Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
19 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 32

บทที่ 32

การปรากฎตัวของหิมะ และพลพรรคหมื่นน้ำแข็งที่เข้ามาช่วยเหลือในยามนั้นเสมือนน้ำฝนในยามแล้ง ทำเอาสถานกาณ์ภายในหมู่ตึกมารพลิกกลับแล้วสิ้น เจ้าสำนักมีดบินแซ่หลี่พร้อมพลพรรคพลันสำนึกดุจพื้นกลับจากความตาย มีกำลังใจฮึกเฮิมฉับพลัน ในขณะที่ฝ่ายลิ่วล้อมารร้ายพลันแตกตื่นแสงแดด แตกทัพเสียหาย

“พวกเราโจมตี” หิมะตะโกนลั่นอย่างห้าวหาญ ก่อนจะวิ่งเข้าหากองทัพมารอย่างไม่หวาดกลัว ตามติดมาด้วยพลพรรคหมื่นน้ำแข็งที่กระหน่ำรุกโจมตีลิ่วล้อฝ่ายมารร้าย บ้างใช้วรยุทธ์เพลงหมัดฝ่ามือ บ้างถือดาบเหล็กเข้าฟาดฟัน แม้นจำนวนคนจะน้อยกว่าถึงหนึ่งต่อสี่แต่กำลังใจยามนั้นผิดกันราวฟ้ากับเหว สถานการณ์บัดนั้นจึงยากจะบอกได้ฝ่ายไหนกันแน่ที่ได้เปรียบ

จ้าวมารพินิจเห็นดังนั้นก็พลันมีสีหน้าเกรี้ยวกราดไม่พอใจ ชัยชนะเพียงใกล้กลับกลายเป็นห่าง ยิ่งเห็นกองกำลังมารของตนที่มากกว่าเกือบสี่เท่าต้องถอยร่นมาจนเกือบถึงตัวมัน มารร้ายก็ยิ่งพลันไม่อาจข่มอารมณ์รุนแรงไปได้ มันกำหมัดเนืองแน่นก่อนจะพลันตะโกนลั่นไปว่า

“มันผู้ใดกล้าถอย ข้าจะสังหารมันให้สิ้น!!!” มิเพียงคำกล่าวข่มขู่ จ้าวมารยังลงมืออำมหิตฟาดสองฝ่ามือเข้าใส่ลิ่วล้อของมันสองคนที่ถอยมาใกล้ ขาดใจฉับพลันและแรงปะทะนั้นยังพาร่างไร้วิญาณลอยลิ่วทะยานมาแต่ไกลก่อนจะตกลงตรงที่ว่างระหว่างฝ่ายมารทั้งสี่ร้อยและ ฝ่ายพรรคหมื่นน้ำแข็งหนึ่งร้อยชีวิต

ฝ่ายลูกน้องมารทั้งได้ยินและได้เห็น เช่นนั้นก็พลันบุกเข้าสู้ตายแบบหมาจนตรอก เข้ารบกับฝ่ายคนของสำนักหมื่นน้ำแข็งแบบถวายชีวิต เสียงดาบและเสียงของการต่อสู้ต่างดังกึกก้องไปทั่ว

“บ้าแท้ๆ” หิมะเห็นดังนั้นก็พลันมีสีหน้าหนักใจ สภาพจิตใจที่เคยได้เปรียบพลันไม่มีอีกแล้ว เท่ากับว่าฝ่ายมารที่มากกว่าสี่เท่ากลับมาได้เปรียบอีกครั้ง

แต่ชั่ววินาทีนั้นเอง มิคาดพลันเห็นเป็นเงาระยิบระยับของกระบี่ที่ต้องแสงบินมาแต่ไกล กระบี่บินราวยี่สิบเล่มที่เหินทะยานผ่านประตูใหญ่เข้าไปราวกลับพายุนี้พุ่งเข้าโจมตีลิ่วล้อมารดั่งห่าฝนดาวตก ยี่สิบเล่มบินผ่านไปทางใดพวกมารร้ายก็ต้องกระจัดกระจายแตกตื่น มารหลากตนต่างรับคมอาวุธร่างสบับหมุนร่วงทรุดดุจใบไม้แห้ง

“นี้มัน...กระบี่บิน!!!” จ้าวมารเห็นดังนั้นถึงกลับหน้าถอดสีทันที

กระบี่บินนับยี่สิบเล่มนี้ย่อมไม่อาจถูกบังคับโดยผู้เดียวได้ มารร้ายจ้องมองตาเขม่งไปยังประตูใหญ่ห่างไกลเบื้องหน้าที่เปิดอยู่ ก่อนจะเห็นเป็นเงาร่างของสตรีสามนางปรากฏกาย เหวินฟาง เหวินลี่ เหวินหง

