Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 29

บทที่ 29

ณ หอนางโลมไผ่แดง อันขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในเมืองหังโจว

ภายในห้องโถงกว้างชั้นหนึ่งของหอนางโลมซึ่งถูกตกแต่งไปด้วยสีแดงเป็นโทนหลัก และลวดลายดอกไม้สวยงามยามนั้นกลับคล้ายดั่งซึมเศร้าวังเวง เสียงดนตรีเครื่องสายที่เคยเล่นไพเราะกล่อมจิตนักท่องราตรีต่างไม่มีแล้ว ทุกอย่างที่หลงเหลือกลับเป็นเพียงรอยเลือดกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งออกจากร่างที่ไร้วิญาณของคนพรรคทวนพยักษ์

เหวินลี่ เซียนหญิงผู้องอาจยืนชี้กระบี่หยกน้ำเงินไปทางมารไร้เงาหวงเย่ว์ซึ่งแต่งกายสีดำสนิทตัดกับสีแดงทั่วห้องโถง ทว่ายามนั้นคล้ายดั่งกลมกลืนเข้ากับสภาพอันน่าหวาดกลัวของสถานที่

“มารร้ายเจ้าโหดเหี้ยมยิ่งนัก วันนี้ข้าจะสังหารเจ้าชดใช้ชีวิตผู้บริสุทธ์” นางกล่าว

หวงเย่ว์หาใช่สนใจฟังคำนางไม่ มันมองเพียงท่วงท่าถือกระบี่ของนาง รับสัมผัสพลังปราณ คำนวณความแตกต่างของระดับฝีมือ สุดท้ายจึงเลื่อนสายตาไปมองกระบี่หยกน้ำเงินในมือนาง

“อีกไม่นานจะฟ้าสางแล้ว แต่กระบี่หยกก็น่าสนใจยิ่ง อยากรู้นักว่าว่านางจะทนต้านข้าได้เกินสามสิบเพลงหรือไม่” มันกล่าวอย่างลำพองในใจพร้อมทั้งรอยยิ้มเจ้าเลห์ที่มุมปาก

“บังคับกระบี่เหิน!!!” เหวินลี่เปิดฉากโจมตีขึ้นก่อน บังคับกระบี่บินทั้งหกพุ่งเข้าจู่โจมหวงเย่ว์อย่างพร้อมเพรียง

“เช่นนี้ไม่เกินสิบเพลงแล้ว!!!” เพียงมันเห็นระดับความเร็วของกระบี่บินก็ตัดสินระดับฝีมือนางได้แล้ว

มารหนุ่มยามนั้นยิ้มอย่างเย็นชาก่อนจะก้มเอื่อมมือไปจับข้อเท้าร่างไร้วิญาณของคนพรรคทวนพยักษ์ที่อยู่ใกล้มือก่อนจะเหวี่ยงขว้างร่างนั้นด้วยพลังเหนือมนุษย์ให้พุ่งเข้าใส่กระบี่บินทั้งหกที่เหินตัดอากาศมาดุจธนู นี้นับเป็นกลยุทธ์อันใดกัน

“บ้าจริง!!!” เหวินลี่ตะลึงันพลันรีบบังคับกระบี่บินเหินหลบร่างไร้วิญาณนั้นเพื่อไม่ให้กระบี่บินไปปักโดนให้เสียจังหวะ

ทว่าผลลัพภ์กลับเป็นร่างนั้นพลันพุ่งจะเข้ากระแทกนางแทนที่และเมื่อยิ่งร่างนั้นเข้าใกล้ นางก็ยิ่งเห็นใบหน้าอันสุดสยองของร่างเหยื่อนั้นชัดเจน ทำเอานางเผลอตัวกรีดร้องลั่นด้วยความตื่นกลัวก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านขวาอย่างเร่งรีบ แต่ทว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้ายามนั้นยิ่งทำให้ต้องตื่นกลัวยิ่งกว่า

ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของนางเป็นหวงเย่ว์ที่ลอบเคลื่อนตัวตามหลังร่างนั้นก่อนจะเข้าประชิดตัวนางราวกลับภูติพราย

