Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
16 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 30

บทที่ 30

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
งานประชุมชาวยุทธ์ ณ หอมองจันทร์ หมู่ตึกกระจ่างแจ้ง

งามชุมนุมชาวยุทธ์ครั้งนี้ผู้คนยังคงมากันอย่างมากมาย ทว่ากระนั้นจำนวนคนก็ไม่มากเหมือนเช่นครั้งก่อนด้วยว่าคนของสำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ยามนี้เหลือเพียงไม่กี่คนแล้วหลังจากเหตุนองเลือดที่หอนางโลมไผ่แดง และชาวยุทธ์ผู้มาส่วนใหญ่ก็จะสวมผ้าขาวคาดหน้าฝากเพื่อแทนการไว้อาลัยแก่พวกมัน

ยิ่งเมื่อใกล้เวลาเปิดงานสายตาของชาวยุทธ์ทั้งหลายก็พลันมุ่งจับจ้องมองเพียงบนเวทีใหญ่ และไม่นานนักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของหลิวเยี่ยนหงซึ่งคาดผ้าขาวที่หน้าฝากก็เปิดเผย มันมาพร้อมกับหวังเผิงซึ่งก็มาในชุดขาวเสมือนไว้อาลัยให้หลายชีวิตแห่งสำนักทวนพยักษ์เช่นกัน ผู้เฒ่าแซ่หวังยามนั้นดูมีสีหน้าเศร้าโศกแท้จริง มันกล่าวว่า

“ชาวยุทธ์ทั้งหลาย การชุมนุมของพวกเราในวันนี้ย่อมเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สังหารหมู่คนพรรคทวนพยักษ์ที่หอนางโลมไผ่แดง ซึ่งจากหลักฐานที่พบสามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าผู้ลงมืออันโหดเหี้ยมนั้นคือพวกมารร้ายผีดิบ” สิ้นคำกล่าวของหวังผิง เสียงด่ากร่น สาปแช่งพวกมารร้ายก็ดังไปทั่วตัวตึก

ยามนั้นอู๋จิงซึ่งยืนอยู่แต่ห่างเวทีกับตัดกระบี่และหลินฟงก็มีสีหน้ารันทดยิ่งเพราะมันเองนั้นย่อมรู้ว่าคนลงมืออย่างอำมหิตในคืนนั้นคือหวงเย่ว์ ยังดีที่ว่าเหวินลี่นั้นรอดชีวิตมาได้ แต่กระนั้นนางก็ยังคงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในที่พัก ซึ่งไม่ทราบอีกนานแค่ไหนถึงจะหายดีดั่งเดิม

หากกลับมามองที่งานประชุมครั้งนี้ดูเหมือนว่าชาวยุทธ์ทั้งหลายจะสามารถรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ภายใต้เป้าหมายเพียงหนึ่งคือเพื่อกำจัดมารร้าย ยามนั้นหวังเผิงเห็นผู้คนรวมใจก็รู้สึกปิติไปด้วยพลันกล่าวว่า

“ทุกท่านหากเราร่วมใจกัน มารร้ายย่อมต้องพ่ายแพ้เป็นแน่” และเพียงหวังเผิงกล่าวจบ หลิวเยี่ยนหงก็สอดคำขึ้นว่า

“มารร้ายยามนี้ฮึกเหิมยิ่งนัก ทางที่ดีเราควรรีบเลือกผู้นำยุทธภพคนใหม่อย่างรีบด่วนเพื่อจะได้รวมกำลังกันไปกำจัดมารร้ายได้ทันทวงที” อู๋จิงได้ฟังคนแซ่หลิวพูดเช่นนี้ก็พลันมีสีหน้าไม่พอใจยิ่ง พลันอดคิดไม่ได้ว่า

“คนแซ่หลิว แม้นยามนี้ยังคิดถึงเรื่องตำแหน่งเจ้ายุทธภพอีก มันนับเป็นตัวอะไรกัน”

แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นดั่งอู๋จิงคิดไว้ คนแซ่หลิวยามนั้นยิ้มย่องอย่างแจ่มใส ก่อนจะกล่าวอย่างภาคภูมิบนเวทีไปว่า

“หากพวกเรามัวแต่เสียเวลาคัดเลือกผู้นำยุทธภพเห็นจะใช่เรื่อง ข้าพเจ้ายามนี้ขอถอนตัวเพื่อที่จะให้ท่านหวังเผิงได้เป็นเจ้ายุทธภพ ชี้นำพวกเราไปกำจัดการมารร้ายเห็นจะเหมาะควรด้วยประการทั้งปวง” ยามนั้นอู๋จิง ตัดกระบี่พลันอดตกใจมิได้ คนแซ่หลิวผู้ทะเยอทะยานกลับยอมก้าวลงเพื่อส่วนรวม

