Group Blog
 
All Blogs
 

การโกหก....1) พูดไม่หมดถือว่าโกหกไหม 2) พูดให้สบายใจ ?


โกหกแบบไหนถึงจะไม่ผิด

หลายคนอาจเคยคิดว่า ถ้าพูดความจริงแล้วจะทำให้เกิดความเสียหาย แต่ถ้าพูดโกหกแล้วจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แบบนี้จะผิดหรือไม่ และการพูดความจริงแต่พูดไม่หมดนั้นบาปหรือไม่ โกหกแบบไหนถึงจะไม่ผิด



การโกหก

        การโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นบาปและควรละเว้น แต่หลายคนอาจเคยมีความคิดว่า ถ้าพูดความจริงแล้วจะทำให้เกิดความเสียหาย แต่ถ้าพูดโกหกแล้วจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แบบนี้จะผิดหรือไม่ และการพูดความจริงแต่พูดไม่หมดนั้นบาปหรือไม่ โกหกแบบไหนถึงจะไม่ผิด

คำว่า โกหก มีคำจำกัดความว่าอย่างไร?

        โดยหลักก็คือว่า เป็นเรื่องไม่จริง ทั้งที่เรารู้ว่าเป็นเรื่องไม่จริง และเราก็มีเจตนาที่จะโกหก แล้วพูดไปคนฟังก็ฟังเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง นั่นคือโกหกโดยสมบูรณ์ ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงแต่เราไม่รู้นึกว่ามันเป็นเรื่องจริงคือเราเข้าใจผิดอย่างนี้ก็ยังพอรอดตัว
        ที่บรรจุไว้เป็น 1 ใน 5 ของศีล 5 ที่เราต้องถือปฏิบัติในเบื้องต้นนั้น เราดูได้ 2 ระดับ คือเรื่องโกหก บางทีมันเป็นเรื่องที่ไม่หนักในระดับการฆ่าสัตว์ เพราะการทำลายชีวิตผู้อื่นดูมันหนักและใหญ่กว่า หรือไปขโมยของคนอื่นเขานี่ก็เรื่องใหญ่

    แค่โกหกพูดไปหน่อยเดียวเพราะมันออกไปง่าย และมันก็ไม่เห็นจะมีผลกระทบอะไรมากมายไม่ถึงกับทำให้ใครตาย ทำไมมันต้องหนักหน่วงขนาดนั้นหรือ เราลองสังเกตดูว่าในสังคมนั้นจะอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก ศีลข้อ 4 มีความจำเป็นมากเลย ถ้าหากว่าเราอยู่กับคนรอบข้างแล้วเขาพูดอะไรมา แสดงอะไรมาเราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าเขาพูดจริงหรือไม่ ชีวิตก็จะมีแต่ความหวาดระแวงมีแต่ความเสี่ยงมาก อย่างถ้าในบางประเทศมีโอกาสในการทำธุรกิจดูดีมากแต่ว่าไม่มีความแน่นอน คือไปลงทุนแล้วพร้อมจะถูกยึดตลอด คือคำสัญญาของรัฐบาลและทุกอย่างไม่มีอะไรที่แน่นอน สามารถพลิกผันได้ทุกเมื่อ ทุกคนก็ไม่อยากเอาเพราะมีความเสี่ยงมาก เพราะมีความไม่แน่นอน


การพูดโกหก ทำให้เกิดบาปในใจ
การพูดโกหก ทำให้เกิดบาปในใจ


        จะเห็นว่ากิจกรรมระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ก็ตาม ระหว่างองค์กรกับองค์กรก็ตาม ระหว่าประเทศกับประเทศก็ตาม จะดำเนินไปได้ด้วยดีต่อเมื่อมีพื้นฐานคือ ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ได้พูดออกมา ได้สัญญาออกมาแล้วนั้นจะปฏิบัติตามนั้น ถ้าเมื่อใดก็ตามไม่มีการรักษาสัญญา ก็ไม่รู้จะไปทางไหนเลย นี่คือระดับหนึ่ง สังคมจะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้จำเป็นต้องมีศีลข้อ 4 เป็นพื้นฐาน เป็นศีลหลัก 1 ใน 5 ข้อของมนุษย์เลย นี่คือระดับที่เราเห็นได้ในภพปัจจุบันนี้เลย


