Group Blog
 
All Blogs
 

ไม่มีผู้ชายในโลกคนไหน ไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิง




คำถาม: ผมอดเหล้าได้ครับ แต่อดเที่ยวบาร์ไม่ค่อยได้ ?


คำตอบ: พวกชอบเที่ยวบาร์เที่ยวผู้หญิง หลวงพ่ออยากจะชี้แนะว่า ไม่มีผู้ชายในโลกคนไหนไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิง ที่นั่งอยู่นี่เคยเป็นผู้หญิงมาแล้วทั้งนั้น แต่ว่าเวรกาเมฯ ที่ก่อไว้มันชักเพลาลง ถึงได้เกิดมาเป็นผู้ชาย ในทำนองเดียวกันไม่มีผู้หญิงคนไหน ที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้ชาย เคยเป็นผู้ชายมาแล้วทั้งนั้น แต่ว่าไปผิดศีลกาเมฯ เอาไว้ในอดีต ก็เลยต้องมาเกิดเป็นผู้หญิง วงจรชีวิตเป็นอย่างนี้

ผู้ที่เกิดเป็นชาย พอไปผิดศีลกาเมฯ เข้า ตกนรกแน่นอนไม่ต้องสงสัย พ้นจากเวรในนรกพอเกิดขึ้นมา อย่าเพิ่งดีใจ ยังไม่ได้มาเกิดเป็นคนหรอก อย่างพระอานนท์ท่านเล่าไว้ชัดดี “เราเคยเป็นชู้กับเมียเขาในภพอดีต ด้วยเวรนั้นบาปนั้นเราตกนรกเสียนาน พอพ้นจากนรกก็เกิดเป็นลิง” ทำไมไปเกิดเป็นลิง ก็หลอกเขาเก่ง

“แต่ว่าบุญที่เราเคยทำไว้ดีกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ทำให้เราได้เป็นลิงรูปงาม..” คือถึงเกิดเป็นลิงก็ลิงรูปงาม แต่ก็งามแบบลิง “เพราะความที่เราเป็นลิงรูปงาม เจ้าลิงจ่าฝูงมันอิจฉา เพราะนางลิงทั้งหลายชอบมาหาเรา ลิงจ่าฝูงมันจับเราได้และทำลายพืดเราเสีย (อวัยวะเพศ) เราเลยกลายเป็นลิงตอน” ก็คงถูกกัดขาดไปทั้งพวงแหละนะ

นั่นคือตัวอย่างผลของเวรกาเมฯ ที่ก่อเอาไว้ ทำให้ถูกทำลายเพศ เป็นลิงตอนเสียตั้งหลายชาติ พ้นจากชาติที่เป็นลิงตอนท่านเล่าว่าไปเกิดเป็นลาลากรถ ทำไมเป็นลากรถ? ก็ไปเป็นชู้เมียเขา ทำให้ผัวเขาอับอายขายหน้า ไปถึงไหนก็แบกความอับอายไปถึงที่นั่น เวรอันนี้จึงทำให้ต้องเกิดไปแบกของหนัก เป็นลาลากรถ

“แต่บุญที่เราเคยสร้างไว้ในพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ส่งมาให้เราอีก ถึงเราเกิดเป็นลด ก็เป็นลารูปงาม นางลาทั้งหลายก็เลยชอบมาอยู่ข้างๆ เรา นายเราชักรำคาญเลยจับเราตอนอีก..” ดูนะเวรกาเมฯ ก็ตามมาเล่นงานอีกจนได้ ใครที่โดนตอนมา บางคนก็เพราะวงจรเดียวกันนี้

ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ได้มีโอกาสทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าอย่างพระอานนท์ พ้นจากเวรนั้นแล้ว ก็ต้องเกิดเป็นหญิงโสเภณีบ้างเป็นพวกเกย์บ้าง เป็นกะเทยบ้าง ก็ไม่นานหรอก เป็นเกย์สัก ๕๐๐ ชาติ แล้วค่อยได้มาเป็นผู้ชาย

เป็นผู้ชายแล้วถ้ายังเจ้าชู้ ชอบเที่ยวบาร์ เที่ยวคลับ เที่ยวย่ำยีผู้หญิง เดี๋ยวมันก็ได้กลับไปเข้าวงจรเดิมอีกแหละ “แหม...ผมดี ผมไม่กินเหล้าแล้ว” แต่ผมกำลังปีนต้นงิ้ว! ปีนมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้ อย่าขึ้นไปปีนใหม่เลยนะ ไอ้หนูเอ๋ยไม่สนุกหรอก


พระธรรมเทศนาพระภาวนาวิริยคุณ




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2554    
Last Update : 16 ธันวาคม 2554 17:52:53 น.
Counter : 1460 Pageviews.  

