หลายเรื่องเล่า กับณ มน คนหัวฟูแก้มป่อง ^_^
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
17 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
พม่าใกล้ตาฯตอนที่8 เจ้าชาย นางฟ้า พินดาย่า ยองฉ่วย

ยังคงพาเพื่อนๆท่องแดนพม่าอยู่ค่ะ ตอนนี้ก็พาเดินทางมาถึงตอนที่8แล้วล่ะ

ครั้งนี้จะพาไปที่ราบสูงของพม่า เปรียบไปก็เหมือนกับภาคอิสานบ้านเรา รัฐฉาน มีพี่น้องชาวไทอาศัยอยู่มากมายหลายเผ่า นับได้ก็ร่วม30เผ่าไท นะคะ


วันนี้เราบินจากมัณฑเลย์ไปที่สนามบินเมืองแฮโฮ ค่ะ เมืองหนึ่งของรัฐฉาน





สนามบินแฮโฮ สนามบินขนาดเล็กกระทัดรัดค่ะ พอมาถึงที่นี่เราก็ได้ชิมส้ม ผลไม้เลื่องชือและรสอร่อยของเมืองกันเลยทีเดียว อ้อ ได้ลองชิมมันฝรั่งทอดด้วยนะคะ ถึงจะมาในรูปบรรจุถุงธรรมดาไม่ได้มีตรายี่ห้อดัง แต่ขอบอกว่าอร่อยมากกกก


จากสนามบินก็ออกเดินทางค่ะเพราะที่หมายแรกของเราวันนี้คือเมืองพินดายา ซึ่งเป็นเมืองที่ปลูกผลไม้เมืองหนาวส่งขายทั่วประเทศพม่าเลยนะ เพราะฉะนั้นสองข้างทางที่ผ่านไปนี่จะสวยสดงดงามด้วย ภาพของไร่ข้าวและสวนผลไม้





ถนนหนทางก็ค่อนข้างเล็กและขรุขระ ดังนั้นคนที่คิดจะนอนหลับเอาแรงเลิกคิดได้เลยค่ะ หัวงี้สั่นคลอนกันไปตลอดทางเลยทีเดียว แต่เมื่อแลกกับวิวสองข้างทางก็ถือว่าคุ้มนะคะ






ฟ้าใสมากเลยล่ะวันนี้





ระยะทางจากสนามบินเมืองแฮโฮมาเมืองพินดายา น่ะไม่ไกลเท่าไหร่หรอกค่ะแต่ถนนแย่เหลือทนเลยใช้เวลามาก ดังนั้นก่อนจะไปเที่ยว เราเลยต้องแวะทานอาหารเพิ่มพลังให้กับตัวเองเสียก่อนที่ร้านอาหารหน้าตาน่ารักบรรยากาศดีๆเสียก่อน


ร้านนี้ค่า




เขาแต่งร้านน่ารักมากนะคะแถมอาหารยังรสชาติอร่อยอีกต่างหากเรียกได้ว่ามื้อนี้ได้ทั้งอาหารตาและอาหารใจกันเลยทีเดียว


แจกันดอกไม้น่ารักๆในร้าน








ทานอาหารไปก็มีมีภาพวาดสวยๆให้ดูไปด้วย อ้อ มื้อนี้ถึงจะรสชาติอร่อยแต่ว่ายังขาดรสเผ็ดอยูดีเพราะคนพม่าเขาไม่ทานเผ็ด เราเลยได้งัดน้ำพริกนรกจากเมืองกาญจน์มาแจมด้วยเหมือนเคย







ร้านอาหารนี่ ตั้งอยู่ใกล้ๆกับบึงน้ำหรือทะเลสาบของเขานี่ละค่ะแต่ว่าบรรยากาศหลังร้านสวยมากๆ ทานอาหารเสร็จเลยไปเดินย่อยดูวิวและถ่ายรูปกันหน่อย





ชาวบ้านที่กำลังอาบน้ำซักผ้ากันที่ริมน้ำ





อิ่มอร่อยกันแล้วก็ออกเดินทางไปเที่ยวซักที สถานที่ท่องเที่ยวของเราก็คือ ถ้ำพินดายา ถ้ำที่มีพระพุทธรูปตั้ง8094องค์แน่ะค่ะ





เมื่อเดินทางมาถึงเราจะได้เห็นรูปปั้นแมงมุมยักษ์แบบนี้อยู่ตรงทางขึ้นวัด




ใกล้ๆกันก็จะมีรูปปั้นเจ้าชายอยู่ด้วย เหตุที่มีรูปปั้นแบบนี้ก็เพราะว่าตามตำนานการเกิดเมือง พินดายานี้ เล่ากันว่า


