|
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 11
บทที่ 11 เป็นเที่ยงวันหนึ่งที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แจ่มใส ตลอดสองข้างทางนั้นเป็นเพียงพื้นหญ้าสีเขียวจาง ๆ ซึ่งขึ้นสูงประมาณเข่า พบเห็นเต็มไปทั่ว นางมารน้อยหิมะค่อยๆ เดินเรียบเฉียบนำหน้าหลินฟง และเมื่อทั้งสองเดินไปได้อีกไม่นานนักก็พบกับหลักหินที่ชี้บอกทางไปหลิ่วอัน
พวกเรามาถูกทางแล้ว เจ้ารีบเดินหน่อยจะได้หรือไม่ หิมะกล่าวก่อนจะกระตุกโซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือ อย่างแรงหนึ่งครั้งก่อนจะเห็นเป็นหลินฟงที่ถูกล่ามข้อมือไว้ค่อยๆ เดินเอื่อย ๆ ตามมาอย่างไม่เต็มใจ
หิมะ เจ้าช่างใจร้ายยิ่งนัก หลินฟงก่นด่าพึมพัม
เจ้าว่าอะไรนะ หิมะซักกลับด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังทำเอาหลินฟงต้องรีบกล่าวแก้ลำไปว่า
เปล่า ๆ ข้าพเจ้าแค่ถามว่าอีกไกลไหมกว่าจะถึงเมืองหลิ่วอันแล้วก็
แต่ยังไม่ทันที่หลินฟงจะกล่าวได้จบ หิมะก็เอานิ้วชี้มาจี้ที่ปากหลินฟงไว้เหมือนให้หยุดพูดก่อน
มิใช่มีเพียงแค่เราเสียแล้ว
.สิบ
สิบห้า
สามสิบ
ไม่ใช่สิ สี่สิบคน หิมะหยุดนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะตะโกนกล่าวดังก้องว่า
อย่าได้ทำตัวหลบ ๆ ซ่อนอีกเลย หากมีธุระอันใดรีบเปิดเผย สิ้นเสียงหิมะไม่นานพุ่มหญ้าก็สั่นไหวไปทั่ว จากนั้นจึงค่อยๆ ปรากฎร่างชายกลุ่มหนึ่งล้อมพวกนางเข้ามาทั่วทิศทั่วทาง และเพียงดูจากการแต่งกายก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นลูกสมุนจากตำหนักหมื่นน้ำแข็งของมังกรเย็นไม่ผิดพลาด
มารหิมะเอ๋ยคราที่แล้วเจ้าโชคดีหนีรอดไปได้นึกไม่ถึงว่าเจ้าหาได้หลาบจำไม่ มาครานี้พวกข้ารู้ข่าวว่าเจ้าคิดมุ่งหน้าไปหาท่านเจ้าสำนักอีก พวกข้าก็เตรียมตัวมาต้อนรับเจ้าให้สมเกียรติแล้ว ผู้กล่าวออกเป็นหนึ่งในสองหัวหน้ากลุ่มและมีพลังปราณฝีมือไม่ธรรมดาประดุจหนึ่งผู้คุ้มตึกเลยทีเดียว และทันทีที่สิ้นเสียงมัน พวกลิ่วล้อก็เข้ารุมจู่โจมล้อมกรอบ
ใช้พวกมากรุมรังแก อย่างพวกเจ้านับเป็นตัวอะไรได้ หิมะกล่าวกระแทกกลับอย่างเจ็บแสบก่อนจะหันกลับไปกระซิบต่อหลินฟงว่า
ดรรชนีสกัดวารีนั้นสำคัญที่การขับถ่ายพลังปราณที่รวดเร็วดุจสายฟ้า อีกทั้งเฉียบคมเสมือนหมื่นกระบี่หลอมรวมเป็นหนึ่ง อีกทั้งมิเพียงเข้าจู่โจมสกัดจุดอย่างเรียบเฉย สำคัญต้องโอนถ่ายพลังปราณเข้ารบกวนชีพจรศัตรูอีกด้วย
หลินฟงยามนั้นได้แต่ฟังอย่างเลื่อมใสและยังมิทั้งจะได้ประมวณความรู้ความเข้าใจฉับพลันหิมะก็กระตุกโซ่ที่คล้องกับมือนางและหลินฟงหนึ่งครา ก่อนจะฉับพลันถ่ายพลังปราณเหวี่ยงขว้างหลินฟงออกคล้ายประหนึ่งดั่งลูกตุ้มเข้าหาฝูงศัตรูที่ล้อมกรอบทันที
