Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
23 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 7

บทที่ 7


ค่ำคืนหนึ่ง ภายในห้องนอนของหลินฟง

ฉับพลันที่หลินฟงนอนพลิกตัวไปอีกด้าน สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นนางมารน้อยทำหน้าเย้ายวน ทำเอาเด็กหนุ่มพลันสะดุ้งตกใจดีดตัวออกจากผ้าห่มฉับไวดั่งเด็กน้อยผู้ไม่ประสา แต่ก็ไม่วายจะอดจะพิจารณาดูรูปร่างอันมีเสนห์ชวนหลงของนางมารมิได้

“เจ้ามาทำอะไรที่นี้” หลินฟงกล่าวตะกุกตะกัก

“อย่าเขินอายไป ข้าพเจ้าแค่อยากมาหาเพื่อมาปรณิบัตรท่าน” นางมารตอบจีบปากจีบคอ ก่อนจะวางมือตบเตียงเบา ๆ สองสามคราเป็นการเชื่อเชิญหลินฟงให้เข้าไปนอนเคียงข้าง

“ไม่ต้องมาพูดดี ข้าน่ะรู้แล้วว่าเจ้าคือมารหิมะ มารร้ายภัยของยุทธภพ” หนุ่มน้อยปฏิเสธที่จะเดินเข้าใกล้

“คำก็มารสองคำก็มาร เจ้าช่างทำร้ายจิตใจข้าเหลือเกิน” นางมารน้อยกล่าวค้อนก่อนจะลุกเดินจากเตียงไปหา ท่วงท่าอ้อนช้อย

“เจ้ามีอะไรว่ามา” หลินฟงพยายามกล่าวเสียงเข้มกลบเกลื่อนใบหน้าเขินแดง

“ข้าไม่แหย่เจ้าแล้ว จริงๆ ที่ข้ามาที่นี้ก็เพียงเพื่อจะมาขอบคุณและบอกลาเจ้าเท่านั้น” นางมารน้อยกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันทรงเสนห์

“ถ้าเพียงแค่นี้ เจ้าก็ไปได้แล้ว” หลินฟง กล่าวด้วยน้ำเสียงเขินอาย แม้นจะรู้ว่าเธอเป็นมารร้ายแต่เสนห์ของนางช่างยากจะต่อต้านได้

“แต่ก่อนไปข้ามีอะไรจะถามเจ้าสักเล็กน้อย” นางมารกล่าวก่อนจะพิจารณาดูใบหน้า อีกทั้งรูปร่างของหนุ่มน้อย สายตาเธอยามนี้ยิ่งทำเอาหลินฟงยิ่งรู้สึกเขินอายกันไปใหญ่

“เจ้าไม่มีวรยุทธ์แน่หรือ” นางมารกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย ด้วยว่าทำไมเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา กลับมีรูปร่างเหมือนผู้ฝึกยุทธ์มานาน อีกทั้งใบหน้ายังอิ่มเอิบแจ่มใสเสมือนยอดยุทธ์ไม่ธรรมดา

อาจจะด้วยว่าหลังจากหลินฟงได้กลืนหยกน้ำเงินลงไป อันหยกนั้นนอกจากมีคุณสมบัติต่อต้านวิชามารและพิษร้ายทั้งยังมียอดคุณสมบัติที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง นั้นคือการปรับดุลสภาพร่างกาย

“ข้าไม่มีวรยุทธ์ เจ้าเข้าใจถูกแล้ว” หลินฟงกล่าว

“แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็น่ารักน่าชังยิ่งนัก” มารน้อยกล่าวก่อนจะลอยตัวดุจนางฟ้าเข้าไปใกล้หลินฟง ก่อนจะให้สองมือนางประสานกุมสองมือเขา

