Group Blog
 
All Blogs
 

ออกแบบชีวิตด้วยภาวนา........ความเฉลียวฉลาด สติปัญญาเฉียบแหลม... เราออกแบบได้

เขิญศึกษาค่ะ............สาธุ



ออกแบบชีวิต ด้วยภาวนา


ความมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด เป็นคุณสมบัติที่มนุษย์ต่างปรารถนา แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสสรรเสริญว่า “ปัญญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย”



จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การทำสมาธิ(Meditation)ภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยพัฒนาศักยภาพของสมองให้ดีขึ้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน และการทำกิจการงาน ต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว คนเราดึงเอาความสามารถที่มีอยู่ออกมาใช้ได้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น



เรื่องเหล่านี้ เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง และจากคนใกล้ชิด เมื่อลองนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอได้สักระยะหนึ่งก็จะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เช่น เรียน รู้สิ่งใหม่ ได้ดีขึ้น ความจำดีขึ้น ผลการเรียนดีขึ้นวิธีคิดเป็นระบบขึ้นการตัดสินแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นเป็นต้น




เรื่องความมีปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด จากการทำสมาธิภาวนานี้ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ก็เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าว่าทำธรรมกายเป็นละก็ มันฉลาดกว่ามนุษย์ หลายสิบเท่าเชียวนะ นี่พอถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็ฉลาดกว่าเท่าหนึ่งแล้ว สูงกว่าเท่าหนึ่งแล้วเข้าถึงกายทิพย์ก็สองเท่าแล้ว กายทิพย์ละเอียดก็สามเท่าแล้วกายรูปพรหมสี่เท่า กายรูปพรหมละเอียดห้าเท่า กายอรูปพรหมหกเท่า กายอรูปพรหมละเอียดเจ็ดเท่า เข้าถึงกายธรรมและกายธรรมละเอียด 8-9 เท่าเข้าไปแล้วมันมีความฉลาดกว่ากันอย่างนี้นะ”


ความฉลาดที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิเป็นความฉลาดยิ่งกว่าความฉลาดที่เกิดขึ้นจากการศึกษาเล่าเรียน เพราะถ้าทำสมาธิจนกระทั่งใจมีพลังถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิดญาณทัสสนะ คือรู้แจ้งเรื่องราวของโลกและชีวิตตามความเป็นจริง




www.dmc.tv




 

Create Date : 02 เมษายน 2555    
Last Update : 2 เมษายน 2555 16:17:30 น.
Counter : 2477 Pageviews.  

ออกแบบชีวิตด้วยศีล...[ผิวพรรณดี กิริยาวาจาเรียบร้อย สงบเสงี่ยม สง่างาม]...

ออกแบบชีวิตด้วยศีล

 ศีลแต่ละข้อมีอานิสงส์ช่วยออกแบบชีวิตเราให้มีรูปสมบัติและสิ่งที่น่าปรารถนาต่างๆอีกมากมายในชาติต่อๆไปแม้ในปัจจุบันชาติ อานิสงส์ของศีลก็ยังสามารถปรากฎให้เห็นทันตาได้ดังตัวอย่างของพระภิกษุ สามเณร ที่รักษาศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จะมีผิวพรรณวรรณะผ่องใส กิริยาวาจาเรียบร้อย อ่อนโยน สงบเสงี่ยม สง่างาม น่าศรัทธาเลื่อมใส

 

 

 

 

ตรงข้ามกับผู้ที่มีใจร้าย โกรธง่าย โมโหง่าย จะมีหน้าตาบึ้งตึง ไม่น่าดู และมีผิวพรรณเศร้าหมอง เพราะในขณะที่เกิดอารมณ์โกรธ ต่อมหมวกไต (Adrenal gland) จะขับสารเคมีชื่อ อะดรีนาลิน (Adrenalin) ออกมาสู่กระแสโลหิตทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางสรีระไปในทางไม่ดีเช่น ทำให้ผิวพรรณวรรณะไม่ผ่องใส ดังนั้นใครปรารถนาจะออกแบบชีวิตให้สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปสมบัติ พึงตั้งใจรักษาศีลให้ดี

  อานิสงส์ของศีลกับการออกแบบชีวิต(โดยย่อ)

