากาศร้อน ลมแรง อากาศหนาว อากาศแห้งก็เป็นปัจจัยทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดอาการคันตามมา

2.คันจากโรคผิวหนัง โรคผิวหนังส่วนใหญ่จะมีอาการคันร่วมด้วย แต่ความรุนแรงจะขึ้นกับสภาพจิตและความไวของแต่ละบุคคล ผื่นคันเฉพาะที่พบบ่อย คือ ผื่นแพ้สัมผัส ผื่นแพ้ผิวหนัง กลาก ผื่นคันทั่วตัว เช่น ลมพิษ โรคหิด และ ผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเฉพาะที่ เช่น ผื่นบริเวณอวัยวะเพศ และรอบทวารหนัก

3.โรคแฝงในอวัยวะอื่นอาจพบรอยผื่นเกาทั่วตัวไม่พบลักษณะจำเพาะเจาะจงของโรคผิวหนัง อาการคันเป็นอาการที่นำมาพบแพทย์ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคตับ โรคไต โรคโลหิตและมะเร็งต่าง ๆ ภาวะหมดประจำเดือน และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

4.คันจากความผิดปกติของระบบปลายประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคงูสวัด และเริมใน

5.สาเหตุอื่น ๆ อาการคันอาจเกิดจากสารสื่อในสมองปรวนแปร และอาจเกิดจากปัญหาทางจิตใจ

การรักษาผื่นคันในระยะเฉียบพลันอาจทุเลาด้วยความเย็น เช่น การอาบน้ำเย็น ประคบด้วยน้ำเย็น ยาทาคาลาไมด์ ควรทำด้วยความนุ่มนวล เพราะการขัดถูแรง ๆ ทำให้ผื่นเห่อได้ ในผู้ป่วยลมพิษถ้ามีอาการหายใจไม่สะดวกควรพบแพทย์

ส่วนผื่นคันเรื้อรังต้องพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยโรค เช่น ผื่นคันทั่วตัวเรื้อรังชนิดคันมากที่สุด คือ โรคหิด มีลักษณะผื่นเฉพาะ เป็นตุ่มและรอยเกา ในบริเวณซอกนิ้ว รักแร้ หน้าผาก หน้าขา อัณฑะ และองคชาต คันมากในเวลากลางคืน และเป็นโรคติดต่อในผู้ใกล้ชิด ส่วนโรคผิวหนังอื่นที่มีผื่นทั่วตัวต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การรักษาต่อไป ในรายมีโรคภายในแฝง การตรวจร่างกายและทดสอบทางห้องปฏิบัติการก็จะวินิจฉัยโรคได้ และเมื่อรักษาโรคแฝงอาการคันจะทุเลาได้

เมื่อเกิดผื่นคันอย่าตื่นตกใจ ผื่นผิวหนังร้อยละ 80 จะหายได้เอง ควรตั้งสติพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด และเมื่อหลีกเลี่ยงก็ยังไม่ทุเลาควรพบแพทย์ ส่วนการรักษาในเบื้องต้นเพื่อระงับอาการ คือ ประคบด้วยความเย็น รับประทานยาแก้แพ้คลอเฟนิรามีน ควรงดการใช้สบู่บริเวณคันเพราะระคายและทำให้ผิวแห้ง หลายท่านชอบใช้ยาหม่อง เมนโทลาทัม อาการคันลดลงได้แต่อาจเกิดปัญหาการระคายเคืองตามมา ส่วนการใช้ยาผงโรยอาจรู้สึกหาย คันเพราะแป้งทำให้เย็น แต่ด้วยยาฆ่าเชื้อในผงอาจทำให้แพ้ตามมาจึงไม่ควรใช้

ถ้าคันแล้วยังไม่มีเวลาไปพบแพทย์จะทำอย่างไร ? หลายท่านอาจแนะนำว่าอย่าเกาซึ่งไม่ใช่ทางออก เพราะคันก็ต้องเกาจึงจะหายคัน แต่ควรเกาแบบมีสติ คือ เกาเบา ๆ ไม่ใช่เกาแบบรุนแรง ก็จะช่วยทุเลาอาการได้.


นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า อาการคันเป็นความรู้สึกที่ผิวหนัง ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ บางครั้งคล้ายแมลงไต่ ทำให้รำคาญ หงุดหงิด

อาการคันเกิดที่ผิวหนังทั่วร่างกาย และเยื่อบุตา อาการคันจะมากหรือน้อยจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันอาการคันจึงแตกต่างกัน แต่ละส่วนของร่างกายก็ไวต่ออาการคันต่างกัน ที่รุนแรงพบบริเวณรอบทวารหนัก รอบอวัยวะเพศ ช่องหู เปลือกตาและช่องจมูก ในแต่ละส่วนของร่างกายมีความไวต่ออาการคันต่างกัน ดังนั้นโรคเดียวกันผื่นอยู่คนละแห่งก็จะคันต่างกัน

ความรุน แรงของอาการคันในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันขึ้นกับหลาย ปัจจัย เช่น สภาพจิต บุคคลซึ่งเคร่งเครียด วิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหว ขี้กลัว โกรธง่าย จะมีอาการคันมากกว่าบุคคลซึ่งมีสภาพจิตปกติ

เวลาและอุณหภูมิ ก็มีส่วน โดย กลางคืนจะคันมากกว่าเวลากลางวัน เพราะการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในเวลากลางคืนเพิ่มขึ้น เป็นผลให้หลอดเลือดขยายตัวเป็นปัจจัยตัวกระตุ้นให้คัน และความอบอุ่นในเวลากลางคืน ยังทำให้สมองส่วนกลางซึ่งควบคุมความรู้สึกคันไวต่ออุณหภูมิที่ร้อนเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยซึ่งมีอาการคันในเวลากลางคืนมักเป็นโรคไม่ใช่สาเหตุจากด้านจิตใจ และโรคผิวหนังบางโรคผู้ป่วยจะเกาประมาณร้อยละ 10 ของเวลาหลับ
สาเหตุการเกิดอาการคัน มีดังนี้

1.การเปลี่ยนแปลงชั้นผิวหนัง คันจากการสัมผัส สารระคาย หรือสารภูมิแพ้ สารใยแก้ว หนามและขนของแมลง พืชบางชนิดก็ทำให้คันได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อากาศร้อน ลมแรง อากาศหนาว อากาศแห้งก็เป็นปัจจัยทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดอาการคันตามมา

2.คันจากโรคผิวหนัง โรคผิวหนังส่วนใหญ่จะมีอาการคันร่วมด้วย แต่ความรุนแรงจะขึ้นกับสภาพจิตและความไวของแต่ละบุคคล ผื่นคันเฉพาะที่พบบ่อย คือ ผื่นแพ้สัมผัส ผื่นแพ้ผิวหนัง กลาก ผื่นคันทั่วตัว เช่น ลมพิษ โรคหิด และ ผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเฉพาะที่ เช่น ผื่นบริเวณอวัยวะเพศ และรอบทวารหนัก

3.โรคแฝงในอวัยวะอื่นอาจพบรอยผื่นเกาทั่วตัวไม่พบลักษณะจำเพาะเจาะจงของโรคผิวหนัง อาการคันเป็นอาการที่นำมาพบแพทย์ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคตับ โรคไต โรคโลหิตและมะเร็งต่าง ๆ ภาวะหมดประจำเดือน และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

4.คันจากความผิดปกติของระบบปลายประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคงูสวัด และเริมใน

5.สาเหตุอื่น ๆ อาการคันอาจเกิดจากสารสื่อในสมองปรวนแปร และอาจเกิดจากปัญหาทางจิตใจ

การรักษาผื่นคันในระยะเฉียบพลันอาจทุเลาด้วยความเย็น เช่น การอาบน้ำเย็น ประคบด้วยน้ำเย็น ยาทาคาลาไมด์ ควรทำด้วยความนุ่มนวล เพราะการขัดถูแรง ๆ ทำให้ผื่นเห่อได้ ในผู้ป่วยลมพิษถ้ามีอาการหายใจไม่สะดวกควรพบแพทย์

