Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
17 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 1


มาร ฟ้า เทพ หิมะ


ผู้แต่ง : 兰玉 (หลันยี่ว์)


บทนำ


ในช่วงสมัยราชวงศ์ฉิน ประวัติศาสตร์จีนได้บันทึกไว้ว่าในยุคนั้นแม้นแผ่นดินจะเป็นหนึ่ง แต่ชาวประชาต่างทุกข์ร้อนจากภัยธรรมชาติ ฝนตกหนัก น้ำท่วมอย่างรุนแรง อีกทั้งภัยจากโรคระบาดอหิวา จนผู้คนต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก จนฮ่องเต้ต้องเดินทางไปสัการะเทพเจ้ามังกรทะเลเพื่อขอให้หยุดเภทภัยต่าง ๆ เหล่านี้เสีย

ทว่าในทางตรงกันข้ามในช่วงปีนั้น บันทึกเรื่องราวของยุทธภพ กลับถูกกล่าวขานไว้ว่ายามนั้นทั้งชาวยุทธ์และปวงประชานอกจากต้องเผอิญกับภัยธรรมชาติน้ำท่วม อีกทั้งภัยร้ายแรงที่สุดกลับมาจากพรรคมารอันแสนอำมหิตซึ่ง สังหารผู้คนเพื่อใช้เลือดของเหยื่อฝึกวิชามารอย่างไร้สำนึก

จนใจฮ่องเต้ในสมัยนั้นต้องเดินทางเพื่อไปยังศาลเจ้าเทพมังกรทะเลเพื่ออัญเชิญเซียนเทพผู้หนึ่งซึ่งเป็นหลวงจีนบำเพ็ญตบะแก้กล้าให้ช่วยมากำจัดจ้าวมารผู้ชั่วร้าย เซียนผู้นั้นแม้นละทิ้งเรื่องทางโลกมาเนิ่นนาน แต่เมื่อได้ฟังคำขอจากฮ่องเต้ซึ่งมาแทนประชาราษฏ์ทั่วแผ่นดินจึงมิอาจปฏิเสธคำขอได้แต่อย่างใด

และในที่สุดศึกระหว่างจ้าวมารและเซียนเทพ ก็ได้อุบัติขึ้น วิชามารที่จ้าวมารใช้นั้นทั้งลึกลับ รุนแรง อำมหิต ฝืนธรรมชาติ ในขณะที่เซียนเทพนั้นใช้วิชาเซียนบังคับกระบี่เหิน อีกทั้งกระบี่ที่ใช้นั้นยังเป็นกระบี่ที่ทำขึ้นจากหยกสีน้ำเงินอันหายาก ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานอวิชามาร

ในศึกเทพ มารครั้งนี้ฟังดูเพียงคล้ายหนึ่งนิทาน ซึ่งหลงเหลือข้อความในบันทึกยุทธภพเพียงว่าเทพ มารได้สู้กันกว่าสิบวันสิบคืนสุดท้ายทั้งจิตมารและเทพ ต่างหายสาบสูญสิ้นไม่ทราบผู้ในชนะ ผู้ใดคงอยู่ ผู้ใดหายจาก


ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นอกเมืองลั่วหยาง

ภายใต้ท้องฟ้าสีดำน้ำหมึกในยามรัตติกาล และเมฆดำ ฝนปรอย ฟ้าร้อง ฟ้าลั่น หลวงจีนชราผู้หนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าผ่านประตูเมืองแต่เพียงลำพังโดยหาเกรงกลัวต่อเฆฆฝนฟ้าร้องไม่ ผู้อาวุโสนี้ใช้สองมือโอบอุ้มเด็กน้อยแรกเกิดทั้งสามไว้โดยโน้มกายเพื่อใช้ร่างป้องฝนมิใช้โดนเด็กทั้งสาม

ใบหน้าของหลวงจีนนั้นนอกจากบ่งบอกถึงวัยอันชรามากแล้ว ยังคงบ่งบอกถึงสีหน้าอันดูเหนื่อยล้าและอ่อนแรงอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อสายตาของผู้อาวุโสเหลือบไปมองเห็นร้อยยิ้มของเด็กผู้หนึ่ง หลวงจีนผู้นี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบเสียมิได้

