Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
18 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 31

บทที่ 31

ภายในตัวตึกที่ซ่อนของฝ่ายมาร

หลังจากที่เหล่าชาวยุทธ์ร่วมเจ็ดร้อยคนภายใต้การนำของผู้นำยุทธภพแซ่หวังได้บุกทะลวงผ่านประตูใหญ่เข้าสู่ห้องโถงภายใน พวกมันทั้งหลายก็ลอบตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่งด้วยว่าภายในห้องโถงนั้นนอกจากจะกว้างใหญ่เป็นพิเศษแล้วยังคงมืดสลั่วอีกด้วย หน้าต่างทุกบานถูกปิดตายโดยแผ่นไม้ปิดหน้าแน่น โดยความสว่างที่เพียงพอแค่ให้มองเห็นนั้นก็มาจากคบไฟเล็ก ๆ ไม่กี่ดวงที่เรียงรายภายในห้องโถงตามเสาหลัก

แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าชาวยุทธ์ประหลาดใจเป็นที่สุดนั้นหาใช่สถานที่ไม่ แต่เป็นความเงียบ มันเงียบสงบยิ่งเสมือนว่าไม่มีมารตนใดอยู่เลย มันจะเป็นไปได้อย่างไรเพราะเมื่อคืนก่อนพวกมารร้ายยังบุกเข้าไปลอบโจมตีอยู่เลย

ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจเหล่าชาวยุทธ์ทำให้พวกมันค่อยๆ เดินเข้าหากันและจับกลุ่มกันเป็นก้อนอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปสำรวจภายในห้องอย่างช้า ๆ ระแวดระวังทั่วทั้งสิบทิศ พวกมันเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงกลางห้องโถงแล้ว แต่กระนั้นเล่าก็ยังไม่มีวี่แววของมารร้ายจนอู๋จิงซึ่งยืนอยู่หน้าทัพร่วมกับตัดกระบี่ และหลินฟง ต้องลอบกล่าวขึ้นว่า

“หรือว่าพวกมารจะหนีหายไปแล้ว” สิ้นเสียงอู๋จิง ตัดกระบี่ที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็แย้งว่า

“เป็นไปไม่ได้ ภายนอกตัวตึกแห่งนี้ เหล่าชาวยุทธ์ได้ตั้งค่ายลอบมันทุกทิศ ไม่มีทางที่พวกมันจะเคลื่อนทัพหนีหายโดยที่พวกเราไม่รู้”

แต่สุดจะคาดพอสิ้นเสียงตัดกระบี่ เรื่องประหลาดก็เกิดทันที ชาวยุทธ์ทั้งหลายค่อยๆ ขาอ่อน ใบหน้าซีดเซียว ล้มตัวลงนั่งอย่างช่วยไม่ได้ จากสิบคนเป็นร้อยคนจะกระทั่งท้ายที่สุดเหล่าชาวยุทธ์ทุกคนก็ได้นั่งลงกับพื้นพร้อมรีบโคจรพลัง โดยที่ยามนั้นจะเหลือผู้ยืนอยู่ก็แต่เพียง อู๋จิง ตัดกระบี่ หลินฟง หวังเผิง และ หลิวเยี่ยนหง

“เกิดอะไรขึ้น!!!” ตัดกระบี่กล่าวเสียงหลง ก่อนจะมีชาวยุทธ์ผู้หนึ่งรีบกล่าวขึ้นว่า

“พิษ…..พิษ พวกเราโดนพิษ” คำกล่าวนี้ทำเอาอู๋จิง ตัดกระบี่ และหลินฟง ตื่นตะลึงตาค้าง จะหันไปทางไหนก็ไม่เห็นชาวยุทธ์ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้แต่เจ้าสำนักมีดบินแซ่หลี่ซึ่งก็นั่งโคจรพลังต้านพิษอยู่กับเหล่าลูกศิษย์

ในความตื่นตะลึงนั้นเองยังคงมีเพียง หลิวเยี่ยนหง และ ผู้นำยุทธภพหวังเผิงซึ่งยืนเรียบเฉย เยือกเย็นยิ่งนัก ไม่มีแม้นสีหน้าประหลาดใจแม้นแต่น้อย

ผู้เฒ่าแซ่หวังยามนั้นเพียงมองไปยัง ตัดกระบี่ อู๋จิง และ หลินฟง ที่กำลังสับสนอยู่ พร้อมทั้งกล่าวอย่างเรียบเฉียบไปว่า

“พวกเจ้าคงไม่ได้กินยาของข้าสินะ ถึงยังคงยืนอยู่เช่นนี้ได้” คำกล่าวของหวังเผิงยามนั้นทำเอาตัดกระบี่และพวกตะลึงงันสุดแสนก่อนจะลอบกล่าวเสียงสั่นไปว่า

