ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
21 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ มุ่งสู่ตะวันตก (58)

“พวกนั้นเป็นใครกัน”

เจิดจรัสที่รีบรุดมาถามทหารคนเมื่อครู่ที่ได้พูดคุยกับเด็กคนนั้น

“ไม่ทราบครับ เขาแต่งตัวเหมือนกับชาวบ้านแถบนี้ แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นทหารของพวกเรา”

เจิดจรัสมองดูแนวตั้งรับของพวกเขาแล้วยิ่งเกิดความสงสัย 'มองดูคล้ายกับวิธีการจัดกำลังของพวกเราจริงๆ คนพวกนี้เป็นใครมาจากไหนกัน' นิลวายุควบม้ามาถึงพร้อมกับสมาชิกกองทัพพายุหมุนราวหนึ่งร้อยคนของเขา

“ผมจะรีบส่งสัญญาณให้พวกเขาถอนกำลังออกมา”

เจิดจรัสรีบบอกกับนิลวายุ ในเมื่อพวกนั้นทำตัวเป็นทหารของสุริยัน พวกเขาก็ควรจะเข้าใจคำสั่งของสุริยันได้ด้วย นิลวายุกลับยกมือขึ้นห้าม

“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดจากหน่วยลาดตระเวนของผม ดังนั้นขอให้ผมเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง...ผมรับรองว่าพวกเขาจะปลอดภัย”

นิลวายุเร่งควบขับม้าออกไปโดยไม่รอฟังคำทัดทานของเจิดจรัส เหล่าทหารที่เหลือก็เร่งติดตามเขาพร้อมจัดตั้งขบวนเป็นรูปคล้ายกับปลายแหลมของลูกธนูทันที 'พวกมันเป็นใครกัน บังอาจมาทำลายแผนของฉันได้' แต่ก็ยังไม่นับว่าล้มเหลวจนหมดสิ้นเสียทีเดียว

หากช่วยพวกนี้เอาไว้ได้ และสามารถบดขยี้กองทัพเงาอย่างย่อยยับให้ทุกคนได้เห็น เส้นทางที่จะไต่ขึ้นสู่การเป็นผู้นำกองทัพผสมอย่างถูกต้องย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม และเมื่อสงครามกับเคออสสิ้นสุดลงด้วยฝีมือของเขา มหาอาณาจักรทั้งหมดก็เหมือนกับได้ตกอยู่ในกำมือของเขาแล้วนั่นเอง

กองกำลังลึกลับพากันชักดาบออกพร้อมกับตวัดมือขีดวาดไปมากลางอากาศ ในขณะที่ม้าอีกตัวหนึ่งวิ่งผ่านแนวด้านหน้าของทั้งหมดพร้อมกับลากดาบของเขาเป็นแนวยาวไปตลอดเส้นทางอย่างรวดเร็ว รูปร่างที่เรียวยาวของดาบเล่มนั้นเป็นของสุริยันอย่างไม่ต้องสงสัย

สัญลักษณ์ที่คุ้นตาสองรูป ซึ่งมีจำนวนมากมายปรากฏขึ้นกลางอากาศที่เบื้องหน้าแนวของกองทหารลึกลับนั้น และพวกมันเรียงตัวกันเข้ากลายเป็นหนึ่งเดียว เมื่อบุคคลที่น่าจะเป็นผู้นำคนนั้นควบม้าวิ่งผ่านไป สมาชิกในกองทัพพายุหมุนทั้งหมดต่างหันมองมายังนิลวายุทันที 'สัญลักษณ์ของพายุหมุน เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถใช้มันได้นอกจากฉัน'

ทหารที่อยู่ในค่ายต่างมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตะลึง กำแพงของลมพายุขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น กองกำลังลึกลับนั้นเริ่มกระจายกันออกไป พายุหมุนเหล่านั้นก็เคลื่อนที่ติดตามพวกเขาไปด้วย พลังทำลายของมันพัดให้เหล่าทหารเงาปลิวกระจัดกระจายสลายไปในเวลาไม่นาน

กองทัพพายุหมุนหยุดยืนนิ่งมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา นิลวายุได้แต่เก็บงำความรู้สึกของตนเอาไว้ในใจ 'นั่นควรจะเป็นบทบาทของกองทัพพายุหมุน พวกมันแย่งเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของฉันไปจนหมดสิ้น' เหล่าทหารที่อยู่ในค่ายต่างส่งเสียงตะโกนโห่ร้องเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

