|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัญญาจ้าวราชันย์ ราชาในภาพวาด (43)
แม่ทัพรังสีรอคอยข่าวสารจากหน่วยลาดตระเวนที่ส่งข้ามแม่น้ำไปอย่างเยือกเย็น ภาพของแม่น้ำคำสัญญาในยามเช้าที่กำลังไหลเอื่อยๆ อยู่ตรงหน้ายิ่งทำให้ใจของเขาสงบยิ่งขึ้น 'แม้แต่พลังของธรรมชาติก็ยังเป็นใจให้กับพวกเรา' จากการข่าวที่ได้มา ปีนี้นับเป็นปีที่ระดับของลำน้ำในช่วงนี้ลดลงต่ำที่สุดในรอบหลายปี แต่เดิมนั้นพวกเขามีแผนที่จะทำการก่อสร้างสะพานเพื่อใช้ในการข้ามมันไป เพราะแม้จะต้องเสียเวลานานกว่าวิธีอื่นๆ แต่ก็นับเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด หากผ่านพ้นการเดินทางช่วงนี้ไปได้ พวกเขาก็จะเริ่มเข้าสู่การรบที่แท้จริงแล้ว ตลอดเส้นทางที่ผ่านมานั้นมีร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากฝีมือของพวกวารีให้พบเห็นได้ทั่วไป แต่พวกมันกลับไม่กล้าโผล่หน้าออกมาปะทะกับกองทัพของเขาเลยสักครั้ง และมันยิ่งน่าโมโหขึ้นไปอีกเมื่อมีชาวบ้านบางส่วนเข้าใจว่า คนที่ลอบจู่โจมพวกเขานั้นเป็นกองทหารของฝ่ายสุริยัน ท่านแม่ทัพครับ เสียงของทหารคนสนิทดังขึ้น เขายกมือบอกให้ทหารคนนั้นรายงานต่อไป โดยที่สายตายังคงเหม่อมองสายน้ำที่ไหลรินอยู่เช่นเดิม หน่วยลาดตระเวนรายงานมาว่า ไม่พบกองกำลังของวารีซุ่มอยู่ในบริเวณใกล้เคียงแต่อย่างใด หากมีก็อาจจะแฝงตัวอยู่ในแนวป่าที่ไกลออกไปจากลำน้ำมาก และไม่สามารถทำการจู่โจมเข้ามาได้ทันภายในวันนี้แน่ครับ ...แม้แต่ด้วยกองธนูพวกนั้นใช่ไหม หลังจากที่เกิดเหตุเข่นฆ่าอันน่าสยดสยองนั้นแล้ว ธนูสายฝนก็กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่กองทัพสุริยันไม่อาจประมาทได้ ด้วยระยะยิงที่ยาวไกล ความแม่นยำ และอำนาจทะลุทะลวงที่เหนือล้ำกว่าธนูศึกของพวกเขามาก จึงทำให้ต้องประเมินระยะจู่โจมของกองทัพวารีให้มากขึ้นกว่าเดิม ครับ เราคงใช้เวลาในการข้ามแม่น้ำไม่เกินครึ่งวัน หากพวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ชายป่าแห่งนั้น และคิดจะลอบโจมตีพวกเราจริง พวกมันจะได้เจอกับการตอบโต้จากกองทัพทั้งหมดที่มีความพร้อมเต็มที่แทน ทหารคนสนิทตอบด้วยความมั่นใจ และรังสีเองก็มีความเชื่อมั่นเช่นนั้น โดยที่สายตายังคงจับจ้องมองดูความเคลื่อนไหวของสายน้ำ รังสีก็ออกคำสั่งทันที เริ่มเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำได้
##### น้ำที่มีความลึกเพียงแค่ระดับเหนือเข่าเพียงเล็กน้อยนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนทัพแต่อย่างใดเลย แต่อาจจะเป็นปัญหาอยู่บ้างกับพวกเสบียงอาหาร เพราะหากเปียกน้ำจะทำให้เน่าเสียง่ายขึ้น พวกมันจึงถูกจัดเอาไว้เป็นลำดับสุดท้าย เพราะสิ่งที่สำคัญคือต้องให้กองกำลังทั้งหมดข้ามไปได้เสียก่อน เมื่อพร้อมรับมือกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้ว จึงค่อยทำการลำเลียงพวกมันไปในภายหลัง เมื่อทหารม้าส่วนหนึ่ง กับกองกำลังทหารราบอีกจำนวนหนึ่งได้ข้ามแม่น้ำไป พร้อมกับจัดตั้งเป็นกองระวังภัยไว้เรียบร้อยแล้ว เหล่าทหารทั้งหลายก็ได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นจากทางต้นน้ำ มันเป็นเสียงดังคล้ายกับมีต้นไม้ถูกโค่นล้มลง แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังคงเดินหน้าต่อไป กระแสน้ำค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง มันไหลเร็วขึ้น