“เป็นไปไม่ได้….” ไม่ทันกล่าวจบนางก็กระอักเลือดออกมาด้วยว่าหนึ่งฝ่ามือของมารร้ายได้กระแทกเข้าที่ท้องน้อยของนางจนตัวเธอต้องโค้งงอไปตามแรงฝ่ามือมัน จากนั้นร่างจึงลอยลิ่วดุจนกปีกหักพุ่งไปชนเข้ากับพนังเสียงดังรุนแรง ทำเอาเหวินลี่มีสีหน้าเจ็บปวดอย่างยิ่งในขณะที่มือซ้ายก็กุมที่ท้องน้อยไปด้วย เช่นนี้คงบาดเจ็บภายในมากแล้ว อีกทั้งมิทราบซี่โครงนางมีแตกมีร้าวหรือไม่
ทว่านางยังคงไม่ย่อท้อพลันกัดฟันความคุมสติ สมาธิ

“บังคับกระบี่บิน นางแอ่นถลาลม!!!” นางบังคับกระบี่บินทั้งหกโฉบเฉี่ยววนรอบตัวมารร้ายดุจค่ายกลกระบี่ ที่คอยหาจังหวะทิ่มแทงดุจนกนางแอ่นถลาลม

แต่มารหวงเย่ว์หาได้มีสีหน้าตื่นตระหนกอันใดไม่ มันเพียงยิ้มเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า

“ของเด็กเล่นแท้ ๆ” สิ้นคำกล่าวมันก็พลันโคจรพลังสร้างม่านพิษสีดำแผ่ขยายคลุมกาย อันกระบี่บินแม้นคล้ายดั่งจะตัดผ่านไอพิษได้แต่ก็ถูกทำให้เชื่องช้าลงกว่าครึ่ง อีกทั้งการที่กระบี่สัมผัสม่านพิษนั้นยังบ่งบอกจุดโจมตีของกระบี่บินให้มันทราบอีกด้วย ฉับพลันมันจึงร่ายรำหลบหลีกกระบี่บินทั้งหกได้อย่างง่ายดายโดยที่ฝ่าเท้าไม่เคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งแม้นเพียงน้อย

“เล่นสนุกกับเจ้าเพียงนี้คงพอ” มารหนุ่มกล่าวจบก็พลันเคลื่อนท่าเท้าท่องแดนอสูร พาร่างออกจากค่ายกลกระบี่บินได้อย่างหน้าอัศจรรย์ ประดุจดั่งเดินผ่านคมกระบี่บินทั้งหกออกมาเฉย ๆ

“น่าขำจริงหากวรยุทธ์ด้านสว่างมีเพียงนี้ ใยอดีตชนะฝ่ายมืดได้” หวงเย่ว์กล่าวจบก็ทะยานร่างเข้าหาเหวินลี่ที่นั่งเหยียดขากับพื้นหลังพิงพนังเสมือนรอความตายอยู่

ยามนั้นเหวินลี่รู้ตัวดีว่าไม่สามารถเรียกกระบี่บินกลับมาป้องกันตนได้ทัน สายตาของนางคล้ายดั่งสิ้นหวังไปแล้ว ภาพที่เห็นก็เป็นเพียงกรงเล็บมารที่พุ่งเข้ามาใกล้ร่างนางเรื่อย ๆ

"ข้าพเจ้าจะตายสูญเปล่าเพียงนี้หรือ" เสี้ยววินาทีแห่งจิตคำนึงนั้น นางพลันสำนึกคิดได้ มือขวาที่จับกุมกระบี่หยกน้ำเงินพลันบีบจับแน่น

“มารร้ายขอจะแลกชีวิตกับเจ้า!!!” เหวินลี่ยามนั้นยกแขนขวาแทงกระบี่หยกเข้าหาต้นคอของหวงเย่ว์อย่างเปะปะไร้ท่วงท่า คงมีแต่ใจที่มุ่งมั่นที่ยังพอให้น่าชม

มารร้ายแม้นเห็นปลายคมกระบี่หยกพุ่งเข้าใส่ต้นคอแต่มันกลับยังคงยิ้มเย้ยหยันไม่แยแส อันกระบี่บินทั้งหกยามเมื่อพบกับปราณพิษอสูรสีดำของมันก็เป็นเพียงของเด็กเล่น นับประสาอะไรกับเพลงกระบี่เปะปะไร้ปราณอันนี้

