ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
23 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ สงครามครั้งสุดท้าย (67)

“...จะปีนขึ้นไปจริงๆ หรือ ไม่ไหวหรอกน้องขวัญ”

ข้าวเขียวส่งเสียงโอดครวญ รัตติกาลมองดูผนังกำแพงที่สูงชัน ถึงแม้จะพอมีตำแหน่งให้เกาะเกี่ยวอยู่บ้าง แต่การพยายามไต่มันขึ้นไปด้วยมือเปล่า คงแทบไม่ต่างจากการตัดสินใจฆ่าตัวตายเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้ทั้งสองจึงมีความเห็นตรงกัน

“ส่งมือมาสิคะ”

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนยื่นมือไปให้ข้าวขวัญจับอย่างงงๆ 'มาถึงตรงนี้คงใกล้พอแล้ว'

“ทีนี้ก็หลับตาค่ะ”

“...น้องขวัญคิดจะทำอะไรกันแน่”

ข้าวเขียวถามด้วยความสงสัย สาวน้อยยิ้มไม่ยอมตอบ ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ หลับตาอย่างเสียไม่ได้ เธอมองดูอย่างพอใจก่อนหลับตาลงเช่นกัน 'หนูพาทุกคนมาถึงแล้วค่ะ' เธอส่งเสียงเรียกหาออกไปในใจ แล้วเสียงของผู้หญิงที่เคยดังอยู่ในหัวเธอมาตลอดก็ตอบกลับมา 'ขอบใจมาก'

ทั้งสามคนรู้สึกเหมือนพื้นที่กำลังยืนอยู่นั้นหายไปอย่างฉับพลัน เหมือนกับอยู่ๆ ก็ถูกจับโยนออกมาจากหน้าผาสูงชันลอยละลิ่วตกลงไปสู่เบื้องล่าง ทั้งสองส่งเสียงร้องอย่างตกใจ ในขณะที่กำลังจะลืมตาขึ้น ก็รู้สึกว่าได้กลับมายืนอยู่บนอะไรบางอย่างอีกครั้ง แต่สองขานั้นอ่อนแรง จนทั้งคู่ต้องลงไปนั่งอยู่กับพื้น

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งรอบกายก็มีเพียงความมืดมิด เวลาค่ำคืนได้เร่งรุดมาถึงตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ มือของทั้งสองเลื่อนไปจับที่ด้ามดาบอย่างรวดเร็ว

“อย่าตกใจค่ะ ให้สายตาได้ปรับตัวก่อน ตอนนี้เราอยู่ภายในปราสาทจันทราแล้ว”

ไม่มีใครยอมปล่อยมือจากด้ามดาบ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ชักมันออกมา และเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด พวกเขาก็รู้ว่าที่ข้าวขวัญพูดนั้นเป็นความจริง ข้าวเขียวมองไปรอบๆ จนได้พบกับช่องแสงเล็กๆ ที่ผนังด้านหนึ่ง เขาเดินเข้าไปแล้วมองออกไปข้างนอก ภาพที่เห็นนั้นทำให้ลมหายใจของเขาแทบขาดห้วง

“...นี่มันเรื่องอะไร...น้องขวัญทำได้อย่างไร”

ภาพของกำแพงที่ก่อด้วยหินทอดยาวจนถึงพื้นดินที่อยู่ไกลลงไปเบื้องล่าง ทำให้ข้าวเขียวเชื่อแล้วว่าพวกเขากำลังอยู่บนยอดของหอคอยอันใดอันหนึ่งในปราสาทจันทรา แต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

“รีบไปกันเถอะค่ะ”

ข้าวขวัญเดินตรงไปยังประตูเล็กๆ ที่ทำด้วยไม้เรียบๆ ซึ่งแนบสนิทเข้าไปในช่องกำแพง จนแทบจะแยกไม่ออก เธอจ้องมองเข้าไปในความมืดของรูเล็กๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นรูกุญแจ

“พี่จำเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับการได้พบเจอกับเจ้าขาวอีกครั้งที่น้องขวัญเคยเล่าให้ฟังได้ไหมคะ”