มีนางฟ้า7องค์ลงมาเล่นน้ำที่สระน้ำใหญ่ในเมือง ดังรูปบนโน้นน่ะค่ะ จากนั้นก็เกิดมืดค่ำเสียก่อนเหาะกลับสวรรค์ไม่ทัน




นี่ไงคะเจ้าชาย



เมื่อกลับไม่ทันก็เลยพากันไปหลบพักนอนในถ้ำนี้ แต่ว่ามีแมงมุมยักษ์ตัวหนึ่งค่ะมาขวางปากถ้ำเอาไว้แล้วก็จับนางฟ้ากับบรรดานางรับใช้กินไปเสียทีละคนสองคน


จนกระทั่งเหลือนางฟ้าองค์สุดท้ายกำลังจะถูกจับกินแต่ว่ามีเจ้าชาย ไม่รู้ว่าขี่ม้าขาวหรือเปล่า มาช่วยเอาไว้ได้ทันด้วยการยิงธนูฆ่าเจ้าแมงมุมยักษ์นี้เสีย


แล้วหลังจากนั้น แน่นอนแฮปปี้เอนดิ้ง เจ้าชายกับนางฟ้าก็เกิดหลงรักกันและแต่งงานอยู่กินกันที่เมืองนี้ มีลูกมีหลานสืบทอดกันมาเป็นชาวเมืองพินดายานี่ล่ะ





แต่ก่อนน่ะเวลาจะเดินทางขึ้นมาเที่ยวหรือมากราบไหว้พระพุทธรูปต้องเดินขึ้นมาตามบันไดเป็นหลายร้อยขั้นทีเดียว แต่ว่าปัจจุบันมีการสร้างลิฟท์ให้แล้วนะคะ จากแรงศรัทธาของชาวพม่านั่นเอง อย่างที่บอกถ้าเพื่อศาสนาล่ะก็คนพม่าเขาทุ่มเทมาก






ชาวเมืองพินดายาเขาบอกว่าเมืองของเขาคือเมืองแห่งซากุระเพราะฉะนั้นดอกไม้ที่ขายเพื่อนำไปไหว้พระก็จะเป็นดอกซากุระ แม้กระทั่งบัตรคล้องกล้องก็เป็นรูปดอกซากุระค่ะ


วิวสวยๆของเมือง




ฝีมือการถ่ายภาพโดยน้าเชียรเหมือนเดิมค่า





ก่อนจะเดินขึ้นลิฟท์ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งถักลูกไม้ ท่าทางคล่องแคล่วมากเชียว แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนเนาะ












แวะรายทางไปเรื่อยมาค่ะมาเข้าถ้ำพินดายากันดีกว่า ในอดีตเส้นทางแถบนี้เป็นเส้นทางที่กองคาราวานพ่อค้าเขาใช้เดินทางติดต่อค้าขายตามเมืองต่างๆค่ะแล้วก็มักจะมาแวะพักที่ถ้ำนี้ จากนั้นก็มีการบนบานศาลกล่าวกันว่าหากการเดินทางค้าขายราบรื่นไม่เจออุปสรรคระหว่างก็จะมาสร้างพระพุทธรูปไว้เป็นพุทธบูชา ดังนั้นในถ้ำก็เลยมีพระพุทธรูปมากถึง8พันกว่าองค์นี่ล่ะค่ะ





มีพระพุทธรูปศิลปะยุคต่างๆมากมายรวมทั้งเป็นศิลปะแบบประเทศต่างๆด้วย เรียกได้ว่ามีทุกรูปแบบ เดินเข้าไปนี่เจอทั้งแบบอินโดนีเซีย พม่า ไทย ไปจนถึงชาวตะวันตกก็นำพระมาถวาย จนตอนหลังเขามีคำสั่งห้ามไม่ให้นำพระมาถวายแล้วค่ะเพราะเกรงว่าถ้ำจะไม่มีที่ให้ประดิษฐานแล้ว





ภายในนี้ก็จะมีพระพุทธรูปที่ชาวพม่าเขาเคารพนับถือเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายองค์อย่างสององค์นี้ เรียกว่าพระเหงื่อ เพราะไม่ว่าจะปิดทองคำเปลวเท่าใดก็จะลอกออกมาหมดเนื่องจากจะมีน้ำซึมอยู่ที่บริเวณองค์พระเหมือนเหงื่อเลยทำให้ปิดทองคำเปลวไม่ได้







ชาวพม่าเชื่อว่าถ้าได้มากราบไหว้พระสององค์นี้จะทำให้สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วยค่ะ


องค์นี้ก็งามมากเป็นพระหยกที่แกะสลักไว้อย่างละเอียดอ่อน




ถ้ำนี้ยังไม่ตายมีการเกิดของหินงอกหินย้อยอยู่ดังนั้นทางเดินในถ้ำจึงยังคงเปียกชื้นจากการที่มีน้ำหยดลงมาจากเพดานถ้ำ เดินๆไปก็ต้องระวังเท้าด้วยไม่งั้นลื่นหกล้มเอาง่ายๆ