การพูดโกหก ทำให้เกิดบาปในใจ สิ่งที่เราพูดออกไปมันจะเกิดเป็นภาพในใจ ถ้าเราพูดเรื่องที่ไม่จริงภาพที่เกิดขึ้นในใจมันจะเป็นภาพบิดเบี้ยว เพราะมันเพี้ยนจากความเป็นจริง เรารู้อยู่ว่าความจริงเป็นยังไง ถ้าเราพูดอีกแบบ ภาพที่ซ้อนอยู่มันเกิดการสับสน หนักเข้าก็จะเป็น อัลไซเมอร์ ขี้หลงขี้ลืม เพราะมันสับสนว่าอันไหนจริงอันไหนโกหก คนที่พูดโกหกมากๆ เข้าสุดท้ายตัวเองก็สับสน เพราะต้องมานั่งจำว่าวันไหนพูดยังไง วันนี้พูดยังไง หนักเข้ามันจำไม่ไหว สุดท้ายก็ทำให้ตัวเองสับสน หนักๆ เข้าก็เป็น อัลไซเมอร์ ไปเลย พอเป็นอย่างนี้ก็ทำให้ใจหมอง เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป ก็ไปอบาย เพราะคุณภาพใจมันเสีย


บางทีไม่อยากโกหกเพราะพูดแล้วอาจเกิดผลเสีย อาจหลีกเลี่ยงโดยการไม่พูดหรือพูดไม่ครบอย่างนี้ถือว่าเป็นการโกหกหรือไม่?

        อยู่ที่เจตนา ถ้าเจตนาเราคือไม่ต้องการโกหก ต้องการรักษาวจีสุจริตคือพูดเรื่องจริง ฉะนั้นเรื่องนี้ถ้าเราไม่อยากพูดเราก็มีสิทธิที่จะไม่พูด เราอาจจะบอกเขาตรงๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ขอพูด อย่างนี้ได้ ขอให้เช็คว่าเราไม่ได้พูดสิ่งที่ไม่จริงออกไปและไม่มีเจตนาจะไปหลอกลวงหรือโกหกใคร

การโกหกเพื่อให้คนฟังสบายใจเช่นหมอพูดกับคนไข้ว่าไม่เป็นไรแต่จริงๆ แล้วก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน แบบนี้จะมีผลอย่างไร?
        ต้องแยกให้ดีระหว่างการให้กำลังใจกับการโกหก เช่นว่า เห็นคนไข้ก็ชมว่าวันนี้ดูสดใสขึ้นนะเป็นการให้กำลังใจ เพราะคนเรานั้นกำลังใจมีส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต ในแต่ละวันก็หยิบยกข้อดีในตัวเขาขึ้นมาให้กำลังใจ แต่ถ้าสมมติว่าเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อีกไม่กี่วันก็ตายแน่นอน แล้วไปบอกเขาว่า ไม่เป็นไร ออกมาแล้วดีไม่มีอะไรเลยดีกว่าไม่เป็น อย่างนี้ก็ไม่ใช่ แล้วจะมีวิธีการบอกเขาอย่างไร จะบอกตรงๆ หรือโกหก ตรงนี้ได้มีการทำวิจัยและได้ข้อสรุปออกมาว่าจริงๆ แล้วบอกความจริงกับคนไข้ดีที่สุด แต่ต้องมีวิธีในการบอก บอกอย่างมีศิลปะ

