Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
19 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 33

บทที่ 33

ณ อุโมงค์หินลี้ภัยภายในตึกหมู่มาร

อุโมงค์หินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากหินผาแข็งแกร่งอยู่ลึกลงไปใต้ดินดั่งทางลับ แม้นทว่าถูกเรียกขานว่าเป็นอุโมงค์แต่ภายในนั้นยังคงกว้างขนาดหนึ่งห้องรับแขกขนาดใหญ่ เลยทีเดียว โดยตลอดทางก็ยังคงมีแสงไฟจากคบเพลิงคอยสาดส่อง

จ้าวมารยามนั้นวิ่งนำอยู่เพียงลำพังโดยใช้ท่าเท้าท่องแดนอสูรหลบหลีกมีดบินเจ็ดสายที่พุ่งแทงไล่มาจากทางด้านหลังได้อย่างเหนือชั้น ก่อนจะที่มันจะเหลือบกลับไปมองลูกศิษย์คนโปรดหวงเย่ว์ที่ตามติดไม่ห่าง พร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้ายและสัญญาณมือให้หยุด

ยามนั้นมารทั้งสองจึงหยุดเท้าชะงักหันกลับมามองศัตรูที่ไล่หลังมาอย่างหลินฟง และอู๋จิง ด้วยสายตาที่เยือกเย็นไร้กังวล

“ให้ที่นี้เป็นสุสานฝังพวกมันเถิด” จ้าวมารกล่าวน้ำเสียงเลือดเย็น ก่อนจะแผ่พุ่งพลังปราณพิษสีดำออกจากร่าง ฉับพลันมีดบินทั้งเจ็ดที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่ก็พลันถูกปราณพิษเหล่านั้นเหนี่ยวรั้งไว้ให้หยุดชะงักกลางหาวก่อนถึงกายจ้าวมารเพียงเล็กน้อย

“มารเฒ่าเลิกหนีแล้วรึ” อู๋จิงกล่าวพร้อมปรากฎกายจากมุมมืด ก่อนจะเรียกมีดบินทั้งเจ็ดกลับคืน จากนั้นจึงเป็นหลินฟงที่ตามมาไม่ห่าง

จ้าวมารได้ยินคำกล่าวของอู๋จิงเช่นนั้นก็พลันหัวเราะร่าอยู่นานก่อนจะตอบกลับเย็นชาไปว่า

“ตัวข้านั้นหนีอันใด ข้าเพียงเลือกที่ตายให้เด็กน้อยเยี่ยงเจ้าทั้งสองต่างหาก” จ้าวมารกล่าวคำลำพอง แต่วาจาของมันนั้นย่อมไม่เกินจริงไปเลยเมื่อเปรียบกับพลังปราณอันสูงส่งของมัน

อู๋จิงลอบประเมิณสถานการณ์เพียงครู่ก็กล่าวน้ำเสียงเข้มต่อหลินฟงไปว่า

“ฟงน้อย เจ้าช่วยรั้งพี่หวงเสียสักครู่หนึ่งได้หรือไม่” อู๋จิงกล่าวต่อหลินฟงอย่างแน่วแน่เสมือนมีแผนการณ์ในใจ

“ไม่มีปัญหา” หลินฟงกล่าวจบก็ตั้งท่าเตรียมเข้าสู้กับหวงเย่ว์เพื่อหมายเหนี่ยวรั้งตัวไว้

จ้าวมารเห็นหลินฟงจับจ้องไปทางหวงเย่ว์ไม่วางตาก็พลันยิ้มเย้ยไปทางอู๋จิงพร้อมกับสายตาที่มองเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยั่นไปว่า

“จะสู้กับข้าเพียงลำพัง อีกร้อยปีเจ้าก็ไม่มีเปรียบ” แต่คำเย้ยจ้าวมารยามนั้นหาได้กระทบใจอู๋จิงไม่ ชายหนุ่มยามนั้นมือซ้ายกำทวนทองพยักษ์แน่น ในขณะที่มือขวาก็จับกุมไว้ด้วยดาบเลื่อยฟันปลา มารเฒ่าเห็นเช่นนั้นจึงเย้ยว่า