สามเซียนหญิงเมื่อทะยานร่างเข้าสู่สนามรบก็ยืนเรียงหนึ่งหน้าสองหลัง เหวินฟางผู้มีวรยุทธ์เหนือชั้นที่สุดยืนนำหน้า ร่ายรำสองฝ่ามือบังคับกระบี่บินร่วมสิบเล่มอย่างงดงาม ในขณะที่ เหวินลี่ เหวินหง ทั้งสองคนก็ควบคุมกระบี่บินอีกคนล่ะหกเล่ม ประสานกระบี่ของเหวินฟาง

“บัดซบ” มารร้ายเห็นดังนั้นก็พลันสำนึกเสียใจที่ไม่อาจสังหารเหวินฟางได้ในคราก่อน ยามนี้จึงเป็นมันเองที่ต้องเสียหาย

สถานการณ์รบยามนั้นจึงพลันพลิกกลับมาสูสีอีกครั้ง แม้นฝ่ายมารจะมีกำลังกว่าสี่ร้อย แต่ฝ่ายธรรมะยามนั้นก็ได้ทั้ง พลพรรคสำนักหมื่นน้ำแข็ง และกระบี่บินของสามเซียนมาเกื้อหนุน ดูท่าศึกจะไม่จบง่าย ๆ เสียแล้ว

ฝ่ายทัพมารนั้นมีพวกมาก แต่ฝ่ายธรรมะก็มียอดฝีมือไม่ธรรมดาโดยเฉพาะหิมะ ยามนั้นเมื่อมองไปรอบกายนางจะเห็นกองร่างของพวกมารที่นอนเรียงรายสิ้นฤทธิ์อยู่เต็มไปหมด เมื่อนั้นนางเพียงยืนนิ่งกางสองแขนออกก็พลันไม่มีมารร้ายตนไหนกล้าเข้าใกล้อีกแล้ว นี้นับว่าหนึ่งหงส์ข่มฝูงมารแล้วสิ้น

จ้าวมารยามนั้นไม่รู้สึกถือครองความได้เปรียบอีกต่อไป มันจึงมองไปหาสมุนคนอื่นของมัน แต่ไม่ว่าจะเป็น หวงเย่ว์ หวังเผิง หรือ หลิวเยี่ยนหง พวกมันทุกคนล้วนก็่ต่างติดพันกับศึกของตนเบื้องหน้าทั้งสิ้น นี้นับว่าสถานการณ์ของศึกครั้งนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของจ้าวมารไปแล้ว

เมื่อทุกอย่างที่มารร้ายวางแผน วางผัง ไว้เนิ่นนานกลับไม่เป็นไปตามคิด มันผู้ซึ่งเกลียดชังความความผิดพลาด จึงอาจข่มอารมณ์ฉุนเฉียวไปได้พลันตะโกนดังลั่นเกรี้ยวกราดขึ้นว่า

“อย่าแม้นแต่จะบังอาจคิดว่าพวกเจ้าจะชนะข้าได้ ถึงยังไงพวกชาวยุทธ์ทั้งหลายก็จะต้องตายด้วยพิษข้าจนหมดสิ้น” จ้าวมารกล่าวจบก็พลันรีบดีดตัวล่าถอยกลับเสมือนจะหนีศึกทันที

“ท่านอาจารย์” หวงเย่ว์ซึ่งกำลังยกสองแขนรับแข้งของหลินฟงยามนั้นจึงรีบหยิบยืมพลังเตะหลินฟง ดีดตัวถอยหนีตามอาจารย์ของมันไปด้วย

“ท่านพี่ หยุดก่อน” หลินฟงเห็นดังนั้นจึงรีบกระโจนเข้าติดตามหวงเย่ว์ที่กำลังหนีไปกับจ้าวมาร

ในขณะที่หวังเผิงก็รู้เช่นกันว่าขืนอยู่ต่อไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อมันแน่ มันจึงรีบใช้วิชาตัวเบาทะยานหนีอู๋จิง หมายติดตามจ้าวมารหนีไปด้วยอีกคน แต่มิคาดเพียงมันลอยตัวอยู่กลางอากาศได้เพียงชั่วครู่ กลับเป็นคนแซ่หวังที่รู้สึกถึงแรงกระแทกที่ใบหน้า แข้งขวาของหิมะฟาดปะทะหน้ามันอย่างจัง!!! ฉับพลันร่างมันจึงหักเหกระเด็นไปด้านข้างกระแทกเข้ากับผนังอย่างรุนแรงทันที

หิมะในทางกลับกันค่อยๆ ร่อนเหินร่างลงพื้นอย่างเรียบง่าย เหนือชั้นก่อนจะกล่าวต่ออู๋จิงไปว่า

