ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
27 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ สงครามครั้งสุดท้าย (63)

“ปล่อยเขาไปแบบนี้จะดีหรือ”

นิลวายุอดเอ่ยปากถามมายาไม่ได้

“พลังสัญญาที่เขาใช้ออกมาเมื่อครู่นี้ ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย...ที่สำคัญฉันทำแบบนั้นเหมือนเขาไม่ได้แน่”

ใบหน้าของมายายังคงมีรอยยิ้มอยู่มิได้ขาด และถึงแม้จะดูงดงามปานใด นิลวายุก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ กับมันไม่ได้ เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ เธอเอาแต่ซ่อนหน้าอยู่ภายใต้เงามืดของเสื้อคลุมราตรีก็เป็นได้

“ไม่มีใครห้ามเขาได้หรอก เธอเองก็น่าจะเข้าใจไม่ใช่หรือ ที่สำคัญพลังของเขาดูเหมือนจะมีอันตรายมากเกินไป...”

รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“...กับเธอ พลังของเขาอาจทำให้เธอไม่อาจบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ เธอคงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นใช่ไหม”

นิลวายุเข้าใจความหมายในคำพูดของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกไม่ดี ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่ แต่กลับปล่อยให้กองทัพของตนต้องสูญเสียกำลังรบสำคัญไปในยามที่มีความจำเป็นเช่นนี้ แต่หากรัตติกาลยังอยู่ก็คงจะแย่งชิงบทเด่นที่ควรเป็นของเขาไปจนหมด และอาจส่งผลกระทบต่อแผนก้าวขึ้นเป็นจ้าวราชันย์อันดับหนึ่งหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง

“ที่เธอพูดมันก็ถูก แต่ว่า...”

“อย่ากังวลไปเลย กองทัพของเธอรวมกับนักมายากลของฉัน ต้องสามารถจัดการกับเคออสได้แน่”

มายาควบม้าขึ้นมาเคียงข้าง พร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือของนิลวายุเอาไว้ ทั้งสองสบตากัน

“ขอจงมั่นใจในตัวฉัน”

#####

“ปล่อยเขาไปคนเดียวแบบนี้จะดีหรือคะ”

ม่านเมฆถามด้วยความเป็นห่วง

“พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบไปจัดการ แม้จะรู้อย่างนั้น แต่เขาก็ยังอยากออกไปอยู่ดี”

เจิดจรัสตอบ ถึงแม้ว่ารัตติกาลจะรับปากกับเขาว่าจะรีบติดตามมา แต่ดูเหมือนคนพูดเองก็จะไม่ค่อยมีความมั่นใจเลย ว่าจะสามารถทำได้อย่างที่พูดจริงหรือไม่

“...พวกเราจะจัดการกับเคออสได้จริงหรือคะ”

“คงต้องเชื่อใจนิลวายุ กับกองทัพของนักมายากลแล้ว”

ม่านเมฆพยักหน้า พร้อมกับเร่งควบม้าติดตามเจิดจรัสไป แต่ภายในใจของเธอกลับร่ำร้องบอกว่า มายากับกองทัพนักมายากลของเธอนั้น ดูไม่น่าไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย

#####

'หากเจอพวกเงาประหลาดให้รีบตีฝ่าออกไปอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกล้อมเด็ดขาด' นั่นเป็นสิ่งที่รัตติกาลเคยย้ำหลายครั้งกับเหล่าสมาชิก 'แล้วถ้าเป็นแมงมุมล่ะ' เมฆาได้ยินเสียงของตนเองถามออกไป ในการรบหลายครั้งที่ผ่านมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทุกคนได้เห็นเงาของมันเฉียดผ่านเข้ามาใกล้ แต่ก็ยังไม่เคยได้ปะทะกันตรงๆ เลยสักครั้ง

'หนีให้เร็วที่สุด' รัตติกาลพูดอย่างจริงจัง 'นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถรอดชีวิตจากมันได้' หลายคนยังพยายามถาม 'ไม่มีทางที่จะจัดการกับมันได้เลยหรือ' และคำตอบของเขาคือ 'ถ้าหนีไม่ได้จริงๆ ก็ให้ทั้งหมดรวมพลังเข้าด้วยกัน บางทีอาจจะพอขับไล่มันไปได้'

ในขณะที่ข้าวขวัญกำลังเงยหน้าจ้องมองตัวปราสาทจันทรา ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด เหมือนกับว่าเธอเคยเห็นมันมาก่อน แต่จากมุมมองที่แตกต่างออกไปจากในตอนนี้ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่เธอจะเคยพบเห็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่โตเช่นนี้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบเห็นที่ไหน