ม่านเมฆ และข้าวขวัญมารวมกลุ่มอยู่กับเจิดจรัส ข้าวขวัญหัวใจเต้นระทึก เธอมีความหวังลึกๆ อยู่ในใจว่าคนลึกลับผู้นี้อาจจะเป็นกล้าไพรที่หวนกลับคืนมาสู่ความเป็นมนุษย์อีกครั้งก็เป็นได้ เจิดจรัสเองก็มีความคาดหวังถึงบุคคลอีกคนหนึ่งที่แตกต่างออกไปเช่นกัน

หลังจากที่กองทัพเงาแตกพ่ายไปแล้วกองกำลังลึกลับก็กลับมารวมกันอีกครั้ง จำนวนของพวกเขานั้นน่าจะใกล้เคียงกับกองทัพพายุหมุน ม้าตัวที่เดินนำหน้าอยู่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหานิลวายุที่รออยู่ และเมื่อเข้ามาในระยะที่สามารถมองเห็นกันได้ เขาก็จดจำเด็กหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าคนนั้นได้ในทันที

“ผมคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันแล้วเสียอีก”

“...รัตติกาล”

รอยยิ้มอย่างจริงใจของรัตติกาลทำให้นิลวายุต้องยิ้มตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มของพ่อค้า ทั้งที่ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

“รัตติกาลรู้จักกับเขาด้วยหรือ”

เด็กหนุ่มคนเมื่อครู่ที่เป็นคนเข้าไปแจ้งข่าวการลอบโจมตีของกองทัพเงายังค่าย ควบม้าขึ้นมาแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง

“เมฆา นี่คือคุณวาณิชที่ฉันเคยพูดถึง”

เมฆาตาเป็นประกายพร้อมกับยกมือขวาขึ้นทำความเคารพเขาทันที

“คุณคือคนที่จัดการกับเจ้าแมงมุมยักษ์ได้ด้วยตัวคนเดียว แถมยังเป็นผู้ถือครองเจ้าชายแห่งสายลม หนึ่งในอาวุธที่สี่ราชาเคยใช้ คุณคือคนที่สามารถสร้างพายุหมุนได้ด้วยตัวคนเดียว คุณ...คุณ...”

เมฆารีบพูดจนหายใจแทบไม่ทัน รัตติกาลควบม้าเบียดเขาออกไป

“พอได้แล้ว”

“...พวกเรากลับเข้าค่ายกันก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน”

นิลวายุออกปาก รัตติกาลเองก็เห็นด้วย ทั้งหมดจึงควบม้าไปด้วยกัน เขาแอบสำรวจดูกองกำลังของรัตติกาลอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนเป็นเด็กหนุ่มทั้งสิ้น แม้จะแต่งกายเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป แต่เมื่อดูรูปขบวน และฝีมือในการต่อสู้เมื่อครู่ แสดงว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และผู้ที่ทำการฝึกฝนคนเหล่านี้ก็คงเป็นรัตติกาลนั่นเอง

คำพูดเมื่อครู่ของเมฆาสะกิดใจนิลวายุ 'สร้างพายุหมุนได้ด้วยตัวคนเดียว' คำพูดนี้มีความสำคัญต่อเขามาก ยิ่งเมื่อนึกทบทวนดูวิธีที่พวกเขาใช้เมื่อครู่ ความหมายของคำพูดนี้ก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น กองกำลังที่ตั้งแนวอยู่ต่างสร้างสัญลักษณ์ทั้งสองของพายุหมุนขึ้นมา แต่พวกมันเหล่านั้นยังไม่สมบูรณ์ และไม่อาจแสดงพลังออกมาได้ แต่เส้นสุดท้ายที่รัตติกาลเป็นคนเติมลงไปนั้น คือต้นกำเนิดของพลังทั้งหมด

นิลวายุไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยหรือไม่ 'แต่มันก็น่าลอง' เพราะหากเด็กหนุ่มคนนี้ทำได้ ทำไมตัวเขาเองซึ่งสืบสายเลือดของสี่ราชาจะทำไม่ได้ และมันยังแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย

เสียงโห่ร้องต้อนรับการมาถึงของกองกำลังรัตติกาลดังอย่างกึกก้อง หลังจากจัดหาสถานที่ให้ทั้งหมดได้พักผ่อนชั่วคราวแล้ว รัตติกาลก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมการประชุมที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งเจิดจรัส ม่านเมฆ และนิลวายุต่างรออยู่อย่างพร้อมหน้า และเมื่อมาถึงเขาก็ยกมือทำท่าแสดงความเคารพต่อทุกคนอย่างนอบน้อม

เจิดจรัสจ้องมองดูอย่างครุ่นคิด รัตติกาลที่เขาจดจำได้นั้นเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่มีแววตางดงามอย่างประหลาด แต่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้มีหลายอย่างที่แตกต่างออกไป ด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ กลับสามารถเปลี่ยนแปลงคนผู้หนึ่งไปได้มากถึงเพียงนี้ เขามีคำถามมากมายอยู่ในใจ แต่คงต้องรอไว้ไต่ถามเป็นการส่วนตัวในภายหลัง

“ขอบใจมาก ที่ช่วยพวกเราไว้ในค่ำคืนนี้...”

