เมืองสีชมพู ชัยปุระ Jaipur
**เชิญค่า ลูกทัวร์ของณ มน มาเที่ยวกันต่อดีกว่า**
เมื่อออกเดินทางจากอัคราขับรถมาได้สักพักราชก็จอดที่ร้านค้าข้างทางเพื่อแวะดื่มน้ำชา
หลังจากที่ปล่อยให้สองสาวนั่งรออยู่ในรถ ราชเข้าไปในร้านเกือบชั่วโมงก่อนจะเดินยิ้มหน้าบานออกมาทำหน้าที่คนขับ
บิดกุญแจสตาร์ทรถ ปรากฏว่าน้องหนูทาทาเงียบสนิท ไม่หือไม่อือใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่ซ่อมมาแล้วด้วย ทำตัวน่ารักกับเรามาได้แค่ครึ่งวันก็ออกลายซะแล้ว
"เอาไงดีนี่"ณ มนหันมาถามเพื่อนร่วมชะตา
"สงสัยต้องเข็นซะแล้วหล่ะมั้ง"
ระหว่างนั้นตาราชก็ลงไปเปิดกระโปรงหนูทาทา เพื่อดูอาการว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เห็นหยิบๆจับๆโน่นนิดนี่หน่อย แล้วก็ลองเข้ามาสตาร์ทรถ แต่ผลคือเงียบเหมือนเดิม
สักครู่หนึ่งชาวบ้านที่นั่งอยู่ในร้านก็มาพูดคุยกับราช จากนั้นพวกเขาก็พากันไปจับก้นหนูทาทาของเรา พอราชลองสตาร์ทพวกเขาก็ช่วยกันเข็น
ถ้าเป็นคนไทยก็คงส่งเสียงกันประมาณนี้
"เอ้าฮุยเลฮุย"เพราะเห็นช่วยกันเข็นเต็มแรงเลยค่ะ
ได้ผลแฮะ เครื่องติดค่ะ เราหันไปโบกไม้โบกมือขอบคุณพวกชาวบ้าน แม้จะพูดกันไม่รู้เรื่องแต่รอยยิ้มและน้ำใจที่พวกเขาแสดงออกมันสามารถสื่อถึงเราสองคนได้เป็นอย่างดีค่ะ
จากที่โมโหตาราช แต่เมื่อเห็นได้น้ำใจของชาวบ้าน มันก็หักลบกลบหนี้กันได้ค่ะ
ราชขับรถมาหลายชั่วโมงอยู่ เวลาก็บ่ายกว่าแล้ว เขาหันมามองเราก่อนจะบอกว่า
"ขอแวะทานข้าวหน่อยนะครับ"
"เชิญเถอะ"พี่เตี้ยบอก
แล้วราชก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งณ มนกับพี่เตี้ยไม่ได้ลงไปเช่นเคย เรานั่งรออยุ่บนรถค่ะ
ครู่หนึ่งก็มีรถซูโม่คันใหม่เอี่ยมมาจอดข้างๆเรา เจ้ารถชนิดนี้หน้าตาแบบรถจี๊ปนั่นเองแต่ที่นั่นเขาเรียกว่ารถซูโม่
แล้วก็มีหญิงสาวสองคนเดินลงจากรถ ณ มนหันไปมอง อ้าวพี่เอียดกับพี่หนูนี่
"พี่พี่"ณ มนรีบตะโกนเรียกด้วยความดีใจไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่
สองสาวพอหันมาเห็นว่าเป็นณ มนกับพี่เตี้ยก็รีบเดินมาทักทายกันทันที ก็ตามประสาคนไทยได้เจอกันในต่างแดนมันรู้สึกดีจริงๆนะคะ
"พี่รู้เปล่ารถคันนี้เสียตลอดเลยอ่ะ"ณ มนบอกกับพี่ทั้งสองหลังจากที่คุยกันมาหลายคำแล้ว
"แล้วทำไมไม่ขอเปลี่ยนล่ะ นี่พวกพี่เห็นรถเก่ายังโวยจนเจ้าของบริษัทต้องให้รถคันใหม่มาเลย"พี่เอียดว่างั้น
"ขี้เกียจอ่ะพี่แล้วเจ้าของบริษัทก็ดันไปปากีฯแล้วด้วย"พี่เตี้ยเป็นคนตอบ
"เหรอ เออเอางี้ดีกว่าเอาเบอร์พี่ไปเผื่อรถเสียกลางทางจะได้ช่วยเหลือกันได้"
พี่เอียดจดเบอร์โทรฯให้เรา ส่วนเราก็ให้ที่อยู่โรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ให้กับพี่ทั้งสองไปเผื่อจะได้ตามไปเจอกันคืนนี้ แล้วพี่ทั้งสองก็เข้าไปทานอาหาร