“รึว่า….” แต่ไม่ทันที่จะกล่าวจบดีก็เป็นหลิวเยี่ยนหงที่กล่าวแทรกขึ้นมาว่า

“ใช่แล้ว ยาที่ท่านหวังให้พวกเจ้านั้นไม่ใช่ยาต้านพิษ แต่จริง ๆ แล้วมันคือยาพิษสูบวิญญาณต่างหาก” สิ้นคำกล่าวนี้ชาวยุทธ์ทั้งหลายที่นั่งโคจรพลังก็พากันหน้าเสีย เพราะชื่อพิษที่เอ่ยขึ้นมานั้นเป็นพิษร้ายแรงลึกลับซึ่งเคยได้ยินเพียงเรื่องเล่าว่าไม่มีผู้ใดรักษาได้ อีกทั้งยิ่งพอได้ยินจากปากของหลิวเยี่ยนหงพวกมันก็ยิ่งคับแค้นเข้าไปใหญ่ แต่จะอย่างไรก็ทำได้เพียงโคจรพลังไม่ให้พิษแล่นเข้าหัวใจ

ฝ่ายอู๋จิง ได้ยินสิ่งที่หลิวเยี่ยนหงกล่าวก็สำนึกได้ทันทีว่าที่แท้หลิวเยี่ยนหง กับ หวังเผิง นั้นร่วมมือกันวางแผนชั่วนี้

“พวกเจ้าทั้งสองร่วมมือกัน!!!”

หลิวเยี่ยนหงได้ฟังก็ลอบยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเลห์ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ถูกต้อง เป็นข้าและท่านหวังเองที่ลงมือ”

“พวกเจ้าทำลงไปเพื่ออะไรกัน” หลินฟงกล่าวถามพร้อมทั้งถอดหมวกปีกออก มันไม่จำเป็นต้องปิดบังฐานะอีกต่อไปแล้ว

แต่ยามนั้น หลิวเยี่ยนหง หรือ หวังเผิง ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอธิบายจุดประสงค์อันชั่วร้ายของมันอีกต่อไปเมื่อ จู่ ๆ เสียงฝีเท้านับร้อยก็ค่อยๆ ดังขึ้นมาจากทางด้านในอันมืดมิดของห้องโถงก่อนจะเผยให้เห็นกองทัพมารร้ายร่วมห้าร้อยตนในชุดดำที่ค่อยๆ เปิดเผยตัวออกมาจากเงามืด พร้อมทั้ง จ้าวมารผู้อหังการ และ มารไร้เงา หวงเย่ว์ ซึ่งตามมาอยู่ทางด้านหลังทัพ

หลิวเยี่ยนหงเมื่อเห็นจ้าวมารยามนั้นก็รีบคาราวะอย่างนอบน้อมเป็นการใหญ่ ในขณะที่ผู้เฒ่าแซ่หวังแม้นจะคำนับตามแต่ก็ยังดูฝืนใจอยู่บ้าง ฝ่ายจ้าวมารเมื่อมาถึงก็กวาดตามองชาวยุทธ์หลายร้อยที่นั่งโคจรพลังอย่างเงียบงันพร้อมกล่าวต่อหวังเผิงไปว่า

"รู้สึกว่ายาพิษที่ข้าให้เจ้าไป จะใช้ได้ผลดีสินะ" มารเฒ่ากล่าวพร้อมทั้งรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก

“แผนการที่ท่านจ้าวมารให้ไปกระทำ ยามนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว” หวังเผิงกล่าวตอบน้ำเสียงยังคงแฝงความละอายต่อเหล่าชาวยุทธ์ทั้งหลายอยู่บ้าง

ตัดกระบี่เห็นกิริยาอาการของคนทรยศทั้งสองก็โมโหแทบบ้ากล่าวด่ามันทั้งคู่ไปว่า

“ไอ้พวกลูกเต่าต่ำทราม ไม่รู้ผิดชอบไปเข้ากับฝ่ายมารไม่อายฟ้าอายดิน”

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ เรื่องราวต่าง ๆ จึงปะติปะต่อกันได้หมด ทั้งเรื่องการเลือกผู้นำยุทธ์ที่หวังเผิงเสนอ หรือเรื่องแผนการบุกรังมารร้ายถึงถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะเกินไป อีกทั้งยาแก้พิษที่เตรียมมาพร้อมสรรพ หรือแม้นกระทั้งเหตุใดวันนองเลือดที่หอนางโลมไผ่แดงที่หลิวเยี่ยนหงได้มาสู้รั้งตัวอู๋จิงไว้ไม่ให้ไปช่วยพยักษ์ขาวได้ทัน ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นการวางแผนของฝั่งมารร้ายทั้งสิ้น