ร่างของหลินฟงยามนั้นก็ลอยลิ่วเป็นม้าหมุนเฉียดใกล้ศัตรู หนุ่มน้อยรีบทวนความรู้ใหม่จากนั้นใช้ออกด้วยดรรชนีสกัดวารีที่เฉียบคมร้ายกาจกว่าครั้งที่ผ่านมาสิ้นเชิง
หลินฟงที่ถูกเหวี่ยงไปรอบผ่านศัตรูไม่ว่าผ่านผู้ใดก็ใช้ออกด้วยดรรชนีอันร้ายกาจทำเอาศัตรูที่ล้อมอยู่นั้นต้องตัวแข็งเป็นหิน ตะลึงงันกันไปทั่ว
จากนั้นพอหลินฟงโดนเหวี่ยงหมุนครบรอบ เมื่อเท้าของเขาแตะพื้นได้ก็กล่าวต่อหิมะว่า
สลับกันบ้าง สิ้นเสียงนั้นหลินฟงพลันถ่ายพลังลงสองเท้าเป็นหลักมั่นจากนั้นสลับเหวี่ยงโซ่เหล็กผลักดันหิมะลอยลิ่วไปรอบ ๆ แทนที่ ก่อนที่นางจะใช้ออกด้วยเพลงเตะอันสวยงามร้ายกาจเข้าโจมตีศัตรูที่เหลือประดุจดั่งเดินบนกำแพงมนุษย์เลยทีเดียว
เสร็จสิ้นการโจมตีครั้งแรกพอสองเท้าหิมะกลับลงพื้น ทั้งสองจึงหันหลังชนกันช่วยกันต้านทานศัตรูระรอกสอง หนึ่งร่ายรำเพลงฝ่ามือในถุงมือเงินอย่างสวยงามหมดจดทั้งปัดป้องทั้งโจมตี อีกหนึ่งหลินฟงก็ใช้ออกด้วยดัชนี้จี้สกัดหยุดยั้งศัตรูให้ยืนนิ่งแข็งเป็นหิน
พริบตาศัตรูกว่าครึ่งพลันล้มหายไปเป็นจำนวนมาก แต่ศัตรูยิ่งมายิ่งร้ายกาจ ครานี้พวกมันหลายสิบคนกระโดดพุ่งลอยตัวเข้าจู่โจมวาดเพลงดาบอันร้ายกาจ สร้างเงาดาบทั่วฟ้าเฉียบคมกดดันบีบคั้น
แต่หิมะหาได้ตื่นเต้นตกใจไม่ เธอค่อยๆ รวบรวมพลังปราณจนสูงสุดก่อนจะกระชากโซ่เหล็กให้ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายกลางอากาศ จากนั้นจึงร่ายรำเพลงฝ่ามือกระแทกห่วงโซ่เหล็ก โดยแต่ล่ะห่วงก็พุ่งกระจายจู่โจมออกคล้ายมีดบินก็ไม่ปาน
ฝ่ายศัตรูที่พุ่งกระโจนวาดดาบเข้าโจมตี ยากจะผันเปลี่ยนกระบวนท่าได้ทันก็ต้องถูกห่วงโซ่เหล็กซัดกลับทะลุร่างกลับให้ต้องบาดเจ็บพ่ายแพ้ เรียกว่ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นอย่างง่ายดาย
นางมารรับเพลงหมัดข้า เป็นหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มที่ใช้เพลงหมัดน้ำแข็ง พุ่งเข้าโจมตีด้วยพลังหมัดที่หนักหน่วงเยือกเย็น ในขณะที่ทางด้านหลินฟงก็ต้องเผชิญกับอีกหนึ่งหัวหน้ากลุ่มที่ใช้ออกด้วยเพลงดาบอันเฉียบคมร้ายกาจ
หิมะยังคงเป็นห่วงหลินฟงอย่างเสียมิได้เพราะฝ่ายตรงข้ามที่เด็กหนุ่มต้องเผอิญหาใช่เป็นพวกฝีมือระดับชาวบ้านเหมือนทุกครั้งเสียเมื่อไร เธอลอบมองหลินฟงที่หางตาก่อนจะเข้ารับเพลงหมัดของฝ่ายตรงข้ามอย่างสงบนิ่ง
เธอใช้ออกด้วยฝ่ามือที่ว่างเปล่าไร้ปราณสิ้นเชิง เพื่อเตรียมดูดรั้งพลังฝ่ายตรงข้าม หยิบยืมพลังสนองกลับ แต่สุดจะคาดพริบตาที่เธอจะรับเพลงหมัดของมันนั้นเธอก็ต้องประหลาดใจด้วยว่าเพลงหมัดของมันนั้นไร้พลังสิ้นดี และพริบตาเดียวกันนั้นเองนางก็ต้องร้องออกด้วยความเจ็บปวด