วันหนึ่งคืนหนึ่งของบุคคลที่ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท มีคุณค่ายิ่งกว่าชีวิตของคนที่ปล่อยให้ผ่านไปวันๆ อย่างไร้สาระเป็นร้อยปี ฉะนั้นคนไข้ที่อาการหนักที่เหลือชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันนั้น ให้เขาตั้งหลักตั้งสติให้ดีว่าชีวิตของเขาที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดนี้ยังมีค่ากว่าคนอื่นๆ ที่มีชีวิตอยู่แบบเรื่อยเปื่อยเป็นร้อยปีอีก และอาจจะดีกว่าตรงที่ว่าบางคนนั้นนึกว่าตัวเองยังแข็งแรงอยู่ ก็เลยประมาทไม่ทำความดีเอาไว้แก่เมื่อไหร่ค่อยทำ อยู่ดีๆ เกิดรถชนตายขึ้นมาก่อนยังไม่ได้ทำก็มี แต่ว่าคนที่ป่วยอยู่นั้นรู้ตัวก่อนว่าเวลาที่เหลืออยู่นั้นยังไม่มาก


ฉะนั้นใช้เวลานี้ในการสร้างบุญสร้างกุศลดีกว่าอย่างนี้กลับเป็นประโยชน์มากกว่า เรียกว่าเปลี่ยนจากอกุศลให้เป็นกุศล เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสฉะนั้นจึงควรต้องบอกความจริงกับเขาแต่ต้องบอกอย่างมีศิลปะ พร้อมกับให้ทางออกและยกใจเขาให้สูงขึ้น เท่าที่เห็นมาคนไหนที่เป็นคนเข้าวัดเข้าวาประพฤติปฏิบัติธรรม แม้จะเจอมรณะภัยอยู่ข้างหน้า เขาจะไม่หวาดหวั่น เพราะรู้หลักปฏิบัติ แต่สำหรับคนที่ตรงข้ามก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็มีแต่กลัวกับกลัว

ดังพุทธพจน์ที่ว่า คนทำดีย่อมบันเทิงในภพนี้และภพหน้า เมื่อนึกได้ว่าตนได้ทำแต่บุญกุศลย่อมบันเทิงในใจ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจะบันเทิงใจยิ่งขึ้นในสุคติโลกสวรรค์ ดูตอนปกติระหว่างคนที่ชอบทำบุญกุศล กับคนที่ไม่ทำบุญก็ดูจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมรณะภัยมาเยือน จะพบความแตกต่างอย่างชัดเจน พบความตายอย่างองอาจ ไม่กลัว ไม่หวาดหวั่น แล้วมีความสุขในภพนี้และภพหน้ามีความสุขในภพทั้งสอง

โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ
เรียบเรียงจากรายการข้อคิดรอบตัว ทาง DMC




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2555    
Last Update : 14 มิถุนายน 2555 18:12:49 น.
Counter : 2648 Pageviews.  

คิด พูดเรื่องละเอียด... ใจละเอียด




ใจละเอียดเท่านั้นจึงจะไปถึงสิ่งที่ละเอียดได้ ถ้าใจไม่ละเอียดมันเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้น ในระบบความคิดคำพูด และการกระทำของเราต้องวนเวียนกับสิ่งที่ละเอียด ถ้าเราคิดเรื่องละเอียด พูดเรื่องละเอียด ทำเรื่องละเอียด แล้วก็วนเวียนอยู่กับสิ่งที่ละเอียด ใจก็จะละเอียดตาม

นึกถึงองค์พระ นึกถึงดวง นึกถึงธรรมะ นึกถึงบุญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียด บริสุทธิ์ สะอาด เกลี้ยงเกลา นึกถึงบ่อยๆ ใจของเราก็พลอยเป็นอย่างนั้น คือ บริสุทธิ์ สะอาด เกลี้ยงเกลา เหมือนกันกับวัตถุ สิ่งของ ที่เราจะนึกจะคิด จะพูด หรือจะทำ นี่คือกฏการเข้าถึงธรรม ที่ทุกคนต้องจำเอาไว้


พระธรรมเทศนาพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2555    
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 7:42:20 น.
Counter : 1475 Pageviews.  

วิธีให้ข้อคิด กับผู้ที่ยังไม่มั่นใจในตนเองและยังต้องการพึ่งอาศัยหมอดู

เจริญพร...