“จะยืนนิ่งทำไมพี่ท่าน มิคิดจะตามไปช่วยฟงน้อยของข้าพเจ้าหรืออย่างไร” สิ้นน้ำเสียงมั่นใจของหิมะ อู๋จิงจึงวางใจปล่อยศึกนี้ให้นาง ก่อนจะรีบทะยานร่างไล่ติดตามหลินฟงไปด้วยอีกคน

หิมะยามนั้นแม้นยิ้มและกล่าวอย่างมั่นใจ แต่ทว่าในใจนางกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางรู้สึกเจ็บชาที่แข้งขวาของนางยิ่ง

“เมื่อครู่ข้าพเจ้าเตะไปโดนหินผาหรืออย่างไร” วิชาอาภรณ์สวรรค์คุ้มกายย่อมมิอาจดูถูกได้เลย วินาทีก่อนที่เพลงเตะจะโดนใบหน้า หวังเผิงย่อมใช้ออกเพื่อป้องกันกายแล้ว

ในขณะที่ทางด้าน หลิวเยี่ยนหง นั้นแม้นอยากจะถอยหนีใจแทบขาด ก็มิอาจละสายตาจากดาบเขี้ยวสมิงของตัดกระบี่เบื้องหน้าได้ อันดวลเพลงอาวุธแพ้ชนะวัดผลเพียงชั่วหนึ่งแสงหิ่งห้อยกระพริบ หากเพียงคนแซ่หลิวพลิกตัวเตรียมหนี มันอาจมีรอยดาบฝากหลังไว้ชั่วชีวิต

“มีแต่ต้องสังหาร ตัดกระบี่เบื้องหน้า” หลิวเยี่ยนหง กล่าวคำอำมหิตในใจ ในมือกำพัดเหล็กยาวสามซอกแน่น

“ท่านผู้เป็นถึงมือกระบี่อันดับสองในแผ่นดินคงไม่ได้คิดหนีไปด้วยสินะ” ตัดกระบี่กล่าวแทงใจ นี้นับเป็นคมวาจาที่มาจากประสบการณ์แท้จริง

ทางด้านเหวินฟาง แม้นยามนั้นจะเป็นห่วงอู๋จิงยิ่งนักแต่ก็มิอาจละสมาธิจากการควบคุมกระบี่บินเบื้องหน้าไปได้ ยิ่งเมื่อหิมะออกไปจากสนามรบด้วยแล้ว ฝ่ายพลพรรคมารที่เหลืออยู่สามร้อยก็ฮึกเหิมขึ้น และยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเมื่อพวกมันคล้ายดั่งจะบุกเข้าประชิดใกล้เซียนหญิงทั้งสามนางมากยิ่งขึ้น

“พวกมันบ้าคลั่งไปแล้ว!!!” เหลินลี่กล่าวขึ้นเมื่อเห็นฝูงมารร้ายที่ดูกระหายเลือด ได้โหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง


กลับมาที่ศึกระหว่าง หวังเผิง และ หิมะ

เพียงไม่นานหลังจากที่ผู้เฒ่าหวังโดนเพลงเตะของหิมะมันก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีอาการบาดเจ็บเลยแม้นแต่น้อย ก่อนจะมองอย่างเลือดเย็นไปยังหิมะที่ยืนขวางทางหนี

“นังนี้บังอาจนัก” พอกล่าวจบมันก็โหมบุกเข้าใส่อย่างรวดเร็วเห็นเป็นดั่งเงาสีครามจากพลังปราณอาภรณ์สวรรค์ และเพียงพอเข้าสู่ระยะประชิดมัดก็วาดหมัดขวาเข้าใส่หิมะอย่างรวดเร็ว ทว่าหิมะน้อยนั้นกลับไม่มีสีหน้าแตกตื่นเลยแม้นแต่น้อย

“บุกเข้ามาเช่นนี้ มิทราบว่าข้าพเจ้าเป็นใครสินะ” หิมะยิ้มเย้ยอย่างมั่นใจ

“โยกย้ายดารา!!!” หิมะใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาหยิบยืมปราณสนองกลับอันเลื่องลือ นางเรียบง่ายเพียงยกฝ่ามือซ้ายเข้ารับพลังหมัดนั้นก่อนจะคืนจิตสู่ความว่าง หยิบยืมพลังหมัดนั้นผ่านมือซ้ายของนางก่อนจะเคลื่อนย้ายพลังนั้นไปตามร่างสู่มือขวาและใช้ออกด้วยเพลงหมัดเสยเข้ากระแทกที่ปลายคางของหวังเผิงอย่างรุนแรง เสียงดังสะท้าน

แต่สุดจะคาดกลับหิมะที่มีสีหน้าเจ็บปวด เธอรีบเอามือซ้ายมากุมหมัดขวาของเธอที่สั่นเทาไว้ทันที