ฝ่ายหวังเผิง และ หลิวเยี่ยนหง แม้นได้ฟังคำด่าหยาบคายจากตัดกระบี่แต่ก็หาได้สนใจไม่ โดยเฉพาะหลิวเยี่ยนหงซึ่งยักไหล่อย่างไม่ใยดีพร้อมทั้งกล่าวต่อไปด้วยสำนวนที่ฟังคุ้นหูว่า

“อันผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์” แม้นเหตุผลจะฟังสวยหรู แต่กระนั้นก็ยังคงไม่สามารถทำลายความสงสัยที่มีต่อหลินฟงได้ มันจึงกล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่า

“เหตุผลเพียงนี้หรือที่ทำให้ท่านทั้งสองเข้าร่วมกับฝ่ายมาร ทั้งที่พวกท่านเองก็เก่งกาจเกรียงไกร ชื่อเสียงโด่งดั่ง ถ้าหากพวกท่านร่วมมือกันย่อมนำฝ่ายธรรมะชนะอธรรมได้เป็นแน่” คำหลินฟงกล่าวนับว่ามีเหตุผลไม่น้อย แต่ยามนั้นจ้าวมารกลับฟังแล้วลอบหัวเราะขำขันก่อนจะเปิดเผยวาจาไปว่า

“ฮะฮะฮะ ที่พวกมันทั้งสองนั้นเชื่อฟังข้าเพราะพวกมันทั้งสองนั้นโดนพิษสูบวิญญาณของข้าเมื่อเนิ่นนานมาก่อน ซึ่งหากพวกมันไม่ได้รับยาต้านพิษทุก ๆ หนึ่งเดือนพวกมันก็จะต้องตายอย่างไร้ความหมาย นี้ต่างหากเหตุผลที่แท้จริงที่พวกมันต้องร่วมมืออย่างเสียมิได้” คำกล่าวของมารร้ายทำเอาชาวยุทธ์ทั้งหลายที่ต้องพิษต่างตะลึงงันไปทั่ว นี้เท่ากับว่าหากพวกมันไม่อยากตายก็ต้องรับฟังคำสั่งของจ้าวมารอย่างเชื่อฟังดุจสุนัขรับใช้หรือนี้ และยิ่งตะลึงงันเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ว่าแม้นยอดยุทธ์อย่างหวังเผิง และหลิวเยี่ยนหง ยังถูกมารร้ายสยบและบีบคั้นให้กินยาพิษได้เช่นนี้ไม่ทราบฝีมือมันร้ายกาจปานเทพยดาแล้วหรือ

ในขณะที่พวกชาวยุทธ์กำลังตื่นตะหนกเสียขวัญอย่างยิ่ง มารร้ายก็ดำเนินแผนชั่วของมันต่อไปทันทีโดยกล่าวว่า

“ชาวยุทธ์ทั้งหลาย ยามนี้ทางรอดของพวกเจ้ามีเพียงยอมเข้าร่วมกับฝ่ายข้า แล้วข้าจะให้ยาต้านพิษยืดอายุพวกเจ้า”

อู๋จิง ได้ฟังยามนั้นมิทราบอย่างไรเหงยหน้าขึ้นฟ้าพลันหัวเราะเสียงดังก้องก่อนจะกล่าวต่อไปอย่างเฉียบคม ใบหน้าจริงจังว่า

“ผิดแล้ว ทางรอดอีกทางก็คือข้าลงมือสั่งสอนเจ้า และบีบคั้นให้เจ้าส่งมอบยาแก้พิษให้ต่างหากเล่า” อู๋จิงกล่าวคำอหังการ์ยิ่งนัก

ฝ่ายจ้าวมารได้ฟังคำอู๋จิงก็ลอบนึกขำในใจ เพราะหากจะมองไปยังพวกฝ่ายต่อต้านซึ่งก็พบเพียง ตัดกระบี่ หลินฟง และ อู๋จิง เท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นแต่ล่ะคนล้วนมีบุคลิกไม่ธรรมดา มีลักษณะของผู้เปี่ยมยุทธ์ พลังปราณสูงส่ง มารร้ายจึงพลันนึกชอบพอใจอยู่ จึงกล่าวไปว่า

“พวกข้ายามนี้นอกจากแทรกซึมเข้าไปในฝ่ายราชสำนักหมดสิ้นแล้ว ฝ่ายชาวยุทธ์ยามนี้ก็สิโรราบอยู่เบื้องหน้า ใยเจ้าทั้งสามไม่ใช้โอกาสนี้เข้ามาอยู่กับฝ่ายข้า ร่วมกันปกครองเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ร่วมกันเล่า”