        ถ้าอยากมีอายุยืน แข็งแรง ไม่มีโรคมาเบียดเบียนมีกำลังมาก ไม่พิกลพิการ ให้รักษาศีลข้อที่ 1 ให้ดี

ถ้าไม่อยากทรัพย์สินเงินทองพินาศไปเพราะภัยต่างๆ เช่นสูญหายโดนขโมย ถูกโกง โดนไฟไหม้ เป็นต้น ให้รักษาศีลข้อที่ 2
 
ถ้าไม่อยากผิดหวัง หรือเสียใจกับความรัก ไม่อยากพลัดพรากจากคนรัก ของรัก ไม่อยากโดนเพศตรงข้ามหลอกอยากมีคู่ครองที่ซื่อสัตย์ อยากมีรูปร่างดี ไม่อ้วนหรือว่าผอมเกินไป ไม่สูงหรือว่าเตี้ยเกินไป ให้รักษาศีลข้อ 3 ให้ดี
ถ้าอยากมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ฟันสวย ขาวสะอาด เรียบ เสมอกัน กลิ่นปากหอม มีคำพูดที่คนเชื่อถือ ไม่ถูกใส่ร้ายป้ายสี ได้รับความจริงใจจากผู้อื่น ให้รักษาศีลข้อ 4 ให้ดี
ถ้าอยากมีสติมั่นคง ไม่ขี้ลืม ไม่โง่ ไม่เป็นบ้า ให้รักษาศีลข้อที่ 5 ให้ดี
ศีล 5 ข้อ เราต้องรักษาให้เป็นปกติ ชีวิตของเราก็จะถูกออกแบบให้สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติอย่างงดงาม

 




 

Create Date : 31 มีนาคม 2555    
Last Update : 2 เมษายน 2555 19:10:54 น.
Counter : 3489 Pageviews.  

อยากเป็นเศรษฐีข้ามภพข้ามชาติต้องทำอย่างไร

อยากเป็นเศรษฐีข้ามภพข้ามชาติต้องทำอย่างไร

พระภาวนาวิริยคุณ

ถ้าเราอยากจะเป็นเศรษฐีข้ามภพข้ามชาติ จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใด

เรื่องนี้ มี ๒ ประเด็นด้วยกัน คือ

ประเด็นที่ ๑ บางคนรวยแล้วตั้งแต่ชาตินี้และหวังว่าจะรวยอีกในชาติต่อไป

ประเด็นที่ ๒ ชาตินี้จนเหลือเกิน ขอให้จนแค่ชาตินี้ ขอไปรวยชาติหน้าเถิด

สรุปคือ ต้องการจะไปรวยกันทั้งนั้นในอนาคตข้างหน้า

ถ้าจะเป็นเศรษฐีไม่ว่าชาตินี้ ชาติไหน มีหลักง่าย ๆ ๒ ประการ คือ

          ๑. ต้องมีความเพียร มีความทุ่มเทที่จะทำงานนั้นอย่างจริงจัง

          ๒. ต้องมีบุญเก่า มีเสบียงติดตัวไปด้วย

การที่เรารวยในชาตินี้แล้ว ก็แสดงว่าเรามี ๒ สิ่งนี้อยู่แล้ว คือ

          ๑. มีนิสัยขยัน จึงมาทุ่มเททำงาน

          ๒. มีบุญเก่าเมื่อชาติที่แล้วติดตัวมาถึงชาตินี้

          พวกที่ชาตินี้จนอยู่ ก็คงรู้แล้วว่าชาติที่แล้วไม่ค่อยสร้างบุญ จึงไม่มีบุญเก่าติดตัว ก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป "เริ่มสร้างบุญใหม่เสีย เพื่อว่าบุญใหม่ในชาตินี้จะได้เป็นบุญเก่าของเราชาติหน้า"

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักการสร้างบุญตั้งแต่ชาตินี้ไว้ ๔ ข้อ

          ประการที่ ๑ ตั้งใจศึกษาทำความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจเรื่องความดี ความชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องผิด เรื่องถูก เรื่องควร ไม่ควร ได้ชัดเจน ความเข้าใจถูกอย่างนี้ จะส่งผลให้ชาติหน้าเมื่อเราคลอดจากท้องแม่ออกมาก็จะมีใจที่ฉลาด ๆ เข้าใจเรื่องบุญเรื่องบาปติดตัวมาเลย พูดง่าย ๆ เกิดมาก็เข้าใจเรื่องกรรม จึงมีศรัทธาในเรื่องกฎแห่งกรรม ศรัทธาที่จะละชั่ว ทำดี ศรัทธาที่จะเลิกทำบาป มุ่งแต่จะทำบุญ
ความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมอย่างนี้จะทำให้เราได้บุญใหม่ ตั้งแต่ชาตินี้