“บัดซบ!!! นี้เราต่อยโดนหินผาหรืออย่างไร” ครานี้นางรู้สำนึกตนแล้วว่าพลังปราณคุ้มกายของหวังเผิงนั้นหนาแน่นเพียงไร

ส่วนตัวหวังเผิงนั้นเล่าก็เซถลาถอยไปกว่าห้าก้าว ด้วยใบหน้าเจ็บปวดไม่น้อยอยู่เหมือนกัน และเพียงพอตั้งสติได้มันก็บิดคอซ้ายทีขวาทีอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงกระดูกคอลั่นดังขึ้นสองสามที จากนั้นจึงยิ้มอย่างท้าทายพร้อมรอยเลือดที่มุมปากและกล่าวว่า

“ที่แท้เจ้าคือนางมารหิมะ ผู้ถือครองวิชาโยกย้ายดารา” พอมันกล่าวจบก็ก้าวย่างสามขุมเข้าหาหิมะอย่างไม่เกรงกลัว และเพียงเมื่อเข้าใกล้ระยะต่อสู้ของทั้งคู่แล้ว มันจึงกล่าวอย่างเจ้าเลห์ไปว่า

“เจ้ามีวิชาสวนกลับขั้นสุดยอด…” หวังเผิงเว้นคำกล่าวไว้ชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าใกล้หิมะยิ่งขึ้นไปอีกจนเรียกได้ว่าห่างกันไม่เกินหนึ่งก้าวแล้ว แต่มันนั้นเล่าก็ยังไม่คิดแม้นแต่จะตั้งท่ารับมือ มันเพียงกล่าวต่อไปว่า

“…แต่หากศัตรูไม่โจมตีก่อน วิชาของเจ้าก็ไร้ความหมาย” สิ้นเสียงคำกล่าวมันก็ยืนห่างหิมะเพียงครึ่งก้าวแล้ว พร้อมกลับกล่าวต่อไปว่า

“แล้วเมื่อยืนห่างกันเพียงนี้เจ้าจะทำอย่างไร”

ครานี้จึงเป็นหิมะที่ลอบมองตาตื่น พร้อมทั้งกล่าวในใจว่า

“บัดซบ!!! ถ้าใกล้เพียงนี้หากมันโจมตีมาคงจะเร็วเกินกว่าจะสวนกลับได้แล้ว” ไม่มีทางเลือกนางจึงเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน สบับฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้าของหวังเผิงอย่างรวดเร็ว

เสียงกระแทกของฝ่ามือกับใบหน้าดังสะท้าน แต่หวังเผิงนั้นเล่ากลับไม่เป็นอะไรเลย มันสร้างม่านปราณคุ้มกันไว้แล้ว และพริบตาหนึ่งหมัดของหวังเผิงก็เข้ากระแทกกลางท้องของนางให้ต้องกระอักเลือด ดวงตาเบิกกว้าง แทบทำนางขาดสติไป แรงกระแทกของหมัดนั้นยังคงพาร่างนางลอยละลิ่วไปไกลดั่งนกปีกหัก

ร่างของนางพุ่งลิ่วจนเกือบจะเข้าชนเสาใหญ่ แต่เพียงฉับพลันกลับมีฝ่ามือหนึ่งมาโอบอุ้มรับร่างนางไว้ พร้อมกับเงากระบี่บินอีกสิบสายที่พุ่งแซงผ่านร่างหิมะไป

เป็นเหวินฟางที่ละจากศึกอีกด้านเข้ามาช่วยเหลือพร้อมกับบังคับกระบี่บินนับสิบเข้าพุ่งแทงหวังเผิงจากสิบทิศสิบทาง แต่มันกลับยืนหยัดรับไว้ทั้งสิบกระบี่ ปราณอาภรณ์สววรค์เหนือชั้นยิ่งแล้ว ไม่มีกระบี่แม้นสักเล่มจะทิ่มเข้าถึงร่างมันได้


ทางด้านศึกของตัดกระบี่กับหลิวเยี่ยนหง

ทั้งสองยังคงยืนนิ่งจ้องมองหยั่งเชิงกันอยู่ ตัดกระบี่อยู่ในท่วงท่ารุกแปดส่วนรับสองส่วน ดาบเขี้ยวสมิงถูกถือสองมือออกจากตัวชี้ไปทางศัตรูเสียมาก ในขณะที่หลิวเยียนหงท่วงท่ารุกห้าส่วนรับห้าส่วน ถือพักเหล็กใกล้ตัวมือขวาเยื้องค่อนไปทางด้านหลัง ทั้งคู่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นนี้มาครู่หนึ่งแล้ว

