ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
9 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ สนธยามาเยือน (27)

“ฉันขอโทษด้วยที่ไปท้าประลองกับเธอแบบนั้น”

“...ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ...ผมมันอ่อนหัดเอง”

เมื่อมายา กับสนธยาแยกตัวออกไปเพื่อพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ทั้งสองฝ่ายที่เหลืออยู่ต่างก็ชักชวนกันมานั่งรอที่รอบกองไฟ รัตติกาลยอมรับกับอรุณรุ่งว่าเขาไม่เคยเรียนวิชาดาบกับอาจารย์คนใดมาก่อน เขาเพียงแค่จดจำท่าทางต่างๆ มาจากนักดาบที่เคยพบ แล้วนำมาฝึกฝนด้วยตนเอง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ประลองดาบกับผู้อื่น

“ฉันเห็นจากการตั้งท่า อีกทั้งเธอยังเดินทางมากับนักมายากลด้วย ฉันจึงคิดไปเองว่าเธอต้องเป็นลูกศิษย์ของนักดาบที่มีฝีมือดีแน่ๆ จึงอยากจะขอประลองดู”

นั่นเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ครั้งแรกที่อรุณรุ่งได้พบรัตติกาล เธอก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น เธอคิดว่าต้องเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อนแน่ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกเสียที

“...ผมเกือบจะ...”

'ฆ่าฉันน่ะหรือ' รอยยิ้มจางหายไปจากหน้าของอรุณรุ่ง ถึงแม้ว่ารัตติกาลอาจจะพูดถูก แต่ความคิดที่ว่าเธอได้พ่ายแพ้ให้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยฝึกดาบมาก่อนเลยนั้น ทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบใจ

“ดาบนั้นของเธออาจจะเร็วมากก็จริงอยู่ แต่มันยังไม่สามารถเอาชีวิตของอรุณรุ่งแห่งประกายแสงได้หรอกนะ”

อรุณรุ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่ในความคิดของรัตติกาล ภาพที่ร่างของเธอถูกตัดแยกออกเป็นสองส่วนนั้นดูเหมือนจริงเป็นที่สุด เธอมองดูท่าทางซึมๆ ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงของเขา ก่อนที่จะตัดสินใจชวนคุยเรื่องอื่นแทน

“พวกเธอมาจากไหน ทำไมถึงได้มาเดินทางกับนักมายากลแบบนี้”

“พวกเรามาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำคำสัญญา น้องสาวของผมจะได้เป็นนักมายากลในอนาคตครับ”

ข้าวเขียวตอบออกไปด้วยความภาคภูมิใจ ดูเหมือนเขาจะลืมไปเสียสนิทว่า มายาเคยสั่งห้ามเอาไว้ ไม่ให้บอกข้อมูลอะไรกับคนแปลกหน้าที่พบเจอในระหว่างทาง

“...แล้วพวกเธอสองคนล่ะ ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีนักมายากลเป็นผู้ชาย และก็ไม่เคยได้ยินว่าเขายอมให้คนนอกเข้าไปในแดนแห่งดารามาก่อนด้วย”

“จริงๆ แล้วยังมี...”

ข้าวขวัญรีบพูดขัดคอพี่ชายเอาไว้ก่อนที่ข้าวเขียวจะหลุดปากบอกอะไรออกไปมากกว่านี้

“พี่ข้าวเขียวตามมาส่งน้องขวัญค่ะ ส่วนพี่รัตติกาลเองก็เพียงแค่ติดตามมา...เพื่อไปทำธุระอย่างอื่นต่อค่ะ”

ทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่ข้าวขวัญพอจะนึกออกมาได้ในช่วงเวลาที่จำกัดเช่นนี้ อรุณรุ่งหรี่ตามองเด็กทั้งสามคน 'มีความลับกันจริงนะ' แต่ตัวเธอเองก็มีความลับซ่อนอยู่เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่เป็นการสมควรที่จะไปโกรธอะไรเด็กพวกนี้มากนัก

'ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเองสินะ' แต่เธอยังอดไม่ได้ที่จะซักถามพวกเด็กๆ ต่อไป เพราะเมื่อได้เห็นท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลนโดยเฉพาะที่เกิดกับรัตติกาลแล้ว ก็ทำให้ความโกรธเมื่อครู่ของเธอค่อยๆ ลดลงไป