เข็มพิษ!!! หิมะลอบกล่าวตกใจ และเมื่อมองไปที่ฝ่ามือของตนก็พบรอยหยดเลือดหนึ่งพร้อมทั้งเข็มพิษร้ายที่ทำจากแก้วหนึ่งเล่มที่ปักแน่นผ่านถุงมือตาข่ายเงินของเธอ ที่แท้ฝ่ายตรงข้ามแอบกำเข็มพิษไว้ในมือตอนจะออกหมัดนี้เอง
หิมะค่อยๆ เข่าอ่อนถึงกับคุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างไม่รู้ตัว มือขวาที่ถูกเข็มพิษก็พลันชาไร้ความรู้สึกเสมือนถูกแช่แข็งไว้ก็ไม่ปาน
ในขณะที่ทางด้านหลินฟง ก็ไม่สามารถเข้าช่วยเหลือหิมะได้เพราะแค่ตนเองก็ยังเอาไม่รอดเลย เขาได้แต่หลบคมดาบที่ฟาดฟัดอย่างต่อเนื่องไม่แม้นแต่จะมีจังหวะออกหมัดสวนกลับ
บ้าจริงๆ หลินฟงเหลือบมองไปเห็นหิมะที่กำลังเสียท่าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉับพลันที่เสียสมาธินั้นหนึ่งคมดาบก็เฉือนผ่านหน้าอกของเขาไปให้ได้หนึ่งแผล
ทางด้านหิมะก็ได้แต่เกร็งพลังปราณต่อต้านสกัดพิษ มือซ้ายก็จับที่ต้นแขนขวาไว้เพื่อไม่ให้พิษไหลเข้าไปสู่หัวใจได้ แต่ศัตรูหาคิดจะปล่อยโอกาสนั้นผ่านลอยไปไม่ มันรีบเข้าจู่โจมหมายซ้ำเติ่มทันทีพร้อมทั้งใบหน้าที่เสมือนได้ชัยไปแล้ว
พลังหมื่นน้ำแข็งขั้นที่ห้า เพลงหมัดอันร้ายกาจที่เต็มไปด้วยพลังไอเย็นถูกใช้ออกเข้าจู่โจมไปที่ใบหน้าของหิมะรวดเร็ว
อย่าดูถูกกันเกินไป หิมะฝืนกัดฟันพลันถอนมือซ้ายจากต้นแขนขวาออกมารับเพลงหมัดที่เปี่ยมพลังวัตร จากนั้นถึงใช้มือซ้ายนั้นดึงดูดพลังปราณของมันมาไว้ที่กลางกายก่อนจะพลันโอนถ่ายออกไปที่มือขวา ซ้ำยังใช้พลังของมันนั้นเองพลักดันเอาพิษที่อยู่ในกระแสเลือดออกไปอีกด้วย พริบตาเดียวเข็มพิษและพิษร้ายที่อยู่มือขวาก็ถูกพลังปราณผลักดันจนใกล้จะออกจากร่างของหิมะได้อย่างเหลือเชื่อ
แต่มิเพียงแค่แก้ไขพิษร้าย หิมะยังคงทุ่มพลังปราณทั้งหมดสบัดฝ่ามือขวาเต็มแรง ผลักดันให้เข็มพิษนั้นพุ่งกระแทกกลับไปหาศัตรูอีกด้วย พริบตาเดียวนั้นเข็มพิษนั้นก็พุ่งดุจคันศรกลับเข้าหาต้นคอศัตรูก่อนจะปักเสียบคาไว้อย่างร้ายกาจ ปิดฉากการต่อสู้อย่างเหลือเชื่อ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ต้องสูญเสียพลังอย่างมากมาย
หิมะช่วยด้วย!!! เป็นหลินฟงที่ร้องขอความช่วยเหลืออย่างเสียมิได้ ด้วยว่าพลาดท่าให้คมดาบเสียหลายครั้งอีกทั้งถูกต้อนให้ต้องเซถลาล้มนั่งไม่เป็นท่ากลายเป็นเป้านิ่งไป
ภาพที่หิมะเห็นในยามนั้นก็เพียงหลินฟงที่ล้มนั่งยกสองมือเปล่าขึ้นปิดหน้า รอรับคมดาบของศัตรูที่กำลังลากตัดผ่านอากาศเข้าใกล้เต็มที
หลินฟง!!! หิมะแม้นจะเหนื่อยล้าใบหน้าซีดเผือด แต่ก็ทุ่มเต็มกำลังพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ
นางใช้ออกด้วยพลังปราณทั้งหมดฟาดฝ่ามือกระแทกตัวดาบ เพื่อหวังให้คมอาวุธพุ่งผ่านไม่ถูกหลินฟง
แต่ทว่าหากนั้นกลับเป็นเพียงท่วงท่าที่หลอกลวงเล่า?