          ประการที่ ๒ ตั้งใจรักษาศีลให้ดีขนาดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อเรารักษาศีลแบบเอาชีวิต เป็นเดิมพันแล้ว บุญที่จะส่งผลข้างหน้ายังไม่ต้องพูดถึง บุคลิกของคนไม่ก่อเวรจะดูดีตั้งแต่ชาตินี้เลย ถ้าเราไม่ก่อเวรอะไรเลย บุญนั้นจะมหาศาลนัก ข้ามชาติไปเกิดใหม่ก็จะได้ร่างกายที่แข็งแรง บุคลิกก็ดี ได้รูปสมบัติตั้งแต่วันเกิดเลย

          ประการที่ ๓ ตั้งใจทำทาน บริจาคทานชนิดไม่ยั้งมือ ความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพมีเท่าไร ทำเต็มที่ จะเหลือกินเหลือใช้หรือไม่เหลือก็ตาม เตรียมแบ่งเป็นงบเอาไว้ งบนี้จะทำทาน เพื่อกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว ความใจแคบของเรา ทำใจให้กว้างเป็นทะเลไปเลย เมื่อใจกว้างเพราะอำนาจแห่งความตั้งใจทำทานอย่างนี้แล้ว ชาติหน้าเกิดมาเมื่อใจเราใหญ่กว่าทะเลเสียแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งแผ่นดินก็เตรียมจะไหลลงทะเลใจของเรา

          ประการที่ ๔ ตั้งใจทำสมาธิภาวนา หมั่นไปวัด ไปเพิ่มพูนเทคโนโลยีทางด้านจิตใจจากศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ไปฟังเทศน์ด้วย นั่งสมาธิด้วย เป็นการเพิ่มพูนปัญญา กลั่นกาย กลั่นใจให้ใสตั้งแต่ชาตินี้ เมื่อใจใสเป็นแก้ว เป็นเพชร ตั้งแต่ชาตินี้ ชาติต่อไปพอเกิดปุ๊บใจก็สว่างเป็นตะวันเที่ยงปั๊บ ไม่มีอะไรจะบังปัญญาเราได้ ๒ ข้างทางที่เดินผ่านไป จะเห็นช่องทางที่จะเปลี่ยนทั้งสิ่งของทั้งเหตุการณ์ที่เราพบให้เป็นสมบัติได้หมด

          เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้รวยข้ามชาติ ๔ ข้อนี้จะทำให้รวยด้วยอริยทรัพย์ตั้งแต่ชาตินี้ ชาติ ต่อไปทั้งอริยทรัพย์ทั้งโลกิยทรัพย์เป็นของเราแน่นอน




 

Create Date : 28 มีนาคม 2555    
Last Update : 28 มีนาคม 2555 19:21:19 น.
Counter : 1567 Pageviews.  

รักสุดซึ้ง..........ถึงปรโลก




ความใฝ่ฝันของนักกีฬา คือการได้รับชัยชนะสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้ ต้องเพียรพยายามมุ่งฝึกซ้อมนานนับปี แต่สำหรับนักสร้างบารมี การเพียรสั่งสมความดี และหมั่นทำใจหยุดนิ่งเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน เข้าไปสัมผัสกับแหล่งแห่งความสุข และความบริสุทธิ์ภายใน ซึ่งนับเป็นสิ่งที่สูงค่าที่สุด เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต จากผู้มีทุกข์มาเป็นผู้มีความสุข จากผู้เคยผิดหวังกลายมาเป็นผู้สมหวัง และจากผู้ไม่รู้กลายมาเป็นผู้รู้แจ้ง

รางวัลแห่งใจหยุดนิ่งนี้จะเป็นรางวัลชีวิตที่มีค่ายิ่งกว่าเหรียญตราใดๆในโลก เป็นรางวัลแห่งความสุขและความสำเร็จ ที่มวลมนุษยชาติต่างแสวงหามาตลอดชีวิต เพราะใจหยุดได้ จึงจะหลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวงได้