แต่สุดจะคาดทันทีที่ปลายคมกระบี่หยกทิ่มเข้าใส่ปราณอสูร มันก็เหมือนปราณอสูณนั้นสลายไปเองดุจวาดมือปัดหมอก เช่นนี้นับว่ากระบี่หยกเป็นของแก้ทางปราณมารร้ายแล้ว

เหล่านี้ล้วนอยู่เหนือความเข้าใจของหวงเย่ว์ ดวงตามันพลันเปิดกว้างตื่นตะลึงด้วยว่าสัมผัสความเย็นของปลายคมกระบี่ที่ต้นคอมันแล้ว

จะอย่างไรมันย่อมไม่ใช่มือชั้นธรรมดา พอสัมผัสคมกระบี่ได้ก็รีบเอี้ยวคอหลบไปด้านซ้ายให้เพียงโดนบาด พร้อมทั้งซัดสวนหนึ่งฝ่ามือซ้ายเข้าไปที่หัวไหล่ขวาเหวินลี่ทันที

ฉับพลันที่ฝ่ามือมันกระแทกเข้าที่ไหล่ขวาของเหวินลี่ ร่างนางก็สะท้านหนึ่งครา เสียงกระดูกแตกดังกึกก้อง กระบี่หยกในมือขวาก็พลันหลุดมือไปพร้อมกับเป็นนางที่กระอักเลือดสีหน้าบาดเจ็บสุดแสน ในขณะที่หวงเย่ว์ก็รีบเอามือซ้ายของมันเองมาปิดรอยบาดยาวที่ต้นคอซึ่งเลือดสีดำของมันไหลซึมออกมา

“นางนี่บังอาจนัก” มารหวงเย่ว์น้ำเสียงโกรธาไม่ปราณีอีกต่อไปพลันเงื่อมฝ่ามือขวาจ้องจะฟาดกลางกระหม่อมให้เหวินลี่ต้องลาโลกไป แต่พริบตานั้นเองสุดจะคาดได้กระบี่หยกที่เพิ่งหยุดมือนางไปกลับบินวนเข้าจี้ไปที่ต้นคอของมารร้ายอีกครั้ง

“เป็นไปไม่ได้ สภาพนางตอนนี้มีหรือจะบังคับกระบี่บินได้อีก” มารร้ายกล่าวน้ำเสียงตื่นตะลึง ดีดตัวออกห่างนางเพื่อหนีวิถีกระบี่หยกบิน แต่สุดจะคาดกระบี่หยกกลับไม่ยอมเลิกลาโดยง่ายพลันบินโฉบเฉี่ยวจ้องโจมตีมารร้ายอีกครั้ง ยามนั้นมารร้ายเริ่มเกรงกลัวฤทธิ์กระบี่หยกเสมือนของแสลงแล้ว

“มันผู้ใดกัน บังอาจสอดมือ!!!” มารร้ายตะโกนกล่าวน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนจะมีเสียงตอบโต้กลับมาว่า

“พี่ท่านหยุดเถิด ข้าพเจ้าแม้นโง่งม แต่ยังคงรู้ผิดถูก ท่านเล่ารู้ผิดชอบยังฝืนกระทำ” น้ำเสียงผู้กล่าวมิคล้ายสั่งสอน ทว่ากลับโศกเศร้าผู้เอ่ยวาจาและบังคับกระบี่หยกนั้นมิใช่ใคร มันคืออู๋จิงที่ปรากฎกายมาจากมุมสูงที่ระเบียงชั้นสอง

“มิคาดจะพบกันเช่นนี้” หวงเย่ว์ได้ฟังน้ำเสียงคำกล่าวก็พลันมีหน้าละอายอย่างบอกมิถูก ยิ่งเมื่อถูกน้องชายตนเองสั่งสอนให้ได้อาย

ยามนั้นอู๋จิงค่อย ๆ เหินร่างลงจากระเบียงชั้นสองอย่างเรียบง่าย ก่อนจะลอบชำเลืองมองไปยังเหวินลี่ที่หายใจรวนเรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับไปมองพี่ชายในคราบมารแล้วกล่าวว่า