ส่วนผื่นคันเรื้อรังต้องพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยโรค เช่น ผื่นคันทั่วตัวเรื้อรังชนิดคันมากที่สุด คือ โรคหิด มีลักษณะผื่นเฉพาะ เป็นตุ่มและรอยเกา ในบริเวณซอกนิ้ว รักแร้ หน้าผาก หน้าขา อัณฑะ และองคชาต คันมากในเวลากลางคืน และเป็นโรคติดต่อในผู้ใกล้ชิด ส่วนโรคผิวหนังอื่นที่มีผื่นทั่วตัวต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การรักษาต่อไป ในรายมีโรคภายในแฝง การตรวจร่างกายและทดสอบทางห้องปฏิบัติการก็จะวินิจฉัยโรคได้ และเมื่อรักษาโรคแฝงอาการคันจะทุเลาได้

เมื่อเกิดผื่นคันอย่าตื่นตกใจ ผื่นผิวหนังร้อยละ 80 จะหายได้เอง ควรตั้งสติพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด และเมื่อหลีกเลี่ยงก็ยังไม่ทุเลาควรพบแพทย์ ส่วนการรักษาในเบื้องต้นเพื่อระงับอาการ คือ ประคบด้วยความเย็น รับประทานยาแก้แพ้คลอเฟนิรามีน ควรงดการใช้สบู่บริเวณคันเพราะระคายและทำให้ผิวแห้ง หลายท่านชอบใช้ยาหม่อง เมนโทลาทัม อาการคันลดลงได้แต่อาจเกิดปัญหาการระคายเคืองตามมา ส่วนการใช้ยาผงโรยอาจรู้สึกหาย คันเพราะแป้งทำให้เย็น แต่ด้วยยาฆ่าเชื้อในผงอาจทำให้แพ้ตามมาจึงไม่ควรใช้

ถ้าคันแล้วยังไม่มีเวลาไปพบแพทย์จะทำอย่างไร ? หลายท่านอาจแนะนำว่าอย่าเกาซึ่งไม่ใช่ทางออก เพราะคันก็ต้องเกาจึงจะหายคัน แต่ควรเกาแบบมีสติ คือ เกาเบา ๆ ไม่ใช่เกาแบบรุนแรง ก็จะช่วยทุเลาอาการได้.



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2552   
Last Update : 28 สิงหาคม 2552 7:53:55 น.   
Counter : 1895 Pageviews.  
space
space
ผลพิสูจน์ชี้"นมเปรี้ยว" ไม่ลด"แอลกอฮอล์"ในเลือด


นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวลือการดื่ม "นมเปรี้ยว" ช่วยลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด

ทำให้เครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ไม่สามารถตรวจจับได้ ว่า ได้สั่งการให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทดลองว่านมเปรี้ยวสามารถลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้จริงหรือไม่ โดยผลการทดลองพบว่า การดื่มนมเปรี้ยวลดระดับแอลกอ ฮอล์ในเลือดได้เพียงเล็กน้อยประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น แต่ไม่ช่วยให้ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้ในปริมาณมากหรือผ่านเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ที่กฎหมายกำหนดได้ คือ ต้องมีแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์




นายมานิต กล่าวว่า วิธีการทดลองใช้อาสาสมัคร 5 คน

แบ่งเป็นอาสาสมัคร 2 คน ทดลองดื่มเบียร์ ขนาด 630 มิลลิกรัม หรือประมาณ 3 ขวด และอาสาสมัครอีก 3 คน ทดลองดื่มสุรา ขนาด 500 มิลลิกรัม หลังจากเลิกดื่มสุรา เบียร์ ประมาณ 20 นาที วัดระดับแอลกอฮอล์ครั้งแรก ในกลุ่มดื่มสุรา วัดได้ 202 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นให้อาสาสมัครดื่มนมเปรี้ยวตามอีก 2-3 ขวด และวัดระดับแอลกอฮอล์ทันที ถือเป็นการวัดครั้งที่ 2 กลุ่มดื่มสุรา วัดได้ 182 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นรออีก 10 นาที จึงวัดระดับแอลกอฮอล์ครั้งที่ 3 และรออีก 20 นาที จึงวัดระดับแอลกอฮอล์ครั้งที่ 4 พบว่า กลุ่มดื่มสุรา มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเหลือ 179 และ 166 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