แมงมุมเงาตัวหนึ่งที่ซุ่มซ่อนอยู่ได้จู่โจมเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว ถึงแม้มันจะมีขนาดเล็กกว่าตัวที่ข้าวขวัญเคยเจอ แต่ความน่ากลัวของมันก็แทบจะไม่แตกต่างกันเลย พวกเขาต้องเสียเพื่อนร่วมทางไปถึงสองคนในชั่วพริบตา เมื่อม้าเหวี่ยงพวกเขาด้วยความตกใจ และเขี้ยวที่แหลมคมของมันก็ไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อที่ร่วงตกลงมาตรงหน้าหนีรอดไปได้

“ไป ไป ไป”

ม้าที่เหลือต่างรวมกลุ่มควบหนีกันสุดฝีเท้า แต่ความเร็วในการไล่ล่าติดตามของเจ้าแมงมุมเงากลับดูเหมือนจะรวดเร็วยิ่งกว่าฝีเท้าม้าเสียอีก

“แยก แยก แยก”

เมฆาคำนึงถึงความปลอดภัยของข้าวขวัญเหนือสิ่งอื่นใด เขาจึงตัดสินใจใช้แผนฉุกเฉินที่เตรียมเอาไว้ แทนที่จะใช้วิธีรวมกลุ่มกันต่อสู้

ม้าที่เหลือทั้งหกตัวต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง มีเมฆาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ติดตามข้าวขวัญไป โอกาสรอดของพวกเขาก็คือให้แมงมุมเงาติดตามใครคนใดคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะในเป้าหมายจำนวนมากมาย มันกลับเลือกที่จะติดตามคนทั้งสองมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคร้าย หรือเป็นเพราะมันรู้ว่าเป้าหมายสำคัญคือหนึ่งในสองคนนี้กันแน่

เมฆาตัดสินใจควบม้าของตัวเองหันกลับมาต่อสู้กับแมงมุมเงา เพื่อถ่วงเวลาให้ข้าวขวัญหนี

“กลับไปหารัตติกาล”

เมฆาตะโกนสุดเสียง

“อย่าหันกลับมา”

เมฆาชักดาบยาวของตนแล้วเริ่มต้นโจมตีทันที ในกองกำลังทั้งหมดมีเขา กับรัตติกาลเพียงสองคนเท่านั้นที่ใช้ดาบของสุริยัน ส่วนที่เหลือใช้ดาบคุณภาพต่ำที่พวกชาวบ้านตีขึ้นมากันเอง

บิดาของเมฆาเป็นอดีตทหารของสุริยัน และดาบเล่มนี้คือของมีค่าเพียงสิ่งเดียวที่เหลือตกทอดมาสู่ลูกชาย ก่อนที่เขาจะหายตัวไป ไม่ว่ามารดาจะต้องลำบากในการเลี้ยงดูเขามากเพียงใด ก็ไม่เคยคิดจะนำดาบเล่มนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของเพื่อนำมาใช้ประทังชีวิตเลยแม้สักครั้ง

เมฆาคร่ำเคร่งฝึกฝนวิชาดาบด้วยตนเอง เหมือนกับที่บิดาเคยสอนให้ทุกวันตั้งแต่ยังเล็ก และเมื่อได้รับการถ่ายทอดวิชาดาบเพิ่มเติม เขาก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเป็นคู่ซ้อมให้กับรัตติกาลได้

เสียงระเบิดเบาๆ ดังขึ้นทางด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลนัก แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหัว เมฆาไม่ได้หันกลับไปมอง แต่เขามั่นใจว่านั่นคงเป็นพลุสัญญาณที่ข้าวขวัญเคยบอกเอาไว้นั่นเอง

ขาทั้งแปดของแมงมุมเงานั้นคมดั่งใบมีด มันสามารถยืดตัวขึ้นยืนด้วยขาเพียงสองข้าง เมฆาจึงเหมือนกับต้องรับมือกับดาบถึงหกเล่มในเวลาเดียวกัน เพลงดาบของรัตติกาลนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่มีการผสมผสานความเคลื่อนไหวของร่างกายให้เหมาะสมกับการฟันในแต่ละครั้ง ซึ่งไม่อาจใช้ออกได้อย่างเต็มที่เมื่ออยู่บนหลังม้า ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจกระโดดลงมา แล้วปล่อยให้ม้าของตนวิ่งเตลิดหายไป