มีถ้อยคำสุภาษิตที่เวมานิกเปรตตนหนึ่ง ได้กล่าวเตือนไว้ว่า


“สัตว์นรกบางพวกท่านก็เห็นแล้ว สัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสูร มนุษย์ หรือเทวดาบางพวก ท่านก็เห็นแล้ว ผลกรรมของตน ท่านก็เห็นประจักษ์ด้วยตนเองแล้ว เราจักนำท่านไปส่งยังเมืองปาฏลีบุตร ท่านไปถึงเมืองปาฏลีบุตรแล้ว จงทำกรรมอันเป็นกุศลให้มาก”

ในโลกนี้มีเรื่องลี้ลับมากมาย ซึ่งเป็นภพซ้อนภพที่อาศัยซึ่งกันและกันอยู่ เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เช่น ป่าหิมพานต์ ถํ้าพญานาค หรือเมืองลับแล เป็นต้น เคยมีผู้ไปพบเห็นโดยบังเอิญบ้าง หรือผู้ได้ฌานสมาบัติไปรู้ไปเห็น นำมาเล่าให้ฟังกันบ้าง ภพภูมิเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นของกึ่งหยาบกึ่งละเอียด เป็นเรื่องยากมาก ที่ใครคนหนึ่งจะไปพบเห็นโดยบังเอิญ ยกเว้นว่าเทวดาหรือเปรตเหล่านั้น ต้องการจะให้มนุษย์เห็นด้วยตาเนื้อ ซึ่งในปัจจุบันหากจะไปพิสูจน์ภพภูมิเหล่านั้น ต้องได้อภิญญา ได้ฌานสมาบัติ หรือพูดง่ายๆ ต้องอาศัยใจหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ จะพิสูจน์ด้วยวิธีอื่นก็ไม่ได้


มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ที่มีคนสามารถไปเห็นภพภูมิของเปรต อสุรกาย และเทพชั้นต้นบางจำพวกได้เพราะความบังเอิญ แล้วนำมาเล่าให้ญาติได้รับฟัง ทำให้เกิดการตื่นตัวในการทำความดี เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปกันมากขึ้น


* เรื่องมีอยู่ว่า สมัยนั้นพวกพ่อค้า ชาวกรุงปาฏลีบุตรจำนวนมาก ขนสินค้าเต็มลำเรือเพื่อนำไปขายที่สุวรรณภูมิ การเดินทางด้วยทางเรือแต่ละครั้งนั้น ต้องใช้เวลาหลายเดือน จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง ต้องอาศัยความใจกล้าอย่างมาก เพราะในมหาสมุทรมากไปด้วยภยันตราย ทั้งภัยจากคลื่นลมมรสุม ซึ่งสามารถพัดเอาเรือทั้งลำให้จมหายไปกลางทะเลได้ ภัยจากสัตว์ร้ายในทะเล นอกจากนี้ยังมีภัยจากพวกโจรสลัดที่คอยจี้ปล้น ขบวนเรือกลุ่มไหนสามารถเดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย นับว่าเป็นผู้ที่โชคดี


ในสมัยนั้นมีพ่อค้าคนหนึ่ง ก่อนออกเดินทางได้ไปวัดใกล้บ้านถวายสังฆทานอยู่ ๗ วัน และได้สมาทานศีล ๕ เป็นการสั่งสมบุญกุศลก่อนออกเดินทางไกล เพราะรู้ว่าหากเรือล่มในระหว่างทาง ที่พึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบุญกุศลที่ได้ทำเอาไว้ ในระหว่างเดินทาง พ่อค้าหนุ่มได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งในเรือ เมื่อคบหากันหลายวัน ก็เกิดเป็นความรัก จึงตั้งใจว่าหากกลับจากการค้าขายในครั้งนี้ จะไปขอพ่อแม่เพื่อแต่งงาน


