ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ คืนแห่งงานฉลอง (6)

รัตติกาล นั่งกินข้าวเย็นกับมารดาด้วยความเงียบงัน จันทร์เสี้ยว ที่แม้จะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของลูกชายแต่ก็ไม่ได้ไต่ถามอะไร หลังกินอาหารเย็นเรียบร้อย ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังช่วยกันเก็บล้างจานชามกันตามปกติอยู่นั้น นางก็พูดขึ้นว่า

“ได้ยินว่าคืนนี้จะมีการ แสดงพลุ เป็นการฉลองใหญ่สำหรับหมู่บ้านของเราเลยทีเดียว แต่แม่รู้สึกไม่ค่อยสบาย ลูกไปกับบ้านของ ข้าวเขียว ก็แล้วกันนะ”

“ครับ…จริงๆ แล้วผมนัดกับเพื่อนๆ ไว้แล้ว…กล้าไพร ก็จะไปด้วยครับ”

“ไปกันหลายๆ คนก็ดี ยังไงตอนกลับก็ให้มาพร้อมๆ กันนะ ยิ่งถ้ามี กล้าไพร ไปด้วยแม่ก็ยิ่งวางใจ”

“แม่ไม่เสียดายหรือครับที่ไม่ได้ดูพลุ”

นางหันไปยิ้มให้กับลูกชาย

“ไม่หรอกลูก แม่เคยดูเมื่อนานมาแล้ว ที่สำคัญใครบอกว่าแม่จะไม่ได้ดู ถ้ามองจากบ้านของเราไปก็คงยังพอมองเห็นได้เหมือนกัน”

“…พลุ นี่ มองเห็นได้จากที่ไกลๆ ขนาดนี้เลยหรือครับ”

นางทำท่าหลับตาเหมือนกับพยายามรำลึกถึงความหลัง

“…ลูกไฟจะค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะแตกระเบิดออกกลางท้องฟ้า เป็นสะเก็ดไฟเล็กๆ หลากสี กระจายออกไปเป็นรูปแบบต่างๆ ตามที่ผู้สร้างได้กำหนดเอาไว้ ถ้ามีการจุดพลุจำนวนมากขึ้นพร้อมๆ กัน เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ จะสวยงามยิ่งกว่าดูอยู่ใกล้ๆ เสียอีก…”

รัตติกาล กลับหวนคิดถึงนัดหมายระหว่างตัวเขา กับ ข้าวขวัญ และ กล้าไพร อีกครั้ง เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมาเขาได้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมในแผนการช่วยเหลือ ข้าวขวัญ ของ กล้าไพร ด้วยอีกคน ตอนนี้เขากำลังลำบากใจอยู่ว่าจะบอกกับมารดาของเขาอย่างไรดี

จันทร์เสี้ยว มองดูท่าทางที่อึดอัดของลูกชายก่อนจะตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มถามขึ้นก่อน

“ลูกมีเรื่องอะไรอยู่ในใจใช่ไหม”

“…ครับ”

รัตติกาล ยังนึกไม่ออกว่าจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ออกไปอย่างไร เพราะทั้งหมดยังคงเป็นแค่เพียงการคาดเดาของพวกเขาเองเท่านั้น

“…ถ้าลูกตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างที่ลูกคิดว่าถูกต้อง แม่ก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ลูกต้องละเอียดรอบคอบให้มาก ในโลกนี้การตัดสินสิ่งถูกผิดนั้นทำได้ยาก และเมื่อไรที่ลูกเกิดรู้สึกว่าสิ่งที่เคยคิดว่าถูกนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ผิด จงพร้อมที่จะยอมรับและแก้ไขสิ่งที่เกิดจากการกระทำของตนเอง”

รัตติกาล หันไปมองหน้า จันทร์เสี้ยว รอยยิ้มของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเธอรู้เรื่องราวทุกอย่างที่พวกเขาคิดจะทำดี แต่นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ถึงแผนการทั้งหมดของ กล้าไพร เลย

เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น กล้าไพร มาถึงตามเวลาที่นัดกันไว้ จันทร์เสี้ยว เร่งให้ลูกชายรีบไปเพื่อที่จะได้ไม่พลาดการแสดงบนเวทีของ นักมายากล ที่จะมีขึ้นก่อน โดย การแสดงพลุ จะเป็นรายการสุดท้ายเมื่อท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว

นางแสดงความพึงพอใจที่ กล้าไพร นำเอา คบไฟ ติดมาเพื่อใช้ในการเดินทางขากลับด้วย ซึ่ง รัตติกาล นั้นลืมไปเสียสนิท ก่อนที่ทั้งสองจะจากไปนางก็พูดกับ กล้าไพร ว่า

“ฝากด้วยนะ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยได้เรื่องนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องของ สายตา ล่ะก็ เชื่อใจเขาได้เต็มที่เลย”

“…ครับ”

กล้าไพร รับคำทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของนาง ก่อนที่ทั้งสองจะเดินจากไปด้วยกัน

จันทร์เสี้ยว ยืนมองดูเด็กชายทั้งสองค่อยๆ เดินจากไป ‘พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ…นักมายากล คงเจอ ข้าวขวัญ เข้าแล้ว พลังของเด็กคนนั้นน่าทึ่งมากทีเดียว กงล้อได้เริ่มหมุนแล้ว อนาคตที่แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังคงไม่อาจมองเห็นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว’

ที่บ้านของ ข้าวเขียว กับ ข้าวขวัญ ทั้งสองต่างก็กำลังกินอาหารเย็นอยู่กับครอบครัวเช่นกัน อุดม เอาแต่บ่นไม่ยอมหยุดถึงเรื่องการประชุมเมื่อตอนบ่าย ที่ไม่มีใครยอมบอกเขา

“ฉันก็เป็นแกนนำคนหนึ่งของหมู่บ้านนี้เหมือนกัน ทำไมประชุมกันแล้วไม่ยอมเรียกฉันไปด้วย แบบนี้มันไม่มากไปหน่อยหรือไง”

ข้าวเขียว กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ ข้าวขวัญ แทบไม่ได้แตะต้องข้าวของตัวเองเลย ตั้งแต่พี่ชายกลับมาถึงบ้านเขาก็เอาแต่อวดขนมแปลกๆ ที่ซื้อมาจาก พ่อค้าเร่ ให้เธอดู และย้ำนักย้ำหนาว่าเขาจะไม่ยอมแบ่งขนมให้ตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ แต่เขากลับขอชิม น้ำตาลแท่ง ที่เธอได้รับมาจาก วาณิช โดยไม่ลังเลเลยสักนิด

เธอไม่ได้บอกเรื่องแผนการในคืนนี้ให้เขารู้ ตามที่ กล้าไพร ได้กำชับเอาไว้ เธอกำลังรู้สึกวิตกกังวลมาก แต่สิ่งที่เธอกังวลในตอนนี้กลับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เป็นเรื่องของผลที่จะเกิดขึ้นกับ กล้าไพร และ รัตติกาล จากการกระทำของพวกเขาในคืนนี้

เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น เด็กชายทั้งสองที่เดินปรึกษากันมาตลอดทางได้มาถึงหน้าบ้านแล้ว อุดม ที่เดินออกมาส่งเด็กๆ ทั้งหมด หันไปคุยกับ รัตติกาล

“น่าเสียดายที่แม่ของเธอมาไม่สบายเอาวันนี้เข้าพอดี คงไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกนะ”

“ครับ แม่บอกว่าแค่ปวดหัวนิดหน่อย นอนพักแล้วก็คงจะดีขึ้นครับ”

แล้วเขาจึงหันไปถาม กล้าไพร บ้างว่า

“แล้วพ่อของเธอล่ะ”

“เขาคงไม่เข้ามาในหมู่บ้านหรอกครับ ยิ่งมีคนเยอะๆ แบบนี้ด้วย”

“นั่นสินะ…เอาล่ะ…พวกเด็กๆ ไปด้วยกันเองคงจะสนุกกว่า แล้วพ่อกับแม่จะรีบตามไปทีหลัง”

พวกเด็กๆ จึงออกเดินทางไปด้วยกัน ดูเหมือนว่า ข้าวเขียว จะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ดูจะตื่นเต้นยินดีกับการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้น

