เมืองร้างแสนงาม Fatehpur Sikri
ดองบลอกซะหลายวันจนใครบางคนเขาค่อนขอด วันนี้ณ มนได้ฤกษ์อัพบลอกเสียที
อย่ารอช้าค่ะตาม ณ มนมาเที่ยวกันเถอะค่ะ
ตอนนี้ ณ มน จะพาทุกคนไปที่นี่ค่ะ
ฟาเตห์ปูร์ สิครี Fatehpur Sikri
นี่ล่ะค่ะโฉมหน้าของฟาเตห์ปูร์ สิครี
ออกมาจากอัคราฟอร์ท ราชก็ขับรถออกมาจากตัวเมือง เท่าที่สังเกตเมืองอัคราค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ไม่แห้งแล้ง เพราะสองข้าง
ทางมีแปลงพืชผักอยู่ตลอดสองข้างทาง และที่สำคัญในท้องทุ่งนั้นยังมีนกยูงเดินกันเต็มเลย
ได้รู้มาว่าคำว่านกยูงในภาษาอินเดียตรงกับคำว่าเมารยะ ซึ่งเป็นชื่อราชวงศ์ของพระเจ้าอโศก ดังนั้นนกยูงจึงเป็นสัตว์สงวนเขา
ไม่ฆ่ากันหรอกค่ะ
สักครู่ราชก็ขับรถขึ้นเขาลูกหนึ่ง สองข้างทางเริ่มแห้งแล้งนิดหน่อย
แล้วราชก็จอดรถพรืดหน้าประตูทางเข้า เรามองไปยังสถานที่ท่องเที่ยวเบื้องหน้า ที่นี่คือ ฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehpur Sikri)
เมืองร้างอันแสนงดงาม ซึ่งสถานที่นี้ ณ มนเป็นคนกำหนดเองในแผนการท่องเที่ยวของเราครั้งนี้
เพราะว่าได้ยินและได้เห็นภาพมาจากหนังสือท่องเที่ยวก็เลยอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง
(นี่เป็นทางเข้าฟาเตห์ปูร์ สิครีค่ะ)
คนอินเดียเขาบอกว่าให้หาโอกาสมาเยือนฟาเตห์ปูร์ยามอาทิตย์อัสดงให้ได้สักครั้ง เพราะที่นี่สวยงามมากในเวลาอาทิตย์อัสดง
ไอ้เราก็มองนาฬิกาที่ข้อมือ อืม บ่ายโมงกว่าๆ จะรออาทิตย์ตกดินคงไม่ไหว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมีหวังถึงชัยปุระดึกแน่ๆ จำใจ
เดินดุ่มๆเข้าไปจ่ายเงินซื้อตั๋วสองใบ ท่ามกลางแดดยามบ่ายร้อนเปรี้ยงนี่หล่ะ
มาถึงนี่คงต้องกล่าวถึงมหาราชาที่สร้างเมืองนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนพระเจ้าอักบาร์มหาราชนั่นเอง ซึ่ง ณ มนชื่นชอบท่านมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นกษัตริย์ที่เก่งมากๆเลยในราชวงศ์โมกุล ณ มนยกให้พระองค์เป็นอันดับหนึ่ง
เพราะนอกจากจะเป็นนักรบที่เก่งกาจแล้วพระองค์ยังสนุบสนุนศิลปะทุกแขนง ให้การอุปถัมภ์ทุกศาสนาด้วย ทั้งที่ท่านเป็นมุสลิม
ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังยกเลิกภาษีที่จะเก็บกับคนที่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาอิสลามด้วยค่ะ
ในชีวิตวัยเด็กต้องเร่ร่อนไปอยู่ตามเมืองต่างๆกับพระบิดาหุมายันเพราะถูกโค่นล้มราชวงศ์โมกุลแล้วพระเจ้าเชอร์ชา ครองราช