"สิ่งดี" ที่มีมากเกินไป ย่อม "ด้อยค่า" - ชาวนาขายก้อนหิน



มังกรสอนใจ
โดย..พระมหาสมชาย ฐานะวุฑฺโฒ


มีชาวนาคนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่เชิงเขาสูงเสียดฟ้า เต็มไปด้วยหน้าผาสูงชัน ไม่เคยมีใครขึ้นไปถึงยอดเขาได้ แล้ววันหนึ่งขณะที่ชาวนาคนนั้นกำลังตัดฟืนอยู่ที่หลังเขา เขาได้พบทางเล็กๆ สายหนึ่งโดยบังเอิญ ด้วยความสนใจจึงได้เลาะเลียบไปตามทางเล็กๆ คดเคี้ยวไปมา ค่อยๆ ปีนขึ้นไปอยู่นานมาก ในที่สุดก็ถึงยอดเขา

ค า ด ไ ม่ ถึ ง...

...บนยอดเขากลับเป็นที่ราบ โล่ง ทุ่งหญ้าเขียวขจี มีดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อบานสะพรั่งอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศสงบสงัดและทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก เขาเดินต่อไปได้อีกครู่หนึ่งก็พบสระน้ำแห่งหนึ่ง น้ำใสมาก สามารถมองเห็นปลาว่ายไปมาได้อย่างชัดเจน

...ที่ริมสระมีหินจำนวนมากส่งประกายระยิบระยับ มีสีสรรต่างๆ งดงาม ชาวนาคนนั้นเคยได้ยินคนเล่าถึงอัญมณี แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเพชรนิลจินดาต่างๆ มีลักษณะอย่างไร เขาคาดคะเนว่า หินที่งดงามเหล่านี้คงจะเป็นอัญมณีเป็นแน่ ในที่สุดก็เลือกเอาหินที่สวยที่สุดก้อนหนึ่งนำกลับบ้าน

...วันรุ่งขึ้น เขาเข้าไปในเมือง หาเจอร้านอัญมณีแห่งหนึ่ง ได้นำหินก้อนนั้นให้เจ้าของร้านดู เจ้าของร้านอัญมณีรับหินก้อนนั้นไปพินิจพิจารณาดูอย่างละเอียด แล้วบอกเขาว่า


นี่เป็นอัญมณีที่ล้ำค่าหายากชนิดหนึ่ง แกขายให้ฉันก็แล้วกัน ฉันให้ราคา 1 หมื่นเหรียญ


ชาวนาได้ยินคำพูดนั้นแล้ว รู้สึกดีใจมาก แต่แสดงท่าทางทำเป็นเฉยๆ ไม่ตื่นเต้น ตอบไปว่า


ตอนนี้ฉันยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะขายหรือไม่ พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันอีกทีก็แล้วกัน


พอชาวนานั้นกลับถึงบ้าน ก็รีบระดมทุกคนในครอบครัว ขึ้นเขาไปขนก้อนหินหลากสีเหล่านั้นลงมา ช่วยกันขนตลอดวัน ขนหินเหล่านั้นได้มา 2 กระสอบใหญ่


เขาใช้เกวียนขนหิน 2 กระสอบนั้นเข้าไปในเมือง กระหยิ่มใจว่าคราวนี้จะต้องร่ำรวยมหาศาลแน่นอน แต่พอเจ้าของร้านอัญมณี เห็นหินเหล่านั้นแล้วกลับยิ้มอย่างเย็นชา พลางบอกกับเขาว่า


หิน 2 กระสอบใหญ่นี้ ฉันให้ราคาแก 1 เหรียญเอาไหม


ท่านสาธุชนทั้งหลาย...

