ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
26 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ สงครามหรือสันติภาพ (55)

“ล้มเหลวใช่ไหม”

นิลวายุมองดูสภาพที่ทุลักทุเลของหัตถาอย่างสาสมใจ ดูเหมือนว่าเวลาที่จะกำจัดเสี้ยนหนามอันใหญ่ที่คอยทิ่มตำเขาได้มาถึงแล้ว

“...ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว เจิดจรัสยังคงมีชีวิตอยู่”

นักฆ่าที่ลอบเข้าไปในค่ายของสุริยันทั้งหมด หลงเหลือเพียงหัตถารอดตายกลับมาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ความจริงแล้วที่ตั้งลับของกองกำลังวายุก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากสุริยันมากมายเท่าไรนัก หากนิลวายุคิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็ยังพอทำได้ แต่เขากลับเลือกที่จะอยู่นิ่งเฉย

“แต่กองทัพของสุริยันเอง ก็เสียหายไปถึงกึ่งหนึ่ง ทั้งยุทธภัณท์ และเสบียงอาหารต่างถูกไฟเผาทำลายไปเกือบหมดสิ้น”

หัตถายังพยายามชี้แจง

“นั่นเป็นฝีมือของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีต่างหาก...ฉันคงไม่ต้องตามไปขอบคุณมันใช่ไหม”

หัตถาได้แต่ปิดปาก แล้วก้มหน้าลง แต่ประกายตาของเขายังคงวาววับอย่างแค้นเคือง

“เราจะฉวยโอกาสนี้บดขยี้กองทัพสุริยันที่เหลือดีไหมครับ”

“ฉันยังไม่โง่ขนาดนั้น”

นิลวายุมองดูหัตถาด้วยสายตาเหยียดหยาม 'คนอย่างเจ้าก็เป็นได้แค่นักฆ่าเท่านั้น ยังห่างไกลจากการเป็นนักการทหารมากนัก'

“กำลังรบทั้งหมดเท่าที่มี คือสิ่งจำเป็นที่ฉันต้องใช้ในการต่อสู้กับกองทัพของเคออส ฉันต้องการจะครอบครองทั้งหมดนั่น ต้องแย่งชิงอำนาจในการบังคับบัญชามา ไม่ใช่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป แล้วปล่อยให้เคออสนั่งหัวเราะเยาะอย่างสมใจ...นับตั้งแต่วันนี้ ฉันขอปลดเจ้าออกจากตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ทั้งหมด”

นิลวายุรอคอยโอกาสที่จะได้พูดคำนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แววตาของหัตถายิ่งเปล่งประกายเคียดแค้นอย่างเจิดจ้า แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมันก็หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงใบหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเท่านั้น

“อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้ติดตามท่านต่อไปด้วยเถอะครับ”

“...เพราะอะไร”

“การได้อยู่ท่ามกลางผู้ที่มีพลังสัญญาเข็มแข็งมากที่สุด อย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือของเคออสได้”

“ตามใจ”

นิลวายุยิ้มออกมาอย่างลืมตัว เขามีแผนขั้นต่อไปเตรียมเอาไว้อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว หัตถาก้มหน้าลงอีกครั้ง เหมือนกับจะเป็นการแสดงความขอบคุณ แต่หากเขาได้เห็นรอยยิ้ม และสีหน้าที่เยียบเย็นนั้นแล้ว เขาคงไม่คิดเช่นนั้นแน่

#####

หลังจากเร่งมือทำสะพานชั่วคราว และข้ามกลับไปเก็บรวบรวมสิ่งของต่างๆ ที่หลงเหลือจากกองไฟได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทัพอย่างทุลักทุเลของสุริยันก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่าพวกเขาอาจจะถูกกองทัพของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีย้อนกลับมาจู่โจมซ้ำอีกครั้งก็เป็นได้ แต่เมื่อไม่มีหนทางอื่นให้เลือก พวกเขาก็จำต้องเดินหน้าต่อไป

ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วนคือการรวมเข้ากับกองทัพวารี เพื่อเรียกขวัญกำลังใจของเหล่าทหารให้กลับคืนมา เจิดจรัสและเหล่าแม่ทัพที่เหลือจำเป็นต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้อย่างขมขื่น ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของสุริยันได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะได้ร่วมมือกับวารี เพื่อทำการต่อสู้กับกองทัพของเคออส แม้ในตอนนี้พวกเขาจะไม่อยู่ในฐานะเหมือนแต่ก่อนแล้วก็ตาม

แม่ทัพอัสดงรอดตายจากเหตุการณ์ในคืนนั้นมาได้ แต่เขาก็ไม่อาจลุกขึ้นจับดาบสู้กับใครได้อีก ข้าวขวัญหวนนึกถึงสภาพของกล้าไพรในค่ำคืนนั้น แม้จะไม่ย่ำแย่เท่า แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดูเหมือนว่าผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีไม่ได้เพียงแค่กัดกินร่างกายเหยื่อของมันเท่านั้น แต่มันยังกัดกินลึกเข้าไปถึงภายในจิตใจด้วย และตั้งแต่คืนนั้นกล้าไพรก็ไม่ได้หวนกลับมาหาเธออีกเลย

'รีบมาหาฉัน' คำพูดนั้นยังคงดังขึ้นเป็นบางครั้งในหัวของข้าวขวัญ ตอนแรกเธอคิดว่ามันอาจหมายถึงการบุกโจมตีในค่ำคืนนั้น แต่มันก็ยังคงดังอยู่จนถึงตอนนี้ แม้จะทิ้งช่วงนานขึ้น และแผ่วเบาลงจนเกือบจะไม่ได้ยิน จนบางทีเธอก็รู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เสียงนั้นดังขึ้นจริงๆ หรือเธอเพียงแค่คิดไปเองเท่านั้น

“เสบียงของเราเกือบหมดแล้วครับท่าน”

“...ให้จัดกำลังผลัดกันออกไปล่าหาอะไรที่พอจะกินได้กลับมา”

เจิดจรัสได้แต่ต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และหวังว่าสภาพแบบนี้จะดำเนินต่อไปอีกไม่นานนัก และเหนือความคาดหมายของเขา ทหารกลุ่มหนึ่งกลับมาพร้อมเสบียงอาหารที่ประกอบด้วยข้าว และข้าวโพดจำนวนหนึ่ง จนเขาต้องเรียกทหารกลุ่มนั้นมาไต่ถาม

“ไม่ได้ไปปล้นชิงใครมาใช่ไหม”

“ครับท่าน พวกชาวบ้านที่เราบังเอิญไปพบเข้า มอบมาให้ด้วยความเต็มใจครับ”

“...จริงหรือ”

เจิดจรัสไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ต่างคิดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้น ล้วนเป็นฝีมือของทหารสุริยัน แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยอมมอบอาหารที่มีความสำคัญต่อชีวิต ให้กับทหารที่พวกเขาเกลียดแบบนี้

“พวกเขารู้ความจริงแล้วว่า ทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือของความตายเดินได้ต่างหาก และพวกเราก็กำลังพยายามต่อสู้กับมันอยู่”

ทหารผู้นั้นตอบด้วยใบหน้าที่แช่มชื่น และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้กำลังใจของเหล่าทหารกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย เพราะพวกเขาพลันรู้สึกว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นยังมีคนที่เห็นความสำคัญ และเข้าใจพวกเขาอยู่ ถึงแม้ว่าเสบียงเหล่านั้นจะไม่ได้ทำให้การเดินทัพง่ายขึ้นเท่าไรนัก แต่นับจากวันนั้นบรรยากาศภายในกองทัพกลับค่อยๆ ฟื้นฟูในทางที่ดีขึ้น

ในที่สุดทั้งสองกองทัพก็ได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก ข้าวขวัญพลันพบเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกองทัพของวารีได้ในทันที และเธอก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันเป็นฝีมือของใคร ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดทัพของตนไว้ในระยะที่เหมาะสมก่อนที่คนสำคัญจากทั้งสองฝ่ายจะเริ่มต้นพูดคุยกัน