'ขอให้เจ้าโชคดี' ถึงตอนนี้เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถรอดชีวิตกลับไปได้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยก็ขอถ่วงเวลาให้นานที่สุด เพื่อให้ข้าวขวัญหนีไปให้ไกล และเป็นการทำตามคำขอร้องของรัตติกาลที่ให้คุ้มครองเธอด้วย

แม้ดูเหมือนว่าความตายจะกำลังรออยู่ แต่ในหัวใจของเมฆากลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด เขาได้ทุ่มเททุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตนี้เพื่อตอบแทนให้กับคนๆ หนึ่งที่ทำให้พวกเขามีความหวัง และความฝัน หวังที่จะนำสันติภาพกลับคืนมาสู่แผ่นดินนี้ และฝันที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขได้อย่างที่ควรจะเป็น

เมฆาใช้คมดาบกรีดตัดอากาศออกเป็นทางยาวเปิดให้พลังสัญญาไหลทะลักออกมา มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถใช้โจมตีใส่แมงมุมเงาได้ ถึงแม้เขาจะต่อสู้ได้อย่างกล้าหาญ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรี่ยวแรงของเขาก็ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ ในขณะที่การเคลื่อนไหวของมันยังคงไม่เชื่องช้าลงเลยแม้แต่น้อย

'ไม่ไหวแล้ว' เมฆาเหน็ดเหนื่อยทั้งจากการรับมือกับขาทั้งหกของแมงมุมเงา และการใช้พลังสัญญาอย่างต่อเนื่อง จนไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีกแล้ว เขาฉวยโอกาสโจมตีใส่มันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนหลบถอยห่างออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นจับดาบโดยใช้มือทั้งสอง

ตัวดาบถูกยกขึ้นชี้ตรงไปข้างหน้า เมฆาตัดสินใจที่จะแลกชีวิตแล้ว เขาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับวิ่งเข้าใส่ คมดาบกรีดผ่านอากาศเกิดเป็นพลังสัญญาพวยพุ่งไปเป็นทาง นี่คงเป็นดาบสุดท้ายของเขาแล้ว

ขาทั้งหกของแมงมุมประสานกันเข้ากลายเป็นข่ายใยที่แน่นหนา พลังสัญญาจากคมดาบของเมฆาถูกหยุดเอาไว้ได้ ทั้งสองยืนประจันหน้ากันในระยะประชิด เขาได้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำของมันเป็นครั้งแรก ความหวาดกลัวที่เก็บลึกอยู่ภายในใจค่อยๆ ถูกสั่นไหวก่อนกระจายไปทั่วร่าง ไอสีขาวค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างของเขาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

“ปล่อยเขานะ”

ข้าวขวัญที่ควรจะหนีไปสู่ที่ปลอดภัยแล้ว ย้อนกลับมาอีกครั้ง ในมือของเธอไม่ได้ถืออาวุธ แต่กลับถือกระบอกที่ใช้ยิงพลุเมื่อครู่เอาไว้ เธอวางมันลงใต้ร่างของแมงมุมเงา และก่อนที่มันจะทันได้ตอบโต้ พลุลูกหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ร่างของมัน

ร่างของเมฆาล้มหงายไปทางด้านหลัง ในขณะที่ร่างของแมงมุมเงาถูกแรงขับดันของพลุกระแทกเข้าใส่จนลอยขึ้นจากพื้น พอพลุแตก แรงระเบิดก็พยายามที่จะฉีกร่างของมันออกจากกัน ร่างนั้นบวมพองจนผิดรูป มันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ดูเหมือนว่าพลังทำลายของพลุนั้นจะยังไม่เพียงพอ เพราะร่างของมันค่อยๆ ยุบตัวลงแล้ว

ตั้งแต่ยิงพลุออกไป ข้าวขวัญก็ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย เธอรีบเก็บกระบอกยิงพลุ พร้อมกับใช้สองมือลากร่างของเมฆา ทั้งดึงทั้งดันเขาขึ้นไปบนหลังม้าอย่างทุลักทุเล แล้วควบขับออกไปอย่างรวดเร็ว

แมงมุมเงาดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นตัว สองตาของมันเปลี่ยนจากสีดำกลายเป็นสีแดง มันส่งเสียงกรีดร้องอีกครั้ง แต่เป็นเสียงที่บ่งบอกถึงความโกรธแค้น ไม่ใช่เสียงที่เกิดจากความเจ็บปวดแต่อย่างใด มันเคลื่อนตัวไปรอบๆ ก่อนออกติดตามเหยื่อของมันไปอย่างรวดเร็ว