สิ่งดีที่มากเกินก็อาจทำให้ดูด้อยค่า โดยทั่วไปคนเราตัดสิน ใจเรื่องต่างๆ ด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการคือ ด้วยเหตุผลและด้วยอารมณ์ และคนจำนวนไม่น้อยเลยที่องค์ประกอบด้านอารมณ์ ความพอใจ มีอิทธิพลเหนือกว่าองค์ประกอบด้านเหตุผล เหมือนอาหารแม้มีสารอาหารครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ค่อยมีใครอยากรับประทาน ตรงกันข้าม อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอประมาณ แต่มีรสชาติอร่อย ผู้คนกลับนิยมชมชอบ เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว ในการติดต่อสัมพันธ์กับคนทั้งหลาย เราจึงต้องคำนึงถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งให้มากๆ ด้วย จะคิดแต่เพียงว่าเราถูก เรามีเหตุผลเพียงเท่านั้นไม่ได้ ต้องมีศิลปะในการนำเสนอ รู้จังหวะจะโคน รู้กาลเทศะ เราจะประสบความสำเร็จในการงาน บางครั้งเรื่องดีๆ แต่เสนอมากไป พูดมากไป อาจถูกแปลเจตนาผิด หวังดีเลยกลายเป็นร้าย หรือถูกมองเป็นของไร้ค่าไปได้ เหมือนชายชาวนาในเรื่องนี้เป็นต้น




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2554    
Last Update : 7 ธันวาคม 2554 15:04:58 น.
Counter : 1645 Pageviews.  

อานิสงส์ "อนูโมทนาบุญ"

ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาอุบาสิกาวิสาขา สหายของดิฉันอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารและการบริจาคทรัพย์อุทิศสงฆ์ ได้บังเกิดความเลื่อมใสในบุญนั้น จึงอนุโมทนาบุญด้วยใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและมหาปีติ ดิฉันได้วิมานที่อัศจรรย์น่าทัศนา ก็เพราะการอนุโมทนาบุญอันบริสุทธิ์ในครั้งนั้น

อานิสงส์อนุโมทนาบุญ

 

 


 

     สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ต่างปรารถนาความสุขและความปลอดภัยในชีวิต เพราะธรรมชาติของสัตว์โลกนั้น มีความกลัวเป็นพื้นฐาน จึงต้องแสวงหาที่พึ่ง เพื่อเพิ่มเติมความมั่นใจและความปลอดภัยในชีวิต แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดคืออะไร อยู่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด พวกเรานับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ที่รู้ว่าพระรัตนตรัยเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นเยี่ยมกว่ารัตนะใดๆ ในภพสาม เป็นเครื่องส่องนำทางให้เราได้เข้าถึงสุคติสวรรค์และนิพพาน ช่วงเวลานี้จึงมีคุณค่ายิ่งที่เราจะมาตรึกระลึกนึกถึงพระรัตนตรัย ด้วยการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เพื่อให้ได้เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตคือ

 


มีวาระพระบาลีที่ใน วิหารวิมาน ความว่า


 

     "บุคคล ๘ จำพวก ๔ คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว เป็นพระทักขิไณยบุคคล เป็นสาวกของพระสุคต ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้มีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็นบุญเขตที่กว้างใหญ่คำนวณนับมิได้ เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำนวนน้ำมิได้ ก็พระสงฆ์เหล่านี้ เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร เป็นผู้สร้างแสงสว่าง กล่าวสอนธรรม ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์ ทานของชนเหล่านั้น เป็นอันได้ถวายดีแล้ว"

 

     การทำบุญถวายสงฆ์มีอานิสงส์ใหญ่ จะนับจะประมาณมิได้ เหมือนชาวนาหว่านพืชลงในเนื้อนาดีฉันใด ผู้ปรารถนาสวรรค์นิพพานก็ต้องรู้จักเลือกเนื้อนาบุญที่ให้ผลเกินควรเกินคาดฉันนั้น ถ้าหว่านพืชคือศรัทธา แล้วถวายทานในเนื้อนาบุญอันเลิศ ผลบุญอันเลิศย่อมบังเกิดขึ้น ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยความยากลำบากนั้นก็คุ้มค่า เพราะบุญจะช่วยเชื่อมสายสมบัติ ให้ได้เป็นเจ้าของสมบัติใหญ่ไปทุกภพทุกชาติ

 