เราเป็นชาวพุทธนี่นะ ที่พึ่งที่ระลึกที่เราเองควรจะนึกถึงคือพระรัตนตรัย ดังนั้นให้เราเองตั้งใจมองพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ถามว่าพึ่งพระรัตนตรัยคืออะไร ก็คือถือท่านเป็นสรณะ เป็นแม่แบบใหญ่ของพระพุทธเจ้าคือเป็นบุคคลต้นแบบที่สมบูรณ์ที่สุดของโลก ถ้าเราไม่แน่ใจจะทำอะไรยังไงดี ให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง นี่คือพึ่งพระพุทธเจ้าเป็นแบบนี้

และพึ่งพระธรรมก็คือว่า ให้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนำมาเป็นแนวทาง การปฏิบัติในการดำเนินชีวิต นี่คือพึ่งพระธรรมที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้

ส่วนพึ่งพระสงฆ์คือบางทีเราศึกษาเองเรายังไม่เข้าใจดีใช่ไหม ถึงคราวไปพบพระสงฆ์แล้วก็ให้ท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแจกแจงอธิบายให้เราเข้าใจ และเป็นผู้ชี้แนะหนทางสว่างในการดำเนินชีวิต เจอปัญหาชีวิตติดขัดขึ้นมาก็ไปกราบพระ ขอคำแนะนำจากท่านๆ ก็เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายมาชี้แนะให้เรา และสอนให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การพึ่งพระรัตนตรัย ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะอันสูงสุดนี่ พึ่งแบบนี้

ถ้าพึ่งอย่างนี้ได้ละก็ชีวิตเราจะมีแต่ความสุขความเจริญ แล้วถ้าเราเองตั้งใจทำอย่างนี้อย่างสม่ำเสมอนะ ไม่ใช่ว่ารอให้มีปัญหาเกิดขึ้นแล้วก็รีบวิ่งเข้าวัด พอไม่มีปัญหาร้อยวันพันปีก็ไม่ไปวัดเลย บุญก็ไม่เคยทำเลย อย่างนี้เรายังพลาด เหมือนคนที่ว่าปกติไม่ยอมดูแลสุขภาพ ไม่ยอมออกกำลังกาย อยากจะกินอะไรก็กิน อยากทำอะไรก็ทำ อดหลับอดนอน พอป่วยหนักขึ้นมาจะมาวิ่งเข้าฟิตเนสตอนนี้ หรือว่าจะมาคิดควบคุมอาหาร บางทีบางอย่างมันก็ช้าเกินไป ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำนะ เพราะบางทีบางเรื่องโรคมันเป็นแล้วนี่ จะไปแก้ไขมันก็ไม่ค่อยจะทันการณ์ ถ้าจะให้ดีก็คือตอนยังดีๆ อยู่นี่แหละให้รีบดูแลสุขภาพร่างกาย

ให้รีบศึกษาธรรมะเข้าวัดประพฤติปฏิบัติธรรม จนกระทั่งบุญในตัวเราเองก็พอ ความรู้ธรรมะเราก็พอ จนมั่นใจในตัวเองพอว่า เกิดอะไรขึ้นปั๊บไม่ได้เบี่ยงจะไปคิดพึ่งที่พึ่งนอกบุญเขตในพระพุทธศาสนาเลย

มีอะไรเกิดขึ้นมาปั๊บนี่นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น อย่างนี้ละก็ใช้ได้ เพราะฉะนั้น เข้าวัดตั้งแต่ตอนนี้กันเถิด และให้ชีวิตของเรามีความสุขความเจริญกันถ้วนหน้าทุกๆ คนโดยไม่ต้องพึ่งดวง แต่พึ่งพระรัตนตรัย เจริญพร...

 
จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราเอง แม้ว่าจะมีเรื่องในอดีตที่เราเคยทำเอาไว้ แต่ว่าปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เรายังสามารถที่จะกำหนดชีวิตของเราเองได้ และที่สำคัญเราต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด แล้วเราก็จะได้มีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2555    
Last Update : 9 มิถุนายน 2555 18:07:08 น.
Counter : 1948 Pageviews.  

ทำไม หมอดู สามารถมองเห็นอดีต หรือสามารถทำนายอนาคตได้ถูกต้อง ?



