สวัสดีแฟนบล็อกทุกท่าน .. วันนี้จะพาไปเที่ยวปราณบุรีกัน
ใช่ว่าปราณบุรีจะมีดีแค่ทะเลนะ ที่นี่มีป่าโกงกางหลากสีด้วยล่ะ พิกัดอยู่ในวนอุทยานปราณบุรีเลยหัวหินมานิดเดียวเอง
ที่นี่เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริ "ป่าเลนปากน้ำปราณ"
เป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นห้องเรียนทางธรรมชาติกลางแจ้ง
เผยแพร่การรักษาป่าชายเลนและสัตว์น้ำโดยเฉพาะปูดำหรือปูทะเลที่เป็นทรัพยากรสำคัญคู่เมืองปราณบุรี
ตลอดสองข้างทางความยาว 1,000 เมตร จะได้พบกันพันธุ์ไม้นานาชนิด โดยจะวนรอบใช้เวลาประมาณ 30 นาที
เวลาที่เหมาะสมแก่การเดินชมธรรมชาติ 06.00 - 10.00 และ 16.00 - 18.00 น.
ภัทรานิตย์เดินมาได้แป๊บเดียวก็เริ่มเล็งหาปูกันแล้ว นั่นไงเห็นแล้วปูตัวน้อยเดินอยู่ในน้ำ
ปกติที่นี่จะน้ำแห้งไกด์ท้องถิ่นบอกเราว่า เพิ่งเคยเห็นมีน้ำเต็มพื้นที่นะเนี่ย
ตลอดสองข้างทางรู้สึกได้ถึงความเขียวและอากาศดีจัง
เวลาทำงานเหนื่อยๆ ได้มาเห็นสีเขียวๆ ของใบไม้รู้สึกดีจัง ต้นไม้ใหญ่ๆ ใบสีเขียวไหวๆ
ยิ่งเดินเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนเดินไปในดินแดนแห่งเทพนิยาย
จากป่าโกงกางต้นสูงลิบลิ่ว กลายเป็นต้นโกงกางต้นเล็กๆ สีเขียวดูแน่นเต็มไปหมด
เค้าทำที่นั่งให้ขึ้นไปดูวิวสูงด้วย พอขึ้นไปที่จุดชมวิวสวยจัง ดีนะที่ยังมีป่าเหลือไว้ให้ได้ชมความงาม
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอป่าในลักษณะที่ต่างกันออกไป โซนนี้เริ่มสูงแระ
มีทางเลี้ยวเข้าไปเจอพี่คนหนึ่งนั่งรอคนอยู่ เลยเข้าไปถามถึงได้รู้ว่ามีล่องเรือชมวิถีป่าชายเลนด้วยนะ
เหมาลำราคา 500 บาท นั่งได้ประมาณประมาณ 6 คนอยู่ เสียดายที่วันนี้มาบ่ายแล้วเลยไม่ได้ไปล่องเรือเลย
ที่นี่เค้าอนุรักษ์ธรรมชาติทำสะพานหลบหลีกต้นไม้ ตอนที่มาคนไทยมาเที่ยวกันน้อย
ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติเสียมากกว่า เอ้า.. เจ้าแล้วเจ้าปูน้อย ต้องเดินเบาๆ ไม่งั้นมันจะลงรูหนีไป
ป้ายเล่าเรื่องที่นี่ทำได้เก๋มาก อ่านแล้วก็ขำดี ใครมีเวลาอยากให้มาเที่ยวที่นี่เดินอ่านป้ายเพลินๆ สนุกดี
ตอนเดินๆ เที่ยวรู้สึกว่า ดีจังนะที่ประเทศไทยยังเหลือป่าแบบนี้ไว้ให้รุ่นลูกหลานได้เข้ามาศึกษา
พอได้รู้ประวัติความเป็นมาของที่นี่แล้วต้องระลึกถึงบารมีของสมเด็จพระราชินี
ที่ปกปักรักษาทรัพยากรธรรมชาติผืนนี้ไว้ได้ทัน
ว่ากันว่า "เมื่อปี 2539 มีผู้เข้ามาบุกรุกพื้นที่นี้ โดยนำต้นกล้วย ต้นมะพร้าวและต้นสนมาปลูกเพือจับจองพื้นที่
แล้วนำเจ้าหน้าที่ที่ดินมาเพื่อขอออกเอกสารสิทธิ์ในที่นี้
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านทรงทราบรุ่งขึ้นท่านก็เสด็จมาทอดพระเนตรตรงจุดนี้
ว่าทำไมจึงจะมีผู้มาบุกรุกตรงนี้ ก็เลยกลายมาเป็นการอนุรักษ์พื้นที่ทั้งหมดในบริเวณนี้ โชคดีของชาวไทยเหลือเกิน
การรักษาป่าไม้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพึงมีในจิตใจ เพราะป่าคืนต้นน้ำและน้ำคือชีวิต
หลายๆ พื้นที่คงไม่โชคดีอย่างที่นี่ ทุกอย่างต้องอาศัยเราทุกคนช่วยกันดูแลปกปักรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติ
เพื่อดำรงไว้ซึ่งลูกหลานในภายภาคหน้า ให้ลูกหลานมีโอกาสได้เห็นป่าไม้สีเขียวเหมือนที่เราได้เห็น ..