ฝ่ายหัวหน้าตึกตำหนักหมื่นเย็นกลับลอบปล่อยดาบทิ้งไม่ฝืนจับกุม เพราะแท้จริงแล้วท่าดาบนั้นหาได้ใส่พลังปราณแม้นสักเสี้ยวเดียวก็หาไม่ อันที่จริงแล้วพลังปราณทั้งหมดกลับไปรวมอยู่ที่ปลายหมัดของมัน จากนั้นมันจึงใช้ออกด้วยเพลงหมัดอันหนักหน่วง
หิมะ ยามนั้นยากจะตามกลลวงทัน ด้วยว่ามัวแต่เป็นห่วงหลินฟงเกินไป พลันนึกไปเองว่าศัตรูนั้นถนัดเพลงดาบจึงใช้ออกด้วยฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังปราณหวังทำลายดาบ แต่ศัตรูกลับปล่อยทิ้งดาบอย่างง่ายดาย ทำให้พริบตานั้นหิมะยากจะโคจรพลังกลับมาป้องกันตัวได้ทัน ในขณะที่ศัตรูนั้นเปี่ยมพลังรอจู่โจม
พลังหมื่นน้ำแข็งขั้นที่สี่ พริบตาหมัดขวาของศัตรูที่เต็มไปด้วยพลังก็ปะทะเข้าที่หน้าท้องของนางอย่างจัง แม้นเธอจะพยายามฝืนทนแต่นั้นก็เกินแรงไป หิมน้อยถึงกับกระอักเลือดล้มทั้งยืน
หลินฟงยามนั้นได้แต่ลอบตะลึงงั้นรีบลุกขึ้นรับประคองร่างของหิมะเข้ามาโอบกอดอย่างคาดไม่ถึง
หลินฟงหนีไป หิมะกล่าวเสียงสั่นก่อนจะกระอักเลือดมาอีกหนึ่งครา ครั้งนี้นับว่าเธอบาดเจ็บไม่ธรรมดาไหนจะโดนกลพิษร้ายและยังต้องมาโดนเพลงหมัดเต็ม ๆ อีก
พวกเจ้าสองคนอย่าอยู่เลย นี้นับเป็นโอกาสทองที่ยากจะปล่อยไป ศัตรูร้ายพุ่งเข้าโจมตีใส่หลินฟงที่อุ้มหิมะอยู่อย่างเด็ดขาด
พวกเราชาวยุทธ์ ฝึกยุทธ์มิเพียงเพื่อป้องกันตัวอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะต้องปกป้องผู้อื่นได้
ไม่ทราบอย่างไรอยู่ ๆ คำกล่าวของหวงเย่ว์ ก็ย้อนกลับมาในหัวของหลินฟงอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงค่อยๆ วางหิมะลงบนหญ้าอย่างแผ่วเบา ด้วยสายตาที่ห่วงใย ก่อนจะหันไปเผอิญหน้ากับศัตรูร้ายด้วยแววตาที่มั่นคงแน่วแน่
ยามนั้นคนของพรรคหมื่นแข็งใช้ออกด้วยพลังหมัดที่เปี่ยมพลังวัตรตรงเข้าโจมตีที่ใบหน้าหลินฟงอย่างรวดเร็ว
ไอ้เด็กน้อยรับหมัดข้าไปซะ
แต่หลินฟงนั้นหาได้ตกตะลึงไม่ เพียงแต่นึกย้อนท่อนเคล็ดวิชา "ขับถ่ายพลังปราณที่รวดเร็วดุจสายฟ้า อีกทั้งเฉียบคมเสมือนหมื่นกระบี่หลอมรวมเป็นหนึ่ง"
และสุดจะคาดยิ่งหลินฟงกลับไม่คิดหลบและยอมรับหมัดที่พุ่งตรงเข้าหานั้นอย่างเต็มใจ แต่ทว่าใช้ส่วนหน้าผากที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งเข้าต้านรับ อีกทั้งก็ได้โคจรปราณพลังทั้งมวลไว้ที่จุดนั้นเผื่อป้องกันไว้แล้ว
พลังปราณอันมหาศาลของหลินฟงถึงกลับทำให้ศัตรูได้แต่ลอบตะลึงงัน หมัดของมันที่กระแทกเข้าปะทะกับหน้าผากหลินฟงถึงกับกระดูกแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เป็นไปไม่ได้ ฝ่ายคนชกกลับตกใจสุดขีดด้วยว่าความรู้สึกของมันเหมือนกับว่าชกไปใส่ก้อนหินใหญ่ก็ไม่ปาน