พระองค์จึงมุ่งมั่นฝึกปรือฝีมือเพื่อกลับมาทวงบัลลังก์คืน และก็สำเร็จค่ะ (เห็นไหมล่ะท่านเก่งจริงๆ)
หลังจากยึดบัลลังก์กลับมาได้พระองค์ก็หาทำเลสร้างเมืองโดยเลือกที่นี่หล่ะค่ะ วังนี้สร้างโดยแบบศิลปะโมกุลแท้ๆและก็ต้องบอกว่าศิลปะแบบโมกุลนั้นสวยงามมากใช้เวลาสร้าง7ปี เคยเป็นเมืองหลวงตั้งแต่ปี ค.ศ.1569-1584
นอกจากนี้ภายในยังมีวังที่สร้างเพื่อพระชายาที่นับถือศาสนาต่างๆกันทั้งฮินดู และมุสลิม แบบเตอร์กี กำแพงกว้างขวางแข็งแกร่งระบบระบายน้ำก็สุดยอด
ภายในมีสระน้ำ ลานหมากรุกคน โรงเลี้ยงช้าง สถานรักษาพยาบาล ล้วนแล้วแต่ถูกวางผังวางแปลนมาอย่างดีค่ะ
(ภายในวังค่ะ ซึ่งต่อมาภายหลัง ณ มนถึงได้รู้ว่าส่วนของวังนี่เขาเรียกว่าสิครี ค่ะ)
อาคารภายในยังคงโชว์ศิลปะการแกะสลักลวดลายตามเสาเชิงชาย และประตู ด้วยความที่เป็นหินทรายแดงจึงให้ความรู้สึกแบบ
เหงาๆชอบพิกล เพราะก่อนหน้านี้ผ่านกันมาแต่เมืองที่สร้างจากหินอ่อน
ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงหลายปีก่อนจะย้ายไปที่อัครา ฟอร์ท เพราะว่าที่นี่มีปัญหาเรื่องน้ำกินน้ำใช้นั่นเอง
"เหมือนเมืองร้างเนอะ"พี่เตี้ยว่างั้น
ก็มันเมืองร้างนี่พี่เตี้ย อีกฉายาเขาเรียกเมืองผีสิงด้วยอ่ะ" ณ มนบอกเมื่อดูจากข้อมูล
เพราะหลังจากที่ย้ายเมืองหลวงไปอัครา ฟอร์ทแล้ว ที่นี่ก็กลายเป็นเมืองร้างในที่สุด
(มุมหนึ่งในวังหรือที่เรียกว่าสิครีค่ะ)
เราเดินไปกันเรื่อยๆ ณ มนก็ดูหนังสืออยู่หลายรอบ เอ๊ะ ทำไมภาพภายในนี้มันไม่เหมือนกับในหนังสือหว่า พูดพลางมองไปรอบๆ ก่อนจะไปจ๊ะเอ๋เห็นยอดโดมกลมๆมองอยู่ไกลๆ ใช่แล้วนั่นใช่เลยเป็นภาพที่เราเห็นในหนังสือเลย
(นี่ค่ะมองไปแล้วเห็นภาพแบบนี้)
ตัดสินใจเดินไปหาลุงยามถามทางว่าจะไปที่ยอดโดมนั่นได้ยังไง
ลุงแกก็ได้ยิ้มแล้วส่งภาษาฮินดี้มา เราแปลไม่ออกอ่ะ เลยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นกลุ่มครอบครัว ก็ไม่ได้เรื่องสงสัยจะประมาณ
เป็นคนสงขลามาเที่ยวเชียงใหม่ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน
จนเราเดินมาจนเจอหนุ่มหล่อกลุ่มหนึ่ง เข้าไปถามเขาว่าจะไปที่ยอดโดมนั่นได้ยังไง คราวนี้ได้เรื่องพ่อหนุ่มคนนี้มีข้อมูลเพียบ
"อ๋อ ที่นั่นเขาเรียกฟาเตห์ปูร์ครับ เป็นศานาสถาน ส่วนตรงที่เรายืนอยู่นี่เรียกสิครีเป็นวังครับ"
"เดินไปได้ไหม"พี่เตี้ยถาม
"ได้ครับ เข้าฟรีด้วย"คำว่าฟรีนี่หล่ะทำเราตาโต รีบขอบคุณเขาแล้วเดินไปยังเนินเขาลูกนั้นทันที
(ทางเข้าฟาเตห์ปูร์ค่ะ คนเยอะแยะเลย)