ข้าวเขียวจำเจ้าตุ๊กตากระต่ายที่น้องสาวพูดถึงได้ทันที นั่นคือคืนก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง คืนที่เธอเล่าว่าตัวเองไปติดอยู่ในสถานที่ประหลาดในความฝัน และได้พบเจอกับสิ่งของมากมายที่เคยทำหายไปเมื่อนานมาแล้ว

“ในคืนนั้นน้องขวัญมาติดอยู่ในห้องนี้เอง”

ครั้งสุดท้ายที่ข้าวขวัญกลับมาเยือนห้องนี้ คือในช่วงเวลาที่เธอติดอยู่บนต้นไม้พร้อมกับเมฆา ในตอนที่เขาเห็นว่าเธอนอนหลับไปนั้น ความจริงแล้วเธอกำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิงลึกลับภายในห้องนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เธออยู่ภายในห้อง แต่นางอยู่อีกด้านหนึ่งของประตู และนางคือคนที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เธอเข้าใจ

ทิวทัศน์แห้งแล้งเหมือนทะเลทรายที่ข้าวขวัญเคยมองเห็นด้านนอกของห้องนี้ คือพื้นหินที่อยู่รอบๆ ตัวปราสาทในยามที่มันกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า ดวงดาวอยู่ในตำแหน่งที่แปลกตา และดวงจันทร์ที่หายไปนั้นก็มีคำอธิบาย เพราะเธอกำลังยืนอยู่บนสิ่งที่ถูกเรียกว่าดวงจันทร์นั่นเอง

ผู้หญิงคนนั้นยังบอกให้เธอรู้ความจริงเกี่ยวกับกล้าไพร เรื่องที่เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกแมงมุม ซึ่งทำให้เธอสามารถกลับไปช่วยทุกคนเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที

“พาเพื่อนๆ ของเธอมาที่นี่ ฉันมีเรื่องสำคัญต้องบอกกับทุกคน”

“ทำไมไม่บอกหนูเดี๋ยวนี้เลยคะ”

“ไม่ได้”

นางตอบสั้นๆ และข้าวขวัญคิดว่าเธอไม่ควรจะถามถึงเรื่องนี้อีก แต่เธอยังมีปัญหาใหญ่อยู่อีกเรื่องหนึ่ง

“หนูยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไร”

“...พาทุกคนมาที่ปราสาทจันทรา แล้วฉันจะช่วยเอง”

เสียงของนางตอนนี้ฟังดูเหมือนกำลังเหน็ดเหนื่อย นางย้ำคำสุดท้ายก่อนที่ข้าวขวัญจะตื่นขึ้นบนต้นไม้

“เวลาใกล้จะหมดแล้ว...”

ข้าวเขียวมองไปรอบๆ ห้องอย่างไม่เชื่อ เขาก้มลงหยิบของสิ่งหนึ่งที่หล่นอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาดู มันเป็นวัวตัวเล็กๆ ที่แกะขึ้นมาจากไม้ เป็นของเล่นสำหรับเด็กที่เขาเองรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด เหมือนกับตัวเองเคยเห็นมันมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก เขาลูบมือไปตามร่องรอยที่อยู่บนตัวของมัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่

“...แต่มันเป็นแค่ความฝันไม่ใช่หรือ”

“น้องขวัญก็เคยเชื่ออย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

รัตติกาลเดินเข้ามาสำรวจดูประตูกับข้าวขวัญ ถึงแม้ว่าเขาเองก็ไม่มั่นใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาตัดสินใจว่าตอนนี้คงได้แต่ทำตามเธอไปก่อนคือพยายามเปิดสิ่งนี้ออก แต่มันดูแน่นหนามาก จนหนทางเดียวที่เขาพอจะคิดออกได้คือการมีกุญแจที่ถูกต้องเท่านั้น ข้าวเขียวเดินเข้ามาสมทบกับทุกคนก่อนพึมพำเบาๆ

“...หมุนเข็มทิศให้ชี้ช่องเสกกุญแจเปิดหนทาง...และเราคงต้องการกุญแจดอกหนึ่งเดี๋ยวนี้เลย”

สองหนุ่มมองดูหญิงสาว ซึ่งอาจเป็นนักมายากลคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้ คนที่จะสามารถ 'เสก' กุญแจขึ้นมาได้ แต่ดูเหมือนตัวเธอเองจะไม่คิดแบบนั้น เธอไม่สามารถที่จะนำสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ออกมา ความสามารถของนักมายากลก็เพียงแค่เก็บสิ่งของเอาไว้ แล้วนำมันออกมาอีกครั้งเท่านั้น

