|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัญญาจ้าวราชันย์ อดีตของรอยแผล (45)
ในค่ำคืนนี้ ฉันจะขอนำทุกคนเข้าสู่ดินแดนต้องห้าม ผ่านเส้นแบ่งที่กั้นอยู่ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริง กับอีกโลกหนึ่ง โลกที่พวกฉันอาศัยอยู่
โลกของมายากล มายากล่าวคำพูดที่ใช้สำหรับเปิดการแสดงมาตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อนที่สายตาทุกคู่จะถูกดึงดูดมาไว้ที่ตัวเธอ เวทีแห่งนี้ตั้งอยู่บนลานกว้างด้านหน้าของปราสาทวารี โดยมีเงาสลัวลางของตัวปราสาทที่ทรุดโทรม แต่ทว่าดูลึกลับทางด้านหลัง ช่วยขับเน้นให้บรรยากาศในการแสดงน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น มายากวาดตามองจากบนเวที ทางด้านหลังของผู้ชมจำนวนมากมายเหล่านี้ มีกระโจมหนังที่มีลวดลายสดใสสวยงาม ตั้งเรียงรายกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ในสมัยก่อนชาววารีมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เดินทางร่อนเร่ต้อนฝูงสัตว์เลี้ยงของตน ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น แพะ กับควายป่าหากินไปตามทุ่งราบอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งมีบางส่วนได้รับเอาวิธีการเพาะปลูกเข้ามาจากดินแดนใกล้เคียง ทำให้การเร่ร่อนนั้นยุติลง เปลี่ยนมาเป็นการปรับปรุงพื้นที่เพื่อทำการเกษตร และกั้นคอกเลี้ยงสัตว์แทน นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่เดินทางลงใต้ไปจนถึงชายฝั่งทะเลอันอุดมไปด้วยทรัพยากรนานาชนิด ผู้คนกลุ่มนี้ได้ผันตัวเองไปทำการประมงแทน แต่ถึงอย่างนั้นชาววารีทั้งหมดก็ยังคงรักษาวิถีของการใช้ชีวิตในกระโจมเหมือนเมื่ออดีตที่ผ่านมา แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนให้ตัวกระโจมมีความแข็งแรงมั่นคง และสวยงามมากขึ้น ในปัจจุบันนี้ชาววารีจึงถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ หนึ่งคือพวกชาวเมืองที่มีการจัดการที่ดินเพื่อทำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด สองคือพวกประมงที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่ง ส่วนสุดท้ายคือพวกเร่ร่อน ที่ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเมื่อในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมีหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่คนส่วนน้อยเหล่านี้ ได้กลายมาเป็นกำลังรบที่สำคัญของมหาอาณาจักรวารี เพราะพวกเขาคือผู้ใช้ธนูสายฝนที่เก่งกาจ และเชี่ยวชาญการรบบนหลังม้าเป็นที่สุด นอกจากนี้ทั้งสามกลุ่มยังมีการแบ่งออกเป็นเผ่าต่างๆ อีกมากมายโดยไม่ขึ้นต่อกัน ต่างคนต่างอยู่ และมีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งเมื่อสิบหกปีก่อน ได้มีผู้นำที่มากความสามารถผุดขึ้นมาท่ามกลางพวกเร่ร่อน คนผู้นี้ใช้เวลาเพียงปีเดียวในการรวบรวมเผ่าเร่ร่อนทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน อีกสองกลุ่มที่เหลือจึงเกิดการรวมตัวกันบ้าง จนในที่สุดก็สามารถกำหนดให้มีการประชุมร่วมกันขึ้นเป็นครั้งแรก ณ ปราสาทวารีแห่งนี้ ที่เปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ของอำนาจการปกครองเมื่อครั้งอดีตนั่นเอง