หวังเผิงได้ฟังก็มีสีหน้าคล้ายหนึ่งประหลาดใจไม่น้อยที่จู่ ๆ พลันได้ตำแหน่งแบบไม่ลำบาก แต่เพียงสำนึกคิดเห็นเป็นจริงก็เพียงยิ้มแต่พองามกล่าวอย่างถ่อมตัวไปว่า


“น้องหลิว ช่างเสียสละสมเป็นยอดคนรุ่นหลัง อันข้าพเจ้าเมื่อได้เป็นผู้นำยุทธภพก็จะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง เราจะรวมพลังทำลายพวกมารร้ายให้สิ้น” พอมันกล่าวจบผู้คนทั้งหลายก็ส่งเสียงสนับสนุนมันยิ่งแล้ว

“ชาวยุทธ์ทุกท่าน การกำจัดมารร้ายเป็นเรื่องเร่งด่วน อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าวันที่สิบหกขอให้พวกเราไปร่วมตัวกันที่โรงเตี๊ยมใหญ่เมืองซูโจวในยามเช้า จากนั้นก็เคลื่อนทัพกันไปถล่มพวกมารที่ให้สิ้นซาก” ยามนั้นชาวยุทธ์ต่างโห่ร้องเสียงดั่งก้องฮึกเหิมลำพองยิ่งนัก

อู๋จิงกับตัดกระบี่ยามนั้นได้ฟังเสียงโห่ร้องก็รู้สึกฮึกเหิมไปด้วย แต่ในทางตรงข้ามหลินฟงกลับนิ่งสงบผิดวิสัย

“หลินน้อย ยามนี้ทำไมเจ้าดูเงียบขรึม ผิดธรรมดา” อู๋จิงกล่าวจบ หลินฟงจึงหันไปมองพี่ชายมันครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเรียบง่ายแต่แผงนัยให้คิดว่า

“บางสิ่งคล้ายบังเอิญเกินไป เรื่องราวคล้ายดั่งบทประพันธ์ที่ถูกเขียนไว้แล้ว” อู๋จิงได้ฟังคำหลินฟงก็มีเพียงสีหน้าสงสัยในขณะที่ตัดกระบี่กลับคิดได้พลันกล่าวเสริมไปว่า

“ถูกของเจ้า หวังเผิงใยวางกำหนดเวลา แผนการณ์ได้อย่างรวดเร็วเสมือนว่ามันคล้ายจะรู้อยู่แล้วมันจะได้เป็นผู้นำยุทธภพ”

“บางทีเรื่องนี้อาจมีนัยแฝงแยบคาย ต้องคอยดูกันต่อไป” ตัดกระบี่กล่าวน้ำเสียงเข้มขรึม


หนึ่งเดือนต่อมา ณ เมืองซูโจว

แผนการณ์ทุกอย่างดำเนินไปบนเส้นทางของมัน ชาวยุทธ์ทั้งหลายผู้มีอุดมกาณ์ต่างมารวมตัวกันที่โรงเตี๊ยมใหญ่เมืองซูโจวตามกำหนดวันและเวลาที่วางไว้ จากนั้นผู้นำยุทธภพหวังเผิงซึ่งวางตัวดุจขุนพลก็ได้บัญชาทัพของชาวยุทธ์ให้ออกเดินทางยามกลางวันเพื่อไปถึงอดีตสำนักหมื่นอัคคีที่ซ่อนของพวกมารร้ายในตอนเย็น

ตัวหมู่ตึกของพรรคหมื่นอัคคีซึ่งเป็นแหล่งกบดาลของพวกมารยามนั้นดูเงียบสงบอย่างน่าประหลาด หวังเผิงจึงหยุดทัพพวกเหล่าชาวยุทธ์ก่อนจะถึงฐานทัพมารหลายลี้จากนั้นจึงเรียกประชุมเจ้าสำนักต่าง ๆ เพื่อคิดวางแผน

ระหว่างประชุมเหล่าเจ้าสำนัก หวังเผิงจ้องมองดูสภาพท้องฟ้า จ้องมองดารา สภาพภูมิประเทศ และศาสตร์หวงจุ้ย ก่อนจะกล่าวต่อเจ้าสำนักต่าง ๆ รวมไปถึงเจ้าสำนักมีดบินหกเหินแซ่หลี่ อีกทั้งตัดกระบี่ และอู๋จิงผู้ถูกเชื้อเชิญในฐานะหนึ่งในสิบยอดยุทธ์ปัจจุบันว่า