#####

ลานกลางหมู่บ้าน ในยามเย็นเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่จะจับกลุ่มกันอยู่ตรงหน้าเวทีที่ถูกตั้งขึ้นบริเวณกลางลานกว้าง อีกส่วนหนึ่งก็กำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ที่ รถสินค้า ของ พ่อค้าเร่ มีคบไฟขนาดใหญ่หลายอันตั้งอยู่ข้างเวที และบริเวณโดยรอบเพื่อจุดให้แสงสว่างในเวลาค่ำคืน

มีหลายคนนำขนม และเครื่องดื่ม มาขายในลานกว้างด้วย หลัง การแสดงพลุ เสร็จสิ้นลง คงมีการฉลองต่อกันจนดึกดื่นแน่

พวกเด็กๆ ที่พึ่งมาถึงรีบเข้าไปจับจองที่นั่งบริเวณด้านหน้าเวที ข้าวเขียว พยายามมองหาที่ว่างที่อยู่ใกล้กับเวทีมากที่สุด ซึ่งตอนแรก รัตติกาล คาดว่า กล้าไพร จะต้องคัดค้าน เพราะมันจะทำให้แผนของพวกเขายากลำบากยิ่งขึ้น แต่เขากลับไม่พูดอะไรเลยสักคำ

พอหาที่นั่งได้แล้ว ข้าวเขียว ก็ไม่อยู่นิ่ง เขาเอาแต่มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น สุดท้ายก็ขอตัวไปเดินดูขนม และเครื่องดื่ม แน่นอนที่ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาต่างรอโอกาสที่จะได้อยู่กันแค่สามคนมานานแล้ว

ในตอนแรกพวกเขาได้แต่มองหน้ากันไปมา จนในที่สุด ข้าวขวัญ ก็เป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน

“…พวกพี่ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ค่ะ เรายังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าพวกเราเข้าใจผิดทำให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต พวกพี่อาจจะ…”

กล้าไพร รีบขัดขึ้นทันที

“ถึงยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ฉันแน่ใจว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ถ้าปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป อาจจะต้องมาเสียใจทีหลัง ฉันสัญญา ไปแล้ว ทุกอย่างฉันขอรับผิดชอบเอง ว่าแต่…”

เขาหันมาทาง รัตติกาล

“จะร่วมด้วยจริงเหรอ…เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ”

รัตติกาล ส่ายหน้าโดยไม่ลังเล

“ฉันไม่เปลี่ยนใจแน่”

ทั้งสองสบตากันแล้วต่างก็ยิ้มออกมา ข้าวขวัญ หันมองดูทั้งสองคนไปมาแล้วร่วมยิ้มด้วยอีกคน

“พวกพี่…น่ารักจัง”

ใบหน้าของ กล้าไพร แดงขึ้นทันที เขารีบกลบเกลื่อนด้วยการทำเป็นหันไปสำรวจมองรอบๆ ตัว รัตติกาล หัวเราะขึ้นเสียงดังลั่น ข้าวขวัญ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็หัวเราะขึ้นมาด้วย สุดท้าย กล้าไพร ก็ร่วมหัวเราะไปด้วยอีกคน พอเสียงหัวเราะสงบลง กล้าไพร ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พอฉันให้สัญญาณรีบตามมาอย่าชักช้า พอพ้นออกจากลานกว้างไปได้ ฉันจะมุ่งตรงไปที่ป่าทันที…ถ้าเรื่องที่ พ่อค้าเร่ บอกเป็นความจริง เราก็เพียงแค่ต้องซ่อนตัวอยู่ในป่าซักวัน สองวัน เท่านั้น รอให้ นักมายากล เดินทางออกไปก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที…”

แผนของเขานั้นนับว่าเรียบง่ายอย่างยิ่ง ถ้า นักมายากล จำเป็นต้องออกเดินทางภายในวันพรุ่งนี้ เมื่อเธอจากไปแล้วพวกเขาก็นับได้ว่าปลอดภัยไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นทั้งหมดค่อยหาหนทางแก้ไขหากเธอตัดสินใจที่จะย้อนกลับมาที่หมู่บ้านนี้อีกครั้ง

รัตติกาล ลองนึกถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ดู

“ถ้าพวกเขาออกตามพวกเราเข้าไปในป่าล่ะ”

