ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
14 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ มุ่งสู่ตะวันตก (57)

“ท่านนิลวายุ ยินดีที่กองทัพของท่านจะเข้าร่วมการศึกในครั้งนี้ด้วย”

“มันเป็นการต่อสู้ของพวกเราทั้งหมดอยู่แล้ว”

เจิดจรัสโล่งใจที่ดูเหมือนว่านิลวายุจะไม่ได้มีแผนอะไรอย่างที่คาดไว้ตั้งแต่แรก เขามาเสนอตัวเพื่อขอเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพผสม นอกจากนี้เขายังบอกเพิ่มเติมว่า ตนเองมีหน่วยทหารจำนวนหนึ่ง ที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้กับกองทัพของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีโดยเฉพาะด้วย

เจิดจรัส และม่านเมฆทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงต้อนรับนิลวายุ ถึงแม้ว่าเสบียงอาหารของพวกเขาจะไม่เหลืออะไรมากมายนัก แต่ทั้งคู่ก็พยายามจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาเพื่อแสดงความจริงใจในการต้อนรับ

“...นักดาบลึกลับที่ออกช่วยชาวบ้านแถวนี้เป็นพวกท่านใช่หรือไม่”

เจิดจรัสถือโอกาสเอ่ยถาม นิลวายุได้แต่ยิ้มไม่ยอมตอบคำถามนี้

“แสดงว่าคงเป็นพวกท่านจริงๆ ชาวบ้านเหล่านั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกท่านมีพลังลึกลับบางอย่าง เพียงแค่ตวัดดาบเหล่าตัวประหลาดพวกนั้นก็ปลิวกระเด็นไปไกล ไม่ทราบว่านั่นคือเพลงดาบสายลมใช่หรือไม่”

นิลวายุลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังที่ว่างก่อนจะชักเจ้าชายแห่งสายลมออกมาถือไว้ เขาตวัดดาบขีดเขียนตัวอักษรขึ้นกลางอากาศ ก่อนใช้ปลายดาบเขี่ยเศษดินขึ้นมาพร้อมกับฟันมันออกไป พลังสัญญาก่อเกิดเป็นสายลมที่รวดเร็วพัดพาเศษดินเหล่านั้นให้ปลิวออกไปเป็นแนว มองเห็นได้อย่างชัดเจน เหล่าแม่ทัพของสุริยัน และวารีต่างมองดูอย่างตื่นตะลึง

“...ไม่ทราบว่า ท่านพอจะถ่ายทอดเพลงดาบเหล่านี้ให้กับพวกเราได้หรือไม่”

ด้วยอานุภาพของพลังสัญญาที่เห็นทำให้เจิดจรัสต้องยอมรับว่า เพลงดาบสายลมนั้นอาจเหนือกว่าเพลงดาบแสงตะวัน อย่างน้อยก็เมื่อนำมาใช้จัดการกับกองทัพของเคออส นิลวายุยิ้มเศร้าๆ

“ขออภัยด้วย เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ในวายุเองเพลงดาบเหล่านี้ก็จะตกทอดกันภายในครอบครัวของตนเองเท่านั้น และถึงแม้จะทำได้ ด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ แค่นี้ อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดีก็เป็นได้” เจิดจรัสลองคิดดูแล้วก็รู้สึกคล้อยตาม การฝึกเพียงครึ่งๆ กลางๆ อาจส่งผลเสียอย่างที่บอกก็เป็นได้

นิลวายุหาโอกาสเดินไปหาข้าวขวัญ ซึ่งมาร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย แต่กลับยืนหลบมุมอยู่เพียงลำพัง เขาพบเห็นเธอตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในค่ายพักแห่งนี้แล้ว แต่เขาต้องการที่จะพูดคุยธุระของตนให้เรียบร้อยเสียก่อน

สิ่งที่เขาอยากรู้จากเธอมากที่สุดก็คือคนอื่นๆ หายไปไหนกันหมด โดยเฉพาะมายา ทำไมจึงหลงเหลือเธออยู่เพียงผู้เดียว และทำไมเธอจึงแต่งกายเหมือนเป็นนักมายากลแบบนี้

“ก็เพราะฉันเป็นนักมายากลแล้วน่ะสิ”

นิลวายุมองข้าวขวัญขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะยอมรับกับตัวเองว่า เธอคล้ายกับนักมายากลแล้วจริงๆ 'แต่ก็ยังไม่เหมือนเสียทีเดียว'

“แล้วคนอื่นๆ หายไปไหนกันหมด”

“...พวกเราแยกทางกัน ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครอยู่ที่ไหนบ้าง”

“แล้ว...แล้วมายาล่ะ”

น้ำเสียง และท่าทางของนิลวายุเปลี่ยนไปเล็กน้อยตอนถามคำถามนี้ แต่ข้าวขวัญไม่ทันพบเห็น