“ข้าพเจ้าคำนวณดูแล้วทั้งโหราศาสตร์และ ฮวงจุ้ย คิดเห็นเป็นว่าไม่ควรหักเข้าตีที่มั่นของมารในยามนี้ ควรตั้งค่ายล้อมพวกมันไว้จากนั้นจึงค่อยบุกตีในเช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นฤกษ์ดีของพวกเรา” คำกล่าวของมันนั้นได้รับการสนับสนุนจากเจ้าสำนักหลายคนยิ่ง แต่สำหรับตัดกระบี่ผู้ไม่เคยเชื่อศาสตร์การทำนายใด ๆ ก็กล่าวแย้งถามไปว่า

“มีเหตุผลรูปธรรมอื่นใดส่งเสริมหรือไม่” ตัดกระบี่ซักถามต่อหวังเผิงตรงไปตรงมา แต่กลับเป็นหลิวเยี่ยนหงที่ก้าวเท้ามาตอบแทนว่า

“อันหลักพิชัยสงคราม พวกเราเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหากเข้าตียามนี้ ย่อมเสียเปรียบพวกมันเป็นแน่ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านหวังที่ควรตั้งค่ายรอเข้าตียามเช้า” หลิวเยี่ยนหงกล่าวฟังมีเหตุผลรองรับ แต่กระนั้นก็ยังมีเจ้าสำนักมีดบินแซ่หลี่ที่ยังคงมีข้อสงสัย

“หลักการสงครามย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าสิ่งที่เรากำลังเผอิญหน้าอยู่นั้นหาใช่พวกมนุษย์ไม่ หากเราหยุดตั้งค่ายรอพรุ่งนี้เช้า เกรงว่าหากยามกลางค่ำคืนพวกมารซึ่งมิต้องเกรงแสงแดดกลับบุกเข้าโจมตีจะทำอย่างไร” เจ้าสำนักแซ่หลี่กล่าวอย่างมีเหตุผล ทำเอาเจ้าสำนักใหญ่น้อยที่เหลือพยักหน้าเห็นชอบในความคิดอย่างมิได้นัดหมาย

ผู้นำยุทธภพแซ่หวังแม้นบุคลิกสงบนิ่งแต่ยามนั้นถูกขัดคอก็ต้องลอบมีสีหน้าไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บงำสีหน้าอย่างสำรวมและทักท้านกลับไปว่า

“เจ้าสำนักหลี่ พูดมาก็เห็นชอบด้วยหลายประการ จริงอยู่ว่าหากรอบุกพรุ่งนี้เช้ามารร้ายอาจจะลอบจู่โจมคืนนี้ก็เป็นได้ แต่กระนั้นจะให้บุกเข้าตีในยามเย็นใกล้ค่ำเช่นนี้ก็ว่าควรไม่อยู่ดี ไหนจะฝ่ายเราจะเหนื่อยล้า ไหนว่าใกล้ค่ำพวกมารลำพอง” หวังเผิงกล่าวเสริมต่อไปอีกว่า

“อันจะสู้รบกับพวกมารร้าย ย่อมหลีกหนีอันตรายมิพ้น เช่นนั้นเล่าใยไม่รอบุกตีพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า จริงอยู่ว่าฐานที่ซ่อนของพวกมารจะเป็นตึกทึบไร้แสงอาทิตย์ส่องเข้า พวกเราคงมิได้เปรียบจุดนี้สักเท่าใด แต่กระนั้นหากทัพของเราพลาดพลั้งอย่างไรเวลาถ่ายกำลังหนีออก พวกมารก็ตามออกมาที่โล่งซึ่งมีแสงแดดมิได้” ผู้เฒ่าหวังมองสถานการณ์ขาดเช่นนี้พวกเจ้าสำนักต่าง ๆ ที่ชื่นชมเป็นทุนเดิมก็สนับสนุนความคิดยิ่งขึ้น ต่างช่วยกันกล่าวปิดประเด็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเข้าตีในยามเช้า

เมื่อได้ข้อสรุปเป็นที่แน่นอนแล้วเจ้าสำนักทั้งหลายก็ทยอยกันออกจากที่ประชุมเพื่อกลับไปแจ้งข่าวให้ลูกพรรคของตนตั้งค่ายล้อมที่มั่นของมารร้ายไว้ อีกทั้งจัดเวรยามระวังภัยในยามค่ำคืน ทางด้านอู๋จิงและตัดกระบี่นั้นหลังจากออกจากที่ประชุมเจ้าสำนักมีดบินแซ่หลี่ก็เดินอย่างเปิดเผยเข้ามาทักทาย

“อู๋จิง เจ้าสบายดีหรือ เมื่อครู่ในที่ประชุมไม่มีโอกาสได้ทักทายนับว่าเสียมารยาทต่อเจ้าแล้ว”