ไหว้พระและเดินเที่ยวในถ้ำกันจนทั่วแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปเมืองยองฉ่วย nyaung shwe เพราะเราจะไปพักค้างแรมที่นั่นแล้วค่อยเดินทางไปทะเลสาบอินเลต่อ


ก่อนจะเดินกลับมาที่รถพี่ๆเขาก็แวะซื้ออโวคาโดกันค่ะ ที่นี่ราคาถูกมาเลย3ลูกพันจ๊าดเองอ่ะ





บรรยากาศตรงร้านขายของฝากและขายผลไม้เงียบมากกกก เลยถามไถ่แม่ค้าได้ความว่านักท่องเที่ยวหายไปหมดจากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำเอาแย่ไปตามๆกัน เฮ้อ เรื่องของการเมืองส่งผลกระทบไปทั่วจริงๆเหมือนๆบ้านเมืองใครก็ไม่รู้เนาะ


ขากลับนี่เรายังคงต้องผ่านทางวิบากเส้นเดิมเดิมค่ะ ขามานี่กว่าจะถึงก็หลายชั่วโมงอยู่ ณ มนถามพี่ทิพย์ว่าทำไมเราไม่พักที่เมืองนี้ล่ะคะ ท่าทางสงบน่าพักดีนะคือเห็นโรงแรมหนึ่งตรงใกล้ๆกับร้านอาหารไงคะ ดูน่าพักทีเดียว

แต่พี่ทิพย์บอกว่าเคยพาทัวร์ไทยมาพักแล้วคณะหนึ่ง ไม่ไหวค่ะเพราะอะไรรู้ไหม


ผีค่ะ ผีดุมากกกกกก นอนกันไม่ได้เลยล่ะ ตั้งแต่นั้นเลยยอมตีรถกลับไปที่เมืองยองฉ่วยดีกว่าค่ะ


โห ฟังแบบนี้แล้วระยะทางวิบากที่แอบบ่นๆน่ะ กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย


ขากลับนี่เราขอแวะเที่ยวสวนส้มที่เห็นตอนขามาค่ะ ลองไปเดินสวนส้มเมืองพม่าดูหน่อยเผื่อจะได้ส้มรสอรอ่ยๆติดมือไปทานที่ยองฉ่วย




ส้มที่นี่สีสวยลูกโตมาก แต่พอชิมแล้วรู้สึกว่าส้มเมืองไทยจะอร่อยมากกว่า ไม่ได้ชาตินิยมนะคะแต่มันเป็นงั้นจริงๆนา





สวนส้มที่นี่เขาปลูกพืชกลิ่นแรงเอาไว้กำจัดแมลงล่ะ เห็นมีตะไคร้แล้วก็ต้นอะไรสักอย่างคล้ายๆผักชีแต่มีกลิ่นฉุนมากกว่าปลูกเรียงรายตามแปลงส้มเต็มเลย





คงลดการใช้ยาฆ่าแมลงได้เยอะทีเดียว


เอาล่ะค่ะมานั่งรถบนทางวิบากกันต่อ เราออกจากสวนส้มตอนบ่ายสองได้มั้งคะแต่กว่าจะมาถึงเมืองยองฉ่วยนะนานมากเลยค่ะ เพราะนอกจากทางเล็กแล้วยังต้องมีผ่านทางเลาะเลียบภูเขาอีก ถึงเมืองยองฉ่วยอาทิตย์ก็ลาลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว


พร้อมกับที่ท้องเริ่มร้องอุทธรณ์ เราเลยไปทานข้าวเย็นกันก่อนที่ร้าน ว่าวทองคำ เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนค่ะ เย็นนี้แปลงกายเป็นฝรั่งดั้งขอเสียหน่อย


มาดูการทำพิซซ่าเตาถ่านของเขาดีกว่า




หน้าตาท่าทางพ่อครัวออกแนวเด็กฮิปฮอปมากเลยนะเนี่ย





เตรียมแป้งเสร็จแล้วก็นำเข้าเตาถ่านค่ะ





ระหว่างรออาหารก็หยิบหนังสือท่องแดนเจดีย์ฯของคุณธีรภาพมาอ่าน อ่านไปจู่ๆก็มีเสียงชายหนุ่มมาพูดว่า ชอบ ชอบชอบ อยู่ข้างๆ ก็เลยเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นหนุ่มหน้าเข้มส่งยิ้มมาให้

พี่หนูเลยแซวเขาว่า ชอบนี่ชอบน้องสาวฉันเหรอ เขารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธใหญ่บอกว่าที่ชอบน่ะชอบรุปในหนังสือ ณ มนเลยดูอีกที อ๋อ ที่แท้เป็นรูปของนายพลออง ซาน นั่นเอง