นายมานิต กล่าวว่า ผลการทดลองสอดคล้องกับกลุ่มดื่มเบียร์ ที่วัดระดับแอลกอฮอล์ครั้งแรก วัดได้ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

แต่หลังจากดื่มนมเปรี้ยว พบว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือ 101 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นรออีก 10 นาที และอีก 20 นาที จึงวัดระดับแอลกอฮอล์ เหลือ 93 และ 92 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผลการวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดแต่ละครั้งที่ไม่เท่ากันนั้นเกิดขึ้นหลายปัจจัย ทั้งช่วงเวลาหลังดื่ม และมีอาหารในกระเพาะอาหารมากหรือน้อย ขนาดของร่างกาย และการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

"การดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิดจะไหลจากปากไปยังกระเพาะอาหารทันที เนื่องจากโมเลกุลแอลกอฮอล์มีขนาดเล็ก ไม่ต้องผ่านมาย่อยก่อน ทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่เลือดอย่างรวดเร็ว เมื่อเลือดผ่านปอดแอลกอฮอล์บางส่วนจะแพร่ออกนอกร่างกายทางลมหายใจ การวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจากลมหายใจโดยการเป่าลมหายใจเข้าเครื่องวัดจึงถือเป็นวิธีมาตรฐานสากลที่มีการพิสูจน์มาแล้วทั่วโลก ดังนั้นการดื่มนมเปรี้ยวหรือเครื่องดื่มชนิดอื่นก็หลอกเครื่องวัดแอลกอฮอล์ไม่ได้" นายมานิต กล่าว



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด





 

Create Date : 27 สิงหาคม 2552   
Last Update : 27 สิงหาคม 2552 7:19:05 น.   
Counter : 2752 Pageviews.  
space
space
เวลาที่ไม่ควรแปรงฟัน





แม้ว่าการแปรงฟันเป็นประจำจะเป็นสุขนิสัยที่ดีแต่มีบางเวลาที่ไม่ควรแปรงฟันในทันที

สมาคมทันตกรรมชิคาโก ระบุว่า ไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโซดาหรือกรด เช่น น้ำอัดลม น้ำส้ม เพราะการแปรงฟันขณะที่มีกรดหลงเหลืออยู่ในปากจะยิ่งกระตุ้นให้ฟันผุง่ายยิ่งขึ้น

วิธีที่ควรทำหลังจากดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ คือ ดื่มน้ำเปล่าหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลภายในปาก หลังจากนั้นค่อยแปรงฟัน วิธีนี้ใช้กับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งมักจะมีน้ำย่อยที่มีสถานะเป็นกรดไหลย้อนมาอยู่ในปากได้ด้วย


นิตยสารแพรว ฉบับที่ 719





 

Create Date : 26 สิงหาคม 2552   
Last Update : 26 สิงหาคม 2552 7:13:58 น.   
Counter : 1502 Pageviews.  
space
space
6 วิธีสร้างนิสัย กิน “กากใย” บรรเทาท้องผูก





นอกจากอาหารที่มีกากใยสูงจะช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายให้เป็นปกติแล้ว หากเรากินกากใยน้อยเกินไปก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก ริดสีดวงทวาร และความผิดปกติอื่นๆ ในลำไส้ได้เช่นกัน

เรามี 6 วิธีง่ายๆ เพื่อช่วยสร้างนิสัยในการกินกากใยอาหารให้ได้มาก มาแนะนำกันค่ะ

1.สร้างนิสัยการกินประจำบ้าน โดยเน้นกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีท ซึ่งจะมีกากใยอาหารมากกว่าขนมปังขาวถึง 3 เท่า รวมถึงมองหาร้านอาหารสุขภาพที่มีข้าวกล้องสำหรับมื้ออื่นๆ นอกบ้านด้วย