ชายทั้งสามได้ฟังก็ลอบมองหน้าหากันอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย ก่อนที่ทุกคนจะยิ้มที่มุมปากอย่างรู้ใจ จากนั้นจึงเป็น ตัดกระบี่ ผู้อาวุโสที่สุดกล่าวแทนเด็กอีกสองคนไปว่า

“วาจาเหม็นดุจผายลมเช่นนี้มิควรอ้าปากให้ได้ยินอีก” คำกล่าวหยาบคายเจ็บแสบเช่นนี้ มีหรือที่จ้าวมารจะข่มอารมณ์เดือดดาลไว้ได้

“สังหารชายสามคนนั้นให้สิ้น” สิ้นคำกล่าวเดือดดาลของจ้าวมารพวกลิ้วล่อมารในชุดดำร่วมหนึ่งร้อยจากห้าร้อยก็กระโจนตัวเหินร่างดุจดั่งค้างคางบินออกถ้ำเข้าหมายจู่โจมฝ่ายตัดกระบี่และพวกที่ยืนอยู่หน้าเหล่าชาวยุทธ์ทันที แต่พริบตาดุจประกายไฟก็บังเกิดมีแสงสะท้อนของใบมีดบินนับหลายสิบเล่มดุจฝนดาวตกบินร่อนตัดอากาศออกมาจากกลุ่มชาวยุทธ์ พุ่งเข้าใส่พวกเหล่ามารลิ่วล้อทันที

เสียงกรีดร้องของมารร้ายก็ดังกระหึ่มขึ้น มารทั้งหลายที่ไม่ทันระวังโดนมีดบินเหล่านั้นปักร่างให้ต้องดับสูญเป็นจำนวนมาก ส่วนพวกที่ยังไม่บาดเจ็บก็ตกตะลึงดีดตัวกลับเข้าหาพวกอย่างเร่งรีบ

“บังอาจนักพวกเจ้า!!!” จ้าวมารยามนั้นมองจ้องเข้าไปที่พวกหมู่ชาวยุทธ์ซึ่งนั่งโคจรพลังต้านพิษด้วยสายตาดุจจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะเห็นชาวยุทธ์กลุ่มหนึ่งราวสามสิบคนลุกขึ้นยืนเสมือนไม่ได้โดนพิษมาก่อน ชาวยุทธ์กลุ่มนั้นล้วนใส่เสื้อสีเขียวเข้ม แสดงว่ามาจากสำนักมีดบินวิหกเหินอันนำโดย เจ้าสำนักหลี่ไป่ และ แม่นางผิงผิง

“พวกเจ้าก็ไม่ได้กินยาพิษรึ!!!” หวังเผิง ลอบกล่าวตะลึงงัน

“ข้าพเจ้าล้วนรู้สึกอยู่ก่อนแล้วว่าเรื่องราวครั้งนี้มีพิรุจนัก จึงตัดสินใจร่วมกับ ท่านตัดกระบี่ และ อู๋จิง ว่าจะไม่กินยาเหล่านั้น แต่ให้พูดตามตรงตัวข้าก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าพวกเจ้าลงมือชั่วช้า อีกทั้งเข้ากับฝ่ายมารเยี่ยงนี้” เจ้าสำนักหลี่ไป่ กล่าว

แต่ถึงกระนั้นหากจะเทียบระหว่างกำลังของฝ่ายมีดบินสามสิบชีวิต กับฝ่ายมารเกือบห้าร้อยตน ก็นับว่าไม่ต่างจากการเอาไข่ไปกระแทกหินเลย อีกทั้งไหนเลยฝ่ายมารจะมีหวังเผิง หลิวเยี่ยนหง และ หวงเย่ว์ อันวรยุทธ์สูงส่งอีกด้วย

เจ้าสำนักมีดบินยามนั้นบัญชากองกำลังของตนปลีกตัวจากกลุ่มชาวยุทธ์ที่โดนพิษ ออกมาจัดกำลังเป็นแนวหน้ากระดาษล่ะสิบคนสามแถวเตรียมตัวรับมือกับลิ่วล้อมารร้ายนับห้าร้อย

ความกังวลใจของเจ้าสำนักหลี่ยามนั้นหาใช่เพียงจำนวนพลอันแตกต่างระหว่างฝ่ายมารร้ายกับฝ่ายลูกพรรคของมันเท่านั้น ยังคงรวมไปถึงพวกยอดฝีมือฝ่ายมารทั้งสามอีกด้วย และยามนั้นเองปลายเท้าของหวังเผิง และ หลิวเยี่ยนหง ก็ลากเคลื่อนจากจุดเดิมมาครึ่งฝ่าเท้าแล้ว พวกมันเตรียมลงมือแล้ว!!!