“เด็กเหล่านี้ย่อมมิใช่ชนชั้นสามัญแท้จริง แม้นพายุฝน ฟ้าร้อง มันกลับยิ้มรับได้”
ชายชราเดินไปไม่นานนั้นก็มีสีหน้าบาดเจ็บภายในสุดแสน ทว่ายังคงกัดฟันเดินต่อเข้าไปจนผ่านประตูเมืองลั่วหยางได้ ซึ่งภายในเมืองยามนั้นเรียกได้ว่าไม่เห็นผู้ใดเลย

“วิชามารของจ้าวมารร้ายกาจยิ่งนัก” หลวงจีนชรากล่าวจบก็ถอนหายใจหนัก ๆ หนึ่งคราคล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรง ใบหน้ามีเพียงภาพแห่งความเหนื่อยล้าและน้ำฝนที่ชะโลมหน้า ชายแก่อ่อนล้าอย่างยิ่ง เหนื่อยอย่างมากจนต้องล้มทรุดเข่าลงแทบกับพื้น

“น่าเสียดายข้าไม่มีความสามารถพอจะกำจัดมารได้ แต่อย่างน้อยก็ยังพอทำให้มันต้องสูญสิ้นพลังวัตรต้องพักฟื้นไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี” หลวงจีนเฒ่ากล่าวก่อนจะเปิดเผยรอยยิ้มและมองไปยังเด็กทั้งสามในอ้อมอกด้วยแววตาแห่งความหวัง

“เจ้าเด็กน้อยทั้งสามเอ่ย ชะตาของเจ้าถูกลิขิตมาให้ หนึ่งในพวกเจ้าจะเป็นเทพ อีกหนึ่งจะเป็นฟ้า อีกหนึ่งจะเป็นมาร แต่ทั้งสามนั้นเกิดมาเป็นดาวข่มจ้าวมารโดยแท้ หากจะมีผู้ใดกำจังจ้าวมารผู้ชั่วร้ายได้ มันก็ย่อมต้องเป็นพวกเจ้า” หลวงจีนเฒ่ากล่าวจบก็ร่วมรวมพลังขึ้นอีกครั้งก่อนจะลุกก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาหยุดลงตรงหน้าศาลเจ้าเก่าแก่แห่งหนึ่ง

“อีกยี่สิบปีต่อมาจ้าวมารคงจะหวนคืนยุทธภพอีกครั้งพร้อมหายนะ ยามนั้นข้าคงอยู่ไปไม่ถึง ตอนนี้คงได้แต่หวังว่าพวกเจ้าจะเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดมัน”
หลวงจีนเฒ่ากล่าวจบก็วางเด็กทั้งสามไว้หน้าประตูศาลเจ้าอย่างนิ่มนวล ก่อนจะทุบกำปั้นลงบนประตูศาลเจ้าแรง ๆ สามครั้ง ก่อนจะจากเด็กทั้งสามไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนในศาลเจ้าที่กำลังเดินมาถึงประตูใหญ่

...และนี้คือเรื่องราวยี่สิบปีก่อนเหตุการณ์ยุทธภพปัจจุบัน




บทที่ 1

ยุทธภพปัจจุบัน ณ เมืองหังโจว หมู่ตึกพรรคกระจ่างแจ้ง


ภายในห้องโถงกว้างใหญ่ซึ่งอยู่บนชั้นสูงสุดของหมู่ตึกที่สูงตระหง่านอย่างกลางเมือง ภายในห้องนั้นได้ถูกตกแต่งไว้อย่างวิจิตรงามตาอย่างยิ่ง

ยามนั้นชาวยุทธ์หลายร้อยต่างมาชุมนุมกันอย่างมากมายโดยนั่งประจำโต๊ะที่ถูกจัดไว้เลี้ยงรับรองทางฝั่งปีกด้านขวาของทางห้องโถง ในขณะที่ปีกด้านซ้ายถูกจับจองไปด้วยคนของหมู่ตึกกระจ่างแจ้ง

เสียงพูดกล่าวเจรจาพาทีดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง หัวข้อกล่าวขานย่อมไม่พ้นเรื่องราวในโลกยุทธภพ ฝ่ายคนของหมู่ตึกต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอย่างถึงพริกถึงขิง ในขณะที่ชาวยุทธ์ต่างคุยจับกลุ่มกับคนที่ตนคุ้นเคย