อู๋จิงเมื่อเห็นผู้เฒ่าหลี่ ก็รีบกุมสองมือคาราวะน้อมนอมก่อนตอบไปว่า

“คิดไม่ถึงจะได้พบผู้อาวุโสอีกครั้งที่นี้” อู๋จิงลอบกล่าวน้ำเสียงยินดียิ่ง อันตัวเด็กหนุ่มนั้นมีความประทับใจและชื่นชมในตัวผู้เฒ่าหลี่นับตั้งแต่ครั้งที่มันได้ไปคืนชุดเจ็ดมีดบิน

ผู้เฒ่าหลี่ก็ยิ้มอย่างเปิดเผย อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเด็กน้อยที่มันพบเจอในอดีตซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาก้าวขึ้นเป็นยอดยุทธ์ไม่ธรรมดา แต่ยิ่งกว่าคำชมทั่วไปผู้เฒ่ากลับมอบบางสิ่งให้มัน

“อู๋จิง ยามนี้เจ้าคู่ควรกับชุดเจ็ดมีดบินนี้ยิ่งกว่าข้ามากแล้ว” กล่าวจบผู้อาวุโสแซ่หลี่ก็ยื่นชุดเจ็ดมีดบินให้เด็กหนุ่มอย่างเรียบง่าย

“ของมีค่าเช่นนี้ข้ามิอาจรับ”

“อย่าให้คนแก่อย่างข้าต้องเสียน้ำใจ ยังไงข้ารู้ว่าเจ้าต้องได้ใช้มันเพื่อส่วนร่วมแน่” กล่าวจบผู้เฒ่าหลี่ก็ยัดเยียดชุดมีดบินนั้นให้กับมือเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ มองไปยังตัดกระบี่พร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านผู้นี้คงเป็นตัดกระบี่ใช่หรือไม่”

“เป็นข้าพเจ้าเอง” ตัดกระบี่กล่าว

“เช่นนั้นข้าขอเชิญท่านทั้งสองไป พักผ่อนที่ค่ายของข้าเห็นจะเป็นอย่างไร อีกอย่างมีแขกของข้าผู้หนึ่งต้องการจะพบกับอู๋จิงให้ได้เสียด้วย” ผู้เฒ่าหลี่กล่าวน้ำเสียงจริงใจพร้อมทั้งเปิดฝ่ามือเป็นเชิงเชื้อชวน

“ผู้ใดกัน?” อู๋จิงรีบกล่าวตอบกลับอย่างรวดเร็ว ทำเอาเจ้าสำนักหลี่ได้แต่ยิ้มเอ็นดูก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“เมื่อไปถึงเจ้าจะรู้เอง”

พอผู้เฒ่าหลี่กล่าวจบก็เดินนำชายหนุ่มทั้งสองไปยังค่ายที่มั่นของพวกสำนักมีดบินทันที จำนวนค่ายพักของลูกพรรคสำนักมีดบินมีเพียงไม่เกินสิบกระโจมเล็กๆ จำนวนพลก็คงไม่เกินสามสิบไปได้ โดยกระโจมที่ผู้เฒ่าหลี่เดินนำชายทั้งสองเข้าไปเป็นกระโจมที่ใหญ่ที่สุดกว้างราวหนึ่งห้องโถง โดยเมื่ออู๋จิงได้เดินเข้าไปในนั้นก็พบกับผู้รอคอยทันที

“เป็นท่าน!!!!” อู๋จิงกล่าวเสียงสูงอย่างตื่นเต้นดีใจ ทันทีที่มันเห็นเพียงแผ่นหลังของผู้รอคอยซึ่งยืนหันหลังให้ เป็นแผ่นหลังของอิสตรีนางหนึ่ง

“เป็นข้าเอง เนิ่นนานไม่พานพบ” นางกล่าวตอบกลับก่อนจะค่อยๆ หันหน้ากลับมามองมันอย่างช้า ๆ

“พี่สาวผิง ใยท่านมาอยู่ที่นี้ได้” ที่แท้ผู้เฝ้ารอกลับเป็น ผิงผิง ลูกสาวเพียงคนเดียวของพยักษ์ขาว เจ้าสำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ ซึ่งเคยหยอกล้อเล่นหัวกับอู๋จิงสมัยมันยังช่วยงานสำนักคุ้มภัย

“ข้าพเจ้าที่มาในวันนี้มีเหตุผลเดียวนั้นคือ กำจัดมารล้างแค้นแทนบิดา” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงคับแค้น

“กระบี่ไม่มีตา อาวุธไม่มีใจ พี่สาวผิงโปรดตริตรองให้ถ้วนถี่” อู๋จิงย่อมรู้ว่าระดับฝีมือนางนั้นมิได้สูงส่งแต่อย่างใด อันนางจะเข้ารบนั้นจะมิให้อู๋จิงเป็นห่วงได้อย่างไร