“เจ้าคิดจะทำอะไรกัน” พริบตายามนั้นเบื้องหลิวเยี่ยนหงก็พลันปรากฎเป็นตัดกระบี่ที่ชักดาบเขี้ยวสมิงชี้ปลายคมไปยังใบหน้าของมัน ในขณะที่ทางด้านหวังเผิงก็เป็นอู๋จิงที่เข้าประกบก่อนจะชี้ปลายดาบเลื้อยฟันปลาไปยังใบหน้าคนแซ่หวังเช่นกันพร้อมทั้งกล่าวว่า

“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า”

ในขณะที่หวงเย่ว์พลันเห็นเช่นนั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนเท้าออกข้าง ออกห่างจ้าวมารร้ายหนึ่งก้าว วางเท้าทวนลมปราณเตรียมเปิดศึกเช่นกัน แต่ฉับพลันก็จำต้องหยุดท่าเท้าไว้ด้วยว่าเบื้องหน้ามีหลินฟงยืนกอดอกบังทางวิ่งไว้

หวงเย่ว์คิ้วขวากระตุกเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองต่างหลี่มองน้องชายเบื้องหน้าอย่างไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจแรงเฮือกหนึ่งจากนั้นจึงเคลื่อนเท้าออกด้านข้างหนึ่งก้าวหนีห่างการบังทางของหลินฟง แต่ก็เป็นยามนั้นเองที่หลินฟงก็เคลื่อนท่าเท้าออกด้านข้างหนึ่งก้าวเช่นกัน เป็นดั่งเงายืนบังขวางในระยะไกล

“ฮึ!!! น้องสาม” หวงเย่ว์แค่นเสียงหนักขึ้นหนึ่งครา คราวนี้มันไม่เคลื่อนเท้าหลบอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งทวนลมปราณวางเท้าหนักแน่นเตรียมเข้าปะทะหนักหน่วง ในขณะที่หลินฟงเห็นการวางเท้าเดินลมปราณของพี่ชาย ก็พลันปล่อยมือจากการกอดอก ร่ายรำหมุนวนสองฝ่ามืออย่างเชื่องช้าคล้ายดั่งรูปลักษณ์หยินหยาง

จ้าวมารยามนั้นเห็นการเผชิญหน้าของเหล่ายอดฝีมือสามคู่ก็อดยิ้มกว้างอย่างปิติตัณหามิได้ ก่อนจะกล่าวเสียงดังกึกก้องว่า

“พวกเจ้าลงมือเถิด!!!!” สิ้นเสียงมารร้ายทุกการเคลื่อนไหวก็บังเกิด

“สังหารไร้ซุ่มเสียง!!!!” ตัดกระบี่เผยสุดยอดท่าดาบ วาดคมอาวุธตัดอากาศอย่างรวดเร็วจนไร้เสียง แม้นอากาศธาตุก็ถูกตัดขาดไม่ต้านความเร็วดาบนี้ แต่ฝ่ายหลิวเยี่ยนหงกลับร้ายกาจยิ่ง ในเมื่อแทบไม่เห็นคมดาบ ไม่ได้ยินเสียงแหวกอากาศ มันจึงสัมผัสแรงลมจากการเคลื่อนกายของตัดกระบี่แทนที่ จึงรับรู้ทิศทางดาบได้ ฉับพลันตวัดพัดเหล็กยาวเท่ากระบี่เข้าต้านด้วยท่า “เปลี่ยนวายุเป็นกระบี่!!!” เสียงพัดเหล็กปะทะกับดาบเขี้ยวสมิงดังกึกก้อง

ในขณะที่ทางด้านอู๋จิงก็ใช้ออกด้วยเพลงดาบท่าเดียวกับอาจารย์ตน “สังหารไร้ซุ่มเสียง!!!” แม้นจะสืบทอดแต่ก็เทียบเคียง ยิ่งได้ดาบเลื่อยฟันปลามาควบคู่เพลงดาบนี้ย่อมไม่ต่ำทรามกว่าแต่อย่างใด หวังเผิงลอบยิ้มอย่างองอาจสัมผัสจิตร้ายของอู๋จิงพลันเดินปราณสีครามห่อหุ่มกาย “อาภรณ์สววรค์ชั้นฟ้า!!!” จากนั้นจึงเคลื่อนปราณหนาแน่นไปสู่กำปั้น ชกหมัดออกเข้าปะทะตัวดาบเลื้อยฟันปลาที่พุ่งมาอย่างอาจหาญ แรงปะทะก่อเกิด หวังเผิงกัดฟันแน่น อู๋จิงเน้นสุดแรงบีบจับด้ามดาบที่สุดจะสั่นเทาแทบหลุดมือไปเสียให้ได้