เสียงพูดคุยดังอยู่เนิ่นนานไม่มีทีท่าจะหยุดลงได้ง่าย ๆ แต่ทว่าเพียงเสียงฝีเท้าหนึ่งบุรุษกระทบแผ่นไม้อย่างหนักแน่นบนเวทีใหญ่ด้านหน้าก็ทำเอาหมู่คนทั้งหลายต้องหยุดปากพร้อมเพรียงอย่างอัศจรรย์หันมองเป็นตาเดียวกันไปที่บรุษผู้นั้น ชายในวัยเทียบเคียงห้าสิบ รูปร่างสัดทัน เครายาวสีขาว ดวงตากลมโต ในชุดสีม่วงที่ดูสูงศักดิ์มีสง่าราศี ใบหน้าเปล่งประกายถึงสติปัญญาอันเลิศล่ำ และวรยุทธ์อันสูงส่ง ชายผู้นี้ย่อมไม่ใช่ใครประมุขพรรคกระจ่างแจ้งอันรอบรู้ทุกเรื่องราวในยุทภพนามว่าหวังเผิง

ผู้อาวุโสผู้นี้เดินเรียบเฉียบมาจนถึงกลางเวทีก่อนจะกล่าวไปว่า

“ พิธีจัดลำดับยอดยุทธ์ปีนี้ได้เริ่มแล้ว ณ บัดนี้” ประมุขเฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังยิ่ง อันนำมาซึ่งเสียงกล่าวร้องยินดีตามมาจากทางฝั่งลูกพรรคและชาวยุทธ์ทั้งหลาย

มันเริ่มเกริ่นนำด้วยข่าวคราวของราชสำนัก สลับกับเรื่องราวของยุทธภพทั้งหลายอันน่าสนใจยิ่ง แต่เรื่องราวเหล่านั้นกลับไม่เป็นที่สนใจต่อชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาลแดง ผู้หนึ่งซึ่งยืนปะปนอยู่ในหมู่ชาวยุทธ์ทางปีกขวาของตึก

ชายผมสีน้ำตาลแดงผู้นี้อายุราวสามสิบเศษสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงสด ใบหน้าดูดุดัน เคร่งเครียด อีกทั้งผมเผ้ายังยุ่งเยิ่งดูไม่ได้ แต่จุดที่ประหลาดที่สุดของชายผู้นี้กลับเป็นที่แบกกระบี่ไว้กว่าสิบเล่มที่ด้านหลัง โดยมัดรวมกันและสพายไว้ ในขณะที่มือขวาก็กำดาบรูปร่างยาวโค้งงอในฝัก

ชายผมแดงผู้นี้ดูไม่สนใจคำกล่าวของหวังเผิงประมุขพรรคกระจ่างแจ้งแต่อย่างใด จนกระทั้งถึงช่วงเวลาที่ประมุขเฒ่ากล่าวลำดับยอดยุทธ์ ชายผมแดงถึงได้สนใจรับฟังจนจบ แต่ยิ่งฟังชายผมแดงก็ยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจจนในที่สุดก็ตะโกนลั่นกล่าวเสียงดังกึกก้องอันเปี่ยมไปด้วยพลังวัตรอันสูงส่งไปทั่วห้องโถงใหญ่ว่า

“ข้าพเจ้ามิอาจยอมรับการจัดอันดับอันมิเที่ยงเยี่ยงนี้ได้” สิ้นเสียงชายผมแดงทั้งห้องล้วนเงียบกริบไม่มีแม้นสักครึ่งคำหลุดจากปากใคร จนใจเจ้าสำนักกระจ้างแจ่งต้องออกหน้ากล่าว

“มิเที่ยงเช่นใด ท่านตัดกระบี่ (ต้วนเจี้ยน) โปรดชี้แนะ” ชายแก่กล่าวสุภาพด้วยรอยยิ้ม

“เทพกระบี่แดนใต้ ที่ได้อันดับหนึ่งนั้นทั่วทั้งยุทธภพย่อมรู้ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เถียงแต่ เหตุอันใดจึงจัดนาม “ตัดกระบี่” ของข้าพเจ้าให้ต่ำเตี้ยเสียกว่ามารโลหิต นั้นไม่สมควร” ชายผมแดงกล่าวเกรี้ยวกราดโอหัง