อีกทั้งเป็นหลินฟงที่กลับโคจรพลังขึ้นใหม่ได้รวดเร็วเหนือล้ำ ด้วยว่าช่องว่างลมปราณที่เสมือนผู้ฝึกยุทธ์มาตลอดสี่สิบปี ในขณะที่ศัตรูนั้นยังทำได้เพียงโคจรพลังต้านรับได้ไม่ถึงครึ่งของปกติ
เตรียมรับมือ เป็นหลินฟงที่ชกออกหมัดรวดเร็วสุดจะคาดเข้าที่ปลายคางของศัตรูอย่างรวดเร็ว จนเท้าทั้งสองของมันลอยขึ้นเหนือพื้นทันที แต่สุดคาดแทนที่ร่างของมันจะลอยละลิ่วไปไกลกลับเป็นหมัดที่สองของหลินฟงที่เร็วยิ่งกว่าเข้ากระแทกไปที่ใบหน้าของมันปานสายฟ้า และก็เป็นอีกครั้งที่แทนที่ร่างของมันกระโดนแรงหมัดลอยไปไกล กลับเป็นหลินฟงที่ตามติดได้เร็วกว่า ปล่อยอีกหมัดเข้าที่ท้องจนตัวมันงอเป็นกุ้งไปเลย และเพียงเสี้ยววินาทีก็มีอีกหนึ่งหมัดของหลินฟงประเคนไปที่ใบหน้าของมันจนร่างต้องหมุนติ้วกลางอากาศทีเดียว แต่ในขณะที่ร่างมันหมุนลอยอยู่นั้นไม่ทราบหลินฟงทำได้อย่างไรพุ่งเข้าคว้าจับปลายปกเสื้อได้อย่างแม่นยำก่อนจะเหวี่ยงหน้าของมันกระแทกเข้ากับพื้นดินจนสั่นสะเทือน
ยามนั้นหิมะที่อยู่แต่ห่างได้มองจ้องตาค้างตะลึงงันออกปากอย่างไม่ตั้งใจว่า
นี้เป็นไปไม่ได้
ส่วนหลินฟงก็ค่อยๆ ปล่อยมือจากร่างของศัตรูที่สิ้นฤทธิ์นอนแผ่ลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ปราณเขาก็ได้ค่อยๆ กระจายออกจากร่างเป็นไอ เสมือนเหล็กร้อนที่เพิ่งจุ่มลงไปในน้ำเย็น
เจ้าทำได้อย่างไรกัน หิมะได้แต่กล่าวอย่างตื่นตะลึง
หลินฟงได้ฟังก็เพียงยิ้มแห้ง ๆ และกล่าวตอบไปว่า
ยากจะตอบได้ พริบตาที่โคจรพลังทั้งมวล ข้าพเจ้าก็พลันใช้กระบวนท่าออกตามสัญชาตญาณเท่านั้น หลินฟงกล่าวเรียบ ๆ ก่อนจะเดินไปหมายอุ้มหิมะที่บาดเจ็บ
ไม่ต้องๆ ข้าเดินเองได้ หิมะขัดขืนก่อนจะพยายามลุกยืนด้วยตัวเอง แต่พลันเดินไปได้แค่สองก้าวร่างกายก็ยากจะควบคุม ได้แต่เซถลาไปให้หลินฟงพยุง
ยามนั้นเธอได้แต่อาย ๆ หน้าแดงเล็ก ๆ ก่อนจะกล่าวแต่แผ่วเบาต่อหลินฟงไปว่า
ต้องรบกวนเจ้าแล้ว
ยามนั้นหลินฟงทำได้แต่เพียงยิ้มตอบแล้วพยุงนางออกไปจากสนามรบไป
ณ ศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งนอกเมืองหลิ่วอัน
ภายในวัดร้างแห่งนั้นช่างดูเงียบสงบยิ่งนัก และยิ่งเมื่อมองไปโดยรอบก็จะเห็นเพียงยักไย้ใยแมงมุมอยู่เต็มไปหมด อาจจะด้วยว่าวัดแห่งนี้นอกจากจะเล็กแล้วยังมิได้อยู่ในตัวเมืองอีกด้วย ผู้คนจึงละเลยละทิ้งมันไป ยามนั้นหลินฟงค่อยๆ พยุงพาหิมะที่มีสีหน้าเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัดให้นั่งลงกับพื้น