หลิวเยี่ยนหงยิ้มอย่างได้ที มันนึกประเมิณความเร็วเพลงดาบของตัดกระบี่ที่เคยเห็น และท่วงท่าของตัดกระบี่ในขณะนั้น มันทำได้แม้นกระทั่งคำนวนเหตุการณ์ล่วงหน้า สร้างเป็นภาพการดวลของมันทั้งคู่เป็นภาพขาวดำในหัวได้อย่างชัดเจนว่า

“ถ้าเราจี้แทงพัดเหล็กเข้าใส่ บีบคั้นให้มันต้องถอยครึ่งก้าวก่อนที่มันจะฟันสวนกลับได้ ยามนั้นมันต้องเชื่องช้ากว่าคมกระบี่ที่สองของเราที่วาดฟันสะพายแล่ง อย่างเลวเราก็แค่โดนฟันเฉือนหัวไหล่ แต่มันต้องได้แผลใหญ่กลางอกแน่”

หลิวเยี่ยนหงเมื่อนึกภาพเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างได้ที แต่พริบตาเดียวนั้นเองรอยยิ้มของมันก็ต้องหุบไปสนิท เมื่อตัดกระบี่พลันเปลี่ยนท่วงท่าจากรุกแปดรับสอง เป็นรุกสิบส่วนไม่คิดจะรับแม้นสักส่วนเดียว ครานี้มือพัดหลิวจึงดวงตาเบิกกว้างตะลึงงันสุดแสน ภาพขาวดำของการดวลที่นึกไว้พลันเปลี่ยนเป็นว่า

“หากข้าจี้แทงพัดเหล็กใส่ตัดกระบี่ยามนี้มันจะไม่ถอยแล้ว พัดเหล็กของข้าจะเข้ากระแทกจุดตายของมันอย่างรุนแรง แต่ขณะเดียวกันเพลงดาบมันก็จะฟันเข้าถึงตัวเราด้วย เช่นนี้เราอาจเสียแขนซ้ายไปในขณะที่มันก็จะไม่รอด แต่...” แม้นภาพที่เห็นจะเป็นชัยชนะของคนแซ่หลิว แต่มันก็รู้ราคาของชัยชนะนั้น

“เราจะอาจจะเสียแขนซ้ายไปได้…” มันลอบกล่าวพึมพัมตะกุกตะกัก เสียงสั่น หนุ่มสำอาจเช่นมันย่อมทำใจไม่ได้ที่จะเสียแขนซ้ายไปเยี่ยงนี้ ถึงแม้นจะได้ชัยชนะในท้ายที่สุด

“ไม่ ไม่ ต้องมีวิธีที่ดีกว่า” หลิวเยี่ยนหงเริ่ม กระสับกระส่าย ใบหน้าถอดสีอย่างชัดเจน มือที่กำพัดเหล็กแน่นก็พลันสั่นเทา สถานการณ์เช่นนี้หากเปลี่ยนหลิวเยี่ยนหงเป็นตัดกระบี่ รับรองได้ว่าตัดกระบี่ต้องไม่ลังเลแม้นแต่น้อย

ด้านตัดกระบี่จะอย่างไรก็ถือว่ามีฝีมือไม่น้อย ย่อมจะคำนวนได้ว่าหากลงมือจริงมันย่อมไม่รอดเหมือนดั่งที่หลิวเยี่ยนหงคิดได้ แต่ในใจมันยามนั้นกลับคิดเห็นเป็นว่า

“อย่างดีดาบข้าอาจฟันผ่านแขนซ้ายบาดลึกผ่านหน้าอกมัน แต่ตัวข้านั้นไม่เห็นทางรอด...แต่เพียงนั้นก็พอแล้ว มันคงไม่สามารถสู้ต่อได้แล้วเช่นกัน...เช่นนี้ก็พอแล้ว” ตัดกระบี่ยิ้มเย้ยชะตา สองมือกำยกดาบแน่นเหนือศีรษะไม่ลังเล ท่วงท่ารุกไม่มีรับ

พริบตานั้นเองตัดกระบี่จึงรุกเข้าใส่ วาดดาบฟันทะแยงตัดบนสู่ล่างอย่างไม่ลังเลสงสัย “สังหารไร้ซุ่มเสียง!!!” เพลงดาบนี้รวดเร็วยิ่งนัก ในขณะที่หลิวเยี่ยนหงซึ่งมือสั่นเทาก็ไม่อาจหลีกหนีชะตาได้อีกต่อไป มันแทงพัดเหล็กเข้าใส่จุดตายของตัดกระบี่อย่างรุนแรงดั่งที่คำนวณไว้ และฉับพลันก่อนที่อาวุธทั้งสองจะพุ่งเข้าหาร่างของฝ่ายตรงข้ามนั้นเอง

“ไม่...ข้าไม่ยอมเสียแขนไปเช่นนี้!!!” หลิวเยี่ยนหงตะโกนกล่าวอย่างบ้าคลั่ง ฉับพลันเปลี่ยนเพลงยุทธ์จากพุ่งเข้าแทงเป็นเอี้ยวตัววาดฟันทะแยงอย่างฝืน ๆ