ถึงบ้างอ้อค่ะ เพราะชาวไทไหญ่และชาวเผ่าต่างๆในพม่าน่ะเขารักนายพลอองซาน มากเพราะตอนที่ท่านเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษสำเร็จน่ะได้มีการมาประชุมและร่วมลงนามในสัญญาเวียงปางโหลง หรือปางหลวง ที่รัฐชานนี่ล่ะคะ


ในสัญญาก็ระบุว่าเมื่อได้เอกราชแล้วขอให้ชาวเผ่าต่างๆในพม่ารวมตัวกันเป็นหนึ่งในนามพม่าเสียก่อนแล้วหลังจากนั้นอีก10ปีค่อยแยกตนออกเป็นประเทศอิสระ

แน่นอนว่าสัญญานี้ได้ใจชาวเผ่าต่างๆในพม่ามากแต่ว่าสุดท้ายสัญญาก็ไม่อาจเป็นจริงได้เพราะมีการสังหารโหดคณะรัฐมนตรีในอาคารรัฐสภาพม่าในขณะที่มีการประชุมกัน ผลก็คือนายพลอองซานเสียชีวิตพร้อมเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐบาลอีกหลายท่าน และหลังจากนั้นสัญญาเวียงปางหลงก็ถูกฉีกทิ้ง


และนายยกรัฐมนตรีอูนูก็ประกาศให้ยกเลิกความคิดที่จะแยกตนเป็นอิสระของชนชาติต่างๆในพม่าได้แล้วเพราะเป็นการกระทบกระเทือนต่อความเป็นเอกราชและความยิ่งใหญ่ของพม่า ถ้ายังไม่ล้มเลิกก็ถือเป็นความผิดทางกฏหมายมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต


นั่นล่ะค่ะ ประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของพม่า


คุณหนุ่มชาวไทใหญ่ท่านนี้ได้ความว่าเป็นเจ้าของร้านเสียด้วย พี่แกเลยกล้าวิจารณ์แบบถึงพริกถึงขิงมากชนิดไม่กลัวกฏหมายเลยละ ปกติคนพม่าเขาไม่กล้าพูดการเมืองกันหรอกค่ะ เลยกลายเป็นว่าอาหารเย็นของเรามื้อนี้มีเรื่องการเมืองมาเป็นกับแกล้มด้วย






กินข้าวเสร็จเอาของเข้าโรงแรมที่พักก็ออกมาเดินย่อยกันหน่อย ตอนนี้ค่ะเริ่มสัมผัสได้กับอากาศหนาวแล้วล่ะ หนาวจนควันออกปากเลยคะ แต่ยังพอทนได้

ส่วนที่เห็นในรูปนั่นเป็นร้านขายหมากพลูค่ะ ขายดีมากเลยนะระหว่างที่ยืนดูเขาทำหมากขายก็มีคนมาซื้อตลอดเลย





ว่าจะเดินต่อแต่อากาศชักเย็นลงเรื่อยๆ เลยกลับโรงแรมดีกว่า พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเดินดูตลาดอีกทีค่ะ เพราะตลาดนัดที่เมืองยองฉ่วยนี้เขาจะมีการจัดเวียนกันไปห้าแห่งในเมือง


ตอนเข้าพักนี่ก็แปลกๆใจว่าเอ๊ ทำไมพนักงานเขาดูตื่นเต้นกันจังที่เห็นพวกเรา แบบว่ามาต้อนรับอย่างดียิ้มแย้มหัวเราะ ตอนเช้าน่ะค่ะถึงได้ความว่า เราคือคนไทยกลุ่มแรกที่มาพักที่นี่นั่นเอง




ตลาดนัดยามเช้าค่ะ มีของขายเยอะเลยล่ะเดินเพลินไปเลย





หนูน้อยเชื้อสายเนปาลที่คุณพ่อคุณแม่มาปักหลักที่เมืองยองฉ่วย




ตาชั่งแบบพม่า





อันนี้ไม่รู้เนื้ออะไรเขาวางบนใบไม้แล้ววางขายแบกะดินเลย




ขนมค่ะ ตอนไปยืนดูแม่ค้าเขาให้ชิมด้วยนะ หวานนิดๆกรอบๆพอได้ค่ะพอได้




อากาศวันนี้เย็นมากนะคะ ดังนั้นเลยได้เห็นภาพแบบนี้




และแน่นอนเมื่อตากล้องของเราเป็นชายหนุ่ม เราเลยได้เห็นนางแบบสาวหน้าตาน่าเอ็นดูแบบนี้