เผ่าต่างๆ ได้ส่งตัวแทนมาอย่างพร้อมหน้า แต่การประชุมดังกล่าวก็ไม่อาจหาข้อสรุปได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังเกิดเหตุวุ่นวายบางอย่างซึ่งเกี่ยวพันกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของอดีตผู้นำพวกเร่ร่อนอีกด้วย และหลังจากความวุ่นวายในครั้งนั้น การประชุมก็ยังคงดำเนินต่อไป วันเวลาผ่านไปจนในที่สุดก็เกิดเป็นเมืองแห่งกระโจมขึ้นล้อมรอบปราสาทแห่งนี้ และได้พัฒนาต่อมาจนกลายเป็นศูนย์กลางการปกครองของมหาอาณาจักรวารีไปในที่สุด แต่การประชุมเพื่อค้นหาผู้นำสูงสุดนั้นก็ยังคงไม่มีข้อสรุปเช่นเดิม ปัญหาระหว่างเผ่าต่างๆ จะถูกตัดสินโดยคณะผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนของเผ่าทั้งหมด และในแต่ละครั้งก็จะมีวิธีการหาข้อสรุปที่ไม่เหมือนกัน บางครั้งเป็นการถกเถียง บางครั้งเป็นการด่าทอ บางครั้งเป็นการแข่งขัน และบางครั้งก็เป็นการประลอง ส่วนปัญหาภายในของแต่ละเผ่านั้น ต่างถือเป็นอำนาจที่ผู้อื่นไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้ มหาอาณาจักรวารีที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงมิได้มีเอกภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจ ตัวแทนของสุริยันที่ถูกส่งมาเพื่อทำการเจรจานั้น ไม่อาจดำเนินการอะไรได้ และถูกควบคุมตัวเอาไว้ในที่สุด ซึ่งทำให้เรื่องราวต่างๆ เลวร้ายลงไปกว่าเดิม มายาใช้เวลาอยู่ในเมืองแห่งกระโจมเพียงไม่นานก็ได้รับทราบความจริงในเรื่องนี้ 'อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันได้ว่าคำพูดบางส่วนของสนธยา ที่บอกว่าสุริยันได้เคยมีความพยายามที่จะเจรจากับทางวารีเป็นความจริง' และแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังต้องหัวหมุนเพียงแค่กับการหาคำตอบว่า ควรจะเริ่มทำการเจรจากับผู้ใดก่อนดี หลังจากเสียเวลาไปอีกหลายวัน มายาก็ได้ข้อสรุปเพิ่มเติมบางอย่าง ภายในเมืองแห่งกระโจมนี้ มีบุคคลที่พอจะนับเป็นตัวแทนจากกลุ่มทั้งสามได้อยู่ คนแรกคือม่านเมฆ ที่ถูกเรียกขานเป็นนางเสือดาว ผู้นำของพวกเร่ร่อนทั้งหมด และยังเป็นผู้ควบคุมกองกำลังหลักของวารี คนที่สองคือคลื่นสมุทร ชายสูงวัยผู้มีความสุขุมเยือกเย็น ตัวแทนคนสำคัญจากพวกประมง และยังได้รับความเคารพนับถือจากเกือบทุกเผ่า ส่วนคนสุดท้ายคือหมีทอง ชายร่างยักษ์ที่ไม่ได้มีดีอยู่เพียงแค่กำลังกายเท่านั้น เขายังมีความชาญฉลาดจนได้เป็นตัวแทนคนสำคัญของพวกชาวเมือง แต่ก็มีชาววารีบางส่วนที่ไม่ค่อยชมชอบที่เขาใช้ความสามารถในการฉกฉวยผลประโยชน์ให้กับเผ่าของตนเอง และพากันเรียกเขาลับหลังว่าจิ้งจอกยักษ์ เมื่อพิจารณาดูแล้ว มายาก็สามารถตัดสินใจเลือกเป้าหมายแรกในการเจรจาของเธอได้อย่างง่ายดาย นางเสือดาวนั้นดุร้ายเกินไป อีกทั้งยังเป็นผู้หญิง คลื่นสมุทรที่สุขุมเยือกเย็นยิ่งไม่ใช่เป้าหมายที่ดี จึงเหลือเพียงจิ้งจอกยักษ์เท่านั้นที่เป็นเป้าหมายซึ่งพอจะคาดหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ หมีทองตอบรับคำขอของมายาในทันที เขาเองก็คงคิดจะหาผลประโยชน์จากตัวเธอมาตั้งแต่แรกแล้ว คนที่มีความต้องการเช่นนี้ จึงสามารถเจรจาเพื่อแลกเปลี่ยนกันได้ ท่านนักมายากลเชิญนั่ง หมีทองให้การต้อนรับมายาภายในกระโจมขนาดใหญ่ของเขาด้วยตัวเอง ชายผู้นี้สูงกว่ามายาเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ โดยทั่วไปแล้วชาววารีมักมีร่างกายใหญ่โต แต่ชายผู้นี้ก็ยังนับว่าสูงใหญ่กว่าชาววารีโดยทั่วไป เขาสวมใส่เสื้อผ้าที่มีการนำหนังสัตว์มาประกอบให้เกิดความสวยงาม ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของพวกชาวเมือง มายาเกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่าหนังสัตว์ที่หมีทองใช้ประดับเสื้อผ้านั้นจะเป็นหนังหมี หรือว่าหนังจิ้งจอกกันแน่ แต่เธอย่อมเก็บมันเอาไว้อยู่ภายในใจ หลังจากสั่งให้ผู้อื่นออกไปจากกระโจมแล้ว เขาก็เริ่มถามถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของเธออย่างตรงไปตรงมา ที่ท่านมาพบผมในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีความประสงค์สิ่งใดกัน มายาแปลกใจกับท่าทีที่เปิดเผยของหมีทอง ผู้ที่ถูกเรียกเป็นจิ้งจอกยักษ์นั้นน่าจะดูเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่านี้ 'แต่พูดกันตรงๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน' ฉันต้องการรู้ข้อมูลเรื่องหนึ่ง และทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับอรุณรุ่งแห่งประกายแสง ราชินีในอนาคตของสุริยัน หมีทองมองหน้ามายา เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าตอบกลับมาตรงๆ แบบนี้ ...ก่อนจะพูดคุยกันต่อไป ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่า ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากทั้งสองเรื่องนี้ มายายิ้มอยู่ใต้เสื้อคลุมราตรี และแน่นอนที่หมีทองย่อมไม่อาจมองเห็นรอยยิ้มนี้ได้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่หวังว่าคุณจะตอบคำถามนั้นได้ หมีทองยิ้มให้กับมายา การให้ผู้ตั้งคำถาม ตอบคำถามของตัวเองนั้น เป็นวิธีการหลอกล่อที่ดี เพราะคำตอบที่ถูกคิดขึ้นมา ย่อมเป็นการตอบสนองความต้องการของตนเอง แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรีบปฏิเสธ เขาคิดจะลองฟังคำพูดของมายาต่ออีกสักหน่อย อรุณรุ่งมีความเกี่ยวข้องกับท่านด้วยเรื่องใด เธอต้องการให้ฉันช่วยอธิบายกับทางวารีว่า สุริยันไม่ได้มีเจตนาที่จะทำการรุกรานแต่อย่างใด ที่พวกเขาต้องการคือความร่วมมือในการต่อสู้กับเคออส และผู้เคลื่อนไหวในยามราตรี ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าหมีทอง ...ท่านสามารถยืนยันคำพูดของอรุณรุ่งผู้นี้ได้ว่าเป็นความจริง มายาสั่นศีรษะทันที ฉันไม่สามารถรับรองคำพูดของใครทั้งสิ้น แต่ฉันรับรองได้ว่าความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ มีบางส่วนเป็นฝีมือของเคออส กับผู้รับใช้ของมันจริง...และตัวฉันเองก็ยังเคยได้ต่อสู้กับพวกมันด้วย 'เคออสมีตัวตนอยู่จริงอย่างนั้นหรือ' แม้จะมีเรื่องเล่าต่างๆ มากมาย แต่ในทุกวันนี้มีผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกสงสัยในเรื่องราวที่เหมือนกับนิทานเหล่านี้ แต่สำหรับหมีทองนั้น เขามีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม ตัวเขาเองก็เคยคิดว่าความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในวารีนั้น ก็อาจจะมีผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีคอยชักใยอยู่ทางเบื้องหลังก็เป็นได้ หมีทองมองดูมายา เขารู้สึกรำคาญใจอยู่บ้างที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้า และท่าทางของคู่สนทนา เพราะมันทำให้เขาไม่อาจประเมินความน่าเชื่อถือของผู้พูดได้ ...