หลินฟงยามโดนสาวงามจับต้องกายก็ได้แต่ตะลึง ภายในหัวมีแต่ความว่าง อีกทั้งยากจะต่อต้านเสนห์นางมารตนนี้ได้ แต่ทว่าสิ่งที่นางมารทำหาได้เพราะหลงชอบหลินฟงอย่างที่กล่าวไม่ สิ่งที่นางทำนั้นคือการแอบถ่ายพลังของนางเพียงเล็กน้อยเพื่อเข้าไปซอกซอนสำรวจหาปราณภายในของตัวหลินฟง เพื่อดูว่าเขามีวรยุทธ์ มีพลังปราณหรือไม่

แต่สิ่งที่เธอค้นพบก็เพียงว่า หลินฟงนั้นไร้ปราณฝีมืออย่างแท้จริง เพราะพลังปราณของเธอที่ส่งเข้าไปนั้นหาได้พบเจอพลังปราณอื่นต่อต้านไม่

“คงเข้าใจผิดไป ชายผู้นี้หาได้มีปราณฝีมือแม้นเพียงน้อยไม่” หิมะลอบกล่าวในใจ

แต่ฉับพลันก่อนที่นางจะถอนมือออกพริบตานั้นเองพลังปราณก็เธอก็แล่นไปพบกับช่องว่างบรรจุปราณของเขาเสียก่อน

ปกติแล้วอันยอดฝีมือนั้นยิ่งฝึกยุทธ์นานก็ยิ่งจะมีพลังปราณสูงขึ้นเป็นลำดับและสัมพันธ์กับช่องว่างบรรจุปราณที่จะขยายตัวตามพลังปราณไปด้วย

แต่หลินฟงกลับเป็นข้อยกเว้น ภายในตัวเขากลับมีช่องว่างบรรจุปราณเสมือนผู้ฝึกยุทธ์ต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่าสี่สิบปี ด้วยว่าแท้จริงแล้วเคล็ดสมาธิที่เขาฝึกฝนตั้งแต่เด็กจากหลวงจีนปริศนา แท้จริงแล้วเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาในสายนี้เลยทีเดียว

น่าเสียดายที่ หวงเย่ว์ กับ อู๋จิง เลิกฝึกไปตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว แต่หลินฟงก็ยังคงฝึกเรื่อยมา

“เหลือเชื่อยิ่งแล้ว ชายผู้นี้มีช่องว่างลมปราณเหนือล่ำยิ่งกว่าข้าเสียอีก แต่กลับประหลาดที่มันดันไม่มีพลังปราณแม้นสักน้อย” นางมารลอบกล่าวในใจด้วยความตะลึงงัน

“แม่นาง….” หลินฟงกล่าวด้วยว่ารู้สึกเขินๆ ที่นางมารจับมือเขาไว้แน่นทีเดียว

“ถ้าเป็นช่องว่างลมปราณขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจจะขับพิษไอเย็นที่เรื้อรังในกายข้าออกได้หมดสิ้น” นางมารลอบกล่าวในใจก่อนจะเหลือบไปมองแววตาของหลินฟงครู่หนึ่ง

แววตาของหลินฟงนั้นช่างเป็นแววตาที่ใสซื่อยิ่งนัก และเมื่อเธอได้จ้องมองก็ยิ่งรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด อาจจะด้วยว่าครั้งหนึ่งนั้นเขาได้เคยช่วยชีวิตเธอจากตัดกระบี่เอาไว้

มารน้อยมองหลินฟงด้วยแววตาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวแต่แผ่วเบาต่อหนุ่มน้อยว่า

“ขอโทษนะ ข้ามีภาระยิ่งใหญ่ต่อกระทำ หวังว่าเจ้าคงอภัยให้ข้า” สิ้นเสียงมารน้อย เธอก็เคลื่อนใบหน้าของเธอเข้าใกล้หลินฟงจนกระทั้งปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน จากนั้นนางจึงประกบปากเข้าจูบกับหลินฟงอย่างช้า ๆ

แต่นั้นหาใช่เพียงจูบหนึ่งไม่ เธอได้ใช้พลังปราณภายในของเธอผลักดันถ่ายโอนพิษไอเย็นภายในร่างของเธอให้เคลื่อนย้ายเข้าไปในร่างของหลินฟงผ่านทางรสจูบนั้น