“ยามนี้แม้นลงมือกับหญิงสาว พี่ท่านก็ทำได้แล้วหรือ” อู๋จิงแม้นตำหนิมันแต่สีหน้ากลับดูเศร้ายิ่งกว่า

“เจ้ามันเพียงเด็กน้อยจะรู้อะไร อันผู้ชนะเท่านั้นที่ขีดเขียนประวัติศาสตร์” หวงเย่ว์เถียงกลับน้ำเสียงเดือดดาล

อู๋จิงได้ฟังก็ได้แต่ท้อใจ แต่มิทราบอย่างไรอยู่ ๆ มันก็ประกบสองมือคาราวะหวงเย่ว์อย่างเรียบเฉย พร้อมกล่าวอย่างนิ่งเฉียบไปว่า

“รักษาตัวเถิดพี่ท่าน”

น้ำเสียงคล้ายดั่งหนึ่งห่วงใยสุดท้าย…

ทั้งที่หากสู้กันต่อไปไม่แน่คนแพ้อาจเป็นอู๋จิงก็ได้ แต่ยามนั้นหวงเย่ว์กลับทำได้เพียงนึกย้อนไปถึงวันเก่า ๆ แววตาพลันเปลี่ยนกลับคล้ายคืนฝั่งอยู่ชั่วครู่ คารวะตอบน้องชายพร้อมจากลาหายไปในเงามืด อันการต่อสู้ที่รังแต่จะสูญเสียทั้งสองฝ่ายมีค่าอันใด

พอหวงเย่ว์จากไปแล้ว อู๋จิงจึงรีบเข้าไปดูอาการของเหวินลี่ทันที นางนั่งเหยียดขาหลังพิงพนังหายใจรวนเร สีหน้าซีดเซียว ดวงตาเหม่อลอย รีบฝีปากซีดแห้ง

“เหวินลี่เจ้าเป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงเป็นห่วงยิ่งพร้อมทั้งประคองมือขวาโอบร่างนางไว้

“ข้าพเจ้าคงไม่รอดแล้ว” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา สลับกับเสียงหายใจที่รวนเร

“ไม่...เจ้าต้องไม่เป็นไร เจ้าต้องแข็งใจไว้”

นางได้ฟังคำอู๋จิงก็เพียงฝืนยิ้มอย่างยากเย็นก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ท่านรักข้าหรือไม่” คำถามนี้นับว่าบีบคั้นยิ่งนัก อู๋จิงได้ฟังก็ต้องสะท้านไปครู่หนึ่ง

อู๋จิงย่อมรู้ใจนางว่าคำตอบที่นางอยากจะฟังคืออะไร แต่คำตอบที่มันมีในใจนั้นเล่าหาใช่แบบนั้นไม่ แต่กระนั้นมันก็รู้ว่านางอาจจะจากมันไปได้ทุกเมื่อ เช่นนี้เล่าใยไม่ให้คำตอบที่ทำให้นางเป็นสุขไป แต่อีกใจมันย่อมรู้ว่าความรักของมันได้ให้ไปเพียงเหวินฟางพี่สาวนางเท่านั้น แล้วมันจะทำอย่างไรได้

“พี่ท่านโปรดบอก ไม่ว่าคำตอบเป็นอย่างไรข้าย่อมอยากรู้ก่อนจากไป” นางกล่าวเสมือนกลั่นจากแรงเฮือกสุดท้าย

อู๋จิงเงียบงันไปอยู่นาน สุดท้ายจึงกล่าวตอบไปด้วยเสียงอันสั่นเทาและน้ำตาหนึ่งหยดที่ตาซ้าย

“ข้าย่อมรักเจ้า…….” มันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ข้าย่อมรักเจ้า…….ทว่าเสมือนหนึ่งน้องสาว” สิ้นคำกล่าวนั้นอู๋จิงก็ไม่อาจเก็บงำใบหน้าอันปวดร้าวพร้อมน้ำตาได้ ครั้งหนึ่งมันเคยเสียเหวินฟางไป หรือครั้งนี้มันจะเสียเหวินลี่ไปอีกคน เหวินลี่แม้นได้ฟังคำตอบเช่นนั้นกลับไม่หมองใจ นางเพียงยิ้มอย่างเข้าใจและกล่าวว่า