พริบตานั้นเองอาวุธทั้งสองก็วาดผ่านร่างของฝ่ายตรงข้ามทันที พัดเหล็กของหลิวเยี่ยนหงฟันทะแยงจากล่างสู่บน ในขณะที่ดาบเขี้ยวสมิงของตัดกระบี่นั้นฟันทะแยงย้อนแนวพัดเหล็กโดยจากบนสู่ล่าง เงาดาบทั้งสองสวนกันเป็นแนวรูปกากบาททันที

แพ้ชนะของยอดยุทธ์นั้นไม่เพียงแค่ความต่างของวรยุทธ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของจิตใจอีกด้วย ผู้พ่ายแพ้นั้นเล่าคือผู้ที่ลังเล อันยอดยุทธ์เมื่อต้องดวลฝีมือย่อมไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้ มีเพียงแต่วันนี้ วันนี้เท่านั้น

พริบตาหลังจากการดวลดาบนั้นเลือดของตัดกระบี่ก็พุ่งกระจายออกเป็นเส้นตามรอยแผลทะแยงที่อกทันที พร้อมเพรียงกับเลือดที่กระเซ็นออกมาจากร่างของหลิวเยี่ยนหง แผลของทั้งคู่นั้นรุนแรงไม่ต่างกันเลย

แต่ผลแพ้ชนะกลับปรากฎออกมาแล้ว หลิวเยี่ยนหงค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างช้า ๆ สามสี่ก้าว มือซ้ายปิดบาดแผลแน่นพร้อมกับกล่าวว่า

“ไม่...ข้าไม่สู้ท่านแล้ว ๆ” มันกล่าวพึมพัมอย่างคนเสียสติก่อนจะ วิ่งพาร่างหนีหายไปยังประตูหน้า เหลือทิ้งไว้เลือดที่ไหลนองเป็นทาง

“มิได้ชนะที่เพลงฝีมือเช่นนี้ ข้าคงต้องฝึกอีกมาก” ตัดกระบี่กล่าวจบก็ค่อยๆ เอนกายไปยืนอิงเสาใหญ่ต้นหนึ่ง มือซ้ายปิดแผลห้ามเลือด ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งอย่างช้า ๆ แบบไร้สิ้นเรี่ยว


กลับมาที่ศึกระหว่าง หิมะ เหวินฟาง และหวังเผิง

ยามนั้นหิมะทำได้เพียงทรุดกองกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรงปล่อยให้ เหวินฟางควบคุมกระบี่บินพันพัวหวังเผิงไว้

"กายมันทำด้วยอะไรกัน" เหวินฟางมีสีหน้าอึดอัดยิ่งแล้ว อันค่ายกลกระบี่จู่โจมของนางสมบูรณ์ยิ่ง แต่ทุกคมกระบี่ที่จี้แทงกลับมิอาจทะลวงผ่านร่างมันได้ เช่นนี้มิให้อึดอัดได้อย่างไร

"แมงหวี่ แมงวันน่ารำคาญยิ่งนัก" หวังเผิงกล่าวพร้อมจะตวัดสองมือกระแทกกระบี่บินสี่ห้าเล่มให้พ้นทาง ก่อนจะสาวเท้ายาว ๆ เข้าหาเหวินฟางที่หน้าทอดสี

แต่ยามนั้นเองกลับเป็นหิมะที่ผืนเจ็บยืนหยัดเคียงข้าง วางมือบนไหล่เหวินฟางแต่แผ่วเบาก่อนจะกระซิบข้างหูเซียนสาวไปว่า

"นางเซียน เจ้าดูแลข้าหน่อยนะ" กล่าวจบหิมะก็หอมแก้มเหวินฟางไปหนึ่งคราก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาหวังเผิงอย่างไร้แผนการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น นี้เสี่ยงชีวิตเกินไปแล้ว

หวังเผิงเห็นพฤติกรรมบ้าบิ่นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มอย่างเจ้าเลห์ จ้องมองหิมะที่พุ่งเข้าหาอย่างไร้แผนการณ์สิ้น มันเตรียมจะวาดหมัดเข้าใส่หิมะแล้ว แต่พริบตานั้นเองกลับมีกระบี่บินสิบสายพุ่งแซงออกจากทางด้านหลังหิมะ จากมุมอับสายตาของหวังเผิง กระบี่บินสิบสายนั้นชะงักหมัดคนแซ่หวังให้ต้องชักกลับไปปัดกระบี่ทั้งหลายให้พ้นตัว