ทางด้านหวงเย่ว์นั้นกระโจนเหินร่างลอยเหนือพื้นสามศอกดุจพญาเหยี่ยวเข้าหาหลินฟงที่กำลังเหินร่างเข้าปะทะเชกเช่นกัน ฉับพลันที่ทั้งคู่เข้าสู่รัศมีการโจมตีทั้งสองก็วาดเพลงเตะเข้าหาใบหน้าฝั่งตรงข้ามทันที และชั่ววินาทีนั้นเองแข้งขวาของทั้งสองก็ปะทะกันพร้อมเพรียงโดยห่างใบหน้าทั้งคู่ไปเพียงคืบ ทั้งสองยิ้มเปิดเผยพร้อมกัน

ตำราการศึกมีว่าไว้ ทัพมากว่าสองเท่าให้ขนาบตี มากกว่าสิบเท่าให้ล้อมเอาไว้ ยามนั้นลิ่วล้อมารร่วมสี่ร้อยกว่าตนก็พลันรุมล้อมฝ่ายมีดบินซึ่งมีเพียงสามสิบคนที่ต่างหันหลังชนกันระวังทั่วทิศทันที ผู้เฒ่าหลี่เหงื่อไหลนองเป็นทาง นึกอึดอัดใจแทบแย่ แต่ก็ไม่ประหม่าแต่อย่างใด พลันรอจนมารร้ายเข้าใกล้รัศมีที่มีดบินของลูกพรรคจะไม่พลาดเป้าจึงสั่งการยิง “มีดบินวิหกเหิน!!!” ฉับพลันลูกพรรคทั้งหลายและเจ้าสำนักหลี่พลันสบับข้อมือขว้างมีดบินล่องลอยจากทุกทิศทางเข้าหากลุ่มมารร้ายที่ล้อมอยู่ และไม่พลาดเป้าแม้นเพียงหนึ่ง แต่ชั่ววินาทีต่อมาฝ่ายมารร้ายกว่าสี่ร้อยที่เหลือก็เข้าโหมกระหน่ำจนเข้าสู่ระยะประชิดตัวแล้ว

ฝ่ายด้านศึกระหว่างตัดกระบี่และหลิวเยี่ยนหง ยามนั้นคมดาบเขี้ยวสมิงและตัวด้ามเหล็กของพัดใหญ่ต่างฟาดฟันปะทะกันอย่างหนักหน่วงหลายเพลงยุทธ์เสียงดังกึกก้องดุจฟ้าคำรามตลอดเวลา ตัดกระบี่มีสีหน้าสาแก่ใจยิ่ง ทว่าหลิวเยี่ยนหงกลับอึดอัดแทบแย่ มือทั้งสองของมันที่กำตัวด้ามพัดล้วนเจ็บชาด้วยว่าพัดเหล็กนั้นสั่นสะท้านสุดจะควบคุมทุกครั้งเมื่อปะทะกับแรงดาบอันหนักหน่วง

ตัดกระบี่เห็นสีหน้าถอดสีของหลิวเยี่ยนหงจึงอาศัยจังหวะฟันดาบเข้าทางด้านขวาตัดล่างสลับตัดบนให้หลิวเยี่ยนหงต้องวุ่นวายรับมือ จนสามารถทำลายท่าวางเท้าอันมั่นคงของมันได้

เมื่อโอกาสทองได้เปิดเผยให้ฉกฉวยตัดกระบี่จึงหมุนหัวไหล่เปลี่ยนจังหวะกลับมาฟันจากด้านซ้ายล่างสู่บนหมายฝ่าสะพายแล่ง แต่วินาทีนั้นเองกลับเป็นหลิวเยี่ยนหงที่ตาเป็นประกายขึ้นมาคล้ายดั่งรอจังหวะที่ตัดกระบี่โหมรุกอยู่แล้ว ยามนั้นมันเพียงดีดตัวถอยหลังหลบคมดาบฉิวเฉียดก่อนจะกางพัดใหญ่ออกพร้อมเพรียง และฉับพลันที่มันวางเท้าได้มั่นคงก็โปกสบับพัดให้เกิดลมใหญ่ตีเข้าใบหน้าตัดกระบี่จนเสียจังหวะต้องปิดตา พริบตานั้นเองตัวพัดจึงวาดตัดอากาศเข้าหาตัดกระบี่ทันที