และระดับน้ำก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย มีทหารหลายคนเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ความเงียบเกิดขึ้นภายในกองทัพ และทันใดนั้นเองเสียงตะโกนของรังสีก็ดังก้องไปทั่วลำน้ำ ขึ้นจากน้ำ ทุกคนรีบขึ้นจากน้ำ เสียงครางต่ำๆ ดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำที่ริมตลิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ กระแสน้ำพัดแรงจนมีหลายคนถูกพัดลอยหายไป ปริมาณน้ำมหาศาลพร้อมกับท่อนซุงขนาดใหญ่หลายสิบท่อน พุ่งเข้าตัดกองทัพของสุริยันให้ขาดออกจากกัน ลำน้ำในช่วงนั้นขยายกว้างขึ้นเกือบสองเท่า ระดับน้ำสูงขึ้นจนสามารถท่วมคนให้จนจมมิดได้ พร้อมกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็มีความเคลื่อนไหวของกองทัพวารีออกมาจากทางชายป่าที่ห่างไกลนั้น มีทหารม้าจำนวนมากกำลังเร่งควบเข้ามายังริมฝั่งแม่น้ำทางด้านนี้ด้วยความรวดเร็ว รังสีมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา เขายังคงอยู่ที่ฝั่งทางด้านนี้ ส่วนที่อีกฟากนั้น มีทหารม้าจำนวนหนึ่ง พร้อมกับทหารราบประมาณหนึ่งในสามของกองทัพ ที่กำลังแตกตื่นตกใจอย่างที่สุด เขาต้องรีบประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว กลุ่มของฝุ่นควันที่ลอยขึ้นมาจากที่ไกลตานั้นบ่งบอกรังสีได้ในทันทีว่า กำลังมีทหารม้าจำนวนมากเคลื่อนที่เข้ามาอย่างเร่งรีบ เขาหลับตาลงแล้วนึกถึงภาพสิ่งของที่ทหารม้าเหล่านั้นจะพกติดตัวมาด้วย ธนูสายฝนพร้อมด้วยลูกธนูจำนวนมากที่พร้อมจะโจมตีเข้ามาจากระยะที่ห่างไกล ไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะทำการตอบโต้ได้ ลำน้ำสายนี้เป็นกับดัก และเขาก็หลงกลเข้าเต็มที่ เรื่องของระดับน้ำคงเป็นข่าวลวงที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว กองทัพวารีได้แอบสร้างเขื่อนกักน้ำเอาไว้ เพื่อทำให้ระดับน้ำในช่วงนี้ลดต่ำลง แล้วรอคอยจนกระทั่งพวกเขาเริ่มทำการข้ามแม่น้ำ จึงค่อยทำลายเขื่อนปล่อยน้ำ และท่อนซุงลงมา เป็นอีกครั้งที่มหาอาณาจักรทางทหารอย่างสุริยัน ต้องหลงกลติดกับของมหาอาณาจักรวารีที่มีชื่อเสียงในเรื่องการประมง และเลี้ยงสัตว์ รังสีเผลอกำหมัดจนกำปั้นรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา กองทหารประมาณหนึ่งในสามที่ติดอยู่ทางฝั่งโน้นต้องนับว่าได้ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือรักษากองทัพที่เหลืออยู่เอาไว้ รีบถอยทันที ทหารคนสนิทเหม่อมองแม่ทัพของตนราวกับไม่ได้ยินคำสั่งนั้น ถอยห่างจากแม่น้ำ...ให้พ้นจากระยะธนูของพวกมัน แต่ว่า...แล้วพวกเราที่ฝั่งโน้น... ทหารคนสนิทที่ไม่เคยสงสัยในคำสั่งของเขามาก่อนเลย ถึงกับเอ่ยถามขึ้นมาแบบนี้ รังสีทำได้เพียงกล้ำกลืนทุกสิ่งเอาไว้ในใจ พวกเราทำอะไรไม่ได้แล้ว หากยังมัวรั้งรออยู่ตรงนี้กองทัพจะต้องเสียหายอีกมาก สงครามยังไม่จบ พวกเราพ่ายแพ้การรบในวันนี้ แต่จะต้องหวนกลับมาชนะสงครามให้ได้ รังสีทำท่าเหมือนกับว่ามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แต่เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่ากองทัพที่พ่ายแพ้ไปในสภาพเช่นนี้ ย่อมไม่อาจรวบรวมกำลังใจขึ้นมาใหม่ได้โดยง่าย 'ต้องรีบแจ้งข่าวให้ท่านเจิดจรัสรู้ ท่านคงพอมีวิธีแก้ไข' เมื่อนึกถึงแม่ทัพน้ำแข็งขึ้นมา ท่าทางของรังสีก็ดูจะมีความหวังขึ้นตามคำพูดของเขาที่พึ่งกล่าวออกไปด้วย