2.กินผักและผลไม้ให้มากๆ ควรล้างผลไม้ให้สะอาดและถ้าเป็นไปได้ ควรเลี่ยงผลไม้ชนิดที่รับประทานได้ทั้งเปลือก เช่น แอ๊ปเปิ้ล ฝรั่งและองุ่น

3.พยายามกินผักที่กินทั้งต้นและก้านให้มากขึ้น เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ถ้ารู้ว่าก้านนั้นแข็ง ให้ปอกเปลือกออกบ้าง แล้วฝานหรือหั่นให้เล็กลง นอกจากนั้น อย่าลืมหัดกินผักดิบ โดยกินร่วมกับน้ำพริกใส่สลัด หรือกินเป็นของขบเคี้ยวเล่นก็อร่อยและได้ประโยชน์

4.กินผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้นั้น คั้นสดหนึ่งผลนั้นมีกากใยอาหารมากกว่าน้ำส้มคั้นถึง 6 เท่า

5.เติมถั่วชนิดต่างๆ ลงในอาหาร เช่น ใส่ถั่วลันเตา ถั่วแขกในอาหารผัก แกงต่างๆ หรือสลัด

6.เลือกกินขนมที่ทำจากผลไม้ เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วแดงต้ม ฟักทองหรือเผือกต้ม

ที่มา horapa.com




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2552   
Last Update : 25 สิงหาคม 2552 7:58:53 น.   
Counter : 1325 Pageviews.  
space
space
อะคริลาไมด์ในขนมก่อมะเร็ง








ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน ธัญพืชมื้อสะดวกและกาแฟผงร้อนๆ รับอรุณหอมยวนใจ

อาหารคุ้นเคยเหล่านี้ นิยมบริโภคกันทั่วไปเพราะสะดวกสบาย ประหยัดเวลา รวมทั้งมีรสชาติน่าลิ้มลอง เด็กๆบางคนรับประทานจนติดเป็นนิสัย ผู้ใหญ่บางคนก็ขาดไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่ความอร่อยนี้ มีมะเร็งเป็นตัวแถมเพราะเป็นอาหารที่มีสารอะคริลาไมด์ปนเปื้อน

อะคริลาไมด์ (Acrylamide) มัจจุราชเงียบนี้ รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ พ.ศ.2545 เมื่อสำนักงานอาหารแห่งประเทศสวีเดน ออกสุ่มอาหารกว่า 100 ตัวอย่าง มาวิเคราะห์

ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ขนมปังกรอบทำจากมันฝรั่งและ มันฝรั่งทอด มีสารอะคริลาไมด์ปนเปื้อนสูงมาก ปริมาณที่พบมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม และในมันฝรั่งทอดมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 500 ไมโครกรัม ต่อกิโลกรัม

และยังพบอีกว่า อาหารชนิดเดียวกัน ถ้าต่างผู้ผลิตจะมีปริมาณอะคริลาไมด์ต่างกันไป เพราะขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิตผลวิจัยของสหภาพยุโรปออกมาเมื่อปลายปี พ.ศ. 2550 ระบุว่า คนจะได้รับสารอะคริลาไมด์มากขึ้น จากการบริโภคอาหารผ่านความร้อนสูง

“เดิมเราทราบว่าอะคริลาไมด์เข้าสู่ร่างกายได้สองทางคือ การดื่มน้ำ และการสูบบุหรี่ โดยสารอะคริลาไมด์จะก่อตัวขึ้นในอาหารพวกธัญพืช มันฝรั่ง อาหารที่มีแป้งสูงและกาแฟที่ใช้ความร้อนสูงกว่า 120 องศาเซียลเซียส หรือใช้เวลาในการอบ ทอด ย่าง ปิ้ง เป็นเวลานานๆ”
นาย ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร องค์กรเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรมบอก

และให้เหตุผลว่า เพราะ “ความร้อนจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาระหว่าง น้ำตาลรีดิวซ์และกรดอะมิโนแอสพาราจีน จนก่อตัวเป็น สารอะคริลาไมด์ขึ้น ในที่สุด”