หนึ่งเดือนก่อนหน้า ณ ทุ่งหญ้านอกเมืองฉางซา

มือขวาสีซีดเผือดหนึ่ง ได้จุ่มลงในโถงดินอย่างช้า ๆ ก่อนจะชักออกมาพร้อมเลือดอันแดงฉาดเลอะไปทั่วมือข้างนั้น แต่ทว่าเจ้าของมือนั้นกลับทำสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะป้ายเลือดแดงสดนั้นเป็นเส้นใต้ตาและลากยาวลงแก้มเหมือนเขียนหน้างิ้ว จากนั้นจึงจุ่มมือลงไปในโถงเลือดอีกคราแต่ครานี้เปลี่ยนเป็นใช้เลือดจากมือวาดภาพลงบนกระดาษขาวบนกระดานวาดรูปเบื้องหน้าแทน

จิตกรเลือดเป็นชายผู้มีใบหน้าขาวซีดตัดกับผมยาวสีดำเข้มในชุดสีดำอีกา บรรจงวาดรูปด้วยมือจากเลือดสีแดงสดอย่างตั้งใจด้วยใบหน้าลุ่มหลงอย่างยิ่ง วาดนิ้วด้วยจังหวะที่บางครั้งรวดเร็วบางครั้งเชื่องช้าจนที่สุดแล้วภาพที่ออกมาก็กลายเป็นเสือสีเลือดอันงดงามไปได้

“อันเสือร้ายได้มาเยือน ใยไม่ปรากฎกาย” ชายวาดภาพกล่าวลอย ๆ แต่กลับเป็นแท้จริง พริบตาบุรุษผมแดงนาม “ตัดกระบี่” ก็ปรากฎกายจากทุ่งหญ้าสูงใหญ่ ด้วยใบหน้าขมึงตึงเช่นปกติ

“มารโลหิต วันนี้ข้าพเจ้าจะขอลบชื่อท่านออกท่านจากยุทธภพ” ตัดกระบี่กล่าวไม่เกรงใจผู้อื่นเช่นกิจวรรต

“ข้าพเจ้าไม่ต้องการเลือดคนยามนี้ อีกทั้งงานวาดก็เสร็จสิ้นแล้ว” มารโลหิตกล่าวน้ำเสียงนุ่ม แต่กลับกระตุกอารมณ์ร้อนของตัดกระบี่ยิ่ง

“น่าขำ อันเลือดข้าพเจ้าไหนเลยคนอย่างท่านจะได้ชม หากมีดีจงชักกระบี่ต่อกรข้า” ตัดกระบี่กล่าวเสียงกร้าว

“ทั่วทั้งยุทธภพรู้ ข้าไม่ใช้กระบี่” มารโลหิตกล่าว

“ทั้งยุทธภพรู้ข้านั้นตัดกระบี่” ตัดกระบี่กล่าวก่อนชักนำลมปราณแผ่พุ่ง บังคับกระบี่นับสิบที่มัดไว้สพายหลัง กระจายพุ่งขึ้นท้องฟ้าเป็นแนวรบก่อนจะพุ่งตกกระหน่ำลงมาดุจสายฝนเข้าใส่มารโลหิตอย่างรวดเร็ว

“นี้กระมัง ความใจกว้างของตัดกระบี่ที่ผู้คนกล่าวขาน ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าคงไม่ขัดศรัทธา” มารโลหิตหลบคมกระบี่ที่ตกจากฟ้านับสิบอย่างคล่องแคล่วด้วยท่าก้าวเท้าที่สง่างามดุจการเต้นรำ จนครั้นเมื่อหลบได้ครบทั้งสิบจึงชักกระบี่หนึ่งในสิบนั้นแล้วกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าขอยืมเล่มนี้ก็แล้วกัน” สิ้นคำกล่าวก็เห็นเป็นตัดกระบี่ที่พุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็วก่อนจะชักดาบยาวโค้งในฝักออกฟันเป็นวง ฟาดเข้าใส่มารโลหิตทั้งที โดยดาบของตัดกระบี่นั้นแปลกยิ่งทั้งโค้งมนและที่ด้านคมเป็นหยักเหมือนเลื่อยฟันปลา