ทำไมเจ้าไม่หนีไปยามนี้ มีโอกาสแล้วนะ ข้าพเจ้าตอนนี้ก็ไม่มีพลังเหลือพอจะไล่ตามเจ้าทันแล้วด้วย หิมะกล่าวเรียบ ๆ
ก็คิดอยู่เหมือนกัน หลินฟงกล่าว
เจ้า
หิมะขึ้นเสียงสูงค้อน
แต่เป็นหลินฟงที่ยิ้มแจ่มใสตอบไปว่า
เจ้าช่วยข้าจากคมดาบนั้นไว้ ข้าควรช่วยเจ้ายามนี้เช่นนั้น แต่หลังจากนี้ถ้าข้ามีโอกาสย่อมจะหนีเป็นแน่
ยุติธรรมดี หิมะกล่าวตอบก่อนจะหลับตานั่งสมาธิเดินโคจรพลังรักษาตัวเอง
หลินฟงจ้องมองดูหิมะที่หลับตานั่งนิ่งตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะลอบแอบมองใบหน้าอันมีเสน่ห์ของนาง
เจ้ามองอะไรหิมะกล่าวสวนกลับทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ทำเอาหลินฟงได้แต่หน้าแดงตอบกลับทันควันไปว่า
เปล่า ๆ ข้าไม่ได้มองใบหน้าของเจ้าเลยนะ หลินฟงตอบหน้าแดงเขินอายหันไปมองที่อื่นก่อนจะไปสะดุดตาที่รูปปั้นเทพยูไลพันมือรูปหนึ่ง
เจ้าควรจะโคจรพลังไปด้วย อย่างน้อยก็เสริมสร้างพลังวัตร หิมะกล่าว แต่หลินฟงหาได้สนใจไม่ จิตใจยามนั้นพลันจดจ่ออยู่กับรูปปั้นหนึ่งตรงหน้า
สวยงามยิ่ง หลินฟงได้แต่ลอบตะลึงงันกับรูปปั้นยูไลพันมือที่อยู่ตรงหน้า พลันหลุดปากพูดไป
เจ้าว่าอะไรนะ หิมะกล่าวแทรกใบหน้าแดงก่ำหลงนึกไปว่าหลินฟงนั้นชมตนอยู่
เปล่า ๆ ไม่มีอะไร หลินฟงตอบกลับ
ชิ เจ้าคนโง่ หิมะเลิกสนใจกลับมานั่งโคจรพลังต่อ
ในขณะที่หลินฟงนั้นได้แต่ลอบมองยูไล พันมือ อย่างเงียบ ๆ พร้อมทั้งทำสมาธิโคจรพลังไปด้วยจ้องมอง รูปปั้นเทพยูไลพันมือไปด้วย
และสุดจะคาดยามเมื่อหลินฟงโคจรพลังไปทั่วร่างพริบตานั้นเองก็พลันเหมือนเห็นยูไล พันมือนั้นค่อยๆ เคลื่อนมือร่ายรำเพลงหมัดเพลงฝ่ามืออย่างลึกล้ำสวยงามยิ่ง จะว่าจินตนาการหรืออุปทานก็หาจะอธิบายได้ แต่ยามนั้นหลินฟงได้แต่มองเห็นเป็นยูไล พันมือกำลังร่ายรำเพลงฝ่ามือสลับเพลงหมัด ประดุจหนึ่งสั่งสอนถ่ายทอด
เด็กหนุ่มได้แต่ทึ่งจ้องมองอย่างสนอกสนใจยิ่ง จ้องมองเพลงหมัดเพลงฝ่ามือเสมือนหนึ่งเข้าใจ จนกระทั่งมิทราบเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดในที่สุด ยูไลก็ร่ายรำจนจบพันมือก่อนจะกลับเป็นเหมือนดั่งรูปปั้นธรรมดา
หากว่านี้เป็นเพียงจินตนาการของเด็กหนุ่มไปเองก็นับว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วย่อมเป็นอัจฉริยะด้านบู๊ที่ยากจะหาได้ในรอบร้อยปีเป็นแน่
หลินฟงเจ้ามองอะไรนะ เป็นหิมะที่เริ่มกล่าวขึ้นมาก่อน