ทางฝ่ายสุริยันนำโดยเจิดจรัส และแน่นอนว่าทางฝ่ายวารีย่อมต้องเป็นม่านเมฆ เมื่อทั้งสองฝ่ายได้พบเจอหน้ากัน ข้าวขวัญก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในที่ประชุม แต่เธอยังไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ หลังจากเสร็จสิ้นการแนะนำตัวต่อกัน การเจรจาอย่างเป็นทางการก็เริ่มต้นขึ้น

“พวกท่านเองก็ถูกกองทัพของเคออสโจมตีเช่นกัน”

เจิดจรัสเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน

“ใช่...แต่ดูเหมือนพวกท่านจะได้รับความเสียหายมากกว่า...เยอะ”

ม่านเมฆตอบโต้กลับมาเรียบๆ แต่มันก็ทำให้เจิดจรัสรู้สึกขัดเคืองขึ้นในใจ

“เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แต่อย่างน้อยมันก็หมายความว่าพวกเราต่างมีศัตรูร่วมกัน”

“เรื่องนั้นพวกฉันรู้มานานแล้ว...แต่ดูเหมือนว่าพวกท่านจะเข้าใจมันได้ในที่สุด”

เจิดจรัสมองใบหน้างามของม่านเมฆ ความรู้สึกหลายๆ อย่างผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก เขาอยากที่จะโกรธ แต่ก็ไม่อาจจะโกรธเธอได้ และเขาก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน

“...เอาเถอะ ตอนนี้พวกเราเองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้มากนัก แต่พวกเราก็อยากจะแสดงความจริงใจในการร่วมมือเพื่อต่อสู้กับความตายเดินได้ ต่อสู้กับกองทัพเคออสจนถึงที่สุด”

“ฉันขอบคุณท่านมาก”

ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของม่านเมฆ ทำให้เจิดจรัสต้องงงงันอีกครั้ง

“ที่พวกเราเสียหายน้อยกว่าพวกท่านนั้น เป็นเพราะกองทัพที่ลอบโจมตีพวกเราไม่มีผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีร่วมอยู่ด้วย...แต่เพียงแค่พวกทหารเงาเหล่านั้น ก็ทำเอาพวกเราเกือบตายกันจนหมดสิ้น พวกท่านที่สามารถต่อสู้ และขับไล่มันไปได้จึงนับว่าเก่งกล้าอย่างยิ่ง”

เจิดจรัสได้แต่นิ่งเงียบไม่รู้ว่าม่านเมฆจะเอาอย่างไรกันแน่

“แต่เมื่อพวกเราคิดจะรวมกันแล้ว ย่อมไม่อาจมีสองแม่ทัพได้ ดังนั้น...”

'มาแล้วสินะ' เจิดจรัสคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก อำนาจในการสั่งการกองทัพทั้งหมดคงต้องตกเป็นของวารี ที่มีกำลังพลจำนวนมากกว่า เขาเองก็ได้พูดคุยกับเหล่าแม่ทัพทั้งหลายแล้ว และทั้งหมดก็ตัดสินใจร่วมกันว่าจะยอมรับโดยมีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ คือต้องให้เขาได้เป็นรองแม่ทัพ และมีส่วนร่วมในการวางแผนทั้งหมดด้วย

“...ฉันขอเสนอให้ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ในกองทัพร่วมของพวกเรา ท่านจะว่าอย่างไร”

“อะไรนะ”

เจิดจรัสอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“พวกเราได้พูดคุยกันแล้ว ถึงอย่างไรพวกท่านก็มีประสบการณ์ในเรื่องการสงครามมากกว่าพวกเรา ถึงแม้จะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วย แต่เพื่อความสำเร็จของส่วนรวมทั้งหมด เราจึงคิดว่าแบบนี้มีความเหมาะสมมากที่สุด แต่ฉันจำเป็นต้องขอตำแหน่งรองแม่ทัพใหญ่ และมีส่วนร่วมรับรู้ในแผนการทำศึกทั้งหมดด้วย...และอยากให้ท่านยอมรับฟังความคิดเห็นจากฉันบ้าง หากมันจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง”