การเกิดสารอะคริลาไมด์ในอาหารขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการคือ 1. ความร้อนที่ใช้ 2. ระยะเวลาที่ใช้ความร้อน และ 3. ปริมาณของแอสพาราจีนและน้ำตาลรีดิวซ์ ซึ่งมีในมันฝรั่ง เมล็ดธัญพืช หรือในแป้งที่นำมาใช้ประกอบอาหาร

อาหารที่มีสารอะคริลาไมด์ปนเปื้อน สถาบันอาหารรายงานว่า สำหรับเมืองไทยแล้ว มีอาหารจานด่วน ขนมขบเคี้ยวจำพวกมันฝรั่งทอดแบบแท่ง หรือที่เรียกกันว่าเฟรนช์ฟราย มันฝรั่งทอดกรอบ ขนมปังกรอบ บิสกิตเครกเกอร์ ธัญพืช และกาแฟผง

ปริมาณการพบในอาหารแต่ละชนิดไม่เท่ากัน มากน้อยเพียงใดต้องนำเข้าห้องปฏิบัติการเท่านั้น

แต่ในเบื้องต้น สถาบันอาหารได้วิเคราะห์ในมันฝรั่งทอดกรอบแผ่นบาง ขนมปังกรอบ และบิสกิต พบว่ามีสารอะคริลาไมด์ปนเปื้อนทุกอย่าง

มันฝรั่งทอดกรอบพบสารปนเปื้อนปริมาณสูง แต่นับว่าโชคดีของคนไทยอยู่บ้าง ตรงที่ปริมาณยังสูงไม่เท่ากับที่ตรวจพบในต่างประเทศ

แสดงให้ตระหนักว่า อาหารที่สั่งมาจากต่างประเทศ ซื้อหากันในราคาแพงๆ ไม่ใช่จะปลอดภัยกว่าในประเทศเสมอไป การนำเข้าอาหารและขนมกรุบกรอบจากต่างประเทศ อีกนัยหนึ่งคล้ายนำมะเร็งเข้ามาด้วย แถมเป็นมะเร็งราคาแพง

ความเข้มข้นของสารอะคริลาไมด์ ที่พบในอาหารไทยและในต่างประเทศ ต่างกันคือ มันฝรั่งทอดกรอบไทยมี 406.03 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม มันฝรั่งทอดกรอบจากนอก (อังกฤษ อเมริกา) มี 1,312 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ขนมปังกรอบไทยมี 200.77 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนขนมปังกรอบนอก (อังกฤษ อเมริกา) มี 423 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม






สารอะคริลาไมด์ทำปฏิกิริยาต่อร่างกายอย่างไร พิษภัยแค่ไหน

คำตอบคือ เมื่อสารอะคริลาไมด์เข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว ณ บริเวณที่มีการย่อยอาหาร หลังจากนั้นถูกขับออกมากับปัสสาวะ ภายใน 2-3 ชั่วโมง อันตรายของสารอะคริลาไมด์ หน่วยงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARA) จัดให้เป็นสารกลุ่มที่มีความเป็นไปได้สูงในการก่อให้เกิดโรคมะเร็งในคน โดยจัดให้อยู่ในกลุ่ม 2 เอ

ด้วยเกรงพิษภัยของสารดังกล่าว องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงกำหนดข้อแนะนำคุณภาพน้ำดื่มให้มีสารอะคริลาไมด์ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 0.5 ไมโครกรัมต่อลิตร สหภาพยุโรปกำหนดให้มีในน้ำดื่มได้ไม่เกิน 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร ส่วนหน่วยงาน EPA ของสหรัฐอเมริกา กำหนดว่า ต้องไม่พบสารอะคริลาไมด์ ในน้ำดื่ม แสดงว่า...พิษย่อมไม่ธรรมดา

ส่วนในประเทศไทยยังไม่ได้กำหนดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นในอาหารและน้ำดื่ม