เรานั่งรอราชต่อไป สักประมาณเกือบชั่วโมงคุณชายราชก็เดินกลับมาที่รถ นั่งประจำที่คนขับแล้วบิดกุญแจสตาร์ทรถ
เอาอีกแล้วค่ะ ทาทาทำพิษอีกแล้วค่ะ สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด
"อีกแล้วหรือราช"พี่เตี้ยตีหน้ายักษ์อีกครั้ง
"เรื่องความร้อนน่ะครับรับรองไม่มีปัญหา"นายราชหันมาตอบ
แล้วที่มันสตาร์ทไม่ติดนี่มันไม่ใช่ปัญหาหรือไง อีตานี่ ณ มนนึกว่าในใจ
ทีนี้ก็เดือดร้อนคนงานในร้านอาหารต้องมาช่วยกันเข็นบั้นท้ายน้องทาทากันจนได้ สุดท้ายเราก็สามารถสตาร์ทเครื่องจนติดแล้วก็ขับออกจากร้านอาหาร
**************************
สองข้างทางที่จะไปเมืองชัยปุระเริ่มร้อนและแห้งแล้งขึ้น นานๆถึงจะได้เห็นทุ่งมัสตาร์ดสักหนึ่งทุ่ง เพราะชัยปุระเป็นเมืองอยู่ในแคว้นราชสถานซึ่งพื้นที่ของแคว้นนี้ส่วนมากอยู่ในทะเลทรายธาร์ค่ะ
ราชขับมาได้สักสองชั่วโมงก็ขอและดื่มน้ำชาอีกรอบเราอนุญาต คุณชายเลยเดินเข้าไปนั่งในร้านน้ำชาริมทางลักษณะเหมือนเพิงเล็กๆ
แต่ครั้งนี้ราชได้รับบทเรียนแล้วว่าหากคิดจะจอดรถจงอย่าดับเครื่องเป็นอันขาดดังนั้นราชจึงติดเครื่องยนต์เอาไว้ในขณะที่ตนเองลงไปหย่อนก้นนั่งลงที่เตียงเชือกถักของร้านน้ำชา ปล่อยให้เรารออยู่บนรถเหมือนเดิม
คงจะเพราะเบื่อที่จะชวนแล้วนั่นเองเพราะชวนทีไรยัยสองคนนี้มันไม่เคยลงไปด้วยสักที สุดท้ายเลยเลิกชวน
ระหว่างนั้นณ มนก็หันไปมองถนนหนทางที่เข้าสู่เมืองชัยปุระเห็นมีเกวียนเทียมอูฐเลยเก็บภาพมาแต่มันค่อนข้างมืดหน่อยนะคะ
*******************
กว่าที่เราจะเข้าสู่เมืองชัยปุระพระอาทิตย์ก็โบกมือลาเราลับเหลี่ยมเขาไปแล้วค่ะ เหลียวมองทางเข้าเมืองยังกะหลุดไปอยู่ในหนังสงครามสมัยก่อน เพราะมันมีกำแพงสูงๆทอดตัวไปตามถนนสองข้างที่จะเข้าเมือง ที่กำแพงนั้นมีช่องเล็กๆพอให้คนเข้าไปยืนได้
รู้มาว่าเมื่อก่อนพอมีขบวนกองทัพเคลื่อนผ่าน ชาวบ้านจะมายืนในช่องเล็กๆเหล่านี้แล้วช่วยกันโปรยดอกไม้และกล่าวคำอวยพรให้กับกองทัพค่ะ
เมืองชัยปุระใหญ่ค่ะ ถนนหนทางผู้คนรถรามากมายขวักไขว่จริงๆในความรู้สึกของณ มนรู้สึกว่าจะใหญ่กว่าเมืองอัครา
ราชขับรถไปหาที่พักของเราค่ะ แต่ขับไปขับมาณ มนก็เริ่มรุ้สึกได้ว่าตรงนี้เราเคยผ่านมาแล้วนี่นา
ใช่แล้วพี่ราชหลงทางค่ะ กว่าจะหาทางไปที่พักก็เกือบสองทุ่ม โชคดีที่ระหว่างทางณ มนมีอะไรให้ดูเยอะแยะเลยไม่โมโหมากนัก
เพราะสองข้างทางเจอขบวนแห่แต่งงานเกือบ10ขบวนแน่ะ มองไปก็เพลิดเพลินตาดีค่ะพอจะลบล้างความเซ็งจากการขับรถหลงทางของราชได้
คืนนั้นเราพักที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งลักษณะเป็นเหมือนบ้านเก่าที่ปรับปรุงมาเป็นเกสต์เฮาส์ เจ้าของเป็นหญิงสูงวัยใจดี ยิ่งได้รู้ว่าเราเป็นคนไทยยิ่งได้รับการบริการที่ดีเพราะสามีกับลูกชายของเธอมาค้าขายที่พาหุรัดหลายปีแล้วค่ะ
