ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
8 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ พ่อค้าเร่กับนักมายากล (3)

เมื่อ รัตติกาล จัดการงานทุกอย่างของวันนี้เรียบร้อยก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เขาจึงกลับเข้าบ้านไปเล่าให้มารดาฟังเกี่ยวกับเรื่องที่มี พ่อค้าเร่ กับ นักมายากล เข้ามาในหมู่บ้าน จันทร์เสี้ยว ที่กำลังเก็บกวาดข้าวของอยู่ภายในบ้านรับฟังเรื่องราวของเขาด้วยท่าทีนิ่งสงบ นางดูจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก สุดท้ายเขาก็ขออนุญาตเพื่อออกไปข้างนอกกับ ข้าวเขียว

“ผมขอไปดู รถสินค้า กับ ข้าวเขียว นะครับ”

“ได้สิลูก แต่รอเดี๋ยวนะ”

นางเดินหายเข้าไปในห้องครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับออกมา พร้อมกับยื่นเหรียญเล็กๆ จำนวนหนึ่งให้กับเขา

“เผื่อลูกอยากจะกินขนมอะไรขึ้นมา”

“ขอบคุณครับ”

“ถ้ายังไงก็อย่าใช้ให้หมดล่ะ เหลือกลับมาเก็บบ้างนะ”

“รู้แล้วครับ”

ทุกครั้งที่มารดาให้เงิน เขาจะพยายามเหลือเก็บสะสมเอาไว้ ตอนนี้แม้จะยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่เขาก็รู้สึกภูมิใจทุกครั้ง ที่นึกถึงเงินก้อนนี้ที่เขาอดออมได้ด้วยตัวเอง

“อย่ากลับให้มืดนักล่ะ”

“คร๊าบ…”

“อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง”

รัตติกาล ที่กำลังวิ่งตรงไปที่ประตูบ้านรีบเหลียวหน้ากลับมา

“ถ้าเจอกับนักมายากล ลูกรู้ใช่ไหมว่าต้องทำตัวยังไง รักษามารยาทด้วยนะ แล้วก็…ระวังตัวด้วย”

“ครับ”

เมื่อ รัตติกาล วิ่งหายออกจากประตูไป ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของ จันทร์เสี้ยว ก็เปลี่ยนไปในทันที หน้าของนางแสดงความวิตกกังวลออกมาอย่างขัดเจน นางเดินไปมาพร้อมกับพึมพำขึ้นเบาๆ ว่า

“นักมายากล อย่างนั้นหรือ…”

มารดาของ รัตติกาล อพยพมายังหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งแต่เขาอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มี ถนนใหญ่ เพียงเส้นเดียว ทอดยาวจากทางทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก โดยตัดผ่าน ลานกลางหมู่บ้าน และไปสิ้นสุดลงที่ริมฝั่งของ แม่น้ำแห่งสัญญา เป็นเส้นทางหลัก

การใช้เส้นทางน้ำในบริเวณนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยม เนื่องจากมีโขดหินใต้น้ำอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นกระแสน้ำไหลวนอย่างรุนแรง การบังคับเรือให้ล่องไปตามลำน้ำได้อย่างปลอดภัยนั้น ทำได้ยากลำบาก ต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือและคุ้นเคยกับท้องน้ำในบริเวณนี้เท่านั้นจึงจะทำได้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลี่ยงมาใช้เส้นทางบกแทน

ทางฝั่งใต้ของ ถนนใหญ่ เป็นพื้นที่ราบลุ่มเหมาะสำหรับใช้สำหรับทำการเกษตร ปลูกพืชผัก ทำสวน และทำนา ส่วนทางฝั่งเหนือนั้นจะเป็นเนินเขา และทุ่งหญ้าซึ่งใช้เลี้ยงสัตว์ บ้านเรือนส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ ถนนใหญ่ แทบทั้งสิ้น

บ้านของ รัตติกาล กับ ข้าวเขียว นั้นตั้งอยู่ด้านใต้ทางฝั่งตะวันตกบริเวณรอบนอกของหมู่บ้าน ตัวบ้านของ ข้าวเขียว อยู่ติดกับ ถนนใหญ่ ในขณะที่ของ รัตติกาล จะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ระหว่างตัวบ้านกับ ถนนใหญ่ จึงถูกคั่นเอาไว้ด้วยสวนกว้าง คงเป็นเพราะมารดาของเขาไม่ค่อยชอบความวุ่นวายนั่นเอง และนั่นก็เป็นเหตุให้เขาไม่ได้พบเห็น รถสินค้า ในตอนที่มันผ่านไป