“ท่านจำวันที่วัดร้างได้หรือไม่” นางกล่าว

“ข้าพเจ้าจำได้”

“ท่านรู้ไหมนั้นเป็นจูปแรกของข้า แต่ท่านคงไม่รู้ว่าทำไมข้าให้ท่านง่ายดาย”

“ข้าพเจ้าไม่รู้” มันกล่าวพร้อมน้ำตาที่เปื้อนหน้า

“เพราะข้ารักท่านก่อนที่ข้าจะพบท่านเสียอีก”

“ก่อนที่จะพบข้า?” มันลอบกล่าวทวนคำด้วยน้ำเสียงสับสน จะเป็นไปได้ยังไงว่าคนคนหนึ่งจะรักคนอีกคนหนึ่งก่อนที่จะพบเจอ

“ข้าพเจ้าจะไม่หลอกท่านต่อไปแล้ว” เหวินลี่กล่าวจบก็ลอบโคจรพลัง ฉับพลันสีหน้านางก็พลันมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง จากนั้นนางจึงกล่าวต่อไปว่าด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นมาก

“แม้นมารร้ายจะลงมือหนักข้อแต่มิโดนจุดสำคัญให้ถึงตาย เมื่อกี้ข้าพเจ้าแค่อยากรู้ความรู้สึกของท่านที่มีต่อข้า ข้าจึงต้องแสร้งทำ” สิ้นคำกล่าวนี้ทำเอาอู๋จิงหน้าชา มิคาดคิดว่าจะถูกหลอก

“เหวินลี่เจ้า…เจ้า…” อู๋จิงยามนั้นรีบเบื้อนหน้าหนีพร้อมทั้งเช็ดคราบน้ำตา

เหวินลี่เห็นแล้วก็อดยิ้มเสียมิได้ก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังอยู่มากว่า

“แต่ที่ข้าพเจ้าบอกว่ารักท่านก่อนพบท่านนั้นเป็นเรื่องจริง” นางกล่าวอย่างมั่นใจ

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เด็กหนุ่มทักท้าน

“เอาล่ะข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง….”


หนึ่งปีก่อนหน้า

ยามค่ำภายนอกเมืองลั่วหยางในป่าแห่งหนึ่ง ย้อนกลับไปเป็นวันที่เหวินฟางและอู๋จิงเผอิญหน้ากับจ้าวมาร และท้ายที่สุดชายหนุ่มต้องหนีไปเพียงผู้เดียวปล่อยให้เหวินฟางเผอิญชะตากรรมแต่เพียงลำพัง

“บังคับกระบี่บิน!!!” เหวินฟางทุ่มเทพลังที่ยังเหลืออยู่บังคับกระบี่บินของนางพัวพันไม่ให้จ้าวมารติดตามอู๋จิงไปได้ แต่เพียงกระบี่บินหกเล่มใยจะรั้งจ้าวมารที่ร้ายกาจได้ มารร้ายยามนั้นระเบิดพลังอสูรสร้างม่านพลังสีดำเหนี่ยวรั้งกระบี่บินทั้งหมดไว้จนแทบหยุดนิ่ง ก่อนจะใช้ออกด้วยกรงเล็บซ้ายขวากระแทกกระบี่บินทั้งมวลไปให้พ้นทาง

ความตายของหญิงสาวล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยงอีกต่อไป จ้าวมารเคลื่อนกายเข้าใกล้นางอย่างเรียบง่าย ก่อนจะใช้มือขวาบีบคอ ยกร่างนางจากพื้นดุจหยิบจับสิ่งของ

ยิ่งแรงในมือมันบีบรัดคอนางเท่าไร นางก็มีสีหน้าซีดเซียวปานนั้น มารเฒ่ายามนั้นจ้องมองดูความตายดุจเป็นของเล่นของสนุก แต่สุดจะคาดเหวินฟางกลับไม่ยอมตายง่าย ๆ พลันทุ่มกำลังครั้งสุดท้ายบังคับกระบี่บินทั้งหกพุ่งเข้าหามารร้ายจากหกทิศหกทาง

แต่ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคำนวณของมันอยู่แล้ว มันมองกระบี่บินทั้งหกด้วยสายตาเหยียดหยามและคิดเพียงจะใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่ปัดป้อง

แต่พริบตานั้นเองภาพที่มันเห็นกลับเป็นกระบี่บินทั้งสิบแปดเล่มที่พุ่งเข้ามาจากทั่วทิศ

“บังคับกระบี่เหิน!!!!”