และหิมะน้อยก็ฉวยโอกาสนั้นเองเข้าประชิดตัวหวังเผิงได้สำเร็จ แต่นางจะลงมือเยี่ยงไรต่อไป จะเพลงหมัด เพลงเตะ ฝ่ามือ? แต่ทุกอย่างกลับมิใช่ เหนือคาดนางเพียงวางมือขวาเบา ๆ ลงบนข้อมือซ้ายของหวังเผิงเพียงคร่ากุมข้อมือมันไว้เท่านั้น

ใยนางไม่ฉวยโอกาสลงมือหนักข้อ หวังเผิงลอบสงสัย แต่ฉับพลันมันก็พลันเข้าใจ ไอเย็นสุดขั้วพลันแล่นเข้าโจมตีมือซ้ายมันแล้ว

“พลังหมื่นน้ำแข็งขั้นที่เจ็ด!!!” หนึ่งปีผ่านพ้นหิมะน้อยสำเร็จวิชาหมื่นเย็นเจ็ดขั้นแล้ว นางถ่ายไอเย็นโจมตีแขนซ้ายของหวังเผิงทันที

พลังปราณคุ้มกายของมันหากจะเปรียบไปก็เหมือนเกราะวิเศษที่ป้องกันศาสตราวุธได้ทุกชนิด แต่กระนั้นแม้นเกราะจะวิเศษเพียงใดก็มิอาจช่วยให้ผู้ส่วมใส่ทนต่อภาวะอันสุดเยือกเย็นไปได้

"นางปีศาจร้าย!!!" มือซ้ายหวังเผิงยามนั้นพลันเยือกเย็นจนเสมือนไม่มีอยู่ มันจึงพลันเกรี้ยวกราดวาดหมัดขาวเข้าใส่หิมะทันที

"ลืมหรือไร ว่าข้าคือผู้ใช้โยกย้ายดารา!!!" หิมะยิ้มที่มุมปากอย่างได้ที

“โยกย้ายดารา เคลื่อนทางสวรรค์!!!” เคล็ดวิชาโยกย้ายดาราขั้นสุดท้ายได้เปิดเผยแล้ว นางใช้ออกด้วยฝ่ามือซ้ายรับวางรับหมัดขวาของหวังเผิงอย่างไร้ภาวะ แม้นแต่หวังเผิงเองยังตื่นตะลึงด้วยว่าเสมือนต่อยเข้าโดนเพียงอากาศธาตุ และวินาทีนั้นเองนางก็ใช้ออกด้วยเพลงเตะจากเท้าซ้ายอย่างรวดเร็วตรงเข้าที่ข้อศอกขวาของหวังเผิงอย่างได้จังหวะ พริบตาสุดจะคาดข้อศอกเฒ่าหวังก็ถูกพับกลับ หมัดขวานั้นก็พลันหันเหเปลี่ยนทิศพุ่งไปอีกด้านเข้ากระแทกใบหน้าของหวังเผิงอย่างอัศจรรย์ด้วยแรงที่มันคิดจะชกไป

“เป็นไปไม่ได้…” หวังเผิงทั้งบาดเจ็บทั้งมึนงง แต่ยังคงรู้สึกเย็นเฉียบที่แขนซ้าย ด้วยว่ามือขวาของหิมะยังคงคร่ากุมข้อมือซ้ายมันอยู่พร้อมกับไอเย็นที่บุกรุกให้ครึ่งแขนมันต้องเป็นน้ำแข็งไปแล้ว

จะอย่างไรหวังเผิงนั้นหาใช่มือชั้นกระจอกไม่ มันพลันพลิกหมุนหัวไหล่ซ้ายเหวี้ยงร่างหิมะเหินขึ้นฟ้าอย่างรุนแรง แต่หิมะยังคงกัดฟันกุมข้อมือซ้ายมันไว้แน่นพร้อมถ่ายไอเย็นเข้าใส่ แต่พริบตาถัดไปนางก็ต้องร้องลั่น พร้อมเลือกที่กระอักออกมาด้วยว่าหวังเผิงนั้นเหวี้ยงทุ่มนางกระแทกพื้นเสียงดังลั่น มิทราบเสียงร้อง เสียงกระดูกนางหรือเสียงกระเบื้องพื้น เสียงไหนดังกว่าแต่หิมะยามนั้นตัวสั่นเทามากแล้ว แต่นางยังคงไม่ปล่อยมือ!!!