นี่



แล้วก็คนนี้




ส่วนนี่ เอ่อ อาจจะสาวน้อยไปนิ๊ดดดด นะคะ




แต่ถ้าตากล้องเป็นสาวล่ะก็ จะได้ภาพแบบนี้มาแทนค่ะ อันนี้เป็นฝีมือของพี่ปู ยูนิเซฟ



หนุ่มสามล้อรับจ้างตาหวาน


คนที่มาจ่ายตลาดนี่ก็มีทั้งขี่จักรยานมาเอง




บ้างก็อาศัยรถสองแถวมา





เดินไปเรื่อยก็ไปเจอกับร้านที่มีหน้าตาเหมือนห้องแถวไม้เก่าๆแบบตลาดบ้านเรานะคะ เห็นเขาเปิดประตูบานเฟี้ยมเอาไว้แต่มีม่านบัง ว่าจะเข้าไปดูแต่ลุงคนหนึ่งมาบอกว่าอย่าไปดูเลยหนู นั่นเป็นร้านเหล้า น่ะ เราก็โห แปลกใจมากขายเหล้ากันกลางวันนี่นะ ลุงว่าใช่เขาดื่มกันกลางวันนี่ล่ะ สุดท้ายเลยไม่ได้แวบไปดูค่ะ หันไปดูอย่างอื่นแทน อย่างรถเข็นขายลอตเตอรี่แบบนี้





เดินดูตลาดจนทั่วแล้วก็ได้เวลากลับโรงแรมค่ะ เพราะจะต้องไปท่าเรือเพื่อเดินทางไปทะเลสาบอินเลกันแล้ว

ก่อนออกจากโรงแรมไหนๆก็เป็นคนไทยกลุ่มแรกที่มาพักที่นี่ ดังนั้นพี่จุ๋มเลยถ่ายรูปหน้าป้ายโรงแรมเสียหน่อย




จากนี้เราจะเดินทางไปท่าเรือเพื่อนั่งเรือไปยังบ้านของชาวอินทา ลูกทะเลสาบกันค่ะ จะไปนอนพักที่นั่นคืนหนึ่งไปดูชีวิตของชาวบ้านที่อยู่กับน้ำมาแต่อ้อนแต่ออกแล้วก็ไปดูแปลงผักลอยน้ำกันด้วย


ปิดท้ายการเที่ยวตอนที่8ด้วยรูปสวยๆของทะเลสาบอินเลนะคะ


เหมือนเดิมคือตอนนี้มีภาพเยอะมากอย่าเพิ่งเบื่อดูกันเสียก่อนนะ แล้วตอนหน้าจะพาไปดูการพายเรือด้วยเท้ากันค่ะ













Create Date : 17 มีนาคม 2551
Last Update : 17 มีนาคม 2551 14:49:32 น. 18 comments
Counter : 5737 Pageviews.

 
เพิ่งเคยเห็นผู้ชายเย็บปักถักร้อย เก๋ไปอีกแบบเนาะ


โดย: เบบูญ่า วันที่: 17 มีนาคม 2551 เวลา:22:06:11 น.  

 
ส้มสีสด น่าทานมากเลยค่ะคุณ ณ มน

แต่พอเห็นชายหนุ่มนั่งถักร้อยแล้วอึ้งค่ะ ช่างเก่งอารัยเช่นนี้ค่ะ

ร้านอาหารจัดได้น่ารัก น่าไปนั่งทานจังเลยค่ะ

ชอบรูปเด็กสาวมากเลยค่ะ โดยเฉพาะรูปแรก ดูน่ารัก และสดใสมากเลยค่ะ


โดย: vanillaorchid วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:2:08:43 น.  

 
กิ๊ฟเพิ่งอ่านเรื่องพม่าเสียเมือง ของท่าน มรว คึกฤทธิ์จบไปค่ะ เห็นข้างล่างอัพเรื่องเมืองมัณฑะเลย์ด้วย จะคลิกไปดูต่อเพราะว่า อยากเห็นประตูเมืองที่ว่าฝังคนเป็นๆ ลงไปไว้เฝ้าประตู น่ากลัวมากๆ


ทริปนี้กิ๊ฟชอบจังค่ะ มีอะไรหลากหลายให้ดู ได้เห็นวิถีชีวิตของคนพม่าด้วย ดูแล้วอยากไปมากขึ้นอีกเยอะเลย ที่จริงเรื่องสมัยอยุธยาก็นานมาแล้วแต่คนไทยไม่เคยลืมและยังฝังใจว่าพม่าใจร้ายเผาอยุธยา ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องพม่าเท่าไหร่ กิ๊ฟว่าประเทศเค้าน่าสงสารนะคะ ทหารเป็นใหญ่ก็งี้แหละ


โทษด้วยนะคะที่กิ๊ฟพล่ามอะไรไม่รู้ หนุ่มถักลูกไม้ เหมือนคนแก่ที่นี่ชอบถักเลยค่ะ หาดูยากมากเลยกิ๊ฟว่า

คนพม่าทางนี้หน้าตาเค้าคล้ายๆ ทางอินเดียมากแล้วนะคะ ไม่ค่อยเหมือนไทย ขอบคุณที่ไปตามกิ๊ฟมาดูนะคะ ไม่งั้นเสียใจแย่เลย


โดย: grippini วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:15:24:31 น.  