“ฉันคิดว่าน่าจะกำลังรอพวกเราอยู่ที่แดนแห่งดารานั่นแหละ ถึงอย่างไรเธอก็คงไม่ยอมพลาดการศึกในครั้งนี้แน่ เพราะดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารอมาทั้งชีวิตเลยทีเดียว”

นิลวายุพยักหน้าเห็นด้วย เขาลังเลแต่ในที่สุดก็ถามอีกคำถามออกไป

“...แล้วมีใครอยู่กับเธอบ้าง”

“พี่ข้าวเขียวยังอยู่กับเธอ”

'เด็กคนนั้นอีกแล้ว' ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจ นิลวายุรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง 'ตั้งแต่เมื่อพบกันในครั้งแรก เด็กคนนี้ก็ไม่เคยอยู่ห่างจากเธออีกเลย เธอเองก็ดูแปลกๆ ไปเหมือนกัน แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้'

ความรู้สึกที่นิลวายุมีต่อมายานั้นค่อนข้างสลับซับซ้อน แต่ในยามที่ห่างไกลกันเช่นนี้ เขากลับทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเองได้มากขึ้นกว่าเดิม 'ดูเหมือนฉันจะชอบเธอจริงๆ นั่นแหละ' เขายังไม่ยอมใช้คำว่ารัก ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างแน่ใจว่ามันเป็นอย่างนั้นก็ตาม

“แล้วลูกชายของกล้าณรงค์...กล้าไพรเป็นอย่างไรบ้าง”

ข้าวขวัญรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที แม้จะคาดเอาไว้แล้วว่านิลวายุจะต้องถามถึงเขา

“ในความเห็นของฉัน...เขาปลอดภัยดี แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ฉันก็ไม่รู้”

“...อย่างนั้นหรือ”

นิลวายุรู้สึกถึงความผิดปกติ ทั้งในคำตอบ และท่าทางของข้าวขวัญ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสำหรับเขา กล้าณรงค์จากไปแล้ว และกล้าไพรก็ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา ถึงแม้ว่าฝีมือของเขาอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็ตาม

“ฉันยังมีคำถามอีกข้อหนึ่ง มายาได้มอบสิ่งใดให้กับเธอบ้างหรือไม่”

นิลวายุคาดหวังว่าเขาอาจจะพอหาประโยชน์จากนักมายากลมือใหม่คนนี้ได้บ้าง เขายังจำได้ถึงสิ่งที่มายาเคยใช้ต่อสู้กับกองทัพของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรี ที่เธอเรียกมันว่าผงของดวงจันทร์ ไม่แน่ว่าเธออาจจะมอบมันให้กับเด็กคนนี้บ้าง และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาอาจจะลองชักชวนข้าวขวัญให้มาเป็นพวกดู

“...ถ้าคุณหมายถึงผงของดวงจันทร์ ฉันไม่มีมันหรอก”

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของข้าวขวัญ ทำให้นิลวายุต้องขบคิด 'ฉันอาจจะคิดผิดไป เด็กคนนี้เป็นนักมายากลเต็มตัวแล้ว ต้องระวังคำพูดหน่อย' เขาชวนคุยเรื่องอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก่อนจะรีบปลีกตัวจากไป

ข้าวขวัญจับตามองตามหลังนิลวายุอย่างระวัง เธอยังรู้สึกไม่ไว้วางใจ เขาต้องมีแผนบางอย่างซ่อนอยู่แน่

#####

เพื่อให้การผสานรวมของกองกำลังผสมเป็นไปอย่างเรียบร้อยก่อนถึงศึกตัดสิน ทุกฝ่ายจึงต้องยอมเสียเวลาอีกหลายวันในการทำความเข้าใจ และจัดระเบียบภายในกองทัพผสมใหม่อีกครั้ง เจิดจรัส ม่านเมฆ และนิลวายุ ต่างเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมหน้า

“ในระหว่างนี้ ให้พวกผมรับหน้าที่ออกลาดตระเวนเอง”

นิลวายุอาสา

“...ฉันว่าจัดตั้งเป็นหน่วยผสมไม่ดีกว่าหรือ”

ม่านเมฆเสนอความเห็น

“แต่ผมว่าให้เป็นอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะดูเหมือนทหารของวายุจะมีความสามารถในการปรับตัวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่แบบใด ซึ่งเป็นประโยชน์กับการลาดตระเวนเป็นอย่างยิ่ง”