แต่โชคร้ายได้มาเยือนพ่อหนุ่มเสียก่อน เพราะความแปรปรวนของคลื่นลมในมหาสมุทรทำให้ล้มป่วยกะทันหัน จะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ในที่สุดก็ตาย เนื่องจากพ่อค้าหนุ่มตายด้วยใจที่ขุ่นมัว เพราะมัวแต่นึกถึงหญิงสาวที่ตนหลงรัก ใจผูกพันอยู่กับเธอมาก ไม่อยากจากเธอไป จึงไม่ได้นึกถึงบุญที่เคยทำเอาไว้ ใจจึงไม่ใส แต่ก็ไม่ได้เศร้าหมองมาก เพราะตลอดชีวิตไม่ได้ทำบาปอกุศลหนักๆ เอาไว้ ความตายที่มาพรากชีวิตพ่อค้าหนุ่มนี้เป็นเพราะกรรมปาณาติบาต ที่ทำเอาไว้ในอดีตชาติตามมาทัน ทำให้ต้องตายในวัยหนุ่ม


อันที่จริง บุญที่ตนเองได้ทำเอาไว้ในชาตินี้ โดยเฉพาะได้ถวายสังฆทาน และสมาทานศีลก่อนออกเดินทางนั้น สามารถส่งผลให้ไปบังเกิดในเทวโลกได้ แต่เพราะจิตปฏิพัทธ์ต่อหญิงสาว ทำให้ฉุดรั้งไปบังเกิดเป็นเวมานิกเปรตในท่ามกลางมหาสมุทร ซึ่งถือว่าเป็นเปรตชั้นสูง ครั้นเวลาผ่านไปไม่กี่วัน เปรตตนนั้นเกิดความคิดถึงหญิงสาวที่ตนเองหมายปอง ปรารถนาจะให้นางมาอยู่ด้วย จึงใช้อานุภาพของตนปิดกั้นเรือลำนั้นเอาไว้ ทำให้เรือหยุดนิ่งอยู่กลางมหาสมุทร ไม่สามารถแล่นต่อไปได้ พวกต้นหนก็ดี กัปตันเรือก็ดี ต่างตรวจดูข้อผิดพลาดว่าที่เรือไม่แล่นต่อไปนั้นเกิดจากอะไร เมื่อสำรวจดูเรียบร้อยแล้ว ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ จึงคิดกันว่า ในเรือลำนี้ต้องมีคนกาลกิณีเดินทางร่วมมาด้วยแน่ จึงให้จับสลาก


ไม่น่าเชื่อว่า คนตั้งร้อยคนจับไม่ถูก แต่สลากนั้นได้ถึงหญิงสาว ครั้งแรกไม่มีใครเชื่อว่า เธอจะเป็นหญิงกาลกิณี ครั้นให้เริ่มจับใหม่ แม้ครั้งที่สองและครั้งที่สาม สลากนั้นก็มาถึงนางเช่นเดิม ที่เป็นเช่นนี้เพราะเกิดจากอานุภาพของเปรตตนนั้น

พวกพ่อค้าต่างสงสารนางมาก แต่ถ้าหากไม่ทิ้งนางไป คนในเรืออีกนับร้อยชีวิตอาจต้องตายกันหมด จึงตัดสินใจให้หย่อนแพไม้ไผ่ลงในมหาสมุทร ให้นางลงไปอยู่บนแพไม้ไผ่ เมื่อหญิงนั้นลอยแพไป เรือก็แล่นบ่ายหน้าไปยังสุวรรณภูมิได้ตามปกติ ทิ้งนางไว้โดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทร ฝ่ายเปรตซึ่งรออยู่แล้ว ก็ยกนางขึ้นไปยังวิมาน เล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง และได้ร่วมอภิรมย์อยู่อาศัยในวิมานแห่งนั้นอย่างมีความสุข


ในระหว่างที่อาศัยอยู่ที่วิมานของเปรตนั้น เปรตได้พานางไปดูสัตว์เดรัจฉานที่มีอานุภาพมาก เช่นนาคและครุฑเป็นต้น ได้เห็นเปรตชั้นต่ำชนิดต่างๆ ซึ่งล้วนแต่มีความหิวกระหายทั้งนั้น ได้เห็นกาลกัญชิกาสูรซึ่งมีความหิวโหย อีกทั้งน่าเกลียดน่ากลัวมากๆ ได้เห็นเทพชั้นจาตุมหาราชิกาบางพวก ทำให้นางรักบุญกลัวบาปมาก