 
อ่านเรื่องผีดุแล้วก็เสียวจริงนะคะ ยอมเดินทางสมบุกสมบัน
ต่ออีกสักหน่อย แล้วไม่เจอเรื่องราวของสิ่งเร้นลับดีกว่า
แต่เอ ... ผีดุที่ว่า เลยทำให้อยากรู้จังค่ะว่า เค้าเฮี้ยนยังไง

เอ แค่ว่าอยากรู้พอนะคะ ถ้าให้เจอเองล่ะคงไม่ไหวเหมือนกัน
เพราะว่าไม่กล้าอ่ะคะ กลัวจริงๆ ...

..........................


เรื่องราวของพระเหงื่อ แปลกว่าเคยได้ยินเหมือนกันค่ะ
ไม่แน่ใจว่าเป็นหนังสือ หรือว่าเรื่องราวที่ไหน เคยอ่านผ่านตามาเหมือนกัน
พอมาอ่านเจอที่คุณ ณ มนเขียนเอาไว้ เลยสงสัยว่าใช่
เรื่องเดียวกันที่เดียวกันหรือเปล่าหนอ ... แต่แปลกดีนะคะ
ว่าทำไมถึงได้มีลักษณะแบบนี้


โดย: JewNid วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:17:22:16 น.  

 

พระพุทธรูปในถ้ำเยอะเป็นพันๆ ก็แปลว่าพ่อค้าวาณิชย์เฮงเฮงเฮง บล๊อกเรื่องนี้สนุกครับ ยังไม่เบื่ออ่าน ไม่เบื่อดูรูปครับ จะรออ่าน คนเอาเท้าราน้ำ อ๊ะ ไม่ใช่ คนพายเรือด้วยเท้า...


โดย: yyswim วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:21:17:23 น.  

 
ตามมาเที่ยวต่อค่า..ถ้ำพินดายาสวยจังเลยค่ะ ภายในดูขลังและศักดิ์มากๆเลยล่ะค่ะ..
อาหารเค้าดูน่าหม่ำดีนะคะ..
ได้ดูรูปสวยๆเพลินเลยค่ะ และยังได้ความรู้ไปด้วยเลย..


โดย: tiktoth วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:5:31:05 น.  

 
อิจฉาคนได้ไปเที่ยวบ่อยๆ จัง

แวะมาชวนไปดูรูปงานตอนเย็นจ้าพี่นะ อัพแล้วๆๆๆ


โดย: เบบูญ่า วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:19:08:57 น.  

 
หวัดดีค่ะ คุณ ณ มน
ตามมาจากบ้านคุณไฮกุ อ่ะค่ะ
อ่านแล้วเหมือนได้ร่วมทริบไปเที่ยวด้วยเลย
เดี๋ยวไว้มีเวลา จะเข้ามาอ่านเรื่องอื่น ๆ ด้วยค่ะ
ยินดีที่ได้เข้ามารู้จักค่ะ และ
ขอนุญาต add นะคะ


โดย: มิน (มินทิวา ) วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:3:10:35 น.  

 
แบบนี้ ชาวเมืองพินฯ น่าจะถักโครเชต์เก่งนะ จะได้สมกับที่มีแมงมุม อุ้มสม ...

พิซซาเตาถ่าน เนี่ย ขลัง นะจ๊ะ
แถวบ้านจี้มีร้านอาหารอิตาเลียนร้านนึง เจ้าของเป้นลุงอิตาเลี่ยน แกก็ใช้เตาถ่าน แถมเคลมว่า ไม้ฟืนสั่งมาจากอิตาลี ด้วย เอ้า... (จี้ว่า แกอ้างเพื่อโขกราคา ปิ๊ซซ่า มากกั่ว ฟ่ะ)

ดูจากการเที่ยวของ มน แล้วต้องบอกซ้ำอีกครั้งว่า พม่าเป็นเมืองที่ไม่น่ามองข้ามเลย จริงๆ



โดย: angy_11 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:13:13:44 น.  