นิลวายุลอบตกใจในความแหลมคมของเจิดจรัส ที่สามารถบ่งบอกถึงลักษณะเฉพาะของกองทหารของเขาได้ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งเหล่าแม่ทัพที่เป็นสมาชิกดั้งเดิมของกองทัพพายุหมุน และทหารส่วนใหญ่ที่ล้วนเป็นพ่อค้าเร่ ต่างเคยเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกทิศ พวกเขาจึงมีความพิเศษในด้านการปรับตัวให้เข้ากับพื้นที่ที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

เมื่อเจิดจรัสแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น ม่านเมฆก็คล้อยตามเขา สุดท้ายจึงตกลงยกหน้าที่ในการลาดตระเวนให้อยู่ในความรับผิดชอบของวายุ ส่วนเหล่าแม่ทัพที่เหลือต่างต้องเข้าร่วมทำการฝึกซ้อมกำลังร่วมกัน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการต่อสู้จริง

“ปัญหาใหญ่ของเราคือเจ้าแมงมุมยักษ์นั่น”

นิลวายุพูดได้ตรงประเด็นอีกครั้ง

“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง...ผมเกือบจะต้องเสียกองทัพทั้งหมดไปเลยทีเดียว”

เจิดจรัสนึกถึงหายนะที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นอีกครั้ง หากไม่มีวิธีจัดการกับมัน การศึกครั้งนี้ก็แทบจะไม่มีหนทางชนะได้เลย ม่านเมฆเองแม้จะไม่เคยพบเจอกับมันมาด้วยตนเอง แต่จากคำบอกเล่าต่างๆ ที่ได้ยินมา ทำให้เธอเองก็มีความเห็นไม่ต่างจากคนอื่นเท่าใดนัก

“ผมเคยได้ยินจากท่านนักมายากลว่า ท่านเคยขับไล่มันไปได้ด้วยตัวคนเดียว”

ม่านเมฆหันไปมองนิลวายุอย่างกังขา

“...มันเป็นความจริง...แต่นั่นก็เป็นทั้งหมดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมเองก็ยังไม่มีวิธีจัดการกับมันเหมือนกัน”

นิลวายุกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เขาอาจได้ประโยชน์จากการกล่าวอ้างให้พลังของเขามากมายกว่าที่เป็นจริง เขาอาจไปถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ได้รวดเร็วขึ้น แต่เขาก็อาจจะสร้างความเข้าใจที่ผิด และนำอันตรายมาสู่กองทัพผสม ซึ่งเขาไม่อาจปล่อยให้เป็นอย่างนั้น

“อาวุธที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่คือสิ่งใด”

ม่านเมฆถามคำถามที่นิลวายุต้องการได้ยินออกมา

“ย่อมต้องเป็นเพลงดาบสายลม”

เจิดจรัสหันมาหานิลวายุพร้อมกับเสนอความเห็นเพิ่มเติม

“โอกาสที่ดีที่สุดของเราคือ ตรึงมันเอาไว้ แล้วปล่อยให้กองกำลังพิเศษของท่านนิลวายุจัดการกับมัน”

ม่านเมฆเห็นด้วยกับเจิดจรัสในเรื่องนี้ ทั้งสองต่างรอฟังความคิดเห็นของนิลวายุ เขามีใบหน้าเคร่งเครียด แต่ความจริงแล้วกำลังแอบยิ้มอยู่ภายในใจ 'ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนอย่างง่ายดาย ที่เหลือก็แค่รอคอยเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น'

“ผมจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด”

ทั้งสามร่วมจับมือกัน กองทัพผสมที่เป็นขุมกำลังสุดท้ายที่จะต่อกรกับเคออสได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเขาจะเริ่มเคลื่อนทัพเข้าสู่แดนแห่งดาราที่คงจะกลายเป็นสมรภูมิสำหรับการศึกครั้งนี้

#####

การเตรียมการทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่การเคลื่อนทัพจะเริ่มขึ้น นิลวายุก็ได้รับข่าวด่วนจากหน่วยลาดตระเวนของเขา 'มีกองทัพเงาจำนวนมากกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา แต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีร่วมมาด้วย' เขาขบคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกระดมเหล่าพายุหมุนให้เตรียมพร้อมเอาไว้อย่างลับๆ แต่เขากลับไม่ยอมแจ้งเรื่องนี้ให้กองทัพผสมได้รับทราบ

ข้าวขวัญรู้สึกกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ มีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเธอในค่ำคืนนี้ เธอตัดสินใจที่จะลุกออกไปเดินเล่น ดีกว่านอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น สายลมเย็นๆ กับดวงดาวที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้น แต่ความรู้สึกแปลกๆ นั้นก็ยังไม่หมดไป

'คืนนี้ช่างเงียบเหลือเกิน เงียบจนผิดปกติ' เสียงเอะอะพลันดังขึ้นในความมืดนอกค่ายพัก มีแถวของคบไฟจำนวนมากเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงตะโกน

“ศัตรูบุก มีพวกเงาใกล้เข้ามาแล้ว”