“ข้าพเจ้ารู้ว่าข้านั้นฝีมือต้อยต่ำ แต่กระนั้นก็ไม่สามารถนิ่งดูดายได้” ผิงผิง กล่าวอย่างเด็ดเดียว ทำเอาอู๋จิงได้แต่นิ่งงัน เมื่อนางเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเพียงมุมปากก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“พี่สาวคนนี้มีของขวัญจะมอบให้” นางกล่าวจบก็ยื่นทวนทองพยักษ์ของต่างหน้าบิดาให้ อีกทั้งกล่องไม้ขนาดใหญ่อีกหนึ่งอัน

“ข้าพเจ้า…” อู๋จิงมิทราบจะกล่าวอันใด

“รับไปเถิด อันตัวข้าฝีมือต่ำต้อยมิคู่ควรทวนทองอันนี้ อีกทั้งหากท่านใช้มันกำจัดมารร้ายข้าพเจ้าย่อมดีใจยิ่งกว่า” นางกล่าวจบก็เปิดกล่องไม้ที่นำมาก่อนจะหยิบศาสตราอีกชิ้นหนึ่งออกมาให้

ใครจะคาดคิดได้ว่าศาสตราที่อยู่ภายในกล่องนั้นคือ…

“ดาบเลื่อยฟันปลา!!!” ตัดกระบี่ฉับพลันที่เห็นศาสตรานั้นก็ตะลึงงันกล่าวเสียงสูง มิคาดจะได้เห็นอดีตอาวุธคู่มือ ณ ที่แห่งนี้

“ดาบนี้ย่อมเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษเช่นกัน พวกท่านโปรดนำไปใช้เถิด” ผิงผงกล่าวจบก็ยื่นดาบนั้นไปทางตัดกระบี่

ตัดกระบี่มองเลื่อยฟันปลาด้วยสายตาอาลัยก่อนจะหยิบจับด้ามถืออย่างเรียบง่าย พริบตาพลันบิดเอวสบัดดาบนั้นฟันผ่าเป็นเส้นตรงแนวดิ่งตั้งฉากจากบนสู่ล่างตัดอากาศบังเกิดเป็นลมแรงวูบหนึ่งจนกระโจมผ้ายามนั้นสั่นสะท้านคล้ายจะพังเสียให้ได้

และพอทุกอย่างกลับสู่ความสงบลมพัดหมดสิ้นไป มันก็ยิ้มอย่างพึงพอใจเป็นที่สุด จากนั้นจึงโยนดาบไปทางอู๋จิงซะเฉย ๆ ชายหนุ่มตกใจพลันรีบรับดาบอย่างตะกุกตะกักเกือบไม่ทัน

“มันเป็นของเจ้าแล้ว” ตัดกระบี่กล่าว

“ท่านอาจารย์ ดาบนี้…” อู๋จิงกล่าวอย่างสับสน

“อย่าให้ข้าเสียน้ำใจ” ตัดกระบี่ตอบเพียงสั้นแต่ไม่ลังเล ซึ่งเท่ากับว่ายามนั้นสี่ยอดอาวุธแห่งยุคล้วนอยู่มือของอู๋จิงเสียทั้งหมดแล้วอันได้แก่ กระบี่หยกน้ำเงิน ดาบเลี่อยฟันปลา ชุดเจ็ดมีดบิน ทวนทองพยักษ์ อันอาวุธดียิ่งขับผู้ใช้ให้โดดเด่น

“ก่อนถึงพรุ่งนี้เช้ายาวนานนัก ทำความคุ้นเคยกับมันเสียให้ดี” ตัดกระบี่เสริม


ยามค่ำของวันนั้น

ภายในกระโจมอันกว้างใหญ่ของผู้เฒ่าหวังผู้นำยุทธภพ ยามนั้นทั่วทั้งกระโจมต่างสว่างไปด้วยแสงเทียนซึ่งเปิดเผยให้เห็นหวังเผิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิกับพื้นใกล้โต๊ะขนาดเล็กในมือขวาถือตำราแพทย์อยู่เล่มหนึ่ง

มันนั่งอ่านหนังสืออย่างเคร่งเครียดอยู่เนิ่นนานและเหมือนคล้ายดั่งมันจะอ่านได้ทั้งคืนเสียทีเดียว แต่กระนั้นอยู่ ๆ สีหน้าของมันก็พลันซีดเผือด ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายบาดเจ็บภายใน หายใจติดขัด มือขวาพลันทิ้งหนังสือในมือหันไปจับบีบหน้าอกคล้ายดั่งจะขาดใจ