ทหารคนสนิทเหม่อมองดูเพื่อนพ้องของตนที่ติดอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง ก่อนจะเร่งถ่ายทอดคำสั่งถอนทัพออกไป รังสีกับเหล่าทหารในกองทัพสุริยันที่เหลือทั้งหมด ต้องถูกเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นตามหลอกหลอนไปอีกนานแสนนาน ค่ำคืนนั้นรังสีคิดว่าตนเองได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าทหารที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังดังแว่วมาอยู่ตลอดทั้งคืน
##### ข่าวร้ายเมื่อเริ่มต้นขึ้นแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันสิ้นสุด ข่าวการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของกองทัพสุริยันที่ริมฝั่งแม่น้ำคำสัญญาแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เจิดจรัสต้องรับมือกับสภาปกครองอย่างยากเย็นอีกครั้ง และครั้งนี้เขายังไม่มีอรุณรุ่งคอยเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้างอีกด้วย ท่านจะรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างไร ไหนจะเรื่องการฝังศพของท่านอรุณรุ่งอีก ท่านจะอธิบายเรื่องนั้นอย่างไร ดาบเล่มนั้นไม่ใช่ดาบธรรมดาทั่วไป ท่านคิดอย่างไรถึงไม่ยอมขอความเห็นชอบจากพวกเราก่อน ท่านทำเกินไปแล้ว 'ถ้าขอความเห็นชอบ พวกเจ้าก็คงต้องสั่งห้ามแน่ แค่ดาบเก่าๆ เพียงเล่มเดียว ฝังมันไปนั่นแหละดีแล้ว' เจิดจรัสได้ทำการฝังร่างของหญิงสาวผู้เป็นที่รัก ไปพร้อมกับดาบที่เคยเป็นถึงสัญลักษณ์ของราชาแห่งมหาอาณาจักรสุริยัน จักรพรรดิแห่งฟากฟ้าได้ถูกกลบฝังไปพร้อมกับร่างของอรุณรุ่ง พวกท่านต้องการความรับผิดชอบใช่ไหม เสียงเรียบๆ ของเจิดจรัสดังขึ้นเบาๆ แต่มันทำให้เสียงอื้ออึงที่ดังอยู่ภายในสภาปกครองแห่งนี้ต้องเงียบลงในทันใด เขาเงยมองเหล่าใบหน้าอันเหี่ยวย่นที่นั่งเรียงรายอยู่รอบๆ ในตำแหน่งของสภาปกครองซึ่งอยู่สูงขึ้นไป ห้องนี้มีลักษณะเป็นวงกลม มีประตูเข้าออกทางด้านบนไว้สำหรับเหล่าสมาชิกของสภาปกครอง และทางเข้าส่วนด้านล่างที่จะนำมาสู่พื้นที่ตรงบริเวณกึ่งกลางห้อง เจิดจรัสถูกจัดให้ยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ จึงมองดูเหมือนกับว่าเขากำลังถูกเหล่าผู้เฒ่าล้อมเอาไว้ ดวงตาของเจิดจรัสพลันสาดประกายอย่างเจิดจ้า น้ำเสียงที่เรียบๆ ของเขาทำให้ใครหลายคนในที่นั้นรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แล่นไปตามแนวกระดูกสันหลังของตนเอง ผมจะนำกำลังทหารของสุริยันทั้งหมด ไปบดขยี้วารีให้ราบ หลังจากนั้นก็จะเป็นวายุ และจบลงด้วยแดนแห่งดารา เกิดความเงียบที่คล้ายกับจะไม่สิ้นสุด ผู้เฒ่าสูงสุดแห่งสภาปกครองกลืนน้ำลายฝืดๆ และเสียงของมันดังจนได้ยินกันไปทั่วทั้งสภา ...ท่าน...ท่าน... ท่านผู้เฒ่ากล่าวได้เพียงแค่นั้น เจิดจรัสก็หันหลังกลับ แล้วเดินออกจากสภาปกครองไปในทันที หลังจากที่เขาก้าวออกจากสภาไปครู่หนึ่งแล้ว เสียงอื้ออึงต่างๆ จึงได้ดังขึ้นอีกครั้ง
##### บาดแผลที่ท้องของรัตติกาลดีขึ้นมากแล้ว หมอที่ทำการรักษาบอกว่า ร่างกายของเขานั้นสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ออกจะรวดเร็วจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะว่าเขาอายุยังน้อย จึงมีพลังชีวิตอยู่อย่างเหลือเฟือนั่นเอง รัตติกาลได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว รวมถึงการจากไปของอรุณรุ่งด้วย