ฝ่ายมารโลหิตก็ใช้กระบี่ที่ยืมนั้นยกขวางขึ้นรับอย่างรวดเร็ว แต่สุดจะคาดดาบเลื่อยฟันปลากลับตัดเข้าเนื้อกระบี่ไปกว่าครึ่งทำเอามารโลหิตจ้องมองตะลึงงัน

“ดาบเลื่อยฟันปลาร้ายกาจยิ่ง เหตุนี้เองท่านถึงพกกระบี่นับสิบให้คู่ประลองของท่านได้มีกระบี่เปลี่ยนใช้ไปจนจบศึก” มารโลหิตกล่าวพร้อมทั้งพยายามก้าวเท้าถอยร่นเพื่อลดทอนพลังวัตรแรงดาบ แต่ตัดกระบี่ก็ร้ายกาจยิ่งตามติดไม่ปล่อย ดาบเลื่อยยังคงค้างคาเข้าลึกไปถึงครึ่งในเนื้อกระบี่ของมารโลหิต จนกระทั้งในที่สุดเมื่อทั้งสองหยุดเท้าตัดกระบี่จึงเรียกพลังวัตรกระแทกสู่ดาบอีกคราหมายตัดให้ขาดทั้งมารโลหิตและกระบี่

แต่มารโลหิตก็หาใช่ไร้วิชา จึงชักนำพลังวัตรรวมศูนย์ไปในดรรชีมือซ้ายก่อนจะวาดดรรชีอันเปี่ยมพลังกลางอากาศเข้าปะทะกับดาบเลื่อยฟันปลาตรงรอยตัดของกระบี่ทันที พริบตาพลังวัตรทั้งสองปะทะกันดุเดือด กระบี่ในมือมารโลหิตถึงกับแตกสิ้น แต่มารโลหิตก็อาศัยแรงปะทะนั้นลอยตัวถอยหนีไปอย่างสวยงามในขณะที่ตัดกระบี่ก็เซถอยไปเล็กน้อย

แต่ตัดกระบี่ก็ไม่หยุดให้มารโลหิตได้พักฟื้นเรียกพลังกลับแต่อย่างใด เขาพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วไม่รอท่าฝ่ายมารโลหิตจึงพุ่งถอยไปหยิบกระบี่ที่ปักพื้นมาอีกสองเล่มไว้ในมือซ้ายขวา อาศัยกระบี่สองเล่มนั้นสลับกันต้านทานเงาดาบของตัดกระบี่ที่ฟาดฟันแหวกอากาศไม่หยุดหย่อน

มารโลหิตยามนี้ทำได้เพียงแต่สลับกระบี่ร่ายรำต้านทานอย่างเดียว จนในที่สุดกระบี่ทั้งสองก็หักครึ่ง และการบุกครั้งนี้ของตัดกระบี่ก็บีบคั้นมารโลหิตให้ถอยไปจนหลังติดหินขนาดใหญ่

“ขาดซะ” ตัดกระบี่ประกาศกร้าวพร้อมวาดดาบเป็นวงด้วยพลังวัตรสุดต้าน แรงดาบกดดันจนมารโลหิตต้องใช้สองกระบี่ที่หักเหลือเพียงครึ่งขึ้นต้านรับแต่ถึงกระนั้นก็เหมือนมิอาจทนได้ กระบี่ทั้งสองสั่นเทาใกล้จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่พริบตาตัดสินมารโลหิตไม่ลนลานเพียงเบี่ยงทิศกระบี่บีบให้ทางวิ่งของดาบที่เข้าหาต้องลากผ่านผนังหินผาด้านหลัง ให้มันกลายเป็นตัวเข้าต้านแรงดาบไปอีกทาง

เสียงปะทะดังกึกก้องกระบี่หักกระจายกลางอากาศ พร้อมกับหินผาให้ขาดครึ่ง ทว่าสุดท้ายดาบเลื่อยฟันปลากลับตัดมารโลหิตได้เพียงอากาศธาตุ

“รอดไปได้” ตัดกระบี่กล่าวอย่างเสียมิได้ แต่ฉับพลันกลับต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับเมื่อมารโลหิตพุ่งเข้าหาพร้อมกระบี่อันใหม่ในมือ