เมื่อยังไม่มีมาตรการใดๆออกมาจากภาครัฐ ผู้ประกอบการที่ไม่คิดเป็นฆาตกรรมก้นครัว ควรลดปริมาณอะคริลาไมด์ในอาหารที่ตนผลิตลง แม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็เพื่อถนอม ชีวิตลูกค้า และคุณธรรมของผู้ประกอบการ

แนวทางลดสารปนเปื้อนอะคริลาไมด์...สถาบันอาหารแนะนำไว้คือ ผู้ผลิตมันฝรั่งทอดกรอบ ก่อนผ่านขั้นตอนผลิต ให้นำมันฝรั่งมาลวกน้ำก่อนทอด จะช่วยลดปริมาณอะคริลาไมด์ในมันได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

ผู้ผลิตเฟรนช์ฟราย ถ้านำมันฝรั่งมาลวกในสารละลายกรดชิตริกก่อนนำไปทอด จะช่วยลดปริมาณสารอะคริลาไมด์ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในการผลิตขนมอบ เพียงเติมเกลือแคลเซียมซัลเฟตเข้าไปในขณะอบขนมปัง จะช่วยลดการก่อตัวของอะคริลาไมด์ได้

ส่วนบิสกิตเพียงผู้ผลิตใช้อุณหภูมิอบต่ำลง และเพิ่มระยะเวลาในการอบเข้าไป โดยควบคุมความชื้นให้สม่ำเสมอ ก็ลดการก่อสารอะคริลาไมด์ได้แล้ว

การป้องกันการไม่ให้สารอะคริลาไมด์ก่อตัว เมื่อปลาย พ.ศ.2550 วารสาร Journal of Food Science ได้ลงผลงานของนักวิจัยชาวจีนว่า พบสารที่สกัดจากใบไผ่ และใบชาเขียว มีสารอนุมูลอิสระจำพวกฟลาโวนอยด์ แลคโตส และกรดฟีโนลิค

สารนี้สามารถกีดขวางการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำตาลกลูโคส และแอสพาราจีน ที่ทำให้เกิดการก่อตัวของสารอะคริลาไมด์ในอาหารได้

การป้องกันตัวเองของคนไทย เมื่อภาครัฐยังไม่เห็นอันตรายจากสารอะคริลาไมด์ ควรนำพุทธสุภาษิตที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มาปฏิบัติอย่างจริงจัง หลักการง่ายๆ 4 ประการคือ

1. ไม่ควรใช้ความร้อนอบ ปิ้ง ทอด ย่าง ที่สูงเกินไป หรือใช้เวลานานมากเกินไป ยกเว้นอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์และสัตว์ปีก ที่ต้องปรุงให้สุก เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเสียก่อน

2. ลดการบริโภคอาหารที่มีแป้ง ไขมัน และแคลเซียมสูง

3. รับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้และอาหารที่มีเส้นใยให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้สารต้านมะเร็งตามธรรมชาติ

4. ดูแลร่างกายไม่ให้มีน้ำหนักเกินไป และ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

สำหรับนิสัยการกินของคนไทย เมื่อเปลี่ยนจากผักบุ้งจิ้มพริกมาเป็นอาหารจานด่วน ทำให้ธุรกิจอาหารจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดหลายแบรนด์เนม ทั้งธุรกิจขายไก่ แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า และอื่นๆ

เรื่องน่าวิตกก็คือ สถาบันอาหารเปิดเผยตัวเลขว่า เด็กไทยบริโภคขนมขบเคี้ยวประมาณวันละ 2 ห่อต่อคน

พฤติกรรมนี้ นอกจากเด็กจะเพาะนิสัยรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังสั่งสมโทษจากขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

เพราะอาหารจำพวกขนมกรุบกรอบ อุดมไปด้วยแป้ง ไขมัน เป็นต้นตอของโรคอ้วนในเด็กไทย และเมื่อได้รับสารอะคริลาไมด์ในปริมาณที่มากพอ ก็เสี่ยงต่อโรคมะเร็งแถมพ่วงเข้ามาอีก

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ






 

Create Date : 24 สิงหาคม 2552   
Last Update : 24 สิงหาคม 2552 7:35:33 น.   
Counter : 1584 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space