“บัดซบ!!!” ตัดกระบี่ที่หลับตาเพียงครู่ก็พลันไม่เห็นคมพัดกระบี่เสียแล้ว มันอาศัยกายที่ต้องสัมผัสลมจากอาวุธที่เคลื่อนมา จึงดีดตัวถอยกลับก่อนจะรู้สึกเย็นวาบด้วยคมอาวุธ์ที่ผ่านหน้าอก มันเปิดตามองอีกครั้งก่อนจะเห็นอกของมันเป็นแผลบาดยาวเสียแล้ว

ทางด้านศึกระหว่างหวงเย่ว์ กับหลินฟง ฉับพลันหลังจากที่ทั้งสองกระโดดเตะปะทะกันกลางหาว ยังไม่ทันที่ฝ่าเท้าทั้งสองจะลงพื้นได้ ทั้งคู่ก็ดวลเพลงหมัด เพลงฝ่ามือกันกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

“ฝ่ามือ สันมือ ดรรชนี เพลงหมัด!!!” หลินฟงลอบกล่าวตื่นตะลึง แม้นเขาจะมองเห็นการโจมตีเหล่านั้นของหวงเย่ว์อย่างชัดเจนแต่ทว่าเพลงยุทธ์เหล่านั้นก็รวดเร็วยิ่ง เขาเบือนหน้าหลบฝ่ามืออย่างฉิวเฉียดก่อนจะเอี้ยวคอไปด้านข้างหลีกหนีสันมือที่ฟาดเข้าใส่ ดรรชนีมารที่ตามติดมาก็แทงผ่านเพียงเฉียดห่างคิ้วเขาไป และเพลงหมัดสุดท้ายก็ยังไม่ไวพอจะต้องตัว นับว่าเพียงหลบยังไม่ง่ายแต่ฟงน้อยอันร้ายกาจกลับสวนเพลงหมัดฝ่ามือกลับไประหว่างการหลบหลีกเมื่อครู่อีกด้วย

แต่กระนั้นหวงเย่ว์ผู้เป็นพี่ก็ไม่น้อยหน้าเมื่อครู่ระหว่างโจมตีหลินฟงด้วยสรรพยุทธก็ยังความคุมสติได้ดีพอที่จะหลบเพลงหมัดเพลงฝ่ามือของฟงน้อยที่สวนมาได้อีกด้วย

ยามนั้นการดวลกันกลางหาวของทั้งสองจึงเสมือนว่าไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันแต่อย่างใด

แต่ความเข้าใจนั้นล้วนผิดแล้วเมื่อที่สุดแล้วเป็นปลายเท้าซ้ายของหวงเย่ว์ที่สัมผัสพื้นได้ก่อนหลินฟงเพียงเสี้ยววินาที ทำให้ครานี้มารหนุ่มจึงมีเท้าซ้ายเป็นหลักยึด เอี้ยวหมุนตัวเตะเท้าขวาเข้าใส่หลินฟงซึ่งเท้าแตะพื้นช้าเพียงเสี้ยววินาที บีบคั้นฟงน้อยให้ต้องยกสองแขนรับกันเพลงเตะอย่างจัง จนร่างกระเด็นลอยไปชนผนังเสียงดังกึกก้อง

กลับเป็นศึกทางด้านอู๋จิงที่ดูจะมีเปรียบอยู่บ้าง หนุ่มน้อยสลับเพลงทวนทิ่มแทงประสานเพลงดาบฟาดฟันบุกจี้ผู้เฒ่าหวังให้ต้องควบคุมปราณอาภรณ์สวรรค์ ถ่ายคลุมสองมือซ้ายขวาปัดป้องสองศาสตรา

“เสียเปรียบด้านระยะโจมตีอย่างยิ่ง!!!!” ผู้เฒ่าหวังกล่าวน้ำเสียงอึดอัด ทุกครั้งที่มันหลบเพลงทวนไปได้ พอจะเข้าประชิดก็พลันมีเพลงดาบออกมาต้านไว้ไม่ให้มันเข้าสู่ระยะโจมตีของหมัดมันไปได้ ยิ่งเป็นอาวุธวิเศษด้วยแล้วมันย่อมมิกล้าประมาท

“เช่นนี้ต้องลองเสี่ยงแล้ว!!!” หวังเผิงกล่าวพร้อมทั้งหลบหลีกเพลงทวนทิ่มแทง และพอมันกล่าวจบก็เดินพลังปราณสีครามของมันคลุมทั่วกายหนาแน่นยิ่งกว่าเดิมประดุจจะเตรียมเสี่ยงเอาตัวเข้าแลกแล้ว แต่พริบตาสุดจะคาด หวังเผิงพลันสังเกตุเห็นสีหน้าแววตาอึดอัดของอู๋จิง และสายตาของเด็กหนุ่มที่แอบเหลือบมองไปนอกทาง