     ที่น่าอัศจรรย์คือ เพียงแค่ทำจิตให้เลื่อมใสในบุญกุศลที่คนอื่นได้สร้าง  แล้วกล่าวคำอนุโมทนาบุญด้วย ยังเป็นเหตุให้ได้สุคติโลกสวรรค์อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว บุญจากการอนุโมทนาที่เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย  เป็นบุญพิเศษที่บางท่านมองข้ามไป พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า การอนุโมทนาบุญนี่แหละเป็นทางมาแห่งบุญ เพราะเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ และให้อนุโมทนาบุญเมื่อเห็นคนอื่นทำความดีกัน

 

     * ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล มหาอุบาสิกาวิสาขาได้สร้างวิหารถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ท่านได้สละเครื่องประดับซึ่งมีราคาถึง ๙ โกฏิ สร้างปราสาทหลังใหญ่ให้เป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ถึง ๑,๐๐๐ ห้อง คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ชั้นบน ๕๐๐ ห้อง เสมือนเทพวิมาน มีภาคพื้นดุจคลังแก้วมณี และการก่อสร้างในครั้งนี้ มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด

 

     การก่อสร้างวิหารใช้เวลา ๙ เดือนจึงสำเร็จ จากนั้นมีการฉลองวิหารโดยใช้เงินถึง ๙ โกฏิ มหาอุบาสิกาวิสาขาพร้อมด้วยเพื่อนหญิงประมาณ ๕๐๐ คนขึ้นไปชมปราสาท ได้เห็นสิริสมบัติของปราสาทนั้น เกิดความปลื้มปีติในมหาทานบารมีของตน จึงพูดกับเพื่อนหญิงว่า “พวกเธอจงอนุโมทนาบุญที่ฉันได้ขวนขวายทำเถิด ฉันขอให้ส่วนบุญแก่พวกเธอ” เพื่อนหญิงทั้งหมดมีใจเลื่อมใสต่างอนุโมทนาว่า “สาธุ สาธุ ดีแล้ว”

 

     ในบรรดาเพื่อนหญิงทั้งหมดของเธอ มีคนหนึ่งใส่ใจในการอนุโมทนาบุญเป็นพิเศษ เธอรู้สึกเลื่อมใสราวกับตนเองได้ทำด้วยมือฉะนั้น ครั้นละโลก เธอได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ และด้วยบุญญาอานุภาพของเธอ วิมานหลังใหญ่กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ ได้บังเกิดขึ้น วิมานนั้นประดับประดาด้วยห้องรโหฐาน กำแพงอุทยานและสระโบกขรณี ปรากฏล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปได้ ๑๐๐ โยชน์ ครั้นเธอก้าวเดินก็เดินไปพร้อมกับวิมาน  

 

     วันหนึ่ง พระอนุรุทธะเที่ยวจาริกไปในเทวโลก เห็นเพื่อนของมหาอุบาสิกาวิสาขาก็จำได้ จึงเข้าไปถามว่า “ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศเหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่านฟ้อนรำอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่ารื่นรมย์ใจ ก็เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วนพร้อมกับกลิ่นกายที่หอมฟุ้ง เมื่อท่านเคลื่อนไหวกาย เครื่องประดับที่ช้องผมก็เปล่งเสียงกังวานฟังไพเราะ มาลัยประดับศีรษะเมื่อต้องลมก็ส่งเสียงดังกังวานไพเราะยิ่งนัก พวงมาลัยบนศีรษะของท่านก็มีกลิ่นหอม ดูก่อนเทพธิดา ผลบุญที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านได้ทำกรรมอะไรมา”

 

     เทพธิดาผู้มีบุญตอบว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาอุบาสิกาวิสาขา  สหายของดิฉันอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารและการบริจาคทรัพย์อุทิศสงฆ์ได้บังเกิดความเลื่อมใสในบุญนั้น จึงอนุโมทนาบุญด้วยใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและมหาปีติ ดิฉันได้วิมานที่อัศจรรย์น่าทัศนา ก็เพราะการอนุโมทนาบุญอันบริสุทธิ์ในครั้งนั้น วิมานลอยไปในเวหาเปล่งรัศมีสว่างไสว ห้องรโหฐานที่อยู่อาศัย ล้วนแล้วแต่บุญปรุงแต่งประหนึ่งเนรมิตไว้เป็นส่วนๆ  เมื่อส่องแสงก็ส่องสว่างไป ๑๐๐ โยชน์โดยรอบทิศ  