ครั้นล่วงไป ๑ ปี นางเกิดความเบื่อหน่ายและคิดถึงบ้าน จึงได้ขอร้องเปรตว่า ดิฉันอยากกลับบ้านเกิดแล้ว เพราะอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำบุญอะไรเลย ได้แต่เสวยสุขอย่างเดียว ขอให้ท่านนำดิฉันกลับไปเมืองปาฏลีบุตรด้วยเถิด เปรตเมื่อถูกนางอ้อนวอน ก็รู้ว่าบุญของนางใกล้จะหมดแล้ว จึงไม่ปรารถนาจะอยู่ที่นี่ต่อไป ได้กล่าวเตือนว่า “สัตว์นรกบางพวก ท่านก็เห็นแล้ว สัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย มนุษย์ หรือเทวดาบางพวก ท่านก็เห็นแล้ว ผลกรรมของตน ท่านก็เห็นประจักษ์ด้วยตนเองแล้ว เราจะนำท่านไปส่งที่เมืองปาฏลีบุตร ท่านไปถึงแล้วจงทำกุศลกรรมเอาไว้ให้มากเถิด และอย่าลืมอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลมาให้เราด้วย”


หญิงสาวครั้นได้ฟังคำของเปรตแล้ว ก็รับคำว่าจะทำบุญให้เต็มที่ จากนั้น เปรตได้พานางเหาะไปทางอากาศ นำมาส่งกลางพระนครแล้วก็จากไป พวกญาติครั้นได้เห็นนางกลับมาแล้วก็ดีใจ รีบมาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ นางได้เล่าเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางให้ทุกคนได้ฟัง ได้กล่าวถึงวิบากกรรมของคนที่ไม่ได้ทำบุญเอาไว้ และอานิสงส์ที่ทำให้ได้ไปเกิดเป็นเทวดา จากนั้นไม่รอช้า รีบชักชวนหมู่ญาติไปทำบุญที่วัด และไม่ลืมที่จะอุทิศส่วนกุศลให้เวมานิกเปรตตนนั้น ครั้นนางละโลกไปก็ได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์


นี่เป็นเรื่องจริงของหนุ่มสาวที่รักกันอย่างสุดซึ้งถึงปรโลก ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เรื่องภพซ้อนภพที่มนุษย์สามารถไปอยู่กับอมนุษย์ได้นั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เป็นเรื่องเหลือวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่างถึงจะไปได้

แต่ที่หลวงพ่อนำมาเล่าให้ฟังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ให้เห็นว่า ชีวิตหลังความตายมีจริง ปรโลกเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องไป ไม่อยากไปก็ต้องไป ถึงแม้เราหลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรมไม่ได้ แต่สามารถที่จะเลือกทำแต่กรรมดีได้ ถ้าทำกรรมดีก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ หากทำกรรมชั่วก็มีทุคติเป็นที่ไป เส้นทางสู่ปรโลกเป็นสิ่งที่เราลิขิตได้ ดังนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ ให้พวกเราทุกคน หมั่นสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ และฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

* มก. เล่ม ๔๙ หน้า ๕๗๓





 

Create Date : 13 มีนาคม 2555    
Last Update : 13 มีนาคม 2555 13:00:05 น.
Counter : 1537 Pageviews.  

แนวทางที่ 'หลวงพ่อธัมมชโย'ปฏิบัติเมื่อเผชิญปัญหาใหญ่....ท่านผ่านแต่ละเรื่องอย่างไร ? [เชิญศึกษาค่ะ]



พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย


บทความโดย : โค้ก อลงกรณ์ (อุปัฏฐาก)

"ผมตั้งคำถามนี้คงเพราะผมได้รับเอกสารฝากมาถวายหลวงพ่ออย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา"..........

ทุกฉบับเหล่านี้ ส่งมาจากต่างที่ ต่างเวลา ต่างเรื่องราว แต่ต่างก็มีจุดหมายและจุดประสงค์เดียวกันหมด นั่นคือส่งมาเพื่อกราบขอความเมตตาหลวงพ่อได้คุมบุญ ช่วยแก้ไขปัญหาทุกข์ในทุกปัญหาให้ผ่านพ้นเรื่องร้าย ๆ เหล่านี้ไปให้ได้

สัจธรรมจากเอกสารชีวิตเหล่านี้บอกผมว่า ไม่ว่าเป็นใคร อายุเท่าใดก็ตาม เราต่างล้วนมีความทุกข์ด้วยกัน ทั้งนั้นไม่มีชีวิตใดที่ไม่ต้องพบเจอกับความทุกข์