“เธอมีธุระสำคัญอะไร ที่ทำให้ต้องออกเดินทางมาแบบนี้ พ่อแม่เธอไม่เป็นห่วงแย่หรือ”

“...ผมไม่มีพ่อ...ส่วนธุระของผม ก็คือการออกติดตามหาแม่ที่หายตัวไป”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของรัตติกาลแล้ว อรุณรุ่งก็บอกได้ในทันทีว่าทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องจริง และเธอรู้สึกเสียใจที่ไปสะกิดถูกแผลของเด็กคนนี้เข้า

“ฉันพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม...เธอมีเบาะแสในการติดตามหาแม่บ้างหรือเปล่า”

รัตติกาลส่ายหน้า และนั่นเป็นความจริง ที่เขาติดตามมายาออกมาก็เพียงเพราะต้องการหาโอกาสขอฝึกวิชาดาบกับวาณิชเท่านั้น แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของพ่อค้าเร่คนนั้นให้เห็นอีกเลย

“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป”

นั่นเป็นคำถามที่รัตติกาลใช้ถามตัวเองมาได้หลายวันแล้ว เมื่อยังไม่มีวี่แววของวาณิช และจุดหมายของมายาก็ไม่ใช่เส้นทางเดินที่เขาต้องการไป แดนแห่งดารานั้นเป็นสถานที่สุดท้ายที่ควรไปเพื่อติดตามหาคน ดังนั้นหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความมุ่งมั่นของเขาก็คงจะค่อยๆ มอดดับไปในที่สุด

อรุณรุ่งจ้องมองรัตติกาลจนเขารู้สึกตัวแล้วหันมามองเธอ ใบหน้าของเธอตอนนี้ดูจริงจังอย่างยิ่ง เธอหวนนึกถึงตอนที่ได้ประลองกันเมื่อครู่ จิตใจของเขาที่ส่งผ่านออกมาจากดาบนั้นแม้ดูเหมือนเข้มแข็ง แต่กลับสับสนไร้จุดหมาย 'ดาบแบบนั้นจะฟันฉันโดนได้อย่างไร' นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมากที่สุด

รัตติกาลในตอนนี้เหมือนดั่งเงาจันทร์บนผิวน้ำ ถึงแม้แลดูงดงามเหมือนกับดวงจันทร์ของจริง แต่เมื่อมีลมพัดผ่าน รูปเงานั้นก็จะพลิ้วไหวไปพร้อมกับสายน้ำ จิตใจแบบนั้นย่อมไม่อาจนับเป็นนักดาบที่ดี แต่เขากลับยังสามารถฟันดาบอันรวดเร็วที่อรุณรุ่งเคยแต่ฝันถึงออกมาได้

รัตติกาลต้องก้าวข้ามความสับสนภายในใจออกไปให้ได้ และเพื่อการนั้นเขาจำเป็นต้องมีจุดหมายที่กระจ่างชัด

“เธอกวัดแกว่งดาบไปเพื่อสิ่งใดกัน”

รัตติกาลงุนงงที่อยู่ๆ อรุณรุ่งก็ถามคำถามแบบนี้ขึ้นมา แต่เขาก็พยายามที่จะคิดหาคำตอบ 'เราอยากเก่งไปเพื่ออะไร' เพื่อจัดการกับตัวประหลาดเหล่านั้น เพื่อปกป้องเพื่อนๆ หรือเพื่อออกติดตามหาแม่

“ดาบของเธอมีไว้เพื่ออะไร”

ความคิดของรัตติกาลยังคงวิ่งไปไม่หยุด

“ที่สุดปลายทางดาบ มีอะไรรอเธออยู่ที่นั่น”

ภาพทุกอย่างพลันกระจ่างชัด เป้าหมายของเขามีอยู่เพียงอย่างเดียวมาตั้งแต่ต้น แต่เขากลับไม่กล้าที่จะคิดถึงมันมาก่อน 'ฉันอยากเก่งเพื่อที่จะจัดการกับผู้เคลื่อนไหวในยามราตรี จัดการกับเคออส ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ฉันอยากที่จะปกป้องทุกคน' ประกายตาของเขาพลันกระจ่างจ้าขึ้นมา