แต่พริบตานั้นเองสายตามันก็พลันเหลือบมองออกไปตรงประตูผ้าที่ด้านหน้าทางเข้ากระโจม และเห็นผ้านั้นโบกสบัดอยู่วูปหนึ่งเหมือนโดนลมพัดแรงให้สั่นไหว

มันยิ้มแห้ง ๆ ที่มุมปากก่อนจะพยายามฝืนเดินลากขาอย่างยากลำบากไปที่ประตูผ้าหน้ากระโจม และพอไปถึงมันก็ค่อยๆ เลิกประตูผ้าขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะเผยให้เห็นหีบไม้ขนาดไม่ใหญ่มากใบหนึ่งตั้งอยู่หน้าค่าย

มันฉีกยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะลากหีบไม้นั้นเข้าไปในกระโจมของมัน จากนั้นจึงเปิดหีบนั้นออกอย่างเร่งรีบ สิ่งที่อยู่ในนั้นมีเพียงหนึ่งซองจดหมาย และเมล็ดกลม ๆ สีเขียวขนาดเล็กคล้ายดั่งโอสถทิพย์อยู่เต็มหีบไปหมด

ผู้เฒ่าหวังหยิบแกะซองจดหมายอย่างเร่งด่วน แต่สิ่งที่พบภายในซองนั้นก็เป็นเพียงยาเม็ดสีเขียวจำนวนหนึ่งเหมือนในหีบไม่มีผิด แต่เพียงมันเห็นก็รีบหยิบกินยาหนึ่งเม็ดนั้นทันที และเพียงไม่นานสีหน้าของมันก็ดูดีขึ้นไม่หลงเหลืออาการทุรนทุรายเมื่อครู่อีกต่อไป


อีกด้านหนึ่งของคืนนั้น

ท้องฟ้ายามค่ำของวันนั้นเป็นอีกคืนหนึ่งที่มืดอย่างยิ่ง ดวงจัทร์ที่พอให้แสงนวลเพื่อมองเห็นก็เป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ เสี้ยวหนึ่ง ทว่ายังดีที่ดวงดาวต่าง ๆ ล้วนแจ่มจรัส ยามนั้นหลินฟงซึ่งยืนนิ่งสงบบนกิ่งไม้สูงเฝ้ามองจากเบื้องบนที่ห่างไกล เห็นหมู่ตึกมารกว้างใหญ่อันถูกล้อมเป็นวงไว้ด้วยแสงไฟจากกองเพลิงหน้าค่ายของเหล่าชาวยุทธ์

“หากผ่านค่ำคืนนี้ไป พรุ่งนี้คงเป็นศึกใหญ่แล้ว” เพียงหลินฟงกล่าวจบไม่นานนัก มันก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนกองไฟ กองหนึ่งหน้าค่าย

“เปลวไฟจากกองไฟจุดนั้นใยเคลื่อนไหวสบัดไปมาเสมือนว่าลมแรงเคลื่อนปะทะผ่านตลอดเวลา…หรือว่า” พอกล่าวจบหลินฟงซึ่งมีสีหน้ากังวลก็รีบทะยานดีดตัวออกจากกิ่งไม้ใหญ่ทันทีก่อนจะเหินร่างมุ่งตรงไปยังจุดที่เปลวไฟโบกสบัด และเพียงไม่นานกองไฟนั้นก็ดับลงก่อนที่หลินฟงจะไปถึง

“มารร้ายลอบบุกโจมตีแล้วรึ” หลินฟงกล่าวก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าไปหากองไฟที่เพิ่งมอดจุดนั้น แต่ก่อนที่จะไปถึงก็มีมีดบินทั้งเจ็ดที่เหินลมแซงผ่านหน้ามันไป ก่อนจะเป็นอู๋จิงที่วิ่งตามมาเทียบเคียงหลินฟง

“น้องเล็กเจ้าก็สัมผัสมันได้เหมือนกันรึ” สิ้นเสียงอู๋จิง หลินฟงเพียงเผยรอยยิ้มแทนคำตอบ

ทั้งสองวิ่งกันไปจนกระทั้งถึงค่ายซึ่งอยู่ตรงจุดที่กองไฟดับ และเมื่อไปถึงก็พลันเห็นการต่อสู้ของสองฝ่ายทั้งที ฝ่ายในชุดดำของมารร้ายนับหลายสิบตน และฝ่ายชุดสีเทาของศิษย์สำนักเทพกระบี่ที่ครึ่งหนึ่งกำลังต่อสู้อย่างเปะปะ และอีกครึ่งหนึ่งนั้นนอนแผ่นิ่งสิ้นท่าอยู่กับพื้น

“เป็นพวกมารจริงๆ ด้วย” หลินฟงกล่าว พร้อมทั้งเตรียมเข้าจู่โจม แต่อู๋จิงกลับเหนี่ยวรั้งเด็กหนุ่มไว้โดยการคว้าจับท่อนแขนก่อนจะกล่าวสืบไปว่า