 

     นอกจากนี้ วิมานของดิฉันยังมีสระโบกขรณี มีหมู่มัจฉาแหวกว่ายน่าดูชม มีนํ้าใสสะอาด ปูลาดไว้ด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมบัวหลวงหลากชนิด ยามลมรำเพย ก็โชยกลิ่นระรื่นจรุงใจ มีรุกขชาตินานาชนิด คือ หว้า ขนุน ตาล มะพร้าว และต้นไม้ผลไม้นานาพันธุ์เกิดขึ้นเองภายในนิเวศน์โดยไม่ต้องปลูก วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรี เหล่าอัปสรเทพนารีต่างส่งเสียงรื่นเริงยินดี วิมานมีรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศและน่าชมเช่นนี้ ล้วนบังเกิดขึ้นเพราะกุศลกรรมที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น"

 

     พระอนุรุทธเถระคิดว่า “เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานที่ผู้อื่นทำ  ยังได้เสวยทิพยสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ แล้วมหาอุบาสิกาวิสาขาผู้เป็นต้นบุญในการถวายมหาวิหาร หากละโลกไปแล้ว เธอจะไปบังเกิดที่ไหน” ดังนั้น พระอนุรุทธเถระจึงได้ถามเทพธิดา

 

     เทพธิดาตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาวิสาขานั้นเป็นสหายของดิฉัน ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ เธอได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นปชาบดีของท้าวสุนิมมิตเทวราช วิบากแห่งกรรมของมหาอุบาสิกาวิสาขา ที่ใครๆ คาดไม่ถึง เพราะเธอได้สั่งสมบุญกุศลไว้มากมายกว่าดิฉันยิ่งนัก

 

     ขอพระคุณเจ้าโปรดชักชวนคนอื่นๆ ว่า พวกท่านจงถวายทานแด่สงฆ์เถิด และจงมีใจเลื่อมใสฟังธรรม การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการได้โดยยาก บุคคลเหล่าใด ๘ จำพวก ๔ คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นเป็นทักขิไณยบุคคล เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้ ย่อมมีผลมาก เพราะพระสงฆ์เป็นบุญเขตที่กว้างใหญ่ ไม่อาจคำนวณนับได้ เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำนวนนํ้ามิได้ พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างแสงสว่าง กล่าวสอนธรรม ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์ ทานของชนเหล่านั้นเป็นอันถวายดีแล้ว บูชาดีแล้ว ทักษิณานั้นถึงสงฆ์แล้ว ย่อมมีผลมาก ชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในภพ  พึงกำจัดมลทินคือความตระหนี่พร้อมทั้งบาปอกุศล ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์”

 

     เราจะเห็นว่า เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานบารมีที่คนอื่นทำ ยังได้รับอานิสงส์ใหญ่เกินควรเกินคาดถึงเพียงนี้ การเปล่งถ้อยคำที่ออกมาจากใจว่า “ขออนุโมทนาบุญ” จึงมิใช่คำที่พอดีพอร้าย หากใจเรามีมหาปีติเลื่อมใสในบุญกุศลที่บุคคลอื่นทำจริงๆ เหมือนอย่างเทพธิดาที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าให้ฟัง ผลบุญจะบังเกิดขึ้นกับตัวเรามากทีเดียว อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง  ดังนั้นให้หมั่นมีมุทิตาจิตกับคนอื่น เมื่อเห็นบุคคลใดทำความดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ให้รีบยกมือกล่าวอนุโมทนาสาธุการกับบุคคลนั้นทันที

 

     และถ้าจะให้ดี ตัวเรานั่นแหละควรขวนขวายในการทำบุญกุศลให้เต็มที่ อย่ามัวคิดดูก่อน แต่จงเร่งรีบทำบุญก่อนใคร ไม่คอยแต่รออนุโมทนาบุญกับใคร แต่ให้คนอื่นมาอนุโมทนาบุญที่ได้ทำไปกับเรา เราจะได้เป็นต้นบุญต้นแบบให้กับชาวโลก และเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)




 




* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๓๕๔
  




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2554    
Last Update : 6 ธันวาคม 2554 19:55:33 น.
Counter : 1552 Pageviews.  