'รีบมาหาฉัน' เสียงผู้หญิงที่ข้าวขวัญเคยได้ยินดังขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เธอคิดว่าเสียงนั้นดังขึ้น ชัดขึ้น และคุ้นเคยมากขึ้นกว่าเดิม ภาพของปราสาทจันทราที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอรู้ตัวว่ากำลังไปผิดทาง ความจริงแล้วเธอควรจะไปในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อกลับไปหากองทัพที่รออยู่

ในขณะที่ข้าวขวัญกำลังพยายามบังคับม้าให้เปลี่ยนทิศทาง ร่างของเมฆาเกิดอาการกระตุกขึ้นอย่างแรง และก่อนที่เธอจะทันได้แก้ไขอะไร ร่างของทั้งสองก็ร่วงหล่นลงมาจากหลังม้า มันวิ่งเตลิดต่อไปไม่ยอมหยุดอาจเป็นเพราะรู้ดีว่ามีสิ่งที่น่ากลัวกำลังไล่ติดตามมันมา

ข้าวขวัญลุกขึ้นหมายจะติดตามม้าไป แต่เมฆาที่ได้สติคืนมาแล้วรีบดึงเธอให้หมอบลงมา

“...เงียบ”

เมฆาพยายามกระซิบเสียงเบาที่สุด เพื่อให้ข้าวขวัญอยู่นิ่งๆ เงาของตัวประหลาดที่มีแปดขา วิ่งลัดเลาะติดตามม้าที่กำลังเตลิดตัวนั้นผ่านไปในความมืด ทั้งสองต่างถอนหายใจออกมาเบาๆ ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างพวกเขา อย่างน้อยก็คงจะปลอดภัยได้อีกพักหนึ่ง

เมฆาคิดว่าตนเองได้ยินเสียงโห่ร้องดังแว่วมากับสายลม 'เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ' ดูเหมือนว่าจะมีการสู้รบขนาดใหญ่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้

“เป็นอย่างไรบ้าง”

ข้าวขวัญถามเบาๆ

“ชู่ว...อย่าเสียงดังไป...เรี่ยวแรงผม...หายไปไหนหมดก็ไม่รู้”

“จะทำอย่างไรต่อไปดี”

“...ท่านรีบหนีไปก่อน”

“ไม่ได้ ฉันไม่ยอมทิ้งเธอแน่”

เมฆาจ้องหน้าข้าวขวัญจนเขามั่นใจว่าเธอหมายความตามนั้นจริงๆ เสียงม้าร้องด้วยความตื่นตระหนกดังลอยมาไกลๆ ในสายลม ดูเหมือนว่าแมงมุมเงาจะตามมันทัน และรู้ว่าเหยื่อที่กำลังติดตามอยู่ได้เล็ดรอดหลบหนีไปได้แล้ว

“ซ่อน...บนต้นไม้ต้นนั้น”

เมฆาชี้มือไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ม้าวิ่งเฉียดผ่านเข้าไปใกล้ก่อนที่พวกเขาจะตกลงมา

“ย้อนเส้นทางกลับไป...อย่าสร้างร่องรอยใหม่เด็ดขาด”

ข้าวขวัญพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับพยุงเมฆาให้ลุกขึ้น หลังจากใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่ ทั้งสองก็ขึ้นมาอยู่บนกิ่งที่มีใบค่อนข้างหนาทึบได้สำเร็จ

สายลมเย็นโชยพัดมา แต่ข้าวขวัญกลับเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ความรู้สึกบางอย่างบอกกับเธอว่า เจ้าแมงมุมตัวเมื่อครู่ กำลังย้อนกลับมาตามเส้นทางนี้แล้ว


Create Date : 27 เมษายน 2554
Last Update : 27 เมษายน 2554 7:45:15 น. 5 comments
Counter : 619 Pageviews.

 
นึกว่าจะเขียนไม่ทันเสียแล้ว
แต่ในที่สุดก็นำมาลงให้อ่านกันจนได้


โดย: zoi วันที่: 27 เมษายน 2554 เวลา:7:46:03 น.  

 
อยากรู้จริง ๆ ว่าเสียงนั้นคือเสียงอะไร 'เสียงที่เรียกข้าวขวัญให้ไปหา'

บทถัดไปน่าจะมีข้าวเขียวได้แล้วนา


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 27 เมษายน 2554 เวลา:10:14:55 น.  

 
รู้ได้ยังไง!!!


โดย: zoi วันที่: 27 เมษายน 2554 เวลา:10:49:27 น.  

 
อิอิ


โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 27 เมษายน 2554 เวลา:14:26:10 น.  

 
เดาล้วน ๆ เลยครับ


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 29 เมษายน 2554 เวลา:10:36:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.