 
^
^
^
เราว่าปู้จายนั่นถักแท๊ตนะจี้ เห็นรูปแรกก็นึกว่าเป็นโครเชต์เหมือนกัน แตพอดูรูปต่อมาถึงเห็นว่าถักแท๊ตอยู่ ถักยากนะนั่น

ณ มนมีรูปให้ดูตรึมเหมือนเคย เมืองเขาบรรยากาศสงบดีเหมือนกันเนอะ

ท้องฟ้ารูปที่สามถึงห้านี่แต่งภาพหรือเปล่าอ่ะ สีสวยแปลกตาดีจัง

พระหยกงามจริงๆค่ะ สีองค์พระออกเขียวแบบนี้จริงๆหรือเปล่าอ่ะณ มน หรือเป็นเพราะใช้แสงไฟสีเขียวช่วยหว่า เพราะร่มด้านหลังก็ออกสีเขียวเหมือนกันเลย

ณ มนเล่าถึงร้านขายของผลไม้แล้วนึกถึงบ้านของเราเลย เพราะบอมบ์รายวันทำให้เศรษฐกิจปักษ์ใต้เราย่ำแย่จริงๆ

พม่ายังมีคนกินหมากพลูเยอะเหรอ เห็นมีวางขาย แถมขายดีซะด้วยซิ

ขอบคุณณ มนที่พาเที่ยวนะจ๊ะ


โดย: haiku วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:16:43:30 น.  

 
haiku....น่ะแหละ เราก็ไม่รู้จักเหมือนกันว่าเขาเรียกว่าไง อ๋อเขาเรียกแท็ตเหรอ ส่วนท้องฟ้าไม่ได้แต่งจ้า แต่ว่าถ่ายผ่านกระจกรถที่เขาติดฟิล์มกันแสงน่ะจ้ะ

พระหยกนั่นเป็นเพราะแสงที่เขาจัดไว้ ข้างในถ้ำแสงน้อยจ้ะ เมืองเขาสงบจริงๆไฮกุนี่ถ้าการเมืองนิ่งนะ พม่าจะเป็นประเทศที่น่ากลัวเหมือนกันนะเรื่องท่องเที่ยว

หมากพลูนี่เขากินกันเป็นล่ำเป็นสันเลยล่ะ ขายกันทุกมุมเมือง

ปล. ขอบคุณเช่นกันจ้าที่มาเที่ยวด้วยกัน
ปล.2 ตอบเมนท์ยาวมากเลยเนาะ




จี้....พิซซ่าเตาถ่านรถอร่อยด้วยนะจี้ ส่วนคำสันนิษฐานของจี้ถึงร้านพิซซ่าข้างบ้านสงสัยจะจริง 555
ปล. จะพาเที่ยวเมืองอื่นต่ออีกรับรองว่าจี้ต้องสนใจพม่ามากกว่านี้แน่ๆ


มินทิวา...ยินดีเลยค่ะแอดได้เลย แล้วอย่าลืมมาเที่ยวด้วยกันอีกนะคะ


เบบูญ่า....จ้าเดี๋ยวพี่จะตามไปดูนะ อ้อวันที่30 เราจะได้เจอกันไหมเนี่ย คิดถึง

จิวนิด....จริงค่า ผีดุนี่ยอมแพ้เลยล่ะ
ส่วนพระเหงื่อณ มนเองก็เพิ่งเคยได้ยินและได้เห็นตอนไปเที่ยวนั่นแหละค่ะเลยนำมาเล่าให้อ่านกันอีกต่อ

yyswim....ดีใจค่ะที่ไม่เบื่ออ่านไม่เบื่อเที่ยว ตอนหน้าจะมีภาพท้องฟ้างามๆมาฝากเยอะเลยค่าแล้วจะไปตามนะคะ

คุณกิ๊ฟ.....จริงๆแล้วสมัยก่อนมันก็เหมือนเป็นกฏนะคะใครชนะสงครามก็มีสิทธิ์ชอบธรรมในการที่จะริบทรัพย์สินและกวาดต้อนผู้คน เพราะไทยเราเองก็ทำอย่างนี้กับเขมรและลาวเช่นกัน

ส่วนเรือ่งเผาทำลายลอกทองอยุธยานั้นตามการค้นคว้าใหม่ไม่ใช่พม่าทำนะคะ เป็นคนไทยเราเองนี่ล่ะค่ะกับพวกเชื้อสายจีน เรื่องทำลายพระพุทธรุปนี่เห็นจากการรักษาและให้ความเคารพศาสนาในพม่าที่มีจนถึงปัจจุบันนี้แล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจำเผาลอกทองจากองค์พระค่ะ

ตอบเมนท์ยาวอีกแล้วเรา เรื่องเอาคนฝังที่เสาและตามมุมบัลลังก์ต่างๆนั้นก็เคยได้ยินมาเช่นกันค่ะ แต่บางท่านก็ว่าอาจจะไม่ใช่แล้วเพราะหลังๆก็มีการค้บค้าสมาคมกับชาวตะวันตกประเพณีนี้อาจจะถูกยกเลิกไปแล้ว อาจจะใช้ตุ่มหรืออย่างอื่นฝังแทน อันนี้ต้องไปสืบถามพี่ๆอีกทีค่ะ
ปล.ดีใจนะคะที่มาเที่ยวด้วยกันแล้วมีเรื่องมาคุยกันต่อแบบนี้


คุณอุ้ม...ค่ะสาวๆเขาหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมาก แล้วร้านอาหารนี่ก็น่ารักค่ะ รสอร่อยด้วย แถมมีคุกกี้กับน้ำชาเสิร์ฟให้ตลอดอีกต่างหาก


โดย: ณ มน วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:17:50:09 น.  