อรุณรุ่งส่งยิ้มให้กับรัตติกาล เธอไม่ต้องการรู้ว่าคำตอบของเขาคืออะไร แต่ไม่ว่าเป้าหมายของเขาจะเป็นสิ่งใด นับแต่นี้เขาจะพุ่งตรงไปหามันอย่างเต็มที่ 'ด้วยจิตใจแบบนี้ ฉันถึงพอจะยอมรับได้บ้าง' เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องไปใส่ใจกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่พึ่งจะได้พบเจอเช่นนี้ด้วย

“ดูเหมือนเธอจะเจอคำตอบแล้วใช่ไหม”

รัตติกาลพยักหน้า 'สักวันหนึ่งเธอจะกลายเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเจิดจ้าอยู่บนฟากฟ้า ไม่ใช่เพียงแค่เงาจันทร์บนสายน้ำอีกต่อไป'

“เธอรู้ไหมว่าทำไมดาบที่พวกเราใช้อยู่จึงมีคมอยู่เพียงด้านเดียวเท่านั้น”

รัตติกาลก้มลงมองดาบของกล้าณรงค์ที่วางอยู่ข้างตัว ดาบเล่มนี้กับดาบของอรุณรุ่งนั้นแม้จะมีขนาด และรูปร่างที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือมันมีคมอยู่เพียงด้านเดียวเท่านั้น

“ดาบที่มีคมทั้งสองด้านก็มีอยู่ด้วยเหมือนกันใช่ไหมครับ”

ข้าวเขียวรู้เรื่องพวกนี้มาจากหนังสือเกี่ยวกับอาวุธของมายานั่นเอง นอกจากนี้มันยังมีหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของสงคราม และข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับดินแดนต่างๆ รวมอยู่ในนั้นด้วย เธอคงเผลอหยิบพวกมันออกมาให้เขาโดยไม่ตั้งใจ อรุณรุ่งรู้สึกแปลกใจกับความรู้รอบตัวของเขา

“ถูกแล้ว แต่ดาบแบบนั้นมีใช้อยู่ในเฉพาะคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น”

“พวกไหนหรือคะ”

ข้าวขวัญถามด้วยความสนใจ อรุณรุ่งหันไปทางข้าวเขียวพร้อมกับแสดงสีหน้าที่คล้ายกับจะท้าทายเขาว่า 'เธอรู้คำตอบไหมหนุ่มน้อย'

“...พวก...นักฆ่าน่ะ ดาบของคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะสั้นกว่าปกติเพื่อให้เก็บซ่อนได้ง่าย ที่สำคัญมันจะต้องมีคมทั้งสองด้าน และมีปลายแหลม เพื่อให้เหมาะกับการใช้ใน...งานของพวกเขา”

ข้าวเขียวตัดสินใจที่จะไม่ใช้คำว่าลอบสังหาร ข้อมูลเหล่านี้ก็มีเขียนอยู่ในหนังสือด้วยเช่นกัน ข้าวขวัญทำหน้ายู่เมื่อได้ยินคำตอบของพี่ชาย และมันทำให้อรุณรุ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก

“...เธอไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน...นักมายากลเล่าให้ฟังหรือไง”

นั่นเป็นคำตอบเดียวที่อรุณรุ่งพอจะนึกออก เรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มนักฆ่านั้นเป็นดั่งนิทานเรื่องหนึ่ง แต่มันก็เหมือนกับเรื่องของสี่ราชา กับเคออส ที่มีความจริงซุกซ่อนอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน คนพวกนี้ไม่ได้ปรากฏกายออกมาให้เห็นเนิ่นนานแล้ว แต่ในอดีตที่ผ่านมากลุ่มนักฆ่านั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์นับครั้งไม่ถ้วน

“...จะบอกว่าอย่างนั้นก็ได้เหมือนกันครับ”

'เพราะหนังสือพวกนั้นก็เป็นของมายาจริงๆ นั่นแหละ' คนอื่นๆ มองหน้าข้าวเขียวด้วยความสงสัย อรุณรุ่งไม่อยากจะไปซักไซ้อะไรกับเขาให้มากเกินไป เพราะมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญมากนักในความคิดของเธอ

“กลับมาที่คำถามเดิมของฉันกันดีกว่า เธอคิดว่ายังไง”

รัตติกาลยังคงมองดูดาบเล่มนั้นพร้อมกับคิดหาคำตอบ

“...เพื่อถ่วงให้เกิดน้ำหนักที่เหมาะสมในการฟันครับ สันที่หนาจะทำให้ตัวดาบมีน้ำหนัก หากทำให้เป็นคมทั้งสองด้าน น้ำหนักที่หายไปจะทำให้ประสิทธิภาพในการฟันลดน้อยลงด้วย”