เจิดจรัสเป็นตัวแทนของกองทัพผสมในการกล่าวคำขอบคุณอย่างเป็นทางการ แต่รัตติกาลรีบขัดขึ้นทันที

“ผมเองก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับเคออสเช่นกัน...ในระหว่างที่เดินทางอยู่กับท่านอรุณรุ่ง ท่านได้สอนสิ่งต่างๆ ให้กับผมมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความต้องการที่จะได้เห็นพวกเราทุกคนร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน และมันก็ได้กลายมาเป็นเป้าหมายของผมเช่นกัน”

เจิดจรัสหันเหเข้าสู่หัวเรื่องสำคัญ นั่นคือการให้กองกำลังของรัตติกาล รับหน้าที่ในการกำจัดเจ้าแมงมุมยักษ์เช่นเดียวกับกองทัพพายุหมุน ซึ่งเขาก็รีบรับปากทันที

“...ผมมีความคิดบางอย่างต้องการเสนอ”

นิลวายุที่เอาแต่นั่งเงียบพูดขึ้น เจิดจรัสแสดงท่าทางว่าให้เขาพูดได้เลยอย่างเต็มที่

“ก่อนอื่น ผมต้องการคำตอบบางอย่าง เรื่องแรกเลยก็คือรัตติกาลสามารถใช้พลังสัญญาได้อย่างไร”

รัตติกาลมีท่าทางไม่แน่ใจในการตอบคำถามนี้

“ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ผมได้เห็นหลายคนใช้มันมาก่อน กล้าณรงค์ กล้าไพร แล้วก็คุณวา...เอ่อ ท่านนิลวายุ แล้วผมก็ลองฝึกดูเอง ตอนแรกผมก็ใช้ได้ไม่คล่องนัก แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว”

'ดีขึ้นมาก มากไปเสียด้วยซ้ำ' รอยยิ้มแบบพ่อค้าบนใบหน้าของนิลวายุยังคงไม่เปลี่ยน

“...และคำถามที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เธอสอนให้คนอื่นๆ ใช้มันได้อย่างไร”

วายุมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า พลังสัญญาจะสืบทอดกันไปตามสายเลือดเท่านั้น เมื่อได้มาเห็นว่ามีคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวายุจำนวนมากสามารถใช้มันได้ จึงสร้างความประหลาดใจให้กับเขาไม่น้อย

“ผมเป็นคนสอนพวกเขาเอง แต่ก็แค่เพลงดาบเท่านั้น ส่วนพลังสัญญา...ผมคิดว่ามันเกิดจากจิตใจของพวกเขาที่ต้องการต่อสู้กับเคออสนั่นเอง”

รัตติกาลเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของกองกำลังของเขา หลังจากที่ได้ควบม้าออกจากปราสาทสุริยันในวันนั้น เขาก็เริ่มต้นฝึกฝนเพลงดาบอย่างจริงจังอีกครั้ง และได้ทำการผสานรวมเพลงดาบสายลม กับเพลงดาบแสงตะวันเข้าด้วยกัน

น่าประหลาดที่นับตั้งแต่นั้น เขาก็ใช้พลังสัญญาได้อย่างไม่ติดขัด แม้แต่พายุหมุนที่เป็นไม้ตายของนิลวายุก็ยังสามารถใช้ออกได้

ในที่สุดรัตติกาลก็ตัดสินใจที่จะเข้าช่วยเหลือหมู่บ้านต่างๆ ที่ถูกกองทัพเงาของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีบุกเข้าโจมตีด้วยตัวคนเดียว และเริ่มทำความเข้าใจให้ชาวบ้านเหล่านั้นได้รับรู้ว่า ศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาคือใคร

เมื่อวันเวลาผ่านไปก็เริ่มมีเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านที่เขาช่วยไว้เหล่านั้นมาขอติดตาม บางคนต้องสูญเสียครอบครัว บางคนต้องสูญเสียคนที่รัก แต่ทั้งหมดต่างมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับเคออสให้ถึงที่สุด

กองกำลังของเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาฝึกสอนเพลงดาบให้กับทุกคน และด้วยความมุ่งมั่นหลายคนเริ่มใช้พลังสัญญาขึ้นมาได้เอง จนในที่สุดก็สามารถใช้กันได้ครบทุกคน แต่ก็ไม่มีใครสามารถใช้พลังจากสัญลักษณ์ได้เหมือนกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว

ทุกคนต่างสามารถจดจำสัญลักษณ์เหล่านั้นได้จนขึ้นใจ แต่เมื่อเขียนเสร็จพวกมันกลับสลายหายไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น รัตติกาลใช้เวลาอยู่นานจนในที่สุดจึงสามารถคิดค้นวิธีใช้ในรูปแบบนี้ขึ้นมา โดยเขาจะรับหน้าที่ขีดเส้นสุดท้าย เพื่อทำให้สัญลักษณ์ทั้งหมดปลดปล่อยพลังออกมา

เจิดจรัส กับม่านเมฆสบตากัน ก่อนจะหันไปมองนิลวายุซึ่งพยักหน้ารับ ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาได้ความคิดอะไรบางอย่าง ความคิดที่ทำให้ทั้งหมดมีความหวังกับสงครามในครั้งนี้มากยิ่งขึ้น

“ผมได้คำตอบที่ต้องการแล้ว...และดูเหมือนว่าพวกเราจะได้อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดมาทันเวลาพอดี”

เจิดจรัส กับม่านเมฆพยักหน้าเห็นด้วย แต่ดูเหมือนรัตติกาลยังคงตามความคิดของพวกเขาไม่ทัน นิลวายุมองเห็นภาพการจัดกองกำลังแบบใหม่แล้ว ทหารม้าแถวแล้วแถวเล่าที่จะบุกตะลุยออกไปพร้อมกับพายุหมุนรอบกาย แถวของทหารราบที่จะสร้างแนวกำแพงที่ทั้งป้องกัน และทำลายเงาพวกนั้นได้ในเวลาเดียวกัน

นิลวายุยิ้มกว้าง ภาพในความคิดของเขาช่างชัดเจนเหมือนจริง และแน่นอนว่าผู้ที่เป็นคนทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดย่อมเป็นตัวเขาเอง ไม่ใช่รัตติกาล 'หากไม่มีรัตติกาล ก็มีฉันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำหน้าที่สำคัญนั้นได้'

เมื่อการประชุมจบลง พวกเขาตกลงที่จะยอมเสียเวลาอีกสองสามวันเพื่อทดลองอาวุธใหม่ที่พึ่งค้นพบนี้ เหล่าสมาชิกของกองกำลังรัตติกาล และกองทัพพายุหมุนต้องรับหน้าที่ช่วยกันสอนให้ทหารของสุริยันสามารถสร้างสัญลักษณ์ที่เกือบสมบูรณ์เหล่านั้นให้คล่อง ซึ่งหากทั้งหมดเป็นไปตามแผน ชัยชนะเหนือเคออสย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

รัตติกาลมองดูนักมายากลที่เดินเข้ามาทักเขาอย่างแปลกใจ และเมื่อเธอเปิดหมวกคลุมออก เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น ข้าวขวัญยืนยิ้มให้กับเขา

ค่ำคืนนั้นทั้งคู่ต่างนั่งพูดคุย ถ่ายทอดช่วงเวลาที่หายไปให้กันฟัง ข้าวขวัญยอมเปิดเผยเรื่องราวของกล้าไพรให้รัตติกาลได้รับรู้เป็นครั้งแรก รวมถึงเรื่องที่ข้าวเขียวกำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย เขารับฟังทั้งหมดอย่างตั้งใจ และเมื่อได้ระบายเรื่องต่างๆ ที่เก็บเอาไว้ออกมา เธอเองก็รู้สึกดีขึ้น


Create Date : 21 มีนาคม 2554
Last Update : 21 มีนาคม 2554 7:59:47 น. 2 comments
Counter : 604 Pageviews.

 
เพิ่งจาได้อ่านครับ

พอดีว่า เน็ตที่บ้านใช้ม่ะได้

แต่ตอนนี้ใช้ได้แล้ว ดีใจมากที่กลับมาอ่านอีกครั้ง

สนุกแล้วซี


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:10:01:09 น.  

 
ลืมบอกว่า

'ทีนี้ ก็เหลือกองทับของนักมายากล เข้ามาสมทบ'


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:10:02:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.