อนาคตของเรานั้นถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ ตอนที่ 2


หมอดูที่เขาดูดวง ทำไมเขาสามารถมองเห็นอดีต หรือสามารถทำนายอนาคตได้ถูกต้อง?








เจริญพร... ถามว่าถูกหมดรึเปล่า หมอดังๆ ก็ผิดมาเยอะนะ อย่างสมมุติถ้ามีหมอดูสัก 10 คน ทำนายปั๊บ ที่จะดังนี่ต้องหาเรื่องใหญ่ๆ ทำนาย ให้แรงๆ ไปเลย ก็ปรากฏว่าพอหมอดู 10 คน ทำนายปั๊บ คนหนึ่งทำนายถูกก็บอกว่าหมอดูคนนี้สุดยอด เยี่ยมมากเลย ทำนายอนาคตได้แม่น ส่วนอีก 9 คนที่ทำนายไม่ถูกเขาก็ไม่พูดถึง ก็เงียบหายไป แล้วถ้าเกิดมีหมอดูสัก 100 คนปั๊บ ก็ทำนาย 100 แบบ คนที่บังเอิญทำนายได้ตรงคนนั้นก็ดังไปเลย อีก 99 คนนั้นเขาก็ไม่พูดถึง ดูอย่างหมอดูที่ทายเลขลอตเตอรี่ตามแผงที่ขายใบหวย ทำไมเขาไม่บอกล่ะว่าเลขอะไรตรงๆ ไปเลย ทำไมต้องมีเลขอะไรแบบหงิกๆ งอๆ ให้ตีความได้หลายๆ แบบ แล้วก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นอย่างนี้ ทำนายไปหลายๆ หมอเข้าก็ครบ 100 ตัวพอดี เลขท้าย 2 ตัว ใน 100 ตัว มันก็มีถูกเข้าสักหมอบ้างน่ะ หมอนั้นก็ดัง คนอื่นก็ไม่ดัง อย่างนี้เป็นต้น เขาถึงบอกว่า หมอดูคู่กับหมอเดา อันนี้อันหนึ่ง

ในบางกรณีหมอที่ว่ามันก็ไม่ถึงกับถูกหมด แต่ดูว่าค่อนข้างจะแม่นกว่าคนอื่น โดยเปรียบเทียบเช่นว่า ทำนาย 10 เรื่อง ก็อาจจะถูกสัก 3 เรื่อง แต่หมอเดาอาจจะ 100 เรื่องถูกเรื่องเดียว หมอดูนี่มีหลายแบบ

1. คือดู วัน เดือน ปีเกิด ดูดวงอย่างที่ว่านั้น วัน เดือน ปีเกิด บวก ลบ คูณ หาร กันแล้วอย่างนั้น อย่างนี้ขึ้นมาแล้วทำนาย

2. คือ ดูโหงวเฮ้ง คือดูจากรูปร่างลักษณะ หน้าตา บุคลิก ตา หู จมูก ปาก คอ การดูโหงวเฮ้งก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง

3. หมอดูที่ดูลายมือก็จะเป็นอีกแบบ

ถามว่าเป็นยังไง จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องของวิชาสถิติ ที่บางคนเห็นว่าเวลาดูหมอเห็นเขามีตำราสอนดู เอาเลขตรงนั้นมาใส่ตรงนี้ บวกลบลงตรงนี้ ก็คือเป็นวิชากึ่งสถิตินั่นเอง คือเก็บจากสถิติในอดีต แล้วสถิติมีผลอย่างไรกับชีวิตคน มันเป็นอย่างนี้

คนที่เกิดในเดือนแต่ละเดือนนั้น นิสัยก็ไม่เหมือนกัน ผลจากเดือนเกิดมี เช่น เดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน เป็นต้น โบราณเขาเรียกว่าเป็น ราศี ในแต่ละราศีทำไมไม่เหมือนกัน เพราะตอนเกิดในเดือนแต่ละเดือนนั้นถามว่าอุณหภูมิเท่ากันไหม ถ้าเกิดในเดือนธันวาคมก็หนาวหน่อย ถ้าเกิดในเดือนเมษายนก็ร้อนหน่อย เกิดในช่วงเวลาร้อนกับหนาวนี้มีผลต่อสุขภาพของเด็กไม่เหมือนกัน