“เป็นคำตอบที่ดี โดยทางกายภาพแล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่มันก็ยังมีมุมมองแบบอื่นซ่อนอยู่อีก”

รัตติกาลนิ่งเงียบ เขายังนึกหาคำตอบอย่างอื่นไม่ออก

“...การทำลายล้างไม่ใช่คำตอบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในบางครั้งการใช้สันดาบอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องยิ่งกว่า เราที่เป็นผู้ใช้ดาบต้องระลึกถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา”

รัตติกาลทำหน้างงกับคำอธิบายที่ได้ยิน 'เธออาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจมันนักในตอนนี้' ดาบของพวกเรายังเหลือทางเลือกให้กับผู้ใช้ ไม่เหมือนกับดาบของนักฆ่าที่ไม่มีสิ่งใดอีกนอกจากคมดาบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันหมายถึงการตายที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากไม่ใช่เป้าหมายก็ต้องเป็นผู้ที่ใช้มันนั่นเอง

“ท่านอรุณรุ่งครับ”

“มีอะไร”

ทหารติดตามอีกคนหนึ่งที่เคยนั่งเงียบอยู่ห่างๆ ตั้งแต่แรก เข้ามาขัดจังหวะการพูดคุยของพวกเขา

“ก่อนออกมาทั้งท่าน กับท่านอาจารย์ต่างก็ไม่ได้กินอะไรกันเลย ผมนำอาหารจากที่ค่ายติดตัวมาด้วยตามคำสั่งของท่านอาจารย์ ท่านจะรับประทานก่อนเลยดีไหมครับ”

ก่อนจะออกมาจากค่ายพักแรม ทั้งสองต่างเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเรื่องราวที่ไม่คาดหมาย ดังนั้นจึงเพียงแค่รองท้องกันมาด้วยอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สนธยาวางแผนเอาไว้ว่าจะแวะกินในระหว่างที่เดินทางกลับหากทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะไม่มีอะไรแล้ว และเมื่อถูกทักอรุณรุ่งเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาเหมือนกัน

“กินตอนนี้เลยก็ดี”

ทหารติดตามนำหม้อใบเล็กที่ติดตัวออกมาขึ้นตั้งไฟ เมื่อสิ่งที่อยู่ภายในนั้นเริ่มร้อนได้ที่ ก็มีกลิ่นหอมฉุนเฉียวที่กระตุ้นความอยากอาหารค่อยๆ ลอยออกมา ข้าวเขียวชะโงกมองดูน้ำแกงข้นๆ ที่อยู่ภายใน มันเป็นสีเหลืองอ่อนๆ พร้อมทั้งมีผัก กับเนื้อบางอย่างผสมรวมกันอยู่ในนั้น เขาไม่เคยเห็นอาหารแบบนี้มาก่อนเลย

“มันคืออะไรครับ”

“มันเรียกว่าแกง เป็นอาหารอย่างหนึ่งที่นิยมกันที่บ้านเกิดของฉัน ปกติแล้วมันจะใช้เนื้อไก่ หรือเนื้อวัว แต่ใช้เนื้อกระต่ายแทนแบบนี้ก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง”

“...เอ่อ...ขอผมชิมหน่อยได้ไหมครับ”

“คงไม่ได้หรอกเจ้าหนู นี่เป็นอาหารของท่านอรุณรุ่ง กับท่านอาจารย์นะ”

ทหารติดตามรีบคัดค้านทันที รัตติกาล กับข้าวขวัญต่างก็คิดเช่นกันว่ามันเป็นคำขอที่ไม่สมควรเลย อีกทั้งข้าวเขียวเองก็พึ่งจะกินอาหารจำนวนมากเข้าไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่คิดเช่นนั้น

“ขอชิมแค่คำเดียวเท่านั้นเองครับ”

ทหารติดตามคนนั้นหันมาทำหน้าดุใส่ข้าวเขียว แต่เขาก็ไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย อรุณรุ่งเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ทั้งโกรธทั้งขำ

“เอาน่า ให้เขาชิมดูสักหน่อยจะเป็นอะไรไป”