'ว่าแต่ ฉันไม่มีกุญแจอยู่จริงหรือ' ข้าวขวัญเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง และค่อยๆ หลับตาลง 'บางทีฉันอาจจะมีมันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยรู้ตัวก็เป็นได้' เธอเริ่มค้นหาไปตามสิ่งของที่เก็บเอาไว้อย่างรวดเร็ว ที่เธอต้องการในตอนนี้คือกุญแจสักดอก หรืออะไรบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับกุญแจ

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ข้าวขวัญจะลืมตาขึ้นอย่างผิดหวัง 'ไม่มีอะไรสักอย่าง' เธอลองส่งเสียงเรียกออกไปอีกครั้ง 'หนูจะทำอย่างไรต่อคะ' มีเสียงแผ่วๆ ตอบกลับมาอย่างอ่อนแรง 'เธอต้องหากุญแจให้เจอ'

“หรือกุญแจจะอยู่ท่ามกลางสิ่งของพวกนี้”

รัตติกาลแสดงความคิดเห็นบ้าง พวกเขาจึงช่วยกันรวบรวมสิ่งของที่ยังกระจัดกระจายอยู่ นอกเหนือจากบางส่วนที่ข้าวขวัญได้เคยรวบรวมเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่มองดูเหมือนลูกกุญแจเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

กล้าไพรมองดูพวกเขาจากในความมืด ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมเขาไปเสียแล้ว ความรู้สึกของเขาไม่อาจเชื่อมโยงเข้ากับโลกนี้ได้อีกต่อไป การอยู่แบบนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก และสิ่งนี้เองที่ผลักดันให้เขาหลงเข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกแมงมุม

ถึงแม้ความรู้สึกที่ได้รับกลืบคืนมาคือ ความโกรธแค้น ความอิจฉาริษยา ความต้องการที่จะทำลายทุกสิ่ง แต่ตอนนั้นกล้าไพรคิดว่า อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าการไม่มีอะไรเลยแบบนี้ เขาจึงปล่อยความรู้สึกของตนให้ถูกทะเลแห่งความดำมืดนั้นกลืนหายไป แล้วร่างกายของเขาก็กลายสภาพเป็นแมงมุม กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน

กล้าไพรกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกแมงมุม ได้ออกล่า ได้รู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกพอใจจนเกือบลืมสิ้นทุกสิ่ง แต่ในตอนที่เขากำลังจะกัดกินเมฆา ใบหน้าที่คุ้นเคยของข้าวขวัญได้ดึงความรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาให้กลับคืนมาอีกครั้ง

ความเป็นแมงมุมผลักดันให้กล้าไพรออกไล่ล่าติดตามกลุ่มของข้าวขวัญไปในตอนแรก แต่ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็แทรกตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าร่างกายภายนอกของเขายังคงเป็นแมงมุม แต่ความเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับเหล่าแมงมุมได้ถูกตัดขาดไปแล้ว ที่เขายังคงไล่ติดตามเธอจนมาพบกับข้าวเขียวนั้น ก็เพียงหวังว่าเธอจะสามารถจดจำเขาได้เท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำร้ายใครอีกทั้งสิ้น

'พี่กล้าไพรเป็นอะไรหรือเปล่าคะ' ความรู้สึกเป็นห่วงของข้าวขวัญคล้ายกับล่องลอยมาจากที่แสนไกล ดึงเขาให้กลับออกมาจากความคิดของตัวเอง แม้จะสัมผัสได้เพียงแค่เล็กน้อย แต่ความรู้สึกนั้นช่างแสนอบอุ่น ซึ่งแตกต่างจากความรู้สึกที่เข้มข้นในตอนที่เขาเป็นพวกแมงมุมอย่างชัดเจน