นี้อาจจะเป็นการตายที่หอมหวานอย่างยิ่ง ร่างกายของเด็กหนุ่มค่อย ๆ ชาไปเรื่อย ๆ ร่างของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดจนกระทั้งเสมือนมีไอเย็น เกร็ดน้ำแข็งมาจับเกาะร่างของเขาไปทั่ว และที่สุดเมื่อพิษไอเย็นของมารร้ายก็ถ่ายเข้าช่องว่างลมปราณของหลินฟงได้หมด ร่างของหนุ่มน้อยก็เสมือนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปเสียแล้ว

แม้นพิษไอเย็นจะถูกถอนจากร่างของนางมารจนหมดสิ้นแล้ว แต่เธอหาได้รู้สึกปิติยินดีไม่เธอมองดูร่างของหนุ่มน้อยอย่างนิ่งเงียบก่อนที่น้ำตาหนึ่งหยดจากหลั่งริน และพริบตาที่น้ำตาผ่านแก้มของเธอมันก็แข็งกลายเป็นหยดน้ำแข็งไปสิ้น

“อภัยให้ข้าด้วย” สิ้นเสียงกล่าวเธอก็จากไปกับความมืด


ณ ถนนโล่งกว้างซึ่งสองข้างทางมีเพียงไร้นาพืชผลทอดยาวไปทางเมืองไคฟง

“อาจารย์ มิทราบอีกไกลไหมกว่าจะถึงเมืองข้างหน้า” อู๋จิง ในสภาพที่เหนื่อยอ่อนเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อกล่าวเสียงแหบเสียงแห้ง

“ข้าว่าไม่ไกลแล้วล่ะ ว่าแต่ทำอากาศมันถึงได้ร้อนเยี่ยงนี้ก็หาทราบไม่” ตัดกระบี่กล่าวตอบศิษย์ตัวดี

“ข้าไปต่อไม่ไหวแล้วอาจารย์” อู๋จิงกล่าวก่อนจะทิ้งร่างนอนลงไปกลับพื้น

“ลุกขึ้นมา เราต้องเดินทางต่อเจ้าลิงน้อย” ตัดกระบี่กล่าวเสียงดุ แต่สิ่งที่อู๋จิงทำกลับเป็นเอาหูแนบพื้นเสียอย่างงั้น

“อาจารย์ ๆ ข้าได้ยินเสียงเกวียนล่ะ” สิ้นเสียงกล่าวตื่นเต้น อู๋จิงก็รีบลุกขึ้นมากระโดด ๆ ดูที่มาของเสียง

และเป็นจริงอย่างที่เด็กหนุ่มว่ามีม้าสองตัวเทียมเกวียนขนาดใหญ่ลำหนึ่งซึ่งขนเอาข้าวของแพรพรรณมากมายแล่นเข้ามาใกล้และดูเหมือนจะไปในเส้นทางเดียวกับเขา

“หยุดก่อนๆ” อู๋จิงกระโดดเป็นลิงพร้อมทั้งตะโกนโบกไม้โบกมือเรียกให้เกวียนลำนั้นหยุด แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นตรงกันข้ามเจ้าของเกวียนกลับรีบเฆี่ยนม้าให้วิ่งเร็วขึ้นจนเหมือนจะพุ่งชน อู๋จิงและตัดกระบี่ ที่ยืนขวางถนนอย่างไม่ลังเล

“ดูท่าจะไม่ดีแล้ว” อู๋จิงและตัดกระบี่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งออกข้างทางไม่ขวางทางรถอีกต่อไป แต่ฉับพลันพอเกวียนนั้นเข้าใกล้กลับเปลี่ยนเป็นชะลอหยุดตรงชายทั้งสองเสียได้ จากนั้นเจ้าของเกวียนซึ่งเป็นชายแก่จึงกล่าวต่อ อู๋จิงและตัดกระบี่ว่า