รัตติกาล กับ ข้าวเขียว ออกเดินไปตาม ถนนใหญ่ มาได้พักหนึ่งก่อนที่จะเจอะเจอเข้ากับ ข้าวขวัญ พี่น้องสองคนนี้ทั้งรูปร่างและหน้าตาคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่งทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นฝาแฝดกันแต่อย่างใด ทำให้ทั้งสองโดนล้ออยู่บ่อยครั้ง โดย ข้าวเขียว โดนล้อว่าเหมือนกับผู้หญิง ในขณะที่ ข้าวขวัญ ก็โดนล้อว่าเหมือนกับผู้ชาย

“ทำอะไรอยู่น่ะ น้องขวัญ”

ข้าวเขียว ทักทายน้องสาวของตัวเอง ในขณะที่เธอกำลังก้มหน้าสอดส่ายสายตาไปตามพงหญ้าข้างทาง รัตติกาล มองดูท่าทางของเธอแล้วคิดขึ้นว่า ‘สงสัยจะทำของหายอีกแล้ว’ ก่อนที่เธอจะตอบคำถามของพี่ชายตามที่เขาคาดเอาไว้จริงๆ

“ขวัญ ทำผ้ารัดผมหล่นหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ค่ะ”

ข้าวขวัญ นั้นขึ้นชื่อในเรื่องทำของหายมาตั้งแต่เด็กๆ ข้าวของจุกจิกชิ้นเล็กชิ้นน้อยของเธอมักจะหายอยู่เป็นประจำ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่เธอจะต้องเป็นคนหาของที่หายไปเหล่านี้เจอด้วยตัวเองทุกครั้ง และถ้าหากเธอหาพวกมันไม่เจอ ก็จะไม่มีใครได้พบเห็นมันอีกต่อไป

“ไม่ช่วยนะ”

รัตติกาล กับ ข้าวเขียว พูดขึ้นพร้อมกันราวกับนัดกันไว้

“…ค่า รู้อยู่แล้วล่ะค่ะ”

ในขณะที่ยังคงก้มหน้าก้มตาค้นหาของอยู่นั้น ข้าวขวัญ ก็ถามขึ้นมาว่า

“พวกพี่กำลังจะไปไหนกันคะ”

รัตติกาล เป็นคนตอบ

“กำลังจะไปดู รถสินค้า กันน่ะ”

“นึกแล้วเชียว ขอขวัญไปด้วยคนได้ไหมคะ”

เขาหันไปมอง ข้าวเขียว ซึ่งยักไหล่แสดงท่าทีว่า 'ยังไงก็ได้'

“ก็ดีน่ะสิ ไปกันหลายๆ คนยิ่งสนุก”

ทั้งสองคนยืนรอกันอยู่เงียบๆ ก่อนที่ กล้าไพร จะโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง อยู่ๆ เขาก็เข้ามาสะกิดไหล่ของพวกเขาจากทางด้านหลัง ทั้งสองคนต่างพากันสะดุ้งขึ้นสุดตัวก่อนที่จะหันกลับไปมองเขา

กล้าไพร นั้นแก่กว่าทั้งสองอยู่หนึ่งปี แต่มีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนกว่าคนอื่นๆ มาก จึงทำให้ดูแก่เกินอายุ เขาอาศัยอยู่กับพ่อที่เป็น นายพราน ฝีมือดี บ้านของเขาก็อยู่ในบริเวณใกล้ๆ นี้เช่นกัน แต่แทบจะต้องเรียกว่าอยู่ในเขตป่ามากกว่าอยู่ในเขตหมู่บ้านแล้ว

วิชาพราน ที่เขาร่ำเรียนมาจากพ่อนั้นก็ใช่ย่อย ทั้ง การสะกดรอย การยิงธนู การใช้มีด การเอาชีวิตรอดอยู่ในป่า ฯลฯ นับได้ว่ายอดเยี่ยมทีเดียว รวมไปถึง การย่องเข้าหาเหยื่อ แบบไม่ให้เกิดเสียงแบบนี้ด้วย

“สวัสดี…แหม ตกใจหมดเลย”

รัตติกาล เป็นฝ่ายทักเขาก่อน

“ขอโทษทีนะ มันเคยชินน่ะ”

ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ที่ทั้งสองคนถูกเขาย่องเข้ามาทักทายแบบนี้ เคยได้ยินมาว่าที่เขาทำแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะความเคยชินจากการล่าสัตว์อย่างที่เขามักชอบอ้าง แต่เป็นเพราะพ่อของเขาชอบทำแบบนี้กับเขาอยู่เป็นประจำ เขาจึงเก็บมาระบายใส่คนอื่นๆ แทน

“กำลังจะไปไหนเหรอ”

รัตติกาล ถาม

“ว่าจะแวะไปดูสินค้าของ พ่อค้าเร่ หน่อยน่ะ เผื่อจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง”

ถึงตอนนี้ ข้าวเขียว ก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

“ใช่ๆ เผื่อจะมีขนมแปลกๆ อร่อยๆ ขายบ้าง”

“…เปล่า เผื่อว่าจะมีอาวุธ หรือของอย่างอื่นที่อาจจะมีประโยชน์บ้าง”

กล้าไพร ตอบกลับมาเรียบๆ ข้าวเขียว ปิดปากลงทันที สองคนนี้มักจะเป็นแบบนี้ประจำ ไม่ค่อยจะลงรอยกัน คุยกันไม่ทันไรก็มักจะหาเรื่องทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่ในตอนนั้นเอง ข้าวขวัญ ก็ร้องออกมาอย่างดีใจ

“เจอแล้ว…”

เธอเดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับแกว่งผ้ารัดผมสีแดงในมือไปมา รอยยิ้มที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าทำให้เธอดูน่ามองขึ้นยิ่งกว่าเดิม เธอค่อยๆ บรรจงรวบผมของเธอก่อนที่จะใช้ผ้าผืนนั้นผูกเอาไว้เป็นโบว์สีแดงเล็กๆ น่ารัก

รัตติกาล แอบเห็น กล้าไพร เผลอจ้องมองเธอจนตาไม่กระพริบ ข้าวเขียว เองก็มองเห็นเช่นกัน เขาจึงทำสีหน้าไม่พอใจ

“…ส…สวัสดี”

น้ำเสียงของ กล้าไพร เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อครู่นี้มันยังคงมีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงอู้อี้สั่นเครืออย่างกับเป็นคนละคน

“สวัสดีค่ะ เมื่อกี้ พี่กล้าไพร บอกว่ากำลังจะไปหา พ่อค้าเร่ ใช่ไหมคะ”

“…ค…ครับ”

ข้าวเขียว รู้ทันทีว่าน้องสาวกำลังคิดอะไร เขาทำท่าเหมือนกับยกมือห้ามแต่ ข้าวขวัญ กลับพูดต่อไปโดยไม่ใส่ใจ

“ถ้างั้นก็ ไปด้วยกันนะคะ”

กล้าไพร เร่งผงกหัวอยู่หลายครั้งก่อนที่คำตอบจะหลุดออกมาจากปากได้

“…ไป…ไป…ครับ”

ข้าวเขียว ทำหน้ามุ่ย รัตติกาล จึงได้แต่ยิ้มปลอบใจเขา ความจริงแล้วทั้งสี่คนต่างรู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ว่า กล้าไพร นั้นไม่ค่อยได้เข้ามาในหมู่บ้านจึงไม่ค่อยสนิทกันเท่าไรนัก เวลาส่วนใหญ่ของเขามักจะหมดไปกับพ่อ และผืนป่ารอบๆ หมู่บ้าน

ทั้งสี่คนเดินไปด้วยกันพร้อมกับส่งเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา จนในที่สุด รัตติกาล ก็เสนอความเห็นขึ้นมาว่า

“พวกเรามาเล่นล่าสัตว์กันไหม”

“เอาสิ”

กล้าไพร รีบสนับสนุน พร้อมกับปลดคันธนูออกมาถือเอาไว้ แม้แต่ในยามที่เข้ามาในหมู่บ้าน เขาก็ไม่เคยทิ้งอาวุธให้อยู่ห่างมือ ทั้งคันธนู ลูกธนู และมีดสั้น เขาเคยบอกเอาไว้ว่า บิดาจะอาละวาดในทันทีถ้าพบว่า เขาออกไปไหนโดยไม่มีอาวุธติดตัวไปด้วย