'พี่ไม่เป็นไร' กล้าไพรพยายามตอบกลับไป เขารู้ดีว่าข้าวขวัญคงไม่อาจเข้าใจเขาได้อย่างถ่องแท้ แต่ความห่วงใยนี้เองที่ดึงเขาให้แยกตัวออกมาจากทะเลแห่งความบ้าคลั่งนั้นได้อีกครั้ง แม้ความรู้สึกที่ได้แหวกว่ายอยู่ในทะเลที่ดำมืดนั้นจะเข้มข้นมากเพียงใด แต่มันก็เปรียบไม่ได้เลยกับความห่วงใยของเธอ

รัตติกาลเห็นว่าข้าวขวัญเงียบไป และเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“กล้าไพรอย่างไรล่ะ เขาอาจช่วยเราได้”

“จริงด้วย”

ข้าวเขียวส่งเสียงสนับสนุน พวกเขาลืมเพื่อนคนสำคัญไปเสียสนิท ที่เขาคอยหาเรื่องขัดแย้งกันอยู่เสมอนั้น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาอิจฉาในความสามารถของเพื่อนคนนี้นั่นเอง เขาสามารถทำอะไรได้ดีกว่าใครทั้งหมด เขาเป็นผู้ชนะในการแข่งขันแทบจะทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นกล้าไพรก็มักเป็นคนที่คอยช่วยเหลือพวกเขาในเวลาที่จำเป็นอยู่เสมอ

ข้าวขวัญยิ้มให้กับทุกคน เธอเคยคิดว่าเมื่อพวกเขารู้ความจริงเกี่ยวกับกล้าไพร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกแมงมุมแล้ว ความรู้สึกที่ทั้งหมดเคยมีให้แก่กันนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงความกังวลที่มากเกินไปของตัวเธอเอง

“พี่กล้าไพรออกมาหน่อยได้ไหมคะ”

ความมืดภายในห้องเกิดการสั่นไหวคล้ายกับยังมีความลังเล แต่ในที่สุดความมืดที่เข้มข้นก็รวมตัวกันเข้ากลายเป็นร่างผอมสูงของกล้าไพร เสียงแหบพร่าเลือนลางดังขึ้นเบาๆ

“...ขอ...โทษ...”

“ไม่ต้องขอโทษ พวกเราเป็นเพื่อนกัน”

ข้าวเขียวกล่าวอย่างเชื่อมั่น และรอยยิ้มของรัตติกาลเองก็แสดงถึงความหมายเดียวกัน 'พี่ช่วยพวกเราได้ไหมคะ' ข้าวขวัญร้องขอ

ร่างของกล้าไพรเคลื่อนที่ไปยังประตูบานนั้น เขาคิดว่าจะลองทะลุผ่านมันไปยังฝั่งตรงข้าม เพื่อดูว่าเขาพอจะทำอะไรกับมันได้หรือไม่ แต่เมื่อร่างเงาของเขาสัมผัสกับบานประตู มันก็สร้างความแปลกใจให้เกิดขึ้น เขาไม่สามารถทะลุผ่านไปได้

กล้าไพรลองกับกำแพงของปราสาทจันทรา และอีกครั้งที่มันปฏิเสธไม่ให้เขาทะลุผ่านไป ข้าวขวัญมองไปที่รูกุญแจ และเขาก็เข้าใจความคิดของเธอ ร่างเงาของเขาพยายามจะมุดผ่านรูนั้นไป แต่เป็นอีกครั้งที่มันต่อต้านความพยายาม เขาเองก็ไม่สามารถออกจากห้องนี้ได้เช่นกัน

“...แล้วถ้าเป็นจากทางด้านนอกล่ะ”

ข้าวเขียวมองไปที่ช่องเปิดเล็กๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงทางออกเดียวของพวกเขาในตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่ากล้าไพรจะยังไม่ยอมตัดใจจากประตูบานนี้ง่ายๆ เขายังพยายามจะลองทำอะไรบางอย่าง

'ต้องทำให้ได้' ความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อกล้าไพรสามารถเล็ดลอดผ่านกำแพงที่คอยปิดกั้นเขาออกจากโลกใบนี้ แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่มันช่างแสนอบอุ่น ซึ่งทำให้เขาระลึกถึงวันเวลาก่อนหน้าที่เขาจะถูกขังอยู่ในความมืด ช่วงเวลาที่วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ทุกคนอยู่ในท้องทุ่งกว้าง 'ต้องช่วยให้ได้'