“ฟงน้อย เจ้าดูที่กรงเล็บของพวกมารก่อน ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย เล็บของพวกมันมีประกายสีม่วงเข้มคาดว่าเล็บของพวกมันฉาบยาพิษร้ายแรงอยู่ เจ้าเข้าสู้ต้องระวังให้มาก”

“ไม่ต้องห่วง พวกมันไม่มีโอกาสแม้นเพียงสัมผัสกายข้า” หลินฟงกล่าวก่อนจะบุกตะลุยเข้าไปทันที พร้อมเพรียงกับอู๋จิงที่ใช้ออกด้วยวิชาเซียน

“บังคับมีดบิน!!!” อู๋จิงบังคับมีดบินทั้งเจ็ดเข้าโจมตีฝ่ายมารในชุดดำจากระยะไกล ในขณะที่หลินฟงก็ร่ายรำเพลงหมัดประทับเทพ ยามเมื่อสองพี่น้องยอดยุทธ์เข้าโจมตีพร้อมเพียง ฝ่ายมารชุดดำก็ต้องแตกทัพกระจาย ยามนั้นพวกมารร้ายต่างร้องเสียงหลงทั้งบาดเจ็บทั้งตื่นตะลึงในฝีมือของเด็กหนุ่มทั้งสองพลันรีบสลายตัวหายเข้าไปในความมืดทันที

“พวกมันหนีหายไปแล้ว” สิ้นเสียงอู๋จิง พวกมารชุดดำก็แฝงกายหายไปในความมืดมิดอย่างลึกลับ เหลือไว้เพียงรอยเลือดสีดำบนพื้น

“ยังไงพี่ท่านรีบพาพวกบาดเจ็บไปรักษาก่อนเถิด” หลินฟงกล่าวก่อนจะถอยฉากออกไปเมื่อสิ้นศึก ด้วยว่าเขานั้นยังคงไม่สามารถเปิดเผยตัวได้


ครึ่งชั่วยามต่อมา ณ กระโจมผ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

ภายในกระโจมยามนั้น ลูกศิษย์นับยี่สิบคนของสำนักเทพกระบี่ซึ่งนอนเรียงกันแต่ล่ะคนต่างมีแผลบาดเจ็บร้องโอดโอยกันเป็นจำนวนมาก แม้นว่าแผลเหล่านั้น จะถูกห้ามเลือดไว้หมดแล้วแต่พวกมันก็ยังคงมีสีหน้าทรมาณสุดแสนราวกับถูกไฟคลอกก็ไม่ปาน

ยามนั้นเจ้าสำนักทั้งหลาย รวมทั้ง หลิวเยี่ยนหง ตัดกระบี่ อู๋จิง และผู้นำยุทธภพหวังเผิงต่างอยู่ในเหตุการณ์ทั้งสิ้นแต่ยังไม่มีใครสามารถช่วยอะไรได้

“พวกมันอาจจะถูกพิษที่ชื่อ พิษสูบวิญญาณ” หมอเทวดาแห่งยุคผู้หนึ่งกล่าวทันทีที่เห็นรอยแผลของศิษย์สำนักเทพกระบี่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นสีม่วงดำน่ากลัวยิ่ง

พอหวังเผิงได้ยินชื่อพิษนี้ก็มีสีหน้าทอดสีทันทีก่อนจะกล่าวแต่แผ่วเบาสืบไปว่า

“ไม่น่าเชื่อพวกมารจะใช้ยาพิษร้ายกาจอันนี้”

“ท่านมีวิธีรักษาหรือไม่” หลิวเยี่ยนหงกล่าวแต่หมอเทวดาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงลูกพรรคทันที แต่คำตอบที่ได้จากหมอวิเศษกลับเป็นการส่ายหน้าพร้อมทั้งกล่าวอย่างละอายว่า

“พิษมารลึกล้ำ อีกทั้งเพิ่งปรากฎในยุทธภพไม่นาน ข้าพเจ้าจนปัญญา” หมอเทวดาคอตกกล่าวอย่างละอาย

“หากเช่นนั้นเราจะทำได้เพียงมองดูพวกมันตายเท่านั้นหรือ” หลิวเยี่ยนหงลอบกล่าวอย่างอดสู ทว่ายามนั้นทุกคนกลับทำได้เพียงเงียบงันไม่ทราบจะกล่าวอย่างไรดี เสียงร้องโอดครวญของผู้บาดเจ็บก็ยิ่งเหมือนจะดังเป็นทวีคูณ