เปล่า ๆ ไม่มีอะไร...ว่าแต่เจ้าหายดีแล้วเหรอ หลินฟงตอบกลับเรียบ ๆ แต่ยามนั้นเด็กหนุ่มกลับคล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคนไปแล้ว ดูสงบนิ่ง และเยือกเย็น จนหิมะรู้สึกสงสัยประหลาดใจ
ข้าพเจ้าแม้นยังช้ำในอยู่แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว พอเดินเหินได้ จึงคิดว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราควรรีบเข้าเมืองเถิด หิมะกล่าว
ณ โรงเตี๊ยมในเมืองหลิ่วอัน
ภายในโรงเตี๊ยมยามนั้นก็เต็มไปด้วยผู้คนชาวยุทธ์มากมาย หิมะเดินชักนำหลินฟงเข้าไปหาเฒ่าแก่โรงเตี๊ยมทันที โดยที่ตรงข้อมือของนางนั้นก็มีผ้าแพรสีแดงที่ผูกเข้ากับข้อมือของหลินฟงเหมือนครั้งก่อน
เฒ่าแก่ ท่านมีห้องว่างไหม หิมะกล่าว
เฒ่าแก่มองไปที่หลินฟง และ หิมะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไปสะดุดตาตรงที่ผ้าแพรที่ผูกเข้าที่มือหิมะและหลินฟง ก่อนจะตอบกลับว่า
เจ้าสองคนเป็นคู่แต่งงานใหม่หรืออย่างไร เฒ่าแก่กล่าวตรงไปตรงมาทำเอาหลินฟงหน้าแดงไปทีเดียว
ใช่แล้ว ว่าแต่ท่านมีห้องคู่สำหรับสองคนหรือไม่ เป็นหิมะที่ตอบกลับหน้าซื่อตาใส ขัดกับหลินฟงที่เอาแต่เขินอายผิดธรรมดา
พวกท่านสองคนโชคดีไม่น้อย พอดีเหลือแค่ห้องสุดท้ายห้องเดียว
หลังจากที่หลินฟง และหิมะเข้าห้องพักได้ไม่นานก็มีเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งเอาเหล้าสุรามาให้พร้อมกับบอกว่าเป็นเหล้าเลี้ยงแต่งงานที่เฒ่าแก่นำมาให้เป็นพิเศษด้วยว่าเอ็นดูเด็กทั้งสอง
เหล้าฉลองแต่งงานเหรอ หลินฟงลอบกล่าวเสียงสูง
ดีแล้วมิใช่หรือ หนาว ๆ เช่นนี้ดื่มสักหน่อยจะเป็นไร หิมะกล่าวก่อนจะรินเหล้าให้หลินฟง
เจ้าดื่มเป็นเหรอ หลินฟงกล่าวถาม
ไม่เป็น แต่ผู้อื่นบอกว่ามันช่วยอุ่นร่างกายได้วิเศษนัก หิมะกล่าวจบก็รินให้จอกตัวเองบ้าง
ข้ามีอะไรจะถามเจ้าเสียหน่อย หลินฟงเริ่มกล่าวเปิดประเด็น
มีวาจารีบเผย หิมะลองจิบ ๆ สุราก่อนจะรู้สึกได้ว่ามันขม
ทำไมเจ้าต้องไปสู้กับมังกรเย็น เอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยเล่า หลินฟงกล่าว
มาดื่มกับข้าแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง หิมะกล่าวก่อนจะหยิบยื่นจอกของตนขึ้นคะยั้นคะยอให้หลินฟงดื่ม และก็เป็นเด็กหนุ่มที่ดื่มอย่างเสียมิได้