“ขออภัยจอมยุทธ์ทั้งสอง ทีแรกข้านึกว่าพวกท่านเป็นพวกกลุ่มโจรจิ้งจอกดำเสียอีก” เจ้าของเกวียนซึ่งเป็นชายแก่ แต่งกายคล้ายพ่อค้ากล่าวเสียงสุภาพ

“ผิดแล้ว พวกเข้าเป็นเพียงนักเดินทางเท่านั้น” ตัดกระบี่กล่าว

“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าจากตรงนี้ไปเมืองไคฟง นั้นต้องเดินอีกไกลแค่ไหน” อู๋จิงกล่าวแทรกถามพ่อค้า

พ่อค้าผู้มากอาวุโสลอบมองการแต่งกายและอาวุธของอู๋จิง และตัดกระบี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ถ้าพวกท่านจะไปเมืองไคฟงข้างหน้านี้ หากเดินคงเหนื่อยถ้าไม่รังเกียจ สามารถนั่งเกวียนมากับข้าได้ ข้าจะกลับเมืองพอดี”

“ขอบคุณผู้อาวุโส” อู๋จิง ไม่พูดพร่ำรีบกระโจนขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วก่อนจะเป็นตัดกระบี่ที่ตามไป

ม้าเทียมเกวียนนั้นวิ่งไปได้อยู่นานแต่ก็ยังไม่ถึงเมืองซะทีเดียว ตัดกระบี่ลอบมองใบหน้าของเถ้าแก่ซึ่งดูวิตกกังวลอย่างยิ่ง ก่อนจะกล่าวต่อเถ้าแก่ไปว่า

“ท่านดูมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างยิ่ง มิทราบมีเรื่องอันใดหรือ” ตัดกระบี่กล่าว

พ่อค้าผู้นั้นอ่ำอึงอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็เปิดปากกว่าต่อไปว่า

“สิ่งที่ข้าวิตกย่อมไม่พ้นกลุ่มโจรจิ้งจอกดำ และเส้นทางนี้มักจะมีพวกมันคอยดักปล้นพ่อค้าเสมอ ๆ บอกตามตรงที่ข้ารับพวกท่านขึ้นมาเพราะคิดว่าพวกท่านมีวรยุทธ์และคงช่วยเหลือข้าได้ยามคับขัน” พ่อค้ากล่าวเสียงอ่อน

“หากเช่นนั้นทำไมท่านไม่จ้าง พวกสำนักคุ้มภัยล่ะ” อู๋จิงผู้เคยทำงานคุ้มภัยย่อมกล่าวสนับสนุนสายอาชีพเดิมเต็มที่

ชายแก่ได้ฟังคำอู๋จิงก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า

“ท่านจอมยุทธ์น้อย ที่ข้าไม่จ้างพวกพวกนั้นก็ด้วยว่านอกจากมันจะคิดค่าบริการแพง ซ้ำร้ายยังไม่น่าไว้วางใจ” พ่อค้ากล่าวเปิดเผยจริงใจ ทำเอาอู๋จิงหน้าชาไปพอดู

“แล้วปกติท่านผู้เฒ่ารับมือกับพวกกลุ่มโจรเลวทรามนี้อย่างไรเล่า” ตัดกระบี่กล่าว

“ปกติแล้วในเมืองของเราจะมีวีรบุรุษประหลาดผู้หนึ่งนามว่าเฉิงจื้อ…ไม่ใช่สิเขาชื่อ หน้ากากไม้” พ่อค้าอาวุโสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“หน้ากากไม้ แม้นจะทำตัวประหลาดสักหน่อยแต่ก็ค่อยช่วยปราบกลุ่มโจรจิ้งจอกดำเสมอ ทุกครั้งที่พ่อค้าอย่างพวกเราจะออกเดินทางก็จะต้องไปบนบานสานกล่าวต่อศาลเจ้าในเมืองก่อนทุกครั้ง แท้จริงแล้วหาใช่เพราะเชื่อโชคลางไม่ เพียงหวังว่าเสียงของพวกเราจะไปถึงหน้ากากไม้ ทว่าการเดินทางครั้งนี้ข้าพเจ้ากลับลืมไปจึงเกรงว่าจะถูกกลุ่มโจรดักปล้นได้”