รอยยิ้มที่เปิดเผย จริงใจ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของม่านเมฆ และมันทำให้เธอดูงดงามยิ่งกว่าเดิม 'อรุณรุ่งที่รัก อภัยให้ฉันด้วย' ในช่วงเวลาหนึ่งนั้นดูเหมือนเจิดจรัสจะเผลอคิดอะไรไปมากกว่าที่ควร เขารีบปัดความคิดนั้นทิ้งไปในทันที

“...ท่านต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ”

“มันไม่ใช่ความต้องการของฉัน แต่เป็นความเห็นร่วมกันที่พวกเราคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อกองทัพร่วมมากที่สุด”

น้ำเสียงของม่านเมฆไม่มีความลังเลใจเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย เจิดจรัสพลันเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงที่จริงจังบ้าง

“หากเป็นเช่นนั้น ผมก็จำเป็นต้องร้องขอเรื่องหนึ่งเช่นกัน ในการสงครามทหารทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของแม่ทัพอย่างเคร่งครัด ทหารของท่านจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่”

“ย่อมได้แน่นอน”

เมื่อได้เห็นท่าทางจริงจังของแม่ทัพน้ำแข็ง ม่านเมฆก็หวนนึกถึงผู้ชายอีกคนหนึ่งขึ้นมา ผู้ชายที่เคยขโมยดวงใจของเธอไปครอบครองเมื่อนานมาแล้ว ชายผู้เป็นที่รักของพี่สาวของเธอ 'กล้าณรงค์' หัวใจเธอพลันเจ็บแปลบ ความผิดแต่หนหลังนั้นทิ่มแทงเธอเหมือนที่ผ่านมา 'ฉันไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว'

เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง เจิดจรัสก็ต้องเร่งทำความเข้าใจกับระบบภายในกองทัพของวารี เพื่อทำการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม โดยมีหมีทองซึ่งรั้งตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพอีกคนหนึ่ง เข้ามาช่วยประสานงานในเรื่องนี้ เพียงแค่พบหน้ากันครั้งแรก ทั้งสองก็รู้สึกถูกชะตากัน และต่างมีความเห็นต่อฝ่ายตรงข้ามเหมือนๆ กันว่า 'โชคดีที่เราไม่ต้องมาต่อสู้กันเองในสนามรบ'

"ผมต้องการเห็นธนูสายฝนของพวกคุณ”

“...มันไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว”

เจิดจรัสมองหน้าหมีทองอย่างไม่เข้าใจ

“หากศัตรูของเราคือกองทัพของเคออส ธนูสายฝนก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป”

เจิดจรัสพอจะเข้าใจในคำพูดของหมีทองแล้ว

“...ธนูสายฝนไม่อาจทำอันตรายเหล่าทหารของเคออสได้”

หมีทองรู้สึกพอใจกับความคิดที่รวดเร็วของเจิดจรัส เขาพยักหน้าช้าๆ

“ถูกต้องแล้ว ธนูสายฝนที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อการทำสงคราม ไม่อาจทำอันตรายตัวประหลาดเหล่านั้นได้ และนั่นเกือบทำให้พวกเราต้องตายกันหมด”

เจิดจรัสแทบจะสามารถมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นได้ 'เหมือนกันเลย เพลงดาบของพวกเราเองก็เช่นเดียวกัน' ถึงแม้พวกมันจะถูกพัฒนาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่กลับขาดไร้ซึ่งจิตวิญญาณ จึงไม่มีพลังสัญญาสถิตอยู่ในนั้น พวกมันจึงไม่อาจใช้ต่อต้านเคออสได้

“แต่พวกคุณก็รอดมาได้...ด้วยวิธีใด”

“ต้องบอกว่าด้วยสิ่งใดมากกว่า”

หมีทองปลดคันธนูสั้นแบบดั้งเดิมมาจากด้านหลัง มันคืออาวุธคู่กายที่ชาววารีใช้อยู่เป็นประจำบนหลังม้า ก่อนที่กล้าณรงค์จะคิดประดิษฐ์ธนูสายฝนขึ้นมา ในค่ำคืนที่ถูกโจมตีจากกองทัพเงาประหลาดเหล่านั้น ลูกธนูสายฝนจำนวนมากมายมหาศาลพุ่งผ่านร่างของพวกมันไปโดยไม่อาจทำอันตรายได้เลยแม้แต่น้อย