กล้าไพรแทรกมือของเขาเข้าไปในรูกุญแจอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้พยายามที่จะผ่านไปยังฝั่งตรงข้าม มือของเขาที่อยู่ในนั้นกำลังค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ

กล้าไพรไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่เขาได้เรียนรู้มาแล้วว่าร่างกายของตัวเองนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้ 'ฉันเคยเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้อีก' ถูกแล้วครั้งหนึ่งเขาเคยเปลี่ยนเป็นแมงมุมไปทั้งตัว แต่ตอนนี้เขาต้องการเปลี่ยนแปลงเฉพาะมือข้างนี้ให้กลายเป็นของสิ่งหนึ่ง ของซึ่งมีรูปร่างที่ถูกต้อง

'คลิ๊ก' เมื่อกล้าไพรดึงมือออกมา ทุกคนก็ได้เห็นรูปร่างที่เปลี่ยนไปของมือข้างนั้น และมันทำให้พวกเขาคิดถึงสิ่งเดียวกันทันที 'ลูกกุญแจ' ประตูที่เคยผนึกแน่นบานนั้นค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ มีทางเดินมืดทึบรอคอยพวกเขาอยู่ด้านหลัง

“รีบไปกันเถอะ”

แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะก้าวผ่านประตูออกไป พวกเขาก็หันกลับมาแล้วมองไปยังที่เดียวกัน

“มัวรออะไรอยู่ รีบตามมาเร็ว”

ข้าวเขียวเป็นคนพูด แต่ความรู้สึกที่ส่งออกมาจากทั้งหมดนั้นเป็นที่เข้าใจได้ ร่างเงาของเขากำลังจะค่อยๆ จางหายไปในความมืดอีกครั้ง

“...อย่าคะ”

“ใช่ เราจะไปด้วยกัน”

ข้าวขวัญ กับรัตติกาลช่วยกันพูด ร่างของกล้าไพรจึงยังคงไม่สลายกลับคืนสู่ความมืด และออกติดตามทุกคนไปทั้งอย่างนั้น 'เราจะไปด้วยกัน เพื่อนของฉัน' ทางเดินนั้นพาพวกเขาไปยังบันไดวน ที่ย้อนกลับลงไปข้างล่าง ที่สุดทางเดินมีประตูอยู่อีกบานหนึ่ง แต่มันสามารถถูกผลักให้เปิดออกได้อย่างง่ายดาย

ภายใต้แสงเทียนสลัวเลือนลาง ในห้องวงกลมนั้นมียกพื้นสูงอยู่ตรงกลาง ข้างบนคือเก้าอี้หินขนาดใหญ่สองตัว สูงขึ้นไปบนกำแพงทางด้านหลังมีภาพวาดขนาดใหญ่ของคนคู่หนึ่งแขวนอยู่ ใบหน้าของทั้งสองนั้นดูคุ้นตารัตติกาลเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งในนั้นคือชายเสื้อคลุมแดงที่รัตติกาลเคยพบเห็นบนภาพวาดอีกภาพหนึ่งในปราสาทสุริยัน ดวงตาที่เหมือนกับไม่เคยมองเห็นใครอยู่ในสายตาแบบนั้นไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้ แต่ใบหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างหากที่ทำให้เขาต้องจ้องดูอย่างไม่เชื่อสายตา

“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีกครั้ง”

มันเป็นเสียงที่รัตติกาลเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก เสียงที่เคยกล่อมนอน เสียงที่เคยเล่านิทาน เสียงที่เคยอบรมสั่งสอน เสียงที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือน น้ำตารินไหลลงมาเป็นทาง เขามองไปยังต้นเสียงที่ค่อยๆ เคลื่อนกายเผยตัวออกมาจากเงามืด นอกจากข้าวขวัญแล้ว คนอื่นๆ ต่างมองดูนางด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เขากล่าวออกมาได้เพียงคำเดียวเท่านั้น

“...แม่”


Create Date : 23 พฤษภาคม 2554
Last Update : 23 พฤษภาคม 2554 7:55:06 น. 1 comments
Counter : 582 Pageviews.

 
โอย...สุข

...อิ่ม

รอตอนต่อนะครับ กำลังลุ้นจนจะขาดใจ


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 25 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:51:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.