“โลกนี้มีเพียงผู้ล่าและผู้ถูกล่า ถ้าไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ ผู้ล่าก็จะกลายเป็นผู้ถูกล่าทันที”

บิดาของเขาได้เคยพูดเอาไว้พร้อมกับแสดงรอยแผลเป็นที่น่ากลัว รอยเล็บสามรอยที่ลากแทยงเป็นทางยาวพาดจากหน้าอกด้านขวา ยาวลงไปจนถึงหน้าท้องทางด้านซ้าย รอยแผลที่เกือบจะพรากชีวิตของบิดาไป นี่จึงเป็นคำพูดที่เขาจดจำจนขึ้นใจ

“ไม่เอาด้วยหรอก”

ข้าวเขียว คัดค้าน แต่ว่า ข้าวขวัญ กลับส่งเสียงสนับสนุน สุดท้ายเขาจึงเสนอให้จับไม้สั้นไม้ยาวเพื่อหาคนที่จะเป็นเหยื่อโดนล่า และเขาก็อาสาขอเป็นคนทำไม้สั้นไม้ยาวขึ้นมาเอง

“คนได้ไม้สั้นต้องเป็นเหยื่อ”

ข้าวเขียว พูดอย่างมั่นใจพร้อมกับหักกิ่งไม้เล็กๆ มาทำเป็นไม้สั้นไม้ยาว ทั้งหมดตกลงกันให้ ข้าวขวัญ ได้จับเป็นคนแรก ส่วนคนถัดมานั้น กล้าไพร ยกให้ รัตติกาล จับก่อน ผลก็คือ ไม้ของทั้งสองที่จับออกมานั้น มีความยาวเท่ากันพอดี สุดท้ายจึงเป็นการต่อสู้ระหว่าง ข้าวเขียว กับ กล้าไพร

ข้าวเขียว แอบลุ้นอยู่ในใจ 'อันขวา อันขวา หยิบอันขวา' แต่ กล้าไพร กลับหยิบไม้อันซ้ายไปอย่างมั่นใจ

“ซวยจริงๆ “

สำหรับ กล้าไพร แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องของดวงแต่อย่างใด เขาเฝ้าจับตาดู ข้าวเขียว มาตั้งแต่เริ่มทำไม้สั้นไม้ยาวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทาง การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่ทิศทางของสายตา ล้วนไม่อาจหลุดรอดจากการเฝ้ามองของเขาไปได้ ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของ วิชา ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดาทั้งสิ้น

“ทุกเวลาคือการล่า ความประมาทต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บิดาคอยย้ำเตือนอยู่เสมอ กล้าไพร ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนเลยว่า ทุกครั้งที่ถูกเขาย่องเข้ามาฟาดหัวไหล่จากทางด้านหลังได้สำเร็จ นอกจากจะต้องเจ็บปวดจนน้ำตาไหลแล้ว วันนั้นยังจะต้องอดข้าวไปตลอดทั้งวันอีกด้วย

เมื่อเขาเห็น ข้าวเขียว เอาแต่คอยใส่ใจกับไม้อันหนึ่งเป็นอย่างมาก เขาก็เพียงแค่หยิบไม้อีกอันหนึ่งแทนเท่านั้นเอง

กลุ่มเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานผ่านหน้าบ้านของ หัวหน้าหมู่บ้าน ไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าภายในบ้านหลังนั้นกำลังมีการพูดคุยกันถึงเรื่องสงครามที่กำลังจะคืบคลานมาถึงในไม่ช้า

และเมื่อพวกเขาผ่านไปเพียงไม่นาน นักมายากล ในชุดคลุมสีดำก็ก้าวออกมาจากบ้านหลังนั้น และค่อยๆ ก้าวเดินติดตามพวกเขาไปอย่างช้าๆ

#####

มายา เดินไปตามเสียงของกลุ่มเด็กๆ ที่ยังคงดังแว่วมา เธอรู้สึกสนใจในเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งที่ดังปะปนอยู่ในเด็กกลุ่มนั้น เสียงที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอีกครั้ง ความหวังของเธอพลันค่อยๆ เบ่งบานขึ้น ’อาจจะเป็นคนนี้ก็ได้’ หัวใจของเธอพลันเต้นระทึกขึ้น เธอไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มานานมากแล้ว


Create Date : 08 มีนาคม 2553
Last Update : 8 มีนาคม 2553 10:47:16 น. 0 comments
Counter : 548 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.