ขณะที่หลวงพ่อหยิบเอกสารที่ขอความช่วยเหลือขึ้นมาดู ผมรู้สึกว่า ลำพังหลวงพ่อเองก็มีเรื่องใหญ่ให้แก้ไขอยู่ไม่น้อย และดูเหมือนว่า แต่ละเรื่องที่หลวงพ่อเผชิญนั้นใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องใหญ่หลาย ๆ เรื่องในเอกสารที่ส่งมารวมกันอีก แต่สุดท้ายหลวงพ่อก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง ทำให้คิดที่จะตั้งข้อสังเกตว่า

ท่านผ่านมาได้อย่างไร ?


ทุกครั้งที่ท่านต้องสู้กับเรื่องใหญ่ สิ่งที่สังเกตเห็น ท่านจะทำอยู่ ๒ อย่างคือ ทำใจให้นิ่ง ๆ และนั่งหลับตา ท่านทำเพียงแค่ ๒ อย่างเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นผมสังเกตไม่เห็น

แต่ผมก็เชื่อว่า สิ่งที่ผมสังเกตไม่เห็นนั้นคือ หลวงพ่อท่านใช้ใจที่ใสสว่างและบริสุทธิ์จากการหลับตาทำสมาธิเข้ามาช่วยในเรื่องนี้ จากคำพูดหนึ่งที่ท่านมักพูดอยู่เสมอว่า ปัญหาที่หยาบสุดต้องแก้ด้วยจิตที่ละเอียดสุด

ดังนั้น ทุกครั้งที่มีผู้มากราบเรียนให้หลวงพ่อช่วยคุมบุญเรื่องใหญ่ของเขา ท่านจะแนะนำให้ผู้นั้นอย่าวิตกกังวล ให้หมั่นนึกถึงบุญที่ได้สั่งสมไว้ ให้ใจชุ่มอยู่ในบุญให้ได้ตลอดเวลา แล้วหลวงพ่อจะช่วยคุมบุญให้


โลกที่เราอาศัยใช้สร้างบารมีอยู่นี้มีเรื่องใหญ่มากมายเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เราควรรู้เท่าทันนั่นก็คือ เรื่องใดใหญ่ที่สุดในชีวิต ?

เป็นคำถามที่ผมยังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง จนกระทั่งได้ฟังหลวงพ่อท่านให้สติ เรื่องใหญ่ที่พบเจอทุกเรื่องนั้น แม้เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่แท้จริง

หลวงพ่อให้สติว่า เรื่องใหญ่ที่เป็นวิกฤตชีวิตที่แท้จริงของคนเรานั้น ไม่ใช่เรื่องเจ็บป่วย เรื่องสอบตก เรื่องอกหัก ธุรกิจล้มเหลว ครอบครัวแตกแยก ประสบภัยพิบัติ เผชิญโรคร้าย หรือการพลัดพราก หากแต่วิกฤตที่แท้ของชีวิตคือการยังเข้าไม่ถึงที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว ที่แท้จริงภายในต่างหาก

เพราะตราบใดที่ได้เข้าถึงที่พึ่งภายใน เห็นองค์พระภายในชัดใสสว่างได้แล้ว ต่อให้เรื่องต่าง ๆ ที่เราเคยคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มารวมกันทุกเรื่อง หรือมรณภัยมายืนรออยู่ข้างหน้า ก็ย่อมไม่ทำให้ใจเรารู้สึกหวั่นไหวได้

ดังนั้น เรื่องใหญ่ต่าง ๆ คงไม่มีเรื่องใดที่จะใหญ่ไปกว่าเรื่องนี้
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก เวลาในชีวิตก็มีอย่างจำกัด การที่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ นี่คือเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในชีวิต

หากรู้แล้วว่าเรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ คงไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบแล้ว ว่า เรื่องใดใหญ่ที่สุดในชีวิต....


อ่านบทความฉบับเต็ม คลิ๊กที่นี่




 

Create Date : 10 มีนาคม 2555    
Last Update : 10 มีนาคม 2555 17:32:03 น.
Counter : 3602 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

อุ่นอาวรณ์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add อุ่นอาวรณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.