“อย่ากังวลไปเลยเถ้าแก่มีพวกเราอยู่รับรอง พวกโจรกระจอกไม่กล้าข้องแวะ” อู๋จิงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะถูกตัดกระบี่สะกิดให้ดูไปที่พุ่มไม้สองข้างทาง

“มันมาแล้ว” ตัดกระบี่กล่าวก่อนจะเอื่อมมือไปแตะด้ามดาบเตรียมพร้อมรับศึก

และก็จริงดั่งคาดเมื่อเกวียนวิ่งมาได้อีกสักหน่อยก็เจอกับด่านกั้นสูงขนาดเอวที่ทำจากไม้ อีกทั้งมีไม้แหลมยื่นออกมาเพื่อกั้นมิให้เกวียนวิ่งต่อไปได้

“แย่ แล้วพวกลุ่มโจรจิ้งจอกดำ” เถ้าแก่ใหญ่กล่าวน้ำเสียงหวาดกลัว และพริบตานั้นเองพวกโจรในชุดดำทั้งตัวก็ปรากฎกายออกมาจากพุ่มไม้ แปดเก้าคน

“หากยังรักชีวิต ก็ทิ้งของมีค่าไว้ให้หมด” หนึ่งในกลุ่มโจรชุดดำตะโกนเสียงดังก้อง

“พวกโจรกระจอก ดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ” ตัดกระบี่กล่าวก่อนจะชักดาบเตรียมเข้ารบปรบมือ

แต่พริบตาก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันก็พลันมีเพียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่ว และคำกล่าวที่ดังขึ้นว่า

“พวกโจรร้าย ที่คอยแต่ดักปล้น รังแกผู้อ่อนแอ วันนี้ตัวแทนแห่งสวรรค์ จะลงทัษณ์พวกแกเอง”

เป็นคำกล่าวที่ออกมาด้วยสำเนียงแปลก ๆ ไม่คุ้นหู และสิ้นเสียงนั้นก็ปรากฎร่างของชายผู้หนึ่งในชุดสีแดงสด สวมหน้ากากไม้รูปยักษ์ ในมือถือดาบไม้ และเหินร่างลงมาจากกิ่งไม้สูงสู่พื้นดุจพญาเหยี่ยว

“ใครคือผู้อ่อนแอกัน!!!” ตัดกระบี่ได้แต่ลอบด่าในใจ

“แย่แล้ว!!! ไอ้หน้ากากไม้มันโผล่มาอีกแล้ว” หนึ่งในโจรกระจอกกล่าวน้ำเสียงหวาดกลัว ก่อนที่โจรอีกคนจะกล่าวแทรกว่า

“อันพวกเรานี้มีกันถึงเก้าคน อันตัวมันเพียงผู้เดียวจะทำการใดได้” สิ้นเสียงกล่าวพวกโจรทั้งเก้าก็ถือดาบวิ่งตรงเป็นแนวเข้าหมายจู่โจมหน้ากากไม้แต่ผู้เดียว

“พวกไม่เจียมตน” หน้ากากไม้กล่าวก่อนจะเลื่อนคมดาบที่ซ่อนอยู่ในปลอกดาบไม้ออกราวหนึ่งนิ้ว จากนั้นจึงวิ่งสวนกลุ่มโจรเข้าไปอย่างกล้าหาญ

ยิ่งมายิ่งร้ายกาจ หน้ากากไม้วิ่งพริ้วไหวผ่านกลุ่มโจรไปอย่างง่ายดายเสมือนน้ำที่ไหลผ่านทราย พร้อมทั้งเสียงวาดดาบตัดอากาศหลายครั้ง พริบตาเดียวเขาก็วิ่งผ่านกลุ่มโจรทั้งเก้าคนได้แล้ว