แต่เขาก็ยังคงนึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนั้นกันแน่ อีกสิ่งหนึ่งที่เขาพึ่งได้รับรู้ในภายหลังก็คือ จี้รูปเปลวเพลิงที่เขาได้รับมอบมาจากข้าวขวัญ กับข้าวเขียวนั้น ได้สูญหายไปเสียแล้ว มันเหลือทิ้งเอาไว้เพียงรอยไหม้บนผิวหนังในตำแหน่งที่เขาเคยซุกซ่อนมันเอาไว้ น่าแปลกที่เสื้อผ้าซึ่งเขาสวมใส่อยู่ในตอนนั้น กลับไม่มีร่องรอยใดๆ เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย รัตติกาลยังคงคิดถึงอรุณรุ่งอยู่ เธอนับว่าดีกับเขาอย่างมาก ที่สำคัญความคิดของเธอได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจ และเปิดมุมมองใหม่ให้กับเขา ในสงครามนั้นไม่มีฝ่ายใดถูกต้อง และวิธีการหยุดยั้งสงครามที่ดีที่สุดก็คือ การไม่ก่อมันขึ้นมานั่นเอง 'สงครามในครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเพียงแต่ทุกฝ่ายจะรับฟัง และเชื่อใจกันบ้าง' รัตติกาลคิดว่าเขาพอจะรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความคลางแคลง ความไม่มั่นใจ ความวุ่นวายสับสน ทั้งหมดนี้ชี้ตรงไปที่สิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือเคออสจ้าวแห่งความสับสน กับกองทัพของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีนั่นเอง และไม่แน่ว่าสมาคมนักฆ่าที่แสนลึกลับนั้น ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกมันด้วยก็เป็นได้ รัตติกาลค่อยๆ ขยับตัวเปลี่ยนท่าจากการนอน เป็นนั่งอยู่บนเตียง จากที่ได้ยินมาดูเหมือนว่าการรบกำลังจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเคลื่อนไหวของเจิดจรัสนั่นเอง ดูเหมือนว่าการจากไปของอรุณรุ่งจะส่งผลกระทบกับความคิดของเขาเป็นอย่างมากเช่นกัน ในตอนแรกนั้น ทั้งสองต่างมุ่งหวังที่จะใช้กำลังทางทหารเพื่อรีบยุติสงครามให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังที่ว่านั้น กำลังจะถูกนำไปใช้ในการแก้แค้นแทน ซึ่งนั่นจะยิ่งเป็นการสร้างความสับสนให้มากขึ้นไปอีก ประตูห้องของรัตติกาลพลันถูกกระชากเปิดออกโดยไม่มีการเคาะ เงาร่างสองสายพุ่งตัวเข้ามาภายในห้อง ถึงแม้รัตติกาลจะมีการตอบสนองที่รวดเร็ว แต่เป็นเพราะว่าไม่มีอาวุธจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เขาเพียงขยับตัวเพื่อหลบหลีกการจู่โจมได้ไม่กี่ครั้ง ก็รู้สึกปวดบาดแผลที่ท้องขึ้นมา และเพียงวูบเดียวที่เสียจังหวะไปนั้น เขาถูกอะไรบางอย่างฟาดเข้าที่ด้านหลังศีรษะอย่างแรงจนสิ้นสติไปทันที หน่วยพิเศษสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องของรัตติกาลนอนคว่ำหน้าอยู่ ไม่รู้ว่าทั้งคู่ยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ น่าแปลกที่คนมีฝีมือถึงระดับนี้ กลับถูกจู่โจมโดยไม่มีโอกาสได้ลงมือตอบโต้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะดาบของทั้งสองนั้นยังคงอยู่ในฝักเช่นเดิม เงาลึกลับสองสายช่วยกันแบกร่างของรัตติกาล ก่อนจะวิ่งหายไปตามทางเดินภายในปราสาทอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อทั้งหมดจากไปเพียงไม่นาน ก็มีเงาลึกลับอีกสายหนึ่งปรากฏขึ้น และถึงแม้ความเร็วจะไม่เทียบเท่ากับทั้งสองคนก่อนหน้านั้น เงาลึกลับผู้มาใหม่นี้ก็รีบติดตามไปทันที
Create Date : 05 ธันวาคม 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 5 ธันวาคม 2553 21:24:14 น. |
Counter : 551 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|