หวังเผิงลอบแอบมองตามทิศทางสายตาของอู๋จิง ก่อนจะเห็นว่าอู๋จิงนั้นกำลังมองไปยังการต่อสู้อันเสียเปรียบของพลพรรคสำนักมีดบินที่โดนฝ่ายมารล้อมประชิดและเริ่มบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

“อยู่ที่เวลาสินะ” หวังเผิงยิ้มอย่างได้ที เมื่อมันเห็นเช่นนั้นจึงพลันเปลี่ยนยุทธวิธีไม่เสี่ยงเข้าแลก ทำเพียงหลบหลีกเพลงยุทธ์ทวนประสานดาบ สุดท้ายจึงเป็นอู๋จิงที่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

“บังคับมีดบิน!!!” สิ้นคำกล่าวอู๋จิง มีดบินทั้งเจ็ดฝ่ายใต้ผ้าคลุมก็ถูกควบคุมพุ่งดีดตัวออกมาทันที ทว่าเป้าหมายกลับไม่ใช่หวังเผิง มีดบินทั้งเจ็ดยามนั้นพุ่งแหวกอากาศเข้าไปช่วยคนของพรรคมีดบินที่กำลังลำบาก ช่วยคลี่คลายสถาณการณ์ให้

หวังเผิงเห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสเร่งท่าเท้าหลบทวนทองพยักษ์เข้าใกล้ตัวอู๋จิง บีบคั้นให้เด็กหนุ่มต้องวาดดาบเลี่อยฟันปลามายับยั้งต้านทาน ทว่าการเสียสมาธิเพียงครู่สถานการณ์ก็พลิกกลับแล้ว วงดาบนั้นฟันตัดผ่านเข้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น หวังเผิงประชิดตัวแล้ว!!!

“บัดซบ!!!” อู๋จิงกล่าวเสียงหลงก่อนจะเห็นหนึ่งหมัดของหวังเผิงกระแทกโดนเข้าเต็มอกของมัน และฉับพลันก็เป็นร่างของอู๋จิงที่ลอยคว่างกลางอากาศ กระอักเลือดกระเซ่นซ่าน นี้นับว่าบาดเจ็บไม่น้อยแล้ว

“อู๋จิง!!!” ผิงผิง เห็นก็ร้องลั่นด้วยความเป็นห่วง แต่ฉับพลันยามนั้นนางก็โดนกรงเล็บของพวกมารกรีดบาดกลางหลังให้ต้องกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

“ทุกคนระวังตัวให้ดี” เจ้าสำนักมีดบินแซ่หลี่ยามนั้นเหงื่อไหลเป็นทาง สีหน้าอิดโรยสิ้นดี มันกล่าวพร้อมทั้งใช้สบับสองมือขว้างมีดบินปักร่างสองมารร้ายลงไปกอง

ยามนั้นฝ่ายคนของสำนักมีดบินเหลือน้อยกว่าสิบคนแล้วในขณะที่ฝั่งมารร้ายยังคงมีกำลังเกือบสี่ร้อย เช่นนี้แล้วโอกาสชนะของฝ่ายธรรมยังจะเหลืออีกหรือ

แต่พริบตาสุดจะคาด ยามนั้นจู่ ๆ หน้าต่างที่ถูกปิดตายส่วนหนึ่งของสำนักทัพมารพลันปริร้าวและแตกออกอย่างพร้อมเพรียงกันสิ้น เปิดเผยให้แสงแดดจ้าส่องสะท้านเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเห็นชาวยุทธ์เกือบร้อยคนที่ตามติดกระโจนลอดช่องหน้าต่างนั้นเข้ามา ฝ่ายกองทัพมารเมื่อเห็นแสงสว่างก็มีสีหน้าตื่นกลัวอย่างยิ่งและพริบตานั้นเองก็มีเสียงสตรีนางหนึ่งดังไพเราะขึ้นมาว่า

“ฟงน้อย ข้าพเจ้ามาแล้ว!!!!” นางปรากฎกายในชุดแพรขาว ใบหน้าสดใสยิ้มแย้ม มาพร้อมกับลูกพรรคหมื่นน้ำแข็งในชุดขาวหม่นนับร้อย เธอผู้นี้ย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…หิมะ



Create Date : 18 ธันวาคม 2550
Last Update : 18 ธันวาคม 2550 0:42:26 น. 1 comments
Counter : 833 Pageviews.

 
แวะมาอ่าน ผ่านมาทักทาย
ฉบับนี้เขียนปรับปรุงใหม่หรือครับ


โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) วันที่: 18 ธันวาคม 2550 เวลา:14:00:50 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.