มารโลหิตยามนี้เลือกไม่ฟันกระบี่แนวขวางเพราะมันจะถูกดาบวิเศษในมือศัตรูตัดโดยง่าย ตรงข้ามกลับใช้ออกเพียงกระบวนท่าทิ่มแทงให้ตัดกระบี่ปัดป้องอย่างลำบาก อันธรรมชาติผู้รุกย่อมไม่เก่งตั้งรับ แต่กระนั้นตัดกระบี่ก็ยังทำได้ดีทั้งปัดป้องทั้งตัดตีจนปลายคมของกระบี่ในมือมารโลหิตค่อย ๆ สั้นลง ๆ เพราะถูกตัดกระบี่ไปเสียนี้

“ยิ่งรบยิ่งร้ายกาจ” มารโลหิตกล่าวเมื่อเห็นกระบี่ในมือที่ทิ่มแทงถูกตัดรอนจนเหลือครึ่ง ในที่สุดต้องซัดใส่ศัตรูเพราะหมดประโยชน์จะใช้ต่อไป

ตัดกระบี่ วาดดาบปัดป้องกระบี่ที่ซัดมาให้แตกเป็นเสี่ยงก่อนจะมองเห็นมารโลหิตยื่นอยู่ห่าง ๆ ม้วนเก็บภาพวาดเลือด อย่างนิ่งนอนใจ

“บัดซบนัก ยามนี้ยังมีเวลาละสายตาหรือ” ตัดกระบี่กล่าวเกรี้ยวกราดก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง

“พอเพียงนี้เถิด” มารโลหิตกล่าวพร้อมร้อยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเร่งเร้าพลังปราณสีดำออกจากสองมือซ้ายขวา จากนั้นจึงจุ่มมือขวาลงในโถดินชุบเลือดจนเต็มมือ จากนั้นจึงชักออกแล้วใช้กระบวนท่าดรรชนีสลัดเลือดจากมือสิ้น แผ่พุ่งเข้าหาตัดกระบี่อย่างรวดเร็ว

“ดรรชนีเลือด!!!!!”

หยุดเลือดนับร้อยเปลี่ยนกลายประดุจเข็มบินสีแดงฉาดที่คมกริบไปด้วยพลังวัตรอันสูงล่ำพุ่งเข้าหาตัดกระบี่อย่างรวดเร็ว

“บัดซบ” พริบตายากเปลี่ยนแปลง ตัดกระบี่ทำได้เพียงเปลี่ยนท่ากลางอากาศจากรุกเป็นรับควงดาบหมุนวนสร้างเงาดาบปัดป้องคมโลหิตรวดเร็ว

เสียงดรรชนีเลือดกระทบดาบดังระรัวคล้ายเสียงฝนกระทบกระเบื้องหลังคาจนที่สุดเมื่อเสียงเงียบไปจึงเผยให้เห็นร่างของตัดกระบี่ที่เต็มไปด้วยเลือด แต่ทว่าส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นเลือดที่ถูกซัดมาสิ้น

“บัดซบ มันเรียกเลือดเราได้” แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางจุดที่ตัดกระบี่ไม่สามารถปกป้องได้ ที่ต้นขาบังเกิดรอยทิ่มแทงจากโลหิตเลือด

และเมื่อสายตาของตัดกระบี่มองออกไปเบื้องหน้าก็ไม่พบมารโลหิตแล้ว มันจากไปเสียแล้วพร้อมเรียกเลือดจากตัดกระบี่ได้


กลับมาที่งานจัดอันดับฝีมือ ณ หมู่ตึกพรรคกระจ่างแจ้ง

“ข้าพเจ้าได้ยินข่าวมาเช่นนี้ แม้นการสู้นั้นไม่บรรลุผลแต่ท่านก็เสียเลือดให้กับมารโลหิต เช่นนี้แล้วการจัดท่านต่ำกว่ามารโลหิตเพียงหนึ่งขั้นเหตุใดว่าไม่เที่ยง” ชายชราประมุขพรรคกล่าวเหตุการณ์ถูกต้องคมคายทำเอาตัดกระบี่จนด้วยแต้ม แต่ยังคงไม่ยอมแพ้

“ชิ ข้าพเจ้ามิสู้ท่านประเด็นนี้แล้ว แต่ถึงกระนั้นอย่างไรถึงจัดข้าต่ำกว่านางมารหิมะได้”



Create Date : 17 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2550 19:11:14 น. 0 comments
Counter : 2053 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.