“ถ้าแค่วันสองวัน…ไม่มีใครจับฉันได้หรอก”

แม้จะพูดออกไปอย่างมั่นใจ แต่ กล้าไพร กลับกำลังนึกถึงใครคนหนึ่งอยู่ ’ในป่าไม่มีใครจับฉันได้หรอก นอกจากพ่อเท่านั้น ถ้าพ่อออกไปตามฉันเองล่ะก็…’ แต่เขายังมั่นใจว่าถึงอย่างไรบิดาคงไม่เข้ามาดู การแสดง ในคืนนี้แน่ และถ้าบิดารู้สาเหตุที่เขาทำเรื่องนี้ บิดาต้องไม่ออกไปตามหาเขาแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้น เราขยับไปนั่งด้านข้างตรงนั้นไม่ดีกว่าหรือคะ”

ข้าวขวัญ ชี้ไปตรงที่ว่างด้านข้างใกล้ๆ ขอบเวที กล้าไพร ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า

“ตรงนี้แหละดีแล้ว ขอเพียงลงมือให้ถูกจังหวะ กว่าทุกคนจะรู้ตัว พวกเราก็ไปไกลแล้ว ถ้าเราไปนั่งอยู่ริมๆ ตั้งแต่แรก อาจจะถูก นักมายากล สงสัยเอาได้”

กล้าไพร หันไปมอง ข้าวเขียว ที่กำลังเดินตรงมา ในมือของเขาหอบขนม และเครื่องดื่มมาด้วยหลายชนิด

“…และพี่ของเธอคงจะโวยวายแน่ๆ ถ้าพวกเราทำอย่างนั้น”

ผู้คนที่เดินไปเดินมาเริ่มหาที่นั่งลง หัวหน้าหมู่บ้าน ค่อยๆ เดินแหวกฝูงชนก้าวขึ้นไปบนเวที คบไฟที่ปักกระจัดกระจายกันอยู่ถูกทยอยจุดขึ้น พอเขายกมือเป็นสัญญาณ เสียงพึมพำที่ดังอยู่ก็ค่อยๆ เงียบลง

“อะแฮ่ม…วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่หมู่บ้านของพวกเราได้รับการเยี่ยมเยือนจากนักมายากล นับแต่อดีตที่ผ่านมาการมาเยือนของพวกท่านหมายถึง ความสนุกสนาน และงานรื่นเริง วันนี้ก็เช่นกัน…”

#####

ในขณะเดียวกันนั้นที่ด้านหลังเวที มายา ก็กำลังยืนคุยกับ วาณิช อยู่เงียบๆ ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของเขาสักเท่าไร

“ไม่เห็นจะต้องไปบอกคนพวกนี้ก่อนเลย ให้ฉันประกาศบนเวทีก็พอแล้ว”

วาณิช ยิ้มอย่างใจเย็น

“ขืนปล่อยให้เธอทำอย่างนั้นอาจจะเกิดอะไรไม่คาดคิดขึ้นก็ได้ ฉันเลยลองหยั่งเสียงพวกเขาดูก่อน ช่วงเวลานี้ไม่เหมือนกับในอดีตแล้ว และหน้าที่ของฉันคือการคุ้มครองให้เธอปลอดภัย”

เสียงของ มายา เคร่งเครียดขึ้น

“ฉันไม่ต้องให้ใครมาคอยคุ้มครอง”

วาณิช ยิ้มอย่างอ่อนใจ เขาเคยชินกับนิสัยแบบนี้ของเธอมานานแล้ว

“จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ด้วยหรือ ถ้าเกิดเรื่องยุ่งยากตามมา อาจจะกระทบกระเทือนถึงนัดหมาย…”

มายา ชิงพูดตัดบท

“ไม่ได้…เด็กคนนี้ต่างจากคนอื่นๆ และฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว”

นี่เป็นคำพูดที่ มายา หมายความว่าเรื่องราวนี้สมควรยุติลงได้แล้ว วาณิช จึงไม่พูดอะไรอีก


Create Date : 25 มีนาคม 2553
Last Update : 25 มีนาคม 2553 9:00:22 น. 0 comments
Counter : 532 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.