เรื่องมันนานมาแล้ว ตอนข้าเป็นเด็ก ยามนั้นไม่มีตำหนักหมื่นน้ำแข็งของมังกรเย็น หรือสำนักหมื่นอัคคีของมังกรร้อน มีแต่เพียงสำนักเคลื่อนดาราของพ่อข้าเท่านั้น ในขณะที่ตอนนั้นมังกรเย็น และมังกรร้อนก็เป็นเพียงแค่ลูกสมุนซ้ายขวาของพ่อข้า หิมะยิ่งกล่าวถึงอดีตยิ่งมีสีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งรินสุราถี่ยิ่งกว่าเดิม แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะรินให้หลินฟงเป็นแกมบังคับดื่มอีกด้วย
แต่ด้วยมังกรเย็น และมังกรร้อน นั้นเลวทรามไร้เกียรติ ต้องการเป็นใหญ่เหนือพ่อข้าให้ได้ วันหนึ่งพวกมันทั้งสองจึงร่วมมือกันลอบจู่โจมพ่อข้าทีเผลอ จนในที่สุดเมื่อมันชนะพ่อข้าได้ก็จับท่านทรมานหมายรีดเอาเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายดารา หิมะกล่าวน้ำเสียงเศร้าก่อนจะรินดื่มเหล้ามากขึ้นอีก ในขณะที่หลินฟงก็ต้องดื่มเป็นเพื่อนอย่างเสียมิได้
โชคดีที่แม่นมของข้าสามารถพาข้าหนีออกมาได้พร้อมกับเคล็ดวิชา ท่านพ่อเมื่อทราบข่าวจึงหมดห่วงสลายพลังลาลับโลกไป หิมะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ
เมื่อหลินฟงฟังมาถึงตรงนี้จึงออกปากกล่าวบ้าง
เหตุนี้เองที่เจ้าต้องล้างแค้นให้ได้
แต่มังกรเย็นมันสำเร็จพลังหมื่นน้ำแข็งขั้นที่สิบแล้ว ซึ่งทำให้ข้าไม่สามารถดูดกลืนพลังมันได้ จึงต้องอาศัยเจ้า หลินฟง หิมะกล่าวก่อนจะจ้องมองไปที่ใบหน้าของหลินฟงอย่างมีความหมาย จากนั้นเธอจึงใช้สองมือเข้าจับกุมมือของหลินฟงอย่างแผ่วเบาแล้วกล่าวต่อไปว่า
หลินฟงข้าพเจ้าต้องการท่าน
. แต่มิทันจะพูดจบหิมะก็พลันสลบหมดสติฟุบนอนด้วยฤทธิ์สุราไปเสียก่อน
หลินฟงยามนั้นก็หน้าแดงด้วยฤทธิ์เหล้าประหนึ่งคนเมาเช่นกัน แต่ฉับพลันพริบตาเดียวที่หนุ่มน้อยโคจรพลัง ปราณของหยกน้ำเงินก็ทำให้ฤทธิ์ของเหล้าในกายนั้นสลายกลายเป็นเหมือนน้ำเปล่าไปสิ้น หลินฟงกลับมามีสติแจ่มใสอีกครา
เขาค่อย ๆ ชักมือออกจากการจับกุมของหิมะอย่าเบา ๆ จากนั้นจึงค่อย ๆ ปลดผ้าแพรที่ผูกไว้ที่ข้อมือของเขาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นจึงลุกออกจากหิมะไปอย่างเงียบ ๆ
ประมาทเกินไปแล้ว ทั้งที่ข้าพเจ้าก็บอกแล้วแท้ ๆ ว่าเมื่อมีโอกาสก็จะหนีไปทันที หลินฟงกล่าวก่อนจะเดินจากไป
แต่ไม่นานนักเขาก็กลับมาใหม่พร้อมกับผ้าห่มที่นำมาคลุมร่างของหิมะไว้ แล้วจากนั้นเขาจึงผูกแขนของตนไว้ด้วยผ้าแพรสีแดงเฉกเช่นเดิมพร้อมทั้งนั่งมองใบหน้าอันไร้เดียงสายามหลับของหิมะน้อย
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2550 |
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2550 16:36:28 น. |
|
0 comments
|
Counter : 597 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|