"ไม่ยอมปล่อยรึนังนี้" แขนซ้ายหวังเผิงเป็นน้ำแข็งไปเกือบถึงหัวไหล่แล้ว ยามนั้นมันจึงไม่ปราณีอีกต่อไป มันวาดหมัดขวาเข้าใส่ใบหน้าหิมะที่เหมือนคล้ายจะขาดสติ หายใจรวนเร

แต่วินาทีนั้นเองกระบี่บินนับสิบสายพุ่งเข้ามาประสานตัวดุจกำแพงเหล็กต้านทานหมัดของหวังเผิงไว้ พร้อมทั้งเหวินฟางที่เหินตัวเข้าใกล้พร้อมกับวาดเงากระบี่เข้าฟันกลางอกมันอย่างรุนแรง

"อย่าอยู่เลยคนชั่ว" เหวินฟางตะโกนลั่น แต่ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้านางกลับเป็นกระบี่เหล็กที่หักสะบั้นพร้อมกับนางที่มองตาค้าง

"อาภรณ์สวรรค์ชั้นฟ้า!!!" พลังปราณหวังเผิงเข้มแข็งเหนือล้ำยิ่งแล้ว พอมันได้ทีก็รีบใช้มือขวาเข้าบีบคอเหวินฟางทันที ก่อนจะกดร่างนางลงคุกเข่ากับพื้นเหมือนบีบบี้เพียงมดตัวหนึ่ง

"อะ......" เหวินฟาง สุดจะต้านทานนัยตาเหลือกขึ้น ใบหน้าสั่นเทายิ่งนัก ยามนั้นหวังเผิงยิ้มอย่างได้ชัย

แต่ฉับพลันชายแก่หวังพลันหน้าซีดเซียว หัวใจของมันจู่ ๆ พลันเต้นช้าลงอย่างยิ่ง สุดจะคาดหิมะนั้นหาได้ใช้ไอเย็นเพียงเล่นงานแขนซ้ายมันไม่ เป้าหมายที่แท้จริงนั้นกลับเป็นส่งไอเย็นผ่านทางมือซ้ายเข้าไปโจมตีหัวใจต่างหาก

"เจ้า!!!" หวังเผิงยามนั้นจึงละมือขวาจากคอเหวินฟาง เพื่อจะใช้หมัดนั้นเข้าโจมตีหิมะที่สภาพย่ำแย่เต็มทน แต่ยังคงกำข้อมือซ้ายมันไว้แน่นพร้อมทั้งถ่ายไอเย็นโจมตี

ครานี้หมัดขวาของหวังเผิงพุ่งผ่านอากาศเข้าหาหิมะที่ไร้การป้องกันอย่างรวดเร็ว นางจะรอดชะตากรรมครั้งนี้ไปได้อย่างไร หมัดของมันนั้นเร็วเกินกว่าที่นางจะปัดป้องได้แล้ว

กร๊อบ!!! เสียงกระดูกแตกดังลั่นพร้อมกับใบหน้าของหิมะหันสบัดเอียงไป แต่ทว่า…หมัดขวาของหวังเผิงนั้นหาใช่โดนหน้านางไม่ หมัดขวานั้นกลับพุ่งเข้าใส่แขนซ้ายที่เป็นน้ำแข็งของมันเองซึ่งถูกหิมะใช้เป็นเกราะกำบัง

“ไม่!!!” หวังเผิงร้องลั่นอย่างปวดร้าวแขนซ้ายของมันกระดูกหักป่นบี้หมดแล้ว พร้อมทั้งไอเย็นที่บีบรั้งให้หัวใจมันแทบหยุดเต้นไปเช่นกัน

พริบตานั้นพลังปราณอาภรณ์สวรรค์ของมันจึงสลายไป หนึ่งคมกระบี่บินจึงพุ่งเข้าเสียบตัดขั้วหัวใจของมันทันที เหวินฟางลงมือเผด็จศึกอธรรมแล้ว

หวังเผิงยามนั้นค่อยๆ เหลือบสายตามองลงอย่างช้า ๆ ไปที่หนึ่งกระบี่ที่ปักคาตัวมันอย่างตะลึงงัน ก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนแผ่สิ้นฤทธิ์ไปในที่สุด

หิมะเพียงเห็นชัยชนะก็พลันผุบร่างนอนแผ่กับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่เหวินฟางก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นางถึงกลับทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรงและทำได้เพียงมองจ้องไปยังศึกระหว่างลิ่วล้อมารและคนของพรรคหมื่นน้ำแข็งที่ร่วมพลังกับอีกสองสาวแซ่เหวินต้านสู้ศึกอย่างหนัก

"บังคับกระบี่บิน!!!" เหวินฟางกล่าวพยายามจะบังคับกระบี่บินไปช่วย แต่พลังปราณของนางนั้นแทบหมดสิ้น กระบี่เพียงลอยเหนือพื้นครึ่งเข่าก็พลันตกลง

"เหวินลี่ พี่เหวินหง ฝากด้วยนะ" เหวินฟางกล่าวอย่างเจ็บใจที่ทำได้เพียงส่งกำลังใจให้พี่น้องที่กำลังต่อสู้กับฝ่ายมารอย่างดุเดือด



Create Date : 19 ธันวาคม 2550
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 2:05:10 น. 0 comments
Counter : 472 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.