 
แม่ติ๊ก...ตอนหน้าจะพาไปทะเลสาบค่า รับรองฟ้าสวยใสแจ๋ว ส่วนถ้ำพินดายานี่นะคะ พระเยอะมากกกแล้วแต่ละองค์ก้งามๆทั้งนั้น


โดย: ณ มน วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:18:02:07 น.  

 
ิอินเดียพม่านี่ไม่ค่อยต่างกันเลยนะค่ะพี่นะ แต่ไอ้วัดที่มีรุปปั้นแมงมุมดาไม่เหยียบเด็ดขาด กลัวสุดๆ เลยไอ้ตัวเนี่ย


โดย: veeda วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:19:03:00 น.  

 
ว้าว ผู้ชายถักลูกไม้ เพิ่งเคยเห็น

ป.ล. ประวัติศาสตร์การเมืองพม่า โหดร้ายพอๆ กับบ้านเราเลย


โดย: waidhaya วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:11:50:41 น.  

 
พี่นะที่รัก
มารายงานตัวคับพ๊ม
ที่จริงเข้ามาหลายรอบแล้วแต่ไม่ได้เม้นท์
ก็คุณพี่ดันตั้งค่าไว้ให้แต่คนที่ล้อกอินเม้นท์อ่ะ
เปิ้นมาแบบไม่ล้อกอินทุกรอบเรย เลยไม่ได้เม้นท์
มาคราวนี้เลยตัดสินใจล้อกอินเลย เด๋วไม่ได้เม้นท์
จะหาว่าน้องนุ่งรืม หึๆ

เปิ้นได้รับโปสการ์ดกับที่คั่นเรียบร้อยแล้วน้า
แหะๆ ที่จริงได้น้าน นานแล้วละ แต่ไม่ได้บอก โต๊ดน้า...

คิดถึงเหมือนเดิมจ้า...


โดย: fonrin วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:20:26:48 น.  

 
ธรรมชาติ มากมากเลย ต้องหาโอกาสไปให้ได้บ้างล่ะ


โดย: everything on วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:7:35:10 น.  

 
everthing on...ค่ะพม่ามีที่สวยๆมายมายเลย หาโอกาสไปเยือนสักครั้งรับรองจะชอบค่า

เปิ้น...ขอบใจจ้าขนาดขี้เกียจล็อคอินด้วยความคิดถึงยังลงทุนล็อคอินมาทักพี่จนได้ แบบนี้เขาเรียกรักกันจริง

หมี.....คิดถึงเน้อน้อง สิ้นเดือนนี้จะได้เจอกันป่าวพี่จะร้องเพลงโชว์ด้วยนะ ถ้ามารับรองได้เห็น

ดา...พี่ก็คิดเหมือนกันนะ ยิ่งแถบทางเหนือของพม่ายิ่งคล้ายอินเดีย อาจเป็นได้ว่าเขาอยู่ใกล้กันมั้ง


โดย: ณ มน วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:10:46:12 น.  

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวและภาพของเมืองพินดายา ครับ
และ ขออนุญาติ ลิงก์ มาที่นี่ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ.


โดย: moonfleet วันที่: 23 เมษายน 2561 เวลา:22:11:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ณ มน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




ณ มน ชื่อนี้แปลว่า "ที่หัวใจ" ตอนแรกตั้งใจจะใช้เป็นเพียงนามปากกาที่ใช้เขียนหนังสือเท่านั้น

แต่สุดท้ายก็นำมาใช้เปิดบลอคจนได้ แหะแหะ

ณ มนเป็นคนธรรมดาๆ ชอบเดินทาง ชอบคุย ชอบเล่าชอบเมาท์ไปเรื่อย ถ้าไม่เบื่ออ่านเรื่องเล่าที่บางคราวก็เฮฮา บางคราก็ไร้สาระล่ะก็ แวะมาเยี่ยมเยือนกันได้ค่ะ ^_^


บอกเล่าเก้าสิบกันนิดนะคะว่า
บทความและข้อเขียนทุกชิ้นในบลอกนี้
ได้รับการคุ้มครองตาม พรบ. ลิขสิทธิ์ค่ะ
เข้ามาอ่านได้นะคะ แล้วก็แสดงความคิดเห็นได้ด้วย
แต่อย่าลอกกันนะคะ


***********


ผลงานของณ มนค่ะ























































ผู้เยี่ยมชม
Friends' blogs
[Add ณ มน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.