ผู้มีนิสัยอิจฉาริษยาผู้อื่น จะได้รับผลกรรมอย่างไร



คำตอบ:

จำไว้เลยใครที่มีนิสัยชอบอิจฉาชาวบ้าน คนขี้อิจฉาคือคนที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ความไม่อยากให้คนอื่นได้ดีก็คือไม่อยากให้คนอื่นทำความดีนั่นเอง เพราะกลัวว่าเขาจะได้ดี เพราะฉะนั้นมโนภาพที่อยู่ลึกๆ ในใจของเขาตลอดเวลา หรือความนึกคิดของเขาจึงเป็นในลักษณะที่นึกสร้างภาพความต่ำต้อยความพินาศไว้ในใจตลอดเวลา

กรรมนี้จะติดตัวไปว่า เกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ภาพความต่ำต้อยในใจที่สะสมไว้มาก จะทำให้เป็นเป็นคนหย่อนอานุภาพ แม้จะเกิดเป็นกษัตริย์ก็เป็นได้แค่กษัตริย์ประเทศราช หรือประเทศที่เป็นเมืองขึ้นเขา เป็นได้แค่นั้น

ถ้าจะเป็นภรรยาใครเขา ก็คงได้เป็นแค่ภรรยาน้อย ภรรยาลับเท่านั้น เป็นสามีเขาก็ได้ทำนองเดียวกันทั้งนั้นแหละ อานุภาพมันหย่อนไปทุกสถานะ

กรรมเก่าอะไรที่ทำให้ชาติก่อนนั้นเขามีนิสัยขี้อิจฉา ตอบว่า เพราะภพในอดีตไปคบคนพาลเข้า ทำให้มีวินิจฉัยผิดมีความเห็นผิดตามคนพาล คือวินิจฉัยผิด คิดว่าการทำลายล้างผลาญ หรือนึกให้คนอื่นเขาวินาศสันตะโรไปได้ นั่นคือความสุขของตน ความเห็นเช่นนี้ เมื่อเกาะกินใจนานเข้าๆ ก็กลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีขึ้นมา


พระธรรมเทศนาพระภาวนาวิริยคุณ




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2554    
Last Update : 3 ธันวาคม 2554 18:44:07 น.
Counter : 2468 Pageviews.  

ทำร้ายผู้อื่น เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง จะเป็นบาปหรือไม่ ? อย่างไร?



คำตอบ:

การที่เราต่อสู้ป้องกันตัวเอง ถ้าทำโดยสมเหตุสมผล ควรทำ แต่ว่าอย่าทำให้หนักหนาเกินกว่าเหตุ เช่น เรื่องนิดๆ หน่อยๆ เขาแค่หยิก ทุบ ถอง ต่อย ตี เราจะต่อสู้ป้องกันตัว ก็อย่าถึงกับคว้าปืนมาไล่ยิงกันนะ เพราะนั่นไม่ใช่ป้องกันตัวเอง แต่เป็นการทำเกินกว่าเหตุ

จะทำอะไรขอให้จำไว้ว่า [u]อย่าให้ถึงตาย[/u] ถ้าถึงตายก็เตรียมตัวรับศึกก็แล้วกัน และถึงเราจะชนะในชาตินี้ แต่ชาติอื่นๆ ต่อไปต้องถึงคราวแพ้บ้าง และที่สำคัญบาปนั้นจะทำให้เราอายุสั้นไม่คุ้มกัน เพราะฉะนั้นเรื่องการทำคนถึงตาย อย่าทำเด็ดขาดนะ

อีกประการหนึ่ง ที่ว่าทำเพื่อป้องกันตัวน่ะ ที่จริงแล้วเราแสบก่อนหรือเปล่า ถ้าเราเกเรก่อน เขาตอบโต้เราบ้าง แล้วเขาก็ไม่ได้จ้องเล่นงานเราถึงตาย เราก็ยอมบ้าง เรื่องจะได้จบๆ กันไป แต่ถ้าเขาจะเล่นงานเราถึงตาย เราก็หลบเลี่ยงและอดทนให้ถึงที่สุด แล้วอย่าฆ่าใคร

ถ้าทนได้อย่างนี้ เกิดต่อไปกี่ชาติๆ ใครเขาจะฆ่าเราไม่ได้และอายุเราก็จะไม่สั้นด้วย


พระธรรมเทศนาพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2554 10:00:25 น.
Counter : 1532 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

อุ่นอาวรณ์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add อุ่นอาวรณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.