แกร๊ก!!! เสียงเก็บดาบลงฝักของหน้ากากไม้ดังขึ้นหนึ่งคราก่อนที่ร่างทั้งแปดของพวกโจรกระจอกจะค่อยๆ ล้มลงกันเป็นใบไม้ร่วง จนเหลือเพียงร่างโจรร่างสุดท้ายที่ยังปักหลักยืนนิ่งใบหน้าไร้วิญญาณ

“เป็นเพลงดาบที่เร็วมาก” อู๋จิงลอบตะลึงงัน

“ถูกต้อง นี้ย่อมเป็นเพลงดาบที่รวดเร็วยิ่ง โดยเฉพาะกับโจรคนที่เก้านั้น มิทราบชักคมดาบออกตอนไหนกัน” ตัดกระบี่กล่าวเสริม

เมื่อหน้ากากไม้ เห็นร่างโจรคนสุดท้ายที่ยังยืนนิ่งไม่ล้ม เขาจึงเอานิ้วเอาไปกระทุ้งอกมันสองสามที แต่มันก็ยังไม่ล้มเช่นเดิม ก่อนจะมีเสียงตอบกลับมาว่า

“ยังไม่โดน!!!” กลับเป็นโจรคนสุดท้ายกล่าวตอบมาได้ซะอย่างนั้น

“วาจาไร้สาระ” หน้ากากไม้รีบชักคมดาบวาดตัดอากาศผ่านโจรร้ายคนนั้นอย่างรวดเร็วก่อนจะเก็บดาบเข้าฝักอย่างแม้นยำพร้อมเสียงดัง แกร๊ก!!! จากนั้นโจรคนสุดท้ายจึงค่อยๆ ล้มลง

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ หน้ากากไม้จึงหันกลับมองทางกลุ่มของตัดกระบี่แล้วกล่าวต่อไปว่า

“ที่ใดมีเสียงร้องของลูกแกะผู้เคราะห์ร้าย ที่นั้นมีหน้ากากไม้เสมอ….ลาก่อน” สิ้นสำเนียงกล่าวแปลก ๆ หน้ากากไม้ก็กระโดดลอยลิ่วหายเข้าไปในพุ่มไม้ทันที

“ประหลาดคนซะจริง” ตัดกระบี่กล่าวก่อนจะเหลือบไปเห็นลูกศิษย์ของตนกล่าวรำพึงรำพันว่า

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ” อู๋จิงกล่าวพร้อมแววตาเป็นประกายปลาบปลื้ม

“…” ตัดกระบี่ไม่มีคำกล่าวใดจะเอ่ยอีกต่อไป


ยามเย็นของวันนั้น

หลังจากผ่านเรื่องโจรกระจอกมา พ่อค้าอาวุโสผู้เอื่ออารีก็ขับเกวียนพาตัดกระบี่และอู๋จิงเข้าเมืองไคฟงได้อย่างไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

“เมืองของเรา เป็นเมืองเกษตรกรรม มีการขนส่งค้าขายมากหลาย หากไม่มีหน้ากากไม้พวกเราคงแย่” เถ้าแก่กล่าวน้ำเสียงชื่นชมอย่างยิ่ง

เกวียนนั้นแล่นมาได้อีกหน่อยก็มาหยุดลงตรงหน้าศาลเจ้าแห่งหนึ่งประจำเมือง ก่อนที่พ่อค้าจะขอปลีกตัวเข้าไปในศาลเจ้าอีกด้วย และก็อดไม่ได้ที่ตัดกระบี่และอู๋จิงจะติดตามเข้าไปด้วย

ภายในศาลเจ้าค่อนข้างดูคึกคักไปด้วยผู้คนพอสมควร หลากหลายคนก็มาเพื่อบนบานสานกล่าวบอกเวลาที่ตนจะออกเดินทางขนสินค้าไปขายเมืองอื่น แต่นั้นล้วนมิใช่ด้วยความเชื่อแต่เหมือนมาแจ้งข่าวเสียมากกว่า

“ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ช่วยให้การเดินทางผ่านพ้นไปได้ด้วยดี” เถ้าแก่กล่าวก่อนจะทิ้งเงินเข้ากล่องทำบุญจำนวนหนึ่ง