เกิดในช่วงหน้าร้อนเหงื่อออกง่ายมันก็หงุดหงิดง่าย ส่งผลให้นิสัยตอนโต ถ้าเกิดในช่วงเดือนธันวาคมอากาศเย็นสบาย นิสัยก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันมีผลหมด ไม่ว่าจะเป็นลม ความร้อน ความชื้น อากาศแห้ง ทุกอย่างมีผลสะท้อนต่อชีวิตของเราหมด เพราะฉะนั้นบางบริษัทจะรับคนเข้าทำงานนอกจากสัมภาษณ์ตามปกติก็ต้องเอาซินแซ นักดูโหงวเฮ้งมานั่งดูด้วย ให้ซินแซพิจารณาว่าคนนี้ผ่านมั๊ย เพราะว่าอย่างอื่นตอบให้เพราะๆ ยังตอบได้ แต่ว่าบุคลิกหน้าตามันจะสะท้อนจากภายใน

เขาไม่ได้ดูความหล่อความสวยเป็นหลัก แต่เขาดูหลายๆ อย่างประกอบกัน บางทีดูแววตาบ้างว่าสุกใสดีไหม ลักษณะการมองอย่างนี้เป็นคนมุ่งมั่นแค่ไหน มันจะสะท้อนให้เห็นหมด คนที่กำลังเชื่อมั่นลองดูสิ เราเป็นผู้นำประเทศ หรือคนที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ลักษณะแววตาก็อีกแบบหนึ่ง ตอนเจอเหตุอะไรเข้าแล้วธุรกิจแย่หรือว่าภาวะผันผวนนี่ บุคลิกแววตาเขาจะเปลี่ยนเป็นอีกแบบ มันเป็นอย่างนี้ หรือใครไปดู อาร์โรโย ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ตอนดำรงตำแหน่งนี่จะเห็นว่า โหงวเฮ้งจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว เพราะมีกรณีเหตุเกิดขึ้นจะต้องโดนเล่นงานทางการเมืองอะไรต่างๆ นี่ โหงวเฮ้งก็จะเปลี่ยนจนคนจำแทบไม่ได้เลย


เพราะฉะนั้นบุคลิกอะไรต่างๆ มันมีผลจากภายในทั้งนั้นเลย และมันสะท้อนให้เห็นว่า การคิด พูด ทำอะไรยังไงอยู่นี่ก็มาจากบุคลิกอีกอันหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการดูดวงอย่างที่ว่า พูดง่ายๆ คือหมอดูนี่มีหลายรูปแบบ บางรูปแบบก็น่าสนใจนะ แต่สิ่งเหล่านี้ยังไงก็ตามอย่าลืมก็แล้วกันว่า หมอดูคู่กับหมอเดา ถ้าเราไปอยู่ในวงจรนี้ไปๆ มาๆ มันจะทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองได้ เห็นอะไรเอะอะต้องถามหมอก่อน จะทำหรือไม่ทำอะไรแทนที่จะเอาเหตุเอาผลมาเป็นตัวประกอบตัดสินใจ ที่ไหนได้ หมอว่าไง หมอบอกว่า yes ก็เดินหน้า หมอบอก no ก็ไม่เอา


ฝากชีวิตไว้กับดวงอย่างนี้มันก็ไม่ใช่นะ เราต้องถือกรรมลิขิต คือตัวเราลิขิตชีวิตตัวเราเอง จะทำหรือไม่ทำ จะเดินหน้าหรือจะชะลอไว้ก่อน ขึ้นอยู่กับข้อมูล ขึ้นอยู่กับเหตุ ปัจจัย ความพร้อมในเรื่องต่างๆ ที่เราเองได้รวบรวมข้อมูลศึกษาไตร่ตรองอย่างรอบคอบดีแล้ว ตัดสินใจแล้วก็เดินหน้าไป นี้คือการทำอย่างถูกต้องตามพุทธวิธี