กระบี่บินมากมายรุมเร้ายามนั้นมันไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องปล่อยมือขวาจากคอเหวินฟางไปเพื่อใช้สองมือต้านรับ

จ้าวมารควบคุมปราณพิษอสูรสีดำคลุมป้องกันร่างกาย อีกทั้งร่ายรำกรงเล็บพร้อมกับท่าเท้าท่องแดนอสูรปัดป้องและหลบการโจมตีของกระบี่บินทั้งสิบแปด

“มันผู้ใดกล้าสอดมือ!!!” มารร้ายกล่าวน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

ที่แท้ผู้มาช่วยเหลือกลับเป็นเหวินลี่น้องสาวเหวินฟาง กับเหวินเฟยพี่สาวของนาง เซียนสาวทั้งสามยามนั้นจึงควบคุมกระบี่บินได้ถึงสิบแปดเล่ม โฉบบินพันพัวจ้าวมารเอาไว้ได้

พอมีจังหวะเหวินลี่และเหวินเฟยจึงรีบเข้าไปประคองสองแขนเหวินฟาง ก่อนจะพากันหลบหลีหนีจากไปได้ในที่สุด โดยระหว่างการหนีเหวินฟางก็กล่าวว่า

“เหวินลี่ ข้านึกว่ามารร้ายสังหารเจ้าแล้วชิงกระบี่ไป” เหวินฟางกล่าวน้ำเสียงอ่อนแรง

“ข้าพเจ้าเคยพบมันจริง แต่ยามนั้นข้าไหวพริบดีทิ้งขว้างกระบี่หยกไป ทำให้มันละมือจากข้าไปหากระบี่ ข้าพเจ้าจึงหนีรอดมาได้” เหวินลี่กล่าวยามนี้จึงอธิบายว่าทำไมจ้าวมารถึงมีกระบี่หยกในมือ

หลังจากทั้งสามหนีรอดจากมารร้ายไปได้ เหวินฟางซึ่งบาดเจ็บหนักก็ถูกเหวินเฟยพี่สาวคนโตบังคับพาตัวกลับไปพักรักษาตัวที่หุบเขาเซียนกระบี่บิน

และหลายเดือนแห่งการนอนพักรักษาตัวนั้นสิ่งที่เหวินฟางกล่าวต่อเหวินลี่ก็มีเพียงแต่เรื่องของความรักที่นางได้พบเจอ และอู๋จิงชายอันเป็นรักแรกของนาง ไม่ทราบอย่างไรทุกครั้งที่เหวินฟางพูดถึงอู๋จิง กลับเป็นเหวินลี่ที่ค่อย ๆ ซึมซับและรู้สึกชื่นชอบเด็กหนุ่มโดยไม่รู้ตัวไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายการพบเจอของเหวินลี่และอู๋จิงย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด

เพียงอู๋จิงได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากเหวินลี่จนจบและรู้ว่าเหวินฟางยังไม่ตาย น้ำตาก็กลับพลันอาบสองแก้มอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ ยามนั้นมันทำได้เพียงเบือนหน้าหนีอย่างอาย ๆ

เหวินลี่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มให้ แต่ในรอยยิ้มนั้นก็แอบแฝงด้านหนึ่งแห่งความเสียใจด้วยว่านางนั้นได้รับรักตอบเพียงน้องสาว

"พี่สาวข้ามีคำพูดฝากมาบอกว่า... ขอให้รอก่อนเมื่อหายดีแล้ว เราคงจะได้พบกัน"




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2550
1 comments
Last Update : 15 ธันวาคม 2550 17:45:09 น.
Counter : 408 Pageviews.

 

 

โดย: wbj 15 ธันวาคม 2550 19:19:36 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.