และวินาทีนั้นเองก็เป็นผู้นำยุทธภพหวังเผิง ที่ก้าวออกมาจากหมู่เจ้าสำนักอื่น ๆ พร้อมทั้งกล่าวออกไปอย่างไม่มั่นใจต่อ เหล่าผู้บาดเจ็บว่า

“เรื่องวิชาพิษของมารร้ายนี้ ข้าพเจ้าเคยศึกษามาอยู่บ้าง อีกทั้งยามนี้มียาสูตรหนึ่งมิทราบจะรักษาพิษให้พวกท่านได้หรือไม่ หากพวกท่านอยากจะลอง…” ยังไม่ทันที่คนแซ่หวังจะกล่าวจบ เหล่าผู้บาดเจ็บก็แบมือขอยานั้นทันที อันชีวิตที่ใกล้จะดับสูญเสมือนว่ายน้ำอยู่กลางทะเล หากแม้นมีเพียงฟางสักเส้นพวกมันก็ไม่ลังเลที่จะคว้าไว้

ยามนั้นผู้เฒ่าหวังจึงได้หยิบยาเม็ดกลมกลิ้งสีเขียวที่อยู่ในซองจดหมายออกมาป้อนให้กับ คนบาดเจ็บที่อยู่ใกล้มือทันที และสุดจะคาดคนไข้รายนั้นก็ค่อยๆ มีสีหน้าที่ดีขึ้นทีละนิด หยุดอาการร้องโอดโอยรวมทั้งรอบบริเวณบาดแผลที่เป็นสีม่วงดำ ก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ หลังมันได้เดินพลังปราณรักษาตนควบคู่ไปด้วย

หมอเทวดาเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าตื่นตะลึงไม่น้อยไปกว่าคนไข้พลันรีบเข้าไปตรวจดูแผลและสภาพชีพจรทันทีก่อนจะกล่าวเสียงสั่นว่า

“พิษ….พิษ…ได้จางหายไปแล้ว” เมื่อเป็นเช่นนี้หวังเผิงจึงได้รีบนำยาที่มีอยู่ป้อนให้กับผู้ที่ติดพิษที่เหลือทันที และทุกคนก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับพลังฝีมือ

“ขอบคุณ ท่านหวังยิ่งนัก หากไม่ได้ท่านพวกมันคงกลายเป็นผีร่อนเรไปแล้ว” หลิวเยี่ยนหงรีบกล่าวขอบคุณต่อผู้เฒ่าหวังไม่ขาดปาก

ยามนั้นเมื่อทุกคนเห็นสรรพคุณตัวยาสีเขียวนั้นแล้ว ก็พลันมีเจ้าสำนักคนหนึ่งพลันรีบกล่าวต่อไปว่า

“ยาของท่านหวังนี้ดีจริงๆ มิทราบว่าข้าพอจะขอติดตัวไว้สักเม็ดจะได้หรือไม่” หวังเผิงได้ฟังแล้วก็กล่าวต่อไปอย่างยินดีว่า

“จริงๆ แล้วข้าพเจ้ามียาชนิดนี้มามากเพียงพอสำหรับชาวยุทธ์ทุกท่าน เพื่อจะเอาไว้กินก่อนจะไปรบกับพวกมาร จะได้มีภูมิต้านทานพิษร้าย เพราะข้าพเจ้าก็เกรงกลัวมาโดยตลอดว่าพวกมารจะใช้พิษลึกลับนี้เล่นงานพวกเรา” หวังเผิงกล่าวจบเจ้าสำนักทุกท่านพลันลอบกล่าวยินดี ก่อนจะขอแบ่งปันยาเหล่านั้นไปให้กับพวกลูกศิษย์ของตนทันที

และเมื่อเป็นเช่นนั้น มันจึงเป็นนโยบายใหม่ที่ว่าพรุ่งนี้รุ่งเช้าชาวยุทธ์ทุกคนจะต้องกินยาป้องกันพิษก่อนจะเข้ารบกับพวกมาร


เช้าวันรุ่งขึ้น

ยามนั้นฝ่ายพวกชาวยุทธ์ทุกคนก่อนจะเข้าบุกฐานที่มั่นของมารร้ายจึงได้กินยาที่ได้รับมาจากหวังเผิงอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงตั้งขบวนกันบุกทะลวงทำลายกำแพงเบื้องหน้าของที่มั่นมารร้ายจากนั้นจึงหักด้านประตูใหญ่เข้าไปถึงภายในอันมืดมิดของตัวตึก




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2550
1 comments
Last Update : 16 ธันวาคม 2550 18:32:19 น.
Counter : 541 Pageviews.

 

ท่าทางต้องแวะมาอ่านบ่อยๆ มันดี อิอิ

 

โดย: ใจดี (jaidee.jaidee ) 17 ธันวาคม 2550 19:59:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.