ข้าวเขียวเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบยื่นแขนออกมา ในมือของเขาพลันมีช้อนสีเงินที่เป็นประกายแวววาวอยู่ด้วย รัตติกาลจำได้ว่ามันเป็นช้อนที่มายานำออกมาให้ใช้นั่นเอง ไม่รู้ว่าเขาแอบซ่อนมันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร แต่วิธีการที่เขานำมันออกมานั้นราวกับว่าตัวเขาเองเป็นนักมายากลก็ไม่ปาน

ข้าวเขียวยิ้มกว้างก่อนที่จะจุ่มช้อนลงไปในหม้อแกง เขาพยายามเลือกตักให้ได้ทั้งผัก กับเนื้อขึ้นมาพร้อมๆ กัน เพื่อที่จะได้ลิ้มรสทั้งหมดของมันในช้อนเดียว อรุณรุ่งแอบยิ้มอยู่ในใจ เธอไม่คิดจะเตือนให้เขารู้ตัวก่อนเลยว่าแกงที่กำลังจะได้ชิมนั้นมันเผ็ดขนาดไหน 'ดูซิว่าเธอจะทำหน้ายังไง'

“...นี่มันอะไรกัน”

ข้าวเขียวยกช้อนขึ้นจากหม้อโดยไม่ได้ตักอะไรขึ้นมาด้วยสักอย่าง มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับช้อนที่อยู่ในมือ ด้ามของมันยังคงเป็นประกายแวววาวอยู่เช่นเดิม แต่ส่วนที่ถูกจุ่มลงไปในน้ำแกงนั้นเปลี่ยนกลายเป็นสีดำไปแล้ว

ทหารติดตามพยายามชักดาบของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ตัวดาบจะพ้นออกมาจากฝัก ปลายดาบของอรุณรุ่งก็จ่อจี้ไปที่คอหอยของเขาเป็นที่เรียบร้อย รัตติกาลเองก็เคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นกัน แต่ที่เขาตัดสินใจทำคือการขวางดาบพร้อมทั้งนำตัวเองเข้าไปกั้นกลางระหว่างทหารติดตาม กับสองพี่น้องเอาไว้

อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในมื้ออาหารของมายาล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องเงินทั้งสิ้น 'ยาพิษส่วนใหญ่จะทำปฏิกิริยากับโลหะเงินแล้วเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นสีดำ' นั่นเป็นคำตอบของเธอเมื่อถูกข้าวเขียวถามว่าทำไมถึงต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพงแบบนี้ในการกินอาหารกลางป่าเขาด้วย

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่คนเดียว มายา กับสนธยาที่ยังคุยกันอยู่ จึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลย

“ใครส่งแกมา”

อรุณรุ่งถามเรียบๆ ทหารติดตามคนนั้นฉีกยิ้มอย่างเสียสติก่อนที่จะทำบางอย่างที่ทุกคนคิดไม่ถึง เขาก้าวออกมาข้างหน้าปล่อยให้ปลายที่แหลมคมของฉายรัศมีแทงทะลุผ่านลำคอออกไป ลำโลหิตสีแดงฉานพลันฉีดพุ่งออกมาเป็นสายพร้อมกับเสียงกรีดร้อง แต่ไม่ใช่จากปากของร่างที่กลายเป็นไร้ชีวิตไปแล้วนั้น

ข้าวขวัญร้องออกมาอย่างสุดเสียงก่อนที่จะเป็นลมล้มพับลงไป


Create Date : 09 สิงหาคม 2553
Last Update : 9 สิงหาคม 2553 7:48:48 น. 3 comments
Counter : 587 Pageviews.

 
อื้อหือ...กำลังมันเลย...อยากให้อั๊บไว ๆ จัง


โดย: (ขพจ.) (บ้านที่ไม่มีอะไร ) วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:18:50:15 น.  

 
ก็อยากจะเขียนได้ไวๆ เหมือนกันครับ
แต่เวลามันไม่ค่อยจะอำนวยสักเท่าไร

ขอบคุณที่คอยติดตามกันมาตลอดนะครับ
คิดเสียว่าตามอ่านการ์ตูนรายสัปดาห์อยู่ละกัน


โดย: zoi วันที่: 10 สิงหาคม 2553 เวลา:7:33:29 น.  

 
ก็คิดเหมือนกันแหละครับ...

...จะรออ่านต่อไปให้จบ...

...คิดไว้ว่าคงจะมีสัก 60 - 70 บทแน่ๆๆๆๆ


โดย: บ้านที่ไม่มีอะไร วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:16:11:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.