ในท่ามกลางความแตกตื่นตกใจนั้น ทหารหลายคนได้ใช้ธนูสั้นแบบนี้ยิงใส่พวกมัน ธนูที่พวกเขาใช้อยู่เป็นประจำในการล่าสัตว์หาเลี้ยงชีพ และป้องกันฝูงสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้จากสัตว์ร้ายชนิดต่างๆ ธนูที่ตกทอดกันมาแต่โบราณ และเป็นธนูชนิดนี้เองที่มีพลังสัญญาสถิตอยู่ พวกเขาจึงสามารถรอดตายมาได้ และนับจากคืนนั้นพวกมันก็กลายเป็นอาวุธคู่กายที่สำคัญของทหารทุกคน

ทางฝ่ายสุริยันเองนับจากค่ำคืนนั้นก็มีการถ่ายทอดเพลงดาบสุริยันแบบดั้งเดิมให้กับทหารทุกคนเช่นกัน แต่เนื่องจากเวลาที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย และความยากในการเรียนรู้จึงทำให้มีความคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า 'หากใช้ธนูเหล่านี้ให้ดี พวกเราอาจมีโอกาสในสงครามครั้งนี้มากขึ้น'

เจิดจรัสทำความเข้าใจกับวิธีจัดการกองทัพของวารีได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากถึงอย่างไรสุริยันก็มีความก้าวหน้าทางการทหารมากกว่า และเขาก็พบว่ามันแทบจะไม่แตกต่างกันเลย เขาจึงอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุทธวิธีในการรบด้วยธนูของสุริยันให้หมีทองได้รับทราบ ซึ่งก็สามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกพึงพอใจกับทุกสิ่งในวันนั้น

บรรดาเหล่าทหารเองก็ดูจะเข้ากันได้ไม่ยากนัก แม้จะมีความไม่มั่นใจในตอนแรก แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งหมดก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในตอนนี้ทั้งหมดล้วนเป็นพวกเดียวกัน และมีศัตรูร่วมกันก็เป็นได้

แล้วในค่ำคืนนี้ที่ทุกคนได้นอนหลับอย่างเป็นสุข ต่างก็มีความฝันที่เหมือนๆ กัน ในความฝันนั้นมีสตรีที่งดงามปรากฏกายขึ้น ซึ่งนางก็คือเวทมายา หัวหน้าสมาคมนักมายากลนั่นเอง

“...จงมุ่งสู่ตะวันตก สงครามครั้งสุดท้ายกับเคออสกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเราต้องร่วมกันรักษาแดนแห่งดารา ซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายเอาไว้อย่างสุดความสามารถ จงมุ่งสู่ตะวันตก...”

ข้าวขวัญสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ไม่ใช่เนื่องจากความฝันนั้น เธอนั่งตัวสั่นเหงื่อออกจนโทรมกาย เสียงลึกลับนั้นดังขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง 'อันตราย รีบมาหาฉันเร็ว' แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เธอตื่นขึ้นมาเช่นกัน ความรู้สึกที่เข้มข้นนั้นต้องไม่ผิดแน่ 'พี่ข้าวเขียวกำลังตกอยู่ในอันตราย' และไม่ใช่อันตรายธรรมดา แต่อาจหมายถึงชีวิตของเขาเลยก็เป็นได้




 

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2554
2 comments
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2554 23:11:27 น.
Counter : 607 Pageviews.

 

ใกล้ถึงจุดจบแล้วสินะ

เสียงลึกลับนั่นเสียงของใคร

เกือบลืมไปว่า ข้าวเขียวอยู่กับมายา

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 28 กุมภาพันธ์ 2554 17:08:29 น.  

 

อั๊บบล็อกตอนไหนอีกง่ะ

รออยู่นะครับ

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 6 มีนาคม 2554 18:20:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.