พระพุทธเจ้า พระองค์บอกว่า “ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนพาล ผู้มัวรอแต่ฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์ย่อมเป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจะทำอะไรได้” เพราะฉะนั้นถ้าเกิดทุกอย่างเงื่อนไขพร้อม อุปกรณ์ข้าวของ คนงาน การวิเคราะห์วิจัยเสร็จหมดดีพร้อมจะออกตลาด ไปหาหมอดู หมอดูบอกตอนนี้ฤกษ์ไม่ดีให้รออีก 3 เดือนค่อยออก รออีก 3 เดือนคู่แข่งออกสินค้ามาก็เจ้งพอดี สู้เขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปรอตรงนั้น เอาตามเหตุตามผล ทุกอย่างพร้อมแล้วก็เดินหน้าไปเลย


ให้ยึดตามหลักเหตุผล ไม่ใช่ยึดตามดวง แล้วถ้าจะพึ่งคือให้พึ่งบุญในตัว เรารู้แล้วนี่ว่าจะสำเร็จได้นั้นจากผลแห่งวิบากคือกรรมในอดีตบวกกับปัจจุบัน กรรมในอดีตก็คือผลบุญผลบาปที่ส่งผลมาถึงใจเรานี่เอง เพราะฉะนั้นเราเองก็ต้องทำเหตุปัจจุบันให้ดีแล้วก็สร้างบุญเข้าไปด้วย มันมีเหตุภายนอกภายในอยู่ด้วย เหตุภายนอกก็ทำการทำงานเต็มที่ เหตุภายในก็มีบุญกุศลในตัวผลักดันกันด้วย อย่างนี้ก็จะสำเร็จ ถ้าสังเกตเห็นจะพบว่าโหราจำนวนไม่น้อยเขาก็พอรู้หลักเหมือนกัน เมื่อตั้งใจจะเป็นโหราก็ต้องพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะโหราจริงๆ เข้าตัวเองก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองเลย ยังดูดวงตัวเองไม่ได้เลย บางทีออกจากบ้านโดนควายควิดตายก็มี ก็คือยังไม่รู้


เพราะฉะนั้นเขาก็จะแนะนำคนที่มาดูดวงให้ไปทำบุญ คือพยายามดึงเอาเรื่องบุญกุศล พระรัตนตรัยนี้บวกเข้าไปด้วย เพราะตรงนี้จะเป็นที่พึ่งและเป็นเหตุที่ทำให้ประสบความสำเร็จที่แท้จริง เพราะมันเกิดบุญ และคนกำลังกังวลนี่แปลกนะ บางทีเพื่อนบอกหรือพระบอกให้ไปทำบุญนี่ก็ฟังอยู่ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่พอมีเรื่องกังวลปุ๊บไปหาหมอดู หมอดูบอกให้ทำ 9 วัด โอ้โห..จัดเวลาขวนขวายไปทำบุญเลย แปลกเหมือนกันนะ คนเรานี่น่าจะฟังพระพุทธเจ้าท่านนะไม่น่าไปให้หมอดูบอกแล้วค่อยทำ น่าจะไปทำได้เองเลยแล้วจะเยี่ยมมากเลย เจริญพร...




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2555    
Last Update : 6 มิถุนายน 2555 13:23:48 น.
Counter : 4134 Pageviews.  

เรื่องอนาคตชีวิตและหมอดู .......ทำไมหมอดูทราบได้

ข้อคิดรอบตัวเรื่องอนาคตถูกกำหนดไว้แล้วหรือ ตอนที่ 1

Smiley

 

 

        การดูดวงคือศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล บางคนเชื่อว่าเป็นความวิเศษ บางคนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การดูดวงก็ยังเป็นที่นิยมของบุคคลทั่วไปในทุกยุคทุกสมัย และในทุกๆ ประเทศ เพราะแน่นอนใครๆ ก็ย่อมอยากรู้อนาคตของตัวเอง แท้จริงแล้วการดูดวงคือศาสตร์แห่งอนาคตหรือเป็นเพียงกุศโลบายเครื่องเตือนใจให้มนุษย์เท่านั้น

 ปัจจุบันเราจะเห็นว่าโหราศาสตร์เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตเราเกือบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง แม้กระทั่งมีการดูดวงของนักการเมืองว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร

 

    

 

อนาคตของเราถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ และถูกกำหนดโดยใคร แล้วทำไมหมอดูจึงทราบได้?   