เดินได้พอน่องตึงก็มาถึงเห็นผู้คนมากมาย รถราจอดเยอะแยะไม่เหงาเหมือนที่สิครี เราเดินขึ้นบันไดไปค่ะ มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่า
ต้องฝากรองเท้า เราก็ลังเลไม่กล้าฝากกลัวเจอเล่ห์เหลี่ยม
"สถานที่ศักดิ์สิทธิครับ"แขกเจ้าเดิมย้ำมาเราเลยตัดสินใจฝากรองเท้า
"เอ้าฝากก็ฝาก สถานที่ศักดิ์สิทธิคงไม่เจอเล่ห์กระเท่ของแขกหรอกมั้ง"เราสองคนเห็นตรงกัน
แต่มันไม่จบแค่นั้นพอเราฝากรองเท้าก็จะมีหนุ่มเดินตามมาเพื่อเสนอตัวเป็นไกด์ เราก็ทำหน้าดุกันสุดฤทธิ์บอกไม่ต้องค่ะขอบคุณ
แต่ก็ยังตื๊อไม่เลิกสุดท้ายเลยเดินเฉยๆจะตามก็ช่าง ทำเป็นไม่สนซะงั้น สุดท้ายเขาเลยถอยไปเอง
ภายในฟาเตห์ปูร์กว้างขวางมาก เป็นลานที่ใช้ทำพิธีทางศานาค่ะ คนมาเที่ยวเยอะแยะเลย ก่อนมาอ่านหนังสือเขาบอกว่าให้ระวัง
เสมหะและเสลดที่พื้น แต่ตอนที่เราไปสงสัยแดดร้อนจัด ที่พื้นเลยแห้งสนิทไม่มีร่องรอยเสลดแต่อย่างใดโชคดีไปค่ะ(แต่ร้อนเท้าชะมัดยาด)
(ลานกว้างๆในฟาเตห์ปูร์ค่ะ)
เดินชมกันไปเรื่อยๆแล้วก็เห็นซุ้มประตูสวยงามมากก็เลยเก็บภาพมา ก่อนจะจ๊ะเอ๋เข้ากับมุมคุ้นตาในหนังสือเลยแชะมาซะหลายใบ
อีกสักรูปค่ะ
ช้เวลาชื่นชมความงามของที่นี่นานพอดูก่อนจะออกมาที่ลานจอดรถ ตาราชหายไปอีกแล้ว เราเลยยืนมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆสาย
ตาก็ไปสะดุดกับร้านขายอาหารว่างของเขา เป็นผักหลายๆอย่างหั่นใส่กระทงแล้วก็มีแผ่นแป้งเล็กๆใส่รวมอยู่ในนั้นด้วยราดด้วยเครื่องเทศแบบที่เขาเรียกว่ามัสซาล่า
กินเสร็จก็ทิ้งกระทงได้เลยไม่เดือดร้อนธรรมชาติ แล้วพอกลับมาบ้านค้นข้อมุลถึงได้รู้ว่าไอ้ที่เขาทานกันเล่นๆน่ะ มีชื่อเรียกว่า "มัซซาล่า ปูรี"ค่ะ
ครู่หนึ่งนั่นแหล่ะค่ะราชถึงมา เป็นคุณชายตามเคยเราสองคนต้องรอเขา พาไปเที่ยวไหนก็ไม่เค้ยไม่เคยจะหาข้อมูล
อย่างมาที่ฟาเตห์ปูร์เนี่ยแทนที่จะขับรถขึ้นเขามาเรามาที่นี่ก่อนเพราะชมฟรีไง แล้วค่อยเดินลงเนินไปเที่ยวสิครี หากไม่อยากเสียเงินก็ไม่ต้องเที่ยวก็ได้ แถมถ้าทำแบบนั้นจะไม่ต้องเมื่อยด้วย เพราะเดินลงเขามันง่ายกว่าเดินขึ้นเขาเป็นไหนๆ
แต่พี่แกเล่นพาเราไปที่สิครีซะก่อน งานนี้ก็ต้องจ่ายเงินน่ะดิ แถมยังต้องเดินจนเหนื่อยอีก
เฮ้อ กลุ่มกับตาราชจริงจิ๊ง
*************************
และแล้ว ณ มนก็ได้เวลาร่ำลาเมืองอัครา เพื่อออกเดินทางไปเมืองสีชมพูชัยปุระเสียที
ระหว่างทางจะมีเรื่องอะไรให้ณ มนกับพี่เตี้ยต้องกลุ้มใจกันอีกหรือเปล่ามาตามกันตอนหน้าค่า