“ถึงกระนั้นก็เถิด ไปให้สำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ในเมืองนี้ช่วยไม่ดูปลอดภัยกว่าหรือ” อู๋จิง กล่าวไปตามที่คิดก่อนจะมีเสียงหนึ่งแทรกกล่าวขึ้นว่า

“แล้วถ้าหากสำนักคุ้มภัยนั้นเป็นโจรเสียเองเล่า” ชายผู้กล่าวแทรก เป็นชายหนุ่มใบหน้าทะเล้นในวัยยี่สิบห้ายี่สิบหกแต่งกายดูรุ่มร่าม ทั้งยังประหลาดถือร่มกระดาษไปมา และที่สำคัญเขากลับมีสำเนียงการกล่าวที่ประหลาดคล้ายหน้ากากไม้ยิ่ง

“เจ้าว่าอะไรนะ” อู๋จิงเริ่มไม่พอใจที่ ชายแปลกหน้ามาพูดว่าสำนักคุ้มภัยที่ตนเคยทำงานอย่างเสีย ๆ หาย ๆ

“เจ้าลองคิดดูนะ ว่าทำไมกิจการของสำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ถึงเจริญเติบโตรวดเร็ว ซ้ำยังไม่เคยถูกปล้นจากกลุ่มโจรจิ้งจอกดำเลย มันไม่น่าแปลกหรอกเหรอ” ชายหนุ่มแปลกหน้ากล่าวเรียบเฉย

“กล่าวหาเลื่อนลอย ไร้ความจริง” อู๋จิง กล่าวกระแทกเสียงกลับ

“เลื่อนลอยอันใด ทุกคราที่โจรร้ายโดนกำจัดไปหนึ่ง ข้าก็เห็นคนของสำนักคุ้มภัยเมืองนี้ลดน้อยไปหนึ่ง”

แต่ก่อนที่จะมีการปะทะวาจากันมากไปกว่านี้ก็มีเสียงของเถ้าแก่ใหญ่แทรกมาว่า

“อย่ามีเรื่องกันเลยถือว่าเห็นแก่หน้าข้าเถอะนะ” เถ้าแก่ใหญ่รีบแทรกตัวก่อนจะกล่าวไกล่เกลี่ย

“ท่านทั้งสองอย่างมีเรื่องกันเลย” พ่อค้าอาวุโสกล่าว

ชายแปลกหน้าเห็นพ่อค้าออกหน้ามาจึงละความสนใจต่ออู๋จิงหันไปกล่าวต่อพ่อค้าแทนว่า

“ได้ข่าวว่าเฒ่าแก่ถูกโจรดักปล้นกลางทางหรืออย่างไร”

“ถูกต้องแล้ว คุณเฉิงจื้อได้ยินมาไม่ผิด โชคดีที่ท่านหน้ากากไม้โผล่มาช่วยพวกเราไว้”

“หากเป็นเช่นนั้น หน้ากากไม้ย่อมสมเป็นยอดวีรบุรุษแห่งเมืองนี้จริง ๆ” เฉิงจื้อทำหน้าเลื่อมใส แววตาดูปลาดปลื้มยิ่งนัก

อู๋จิงรู้สึกตะขิดตะขวงใจชอบกลกับสำเนียงการพูดอันประหลาดของชายชื่อเฉิงจื้อที่เหมือนกับหน้ากากไม้ ยิ่งซ้ำร้ายด้ามร่มที่เฉิงจื้อถือไปมายังดูเหมือนปลอกดาบของหน้ากากไม้ยิ่ง

อู๋จิง เมื่อคิดอย่างนั้นก็จึงเอาฝ่ามือไปปิดใบหน้าของ เฉิงจื้อไว้ ก่อนจะลอบมองอีกครั้งแล้วกล่าวว่า