ทหารยามของวารีหลายคนเริ่มยิงธนูเข้าใส่กองกำลังลึกลับนี้ทันที แต่เนื่องจากพวกเขาเคลื่อนที่ไปมา แต่ไม่ได้บุกเข้ามาใกล้ จึงไม่ตกเป็นเป้าของลูกธนูเหล่านั้นได้โดยง่าย

“หยุดยิง หยุดยิง พวกนั้นเป็นคน พวกนั้นเป็นคน”

สัญญาณไฟ และเสียงตะโกนสั่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นว่าการยิงยุติลงแล้ว แสงของคบไฟอันหนึ่งจึงมุ่งตรงเข้ามาในขณะที่แสงไฟที่เหลือค่อยๆ กระจายกำลังออกเป็นแนวยาวขนานไปกับค่ายพัก คนที่มุ่งตรงเข้ามายังคงร้องตะโกนไม่ยอมหลุด

“พวกเงามาแล้ว พวกมันมาแล้ว เตรียมพร้อมต่อสู้ เตรียมพร้อมต่อสู้”

แม้ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวมีความเป็นมาอย่างไร แต่คำสั่งเตรียมพร้อมในการรบก็กระจายไปทั่วทั้งค่ายอย่างรวดเร็ว กองกำลังต่างๆ เข้าประจำตำแหน่งของตนตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงผลจากการฝึกซ้อมที่ผ่านมา

เมื่อม้าตัวนั้นหยุดลง และคนที่ขี่มันกระโดดลงมา ทุกคนจึงได้เห็นว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณสองฝั่งของแม่น้ำคำสัญญา แต่ที่เอวของเขากลับห้อยดาบไว้เล่มหนึ่ง

เขามีท่าทางตื่นๆ มองดูเหล่าทหารที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น ก่อนจะยกกำปั้นขวามาวางไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายตรงกับตำแหน่งของหัวใจของตน พร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย อันเป็นการแสดงความเคารพตามแบบของทหารสุริยัน แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง มีนายทหารของสุริยันคนหนึ่งก้าวออกมาหาเขา เมื่อได้เห็นเครื่องแบบเด็กหนุ่มก็แสดงความเคารพอีกครั้ง ก่อนจะพูดอย่างตะกุกตะกัก

“มี...มี...กองทัพเงาจำนวนมากกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาครับ”

นายทหารคนนั้นมองดูเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เธอเป็นใครกัน ไม่ใช่ทหารของสุริยันทำไมถึงทำท่าทางแบบนี้”

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัว

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะครับ พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว รีบทำอะไรสักอย่างสิ เดี๋ยวคนอื่นได้ตายกันหมดพอดี”

เขาชี้มือชี้ไม้ไปทางด้านหลัง คงหมายถึงคนอื่นๆ ที่มากับเขา ซึ่งกำลังตั้งแถวรออยู่

"ไม่เห็นหน่วยลาดตระเวนแจ้งข่าวอะไรเข้ามาเลย...พวกเจ้ากับเพื่อนๆ คิดเล่นอะไรแผลงๆ กันหรือเปล่า เดี๋ยวจะถูกลงโทษด้วยอาญาทหารเอานะ”

“ใครจะไปกล้าเล่นกันเล่า รีบ...”

ทหารหลายคนพากันชี้มือออกไป ในความสว่างวับๆ แวมๆ ของแนวคบไฟข้างหน้า พวกเขาได้เห็นทหารเงาจำนวนหนึ่งแล้ว และพอจะคาดเดาได้ว่าด้านหลังนั้นยังมีพวกมันอยู่อีกมาก เด็กหนุ่มคนนั้นหันหลังไปดูแล้วอ้าปากค้าง เขากำลังจะปีนป่ายกลับขึ้นไปบนหลังม้า ก่อนที่นายทหารสุริยันคนนั้นจะลากตัวเขาลงมา

“จะไปไหน เดี๋ยวก็ได้ตายกันพอดี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกทหารอย่างฉันเถอะ”

แต่เด็กหนุ่มไม่ยอมฟัง เขาดิ้นรนจนหลุดจากการเกาะกุม กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบออกไปทันที




 

Create Date : 14 มีนาคม 2554
3 comments
Last Update : 14 มีนาคม 2554 7:32:07 น.
Counter : 562 Pageviews.

 

ไอ้เด็กคนนั้น...ใครวะ

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 14 มีนาคม 2554 12:25:57 น.  

 

นั่นสิ...ใครกัน...มีเฉลยตอนหน้าครับ

 

โดย: zoi 14 มีนาคม 2554 12:35:05 น.  

 

หวังว่า คงจะไม่ใช่ 'รัตติกาล' หรอกนะคุณ

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 15 มีนาคม 2554 15:27:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.