Create Date : 26 มิถุนายน 2549 |
|
29 comments |
Last Update : 26 มิถุนายน 2549 12:46:42 น. |
Counter : 3754 Pageviews. |
|
|
|
กษัตริย์ลำดับที่3ในราชวงศ์โมกุลค่ะ
พระเจ้าอักบาร์ (Akbar)กษัตริย์ผู้รอบรู้
ประสูตรเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1542 ในขณะที่พระราชบิดาคือกษัตริย์หุมายัน ไร้บัลลังก์ และได้รับความช่วยเหลือจากราชาแห่งเมืองอุมาโกท ในวัยเด็กพระเจ้าอักบาร์ทรงฝึกวิชาทหารอย่างหนัก ด้วยตั้งมั่นว่าจะชิงบัลลังก์คืนให้ได้ หลังจากที่พระราชบิดาสวรรคต พระเจ้าอักบาร์ก็ประกาศขึ้นครองราชที่เมืองปัญจาบในวัย15ปี ก่อนจะทรงมาปราบปรามราชวงศ์ชูร์จนได้ครองราชที่เมืองเดลลีสมที่ตั้งพระทัยไว้ ครองราชย์ตั้งแต่ ค.ศ.1556-1605
ในเรื่องของการปกครองพระเจ้าอักบาร์ได้ดำเนินรอยตามที่สุลต่านเชอร์ ชาห์ วางเอาไว้นั่นคือกษัตริย์มีสิทธิอำนาจสูงสุด นอกจากนี้ยังทรงดำเนินนโยบายทางการทูตด้วยการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับชาวราชพุธที่ขณะนั้นรวมตัวกันเป็นแคว้นที่เข้มแข็งมาก และผูกไมตรีกับราชาพิหารีแห่งแอมเบอร์
พระเจ้าอักบาร์เป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชามากในด้านการเจริญไมตรีกับกษัตริย์ราชวงศ์ต่างๆด้วยการแต่งงานกับเจ้าหญิงของเมืองชัยปุระ และยังแต่งตั้งให้มหาราชาแห่งเมืองชัยปุระมีสิทธิ์ปกครองตัวเอง รวมทั้งได้ดำรงตำแหน่งสูงในราชสำนักของราชวงศ์โมกุลอีกด้วย
พระเจ้าอักบาร์ทรงนับถือศาสนาอิสลามแต่งทรงให้ความสำคัญกับศานาอื่นๆอย่างเท่าเทียมกัน ค.ศ.1575ทรงสร้างหอธรรมที่หลังวิหารเมืองฟาเตห์ปูร์ สิครี เพื่อเป็นที่อภิปรายเรื่องศาสนา ค.ศ.1634พระเจ้าอักบาร์เคยตรัสว่า การบังคับให้ชาวฮินดูเปลี่ยนศาสนาเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์พระองค์สั่งยกเลิกการเก็บภาษีผู้นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ยังทรงสร้างห้องสมุดที่มีหนังสือมากถึง24,000เล่ม
ในสมัยของพระองค์นี้เองที่ทรงสร้างเมืองหลวงฟาเตห์ปูร์ สิครี เป็นเมืองหลวงมีการผังเมืองเป็นอย่างดีและมีความสวยงามมากในด้านการรวบศิลปะแขนงต่างๆเอาไว้ นอกจากนี้ทำเลที่ตั้งยังอยู่ในตำแหน่งที่ดีอีกด้วย ฟาเตห์ปูร์ สิครี นั้นกล่าวกันว่าเป็นสิ่งยืนยันถึงการที่กษัตริย์ในราชวงศ์โมกุลมีความชมชอบในเรื่องของศิลปะและธรรมชาติอันสวยงาม
อณาจักรโมกุลในสมัยของพระเจ้าอักบาร์นี้มีขยายไปจนถึงทิศเหนือของอินเดียทีเดียว
ทรงพระปรีชาสามารถมากๆเลยนะคะ