“ที่แท้ท่านก็คือ หน้ากากไม้นั้นเอง” อู๋จิงกล่าวเสียงใส

“ให้เกียรติกันเกินไปแล้วพ่อหนุ่ม อันตัวข้าน้อยมีหรือจะเทียบเคียง ยอดวีรบุรษ ผู้เก่งกาจเกรียงไกร เป็นหนึ่งไม่มีสอง ผู้ผดุจความยุติธรรม อย่างยอดคนหน้ากากไม้”

“นี้เรียกชมตัวเองใช่หรือไหม” อู๋จิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

“ไร้สาระสิ้นดี พวกเราไปกันเถิด” ตัดกระบี่กล่าวตัดบทหมายจากลา แต่พริบตานั้นเองก็พลันมีลูกธนูหนึ่งพุ่งปรี่เข้ามาตรงมายัง เฉิงจื้อ อย่างรวดเร็ว

วินาทีนั้นเองเงาดาบหนึ่งก็วาดตัดขวางดอกธนูอย่างรวดเร็วจนหักกลางร่วงตกพื้นสิ้นฤทธิ์ ที่แท้เป็นดาบที่ซ่อนอยู่ในด้ามร่มของเฉิงจื้อนั้นเอง และเป็นที่แน่นอนว่าเป็นดาบเดียวกันกับหน้ากากไม้

“มีจดหมายแนบมากับปลายธนู” อู๋จิงกล่าวก่อนที่เฉิงจื้อจะเดินไปคลี่จดหมายอ่านออกเสียงได้ใจความว่า

“…หน้ากากไม้แม้นเจ้าจะขัดขวางพวกเราปล้นขบวนสินค้าได้ แต่ครานี้อยากรู้นักว่าเจ้าคนเดียวจะขัดขวางพวกเรานับร้อยปล้นเมืองได้หรือไม่…”

เมื่ออ่านจบ เฉิงจื้อ ถึงกลับหน้าถอดสีพร้อมกลับลอบตะโกนกล่าวว่า

“ข้าไม่ใช่ หน้ากากไม้สักหน่อย เจ้าส่งผิดคนแล้ว” เฉิงจื้อยังคงทำเป็นไม่ยอมรับต่อไป

แต่พริบตาที่สารได้ถูกถ่ายทอด คนหูไวก็รีบขยายเรื่องต่อ ทำเอาทั่วทั้งศาลเจ้าวุ่นวายไปหมด บางคนกล่าวร้องรำพัน บ้างก็ตกใจไม่มีสติ บ้างก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทั่วทั้งศาลเจ้ายามนั้นนับว่าโกลาหลไปหมด

“ข้าขอตัวก่อนนะ” เฉิงจื้อเห็นดังนั้นจึงกล่าวก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในศาลเจ้าและไม่นานนักก็มีเสียงกล่าวหนึ่งดังขึ้นมาด้วยสำเนียงแปลก ๆ ว่า

“ที่ใดมีเสียงร้องของลูกแกะผู้เคราะห์ร้าย ที่นั้นมีหน้ากากไม้เสมอ” เป็นหน้ากากไม้ที่ปรากฎกายเหินลงมาจากบนขื่อที่หลังคาศาลเจ้า

“ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่ยอมให้พวกโจรมันเหิมเกริมทำร้ายพวกท่านได้แน่” หน้ากากไม้กล่าวหนักแน่นทำเอาพวกชาวบ้าน สงบสติอารณ์ได้เปลี่ยนเป็นกล่าวสรรเสริญแทน

หน้ากากไม้เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้ารีบมองไปยังอู๋จิงและตัดกระบี่ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“แต่ข้าคนเดียวคงสู้ไม่ไหว ยังไงพวกเราคงต้องขอความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์ทั้งสองคนนั้นด้วย” หน้ากากไม้กล่าวพร้อมชี้นิ้วไปทางตัดกระบี่และ อู๋จิงอย่างจงใจ

“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ตัดกระบี่กล่าวบ่นพึมพัม



Create Date : 23 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2550 14:55:35 น. 1 comments
Counter : 552 Pageviews.

 
อยากอ่านการ์ตูนขำขำอีกอ่ะค่ะ งิงิ


โดย: LEE (lyfah ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:39:15 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.