หน้าตาของห้องพักเราค่ะ
พอได้ห้องพัก สักครู่พี่เอียดกับพี่หนูก็ตามาถึง เราคุยอยู่นานเลยได้ความรุ้อะไรมาเพียบเพราะคนขับรถของพี่เอียดกับพี่หนูเขาทำงานมานานแล้ว
คนขับรถของพี่สองคนนี่บอกว่าที่เห็นขบวนแต่งงานมากๆนี่ก็เพราะช่วงนี้เป็นช่วงฤกษ์ดีของปีเหมาะจะแต่งงาน นั่นดูดิคนขับรถของพี่เขา ได้เรือ่งได้ราวกว่าตาราชตั้งเยอะ เราอยู่คุยกันจนดึกกว่าจะแยกย้ายกันไปนอน
คืนนั้นก่อนนอน พี่เตี้ยหันมาบอกกับ ณ มนว่า
"คืนนี้เราเปิดไฟนอนกันเหอะ"พี่เตี้ยบอกในขณะที่มองหน้าณ มน
"ทำไมอ่ะพี่"
"คือบ้านนี้อายุกว่า200ปีแล้วอ่ะ เจ้าของเขาเพิ่งมาทำเกสต์เฮาส์"
บอกมาแค่นี้ล่ะค่ะ ณ มนทราบโดยอัตโนมัติ เรามองตากันก่อนจะล้มตัวลงนอนทั้งที่ไฟสว่างจ้าแบบนั้นแหล่ะค่ะ
ช่วงเช้าพี่เอียดกับพี่หนูรีบออกมาลาเราค่ะ เพราะอาจจะไม่ได้เจอกันแล้วเนื่องจากพี่ๆเขามีเวลาเมืองละสองวันแต่ณ มนกับพี่เตี้ยมีเมืองละวัน ดูตามตารางแล้วคงไม่ได้เจอกันแน่นอนค่ะ
ร่ำลากันเสร็จ ณ มนกับพี่เตี้ยก็แบกเป้มารอนายราช กว่าคุณชายจะมาก็ทำเอาอารมณ์ดีๆของเราสองคนเกือบขุ่น
เช้านี้ได้เห็นภาพบ้านเมืองชัยปุระแบบชัดเจนค่ะ ทุกหนทุกแห่งมีแต่สีชมพูอมส้ม เพราะว่าเมื่อปีค.ศ.1853เจ้าชายอังกฤษเสด็จ
เยือนเมืองนี้ มหาราชาเลยสั่งให้ประชาชนบูรณะบ้านเรือนแล้วทาเป้นสีชมพูแบบนี้ล่ะค่ะ
"เห็นแล้วอยากให้แถวๆราชดำเนินทาสีเหลืองเยอะๆ"ณ มนว่างั้น
"ทำไม"พี่เตี้ยหันมาถาม
"อ้าวเราจะได้กลายเป็นyellow cityไงพี่"ณ มนเฉลย
"เออดีเหมือนกัน"
สีสันของเมืองสีชมพู
เราสั่งให้ราชพาไปที่แอมเบอร์พาเลซก่อนค่ะ ราชเลยขับรถออกนอกตัวเมือง ระหว่างทางมองเห็นวังกลางน้ำอันเป็นวังที่ใช้พักผ่อนในตอนฤดูร้อนก็เลยแวะลงไปแชะมาหน่อย พระราชวังนี้มีชื่อว่าจันมาฮาลค่ะ Jan Mahal
ระหว่างนั้นมีหน่มนักเรียกชายชาวอินเดียทำมาเป็นกะลิ้มกะเหลี่ย ณ มนหันไปมองหน้าเขา
โห เด็กกว่าตั้งหลายปี ครั้นจะไปผูกไมตรีก็กลัวว่าจะโดนข้อหาหลอกเด็ก ดังนั้นเลยเลือกที่จะเดินเลี่ยงมาอย่างสุภาพค่ะ
วังจัน มาฮาล
รถขับขึ้นเขาได้ไม่นานก็มาถึงแอมเบอร์ พาเลซค่ะร้องสั่งให้ราชจอดใกล้ๆทะลเสาบเพื่อ เก็บภาพสวยๆของแอมเบอร์มาฝากก่อนจะเดินขึ้นไปชมความงามของ Amber Palace ค่ะ
แอมเบอร์พาเลซกับเงาสะท้อนในน้ำ
ตอนหน้ามาอ่านกันต่อนะคะว่าวังนี้จะสวยงามขนาดไหน
ตอนนี้อาจจะหนักไปทางบ่นๆอย่าเพิ่งเบื่ออ่านกันนะคะ
หวังว่าลูกทัวร์ยังไม่เบื่อทัวร์ไปบ่นไปของณ มนนะคะ
Create Date : 30 มิถุนายน 2549 |
|
16 comments |
Last Update : 9 กันยายน 2551 1:51:06 น. |
Counter : 2051 Pageviews. |
|
|
|
รอดคืนนั้นมาได้งัยเนี่ย ณ มน..
แต่ดูบรรยากาศห้องแล้วไม่น่ากลัวเลยนิ..
ลุ้นต่อ พี่ราชกะน้องทาทาจะงอนอีกรึเปล่าในบล็อกหน้า..