 

        เจริญพร... เพราะมีคำๆ หนึ่งที่ศาสนาที่พึ่งภายนอกจะชอบใช้คำว่า “พรหมลิขิต“ ในศาสนาที่เชื่อพระเจ้าก็จะว่าพระเจ้าลิขิตไว้หมด ฮินดูบอกพรหมลิขิต แต่พระพุทธเจ้าบอกกว่า กรรมลิขิต คือตัวเราลิขิตชีวิตตัวเราเอง ถามว่าอนาคตเราเองกำหนดไว้แล้วรึเปล่า สิ่งที่เราเจออยู่เรื่องต่างๆ จะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ทุกอย่างเกิดจากเหตุ 2 ประการ คือ        1. กรรมในอดีตที่เราเคยทำเอาไว้ ส่งผลเป็นวิบากมาในปัจจุบันมีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง        2. กรรมที่เราทำในปัจจุบันชาตินี้         2 อย่างนี้ประกอบกัน เพราะฉะนั้นเราจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเองในปัจจุบันด้วย กรรมในอดีตมันผ่านไปแล้วเราแก้ไม่ได้ แก้ได้ในอีกความจริงหนึ่งคือกรรมที่เราทำในปัจจุบันนี้แหละ อย่างสมมุติบางคนเราอยากจะรู้ว่าอนาคตถูกกำหนดไว้รึเปล่านี้ แค่ดูตัวอย่างก็ตอบได้แล้ว เด็กนักเรียนภพในอดีตนั่งสมาธิ(Meditation)มามากและทำบุญเกี่ยวกับเรื่องการศึกษามามาก เกิดมาชาตินี้เลยฉลาด สติปัญญา ไอคิวดี ถ้าเรียนหนังสืออยู่นี่นะ เกิดเทอมนี้ทั้งเทอมไม่อ่านหนังสือเลย โดดเรียนตลอดทั้งเทอมเลย แล้วไปสอบคิดว่าผลจะเป็นอย่างไร ไม่เข้าเรียน ไม่ดูหนังสือ เค้าสอนอะไรเรียนอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ จะหัวดีแค่ไหนถ้าไปเจอสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเรียนมาก่อนนี่ ก็ทำไม่ได้ ก็สอบตก

 

ที่บอกว่าอนาคตกำหนดไว้แล้วแสดงว่าจะอ่านหนังสือหรือไม่ก็ได้คะแนนสอบเท่ากันเลยใช่ไหม ก็ไม่เท่ากัน ถ้าอ่านหนังสือก็ได้คะแนนแบบหนึ่ง ไม่อ่านก็ได้อีกแบบหนึ่ง นี่เป็นตัวชี้ว่าอนาคตเรายังไม่ได้กำหนดไว้ 100 % แล้ว มันขึ้นอยู่กับกรรมปัจจุบัน กรรมในอดีตมีผลมาส่วนหนึ่ง ปัจจุบันอีกส่วนหนึ่ง ผสมกันเข้าถึงจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา         เพราะฉะนั้นหมอดูจะดูได้ ต่อให้เป็นหมอดูที่เก่งจริงๆ นะ อย่างมากก็ดูได้แค่ว่าในส่วนอดีต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอนาคตและปัจจุบันที่ทำด้วย มันต้องอดีตกับปัจจุบันประกอบกัน ไม่ใช่ชีวิตเราเองไปตามดวง ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว มีพรหมลิขิตเอาไว้แล้วเรียบร้อย อย่างนั้นไม่ใช่ เรามีกรรมลิขิต เราคือผู้ลิขิตชีวิตของเราเอง ให้ทราบหลักตรงนี้เอาไว้

 

 

พระมหา ดร. สมชาย ฐานวฑฺโฒ

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2555    
Last Update : 2 มิถุนายน 2555 19:11:45 น.
Counter : 4351 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

อุ่นอาวรณ์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add อุ่นอาวรณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.