ท่านคงจะได้รับผลตอบแทนบางอย่างจากทางสุริยัน หากว่าพวกเราสามารถเจรจาสงบศึกกันได้ นั่นเป็นเรื่องของฉัน ความจริงแล้วพวกเราเองก็ไม่ได้ต้องการสงครามเลย แต่เรื่องนี้ยังมีข้อยุ่งยากอีกมากมาย... หนึ่งในนั้นก็คือความไม่มีเอกภาพของวารีนั่นเอง ที่ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ...แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านอยากรู้คือ ตอนนี้เคออสก็มีการเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อไรพวกคุณถึงจะนำสิ่งนั้นออกมาใช้เสียที ท่าทางของหมีทองบ่งบอกได้ว่า เขารู้จักสิ่งที่มายาพูดถึง เมื่อเขาเงียบไป เธอก็ปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาขบคิดอย่างเต็มที่โดยไม่ส่งเสียงรบกวน ในที่สุดก็มีคำตอบหลุดออกมาจากปากของจิ้งจอกยักษ์ ...เจ้าชายแห่งสายน้ำคือคำตอบเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา หลังจากพูดคุยถึงรายละเอียดต่างๆ อีกพักหนึ่ง มายาก็กล่าวคำอำลากับหมีทอง และในตอนที่เธอกำลังก้าวออกจากกระโจมนั้น อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า หนังสัตว์ที่อยู่บนเสื้อของผมนั้น ไม่ใช่หนังหมี หรือว่าหนังจิ้งจอก แต่เป็นหนังของลูกควายป่าที่นุ่มนิ่มสวมใส่สบายที่สุดของชาววารี หลังจากนั้นมายาจึงได้ติดต่อเพื่อขอเข้าพบกับคลื่นสมุทร และม่านเมฆ ซึ่งนางเสือดาวนั้นตอบปฏิเสธกลับมาในทันที เธอจึงเพียงเดินทางไปเยี่ยมเยียนท่านผู้เฒ่าซึ่งก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี การพูดคุยระหว่างทั้งสองเป็นเพียงเรื่องทั่วไปเท่านั้น การวางตัวของท่านผู้เฒ่าทำให้มายาตัดสินใจที่จะรักษาท่าทีเช่นกัน มีอยู่ช่วงหนึ่งในการสนทนาที่มายาไต่ถามถึงอดีตหัวหน้าเผ่าผู้ที่สามารถรวบรวมพวกเร่ร่อนให้กลายเป็นหนึ่งเดียว กับการหายตัวไปอย่างลึกลับของเขา ท่านผู้เฒ่าเหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ เรื่องนี้มีคนที่รู้ความจริงอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนที่ไม่รู้ก็พูดกันไปคนละทางสองทาง จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นนิทานเรื่องหนึ่งไป มายาเองก็เคยได้ยินนิทานเรื่องนี้มาเช่นกัน มังกรตัวหนึ่งได้กลายร่างลงมาเป็นชายหนุ่มผู้มีชื่อว่าสงคราม เขาแต่งงานกับลูกสาวของหัวหน้าเผ่าคนหนึ่ง และได้ลักลอบนำเอาธนูสายฝนซึ่งเป็นอาวุธของสวรรค์มามอบให้กับเผ่าของตน อีกทั้งยังได้นำความสามารถบนหลังม้าที่เป็นเลิศของพวกเขา มาปรับปรุงจนเกิดเป็นกองทหารม้าที่เข้มแข็งขึ้นมา สงครามได้เริ่มทำการรวบรวมเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกัน จนเกือบจะได้ขึ้นเป็นราชาของวารี แต่ความลับที่เขาเป็นมังกรได้ถูกน้องสาวของภรรยานำออกมาเปิดเผย เขาจึงไม่อาจอยู่ต่อไปได้ สุดท้ายจึงจำใจต้องพาภรรยา และลูกชายที่เพิ่งเกิด บินกลับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ มีบางคนยังเล่าต่อไปอีกว่า การที่วารีไม่อาจมีผู้นำได้นั้น ก็เป็นเพราะคำสาปแช่งของมังกรที่ชื่อสงครามนั่นเอง มีความจริงถูกซุกซ่อนเอาไว้ในนิทานเรื่องนี้ และฉันไม่ค่อยอยากจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก มายาตัดสินใจที่จะร่วมมือกับหมีทองเป็นการชั่วคราว ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์ร่วมกันถ้าหากแผนสำเร็จลงได้ด้วยดี ซึ่งในครั้งนี้เธอจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากข้าวเขียว กับข้าวขวัญด้วย ความจริงแล้วสิ่งที่เธอต้องการคือความสามารถของกล้าไพร แต่เขาก็รับฟังเพียงข้าวขวัญเท่านั้น และข้าวขวัญในตอนนี้ก็รับฟังเพียงข้าวเขียวคนเดียวแล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น ท่าทีของข้าวขวัญที่มีต่อมายาก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามที่จะอยู่ให้ห่างจากมายา เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เธอนำมาสวมเอาไว้นั้น ไม่ใช่เพื่อแสดงว่าตัวเธอเองได้กลายเป็นนักมายากลเต็มตัวแล้ว หรือเพื่อเลียนแบบมายาแต่ประการใด ความมืดที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมทำให้ข้าวขวัญสามารถที่จะอยู่ใกล้ชิดกับกล้าไพรได้ตลอดเวลา มายาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทั้งสองในช่วงที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าแม้แต่ตัวข้าวเขียวเองก็ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน และมายาก็รักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้ โดยไม่เคยพูดถึงเรื่องของกล้าไพรเลย การแสดงบนเวทีของมายาใกล้จะจบลงแล้ว เธอเหลือบมองไปที่ด้านข้างเวที หมีทองที่ยืนอยู่ตรงนั้นส่ายหน้า ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เสียแล้ว
Create Date : 19 ธันวาคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 19 ธันวาคม 2553 19:35:57 น. |
Counter : 508 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: zoi 22 ธันวาคม 2553 7:31:44 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ธรรมศาสตร์ เลยทำให้ได้เข้ามาอ่านในวันนี้ เวลานี้ คุณเลยอั๊บบล็อกโดยที่ผมก็มาวันและเวลาเดิม หวังว่าคงไม่ว่ากันนะ
เรื่องราวตอนนี้ดูเหมือนคุณก็เปลี่ยนชื่อบทใหม่นี่ "อดีตแห่งรอยแผล...!" คงต้องคอยอ่านกันต่อไปว่าจะมีความหมายอย่างไร สิ่งที่ถ้าใคร ๆ อ่านก็ต้องสงสัย นั่นคือ มายาต้องการความสามารถอะไรของกล้าไพร และถ้าให้เดา เช่นเคย ก็จะเดาว่า ข้าวขวัญอาจต้องการมุมสงบเพื่อพูดคุยกับกล้าไพร ถ้าเปิดผ้าคลุม ทุกคนอาจเห็นว่าข้าวขวัญคุยกับกล้าไพร
คุณงงไหมกับสิ่งที่ผมสื่อ
อ้อ...ผมอยากถามจริง ๆ คำถามนี้ ก่อนเลยไม่เคยสงสัยมาก่อน แต่พอได้อ่านบทนี้แล้วเกิดนึกสงสัยขึ้นมา มายามีผ้าคลุม พอคลุมแล้วเธอสามารถเห็นอะไร ๆ ภายนอกได้ด้วยหรือ หรือว่าผ้านั้นจะต้องเปิดช่องให้เห็นดวงตา คือถ้าไม่เจาะรูก็ไม่เห็นนี่ หรือยังไง แต่ในเรื่องก็บอกว่าคนอื่นไม่สามารถเห็นสีหน้าและแววตาของมายานี่หน่า ยังไง...?