"มีอาวุธวิเศษอันใดอีกรีบเปิดเผย" อู๋จิงได้ฟังก็ยิ้มรับแล้วตอบกลับไปว่า

“มารเฒ่า เจ้าจะได้ประจักษ์มันทั้งหมดแต่พร้อมเพรียง” พอกล่าวจบอู๋จิงก็พลันเร่งพลังปราณเต็มที่พร้อมทั้งนึกในใจว่า

"มารเฒ่ายามนี้ประมาทอยู่มาก ข้าต้องอาศัยช่วงเวลานี้ทุ่มกำลังทั้งหมดสิ้น ใช้ออกด้วยยอดวิชาสายดาบ มีด ทวน กระบี่ ล้มมันในคราเดียว"

ด้วยพลังปราณของอู๋จิงที่สูงส่งยามนั้นทำให้หลินฟงและหวงเย่ว์ เผลอลืมการต่อสู้ของตนไปสิ้นยืนนิ่งจับจ้องสายตาไปยังอู๋จิงอย่างตื่นตะลึง

“มารเฒ่าเตรียมรับมือสี่ศาสตรา” อู๋จิงกล่าวจบก็บังคับมีดบินทั้งเจ็ดพร้อมทั้งกระบี่หยกน้ำเงินให้เหินตัดอากาศอย่างรวดเร็วเข้าใส่มารร้ายซึ่งยืนกอดอกอย่างไม่หยี่ระ อีกทั้งตัวชายหนุ่มเองก็ทะยานร่างเข้าสู้มือหนึ่งโบกสบับทวนทองพยักษ์ มือหนึ่งวาดดาบเลื่อยฟันปลาดูมีพลังยิ่ง

“สี่ศาสตรา วายุพยักษ์ หงส์คลั่งทำลาย!!!” ยามนั้นมีดบินทั้งเจ็ดก็พุ่งดุจเกาทัณฑ์เข้าใกล้มารร้ายยิ่งแล้ว แต่มารเฒ่าก็หาได้วิตกไม่ เพียงวาดมือผ่านอากาศพลังปราณอสูรดำก็เข้าหยุดรั้งมีดทั้งเจ็ดจนนิ่งสนิทพร้อม ๆ กับรอยยิ้มเย้ย

แต่รอยยิ้มนั้นก็พลันต้องหายไปเมื่ออู๋จิงบังคับกระบี่หยกพุ่งเข้าหามารเฒ่า อนุภาพหยกน้ำเงินพลันสลายปราณอสูรบีบคั้นให้มารร้ายต้องปัดป้องล่าถอยจนหลังไปกระแทกกับผนังหิน

“กระบี่หยกบ้านี้อีกแล้ว!!!” จ้าวมารกล่าวไม่ทันจบที่หางตาซ้ายก็พลันเหลือบเห็นคมทวนพยักษ์พุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงด้วยท่าวายุพยักษ์ ทว่าเพียงพริบตามือซ้ายดุจภูติพรายของจ้าวมารก็คร่ากุมหยุดทวนไว้สำเร็จ แต่เพียงอึดใจเดียวก็มีแรงลมปะทะหน้ามันหนึ่งวูป ดาบเลื่อยฟันปลาตัดผ่านอากาศเข้าหาคอหอยมันแล้ว

เสียงปะทะดังกึกก้อง ฝ่ามือขวาของมารร้ายที่ยกมากันดาบเลื่อยฟันปลายังคงสั่นเทารุนแรง ตรงฝ่ามือมันยังเผยรอยเลือดบาดยาวให้เห็น ยามนั้นจ้าวมารที่เคยหยิ่งทะนงยังต้องมีสีหน้าไม่พอใจ ทั้งกัดฟันกรอด ๆ แล้ว พร้อมทั้งดีดตัวล่าถอย

ในขณะที่อู๋จิงเองแม้นรุกไล่ได้เปรียบแต่ใบหน้าก็คล้ายดั่งอึดอัดมากแล้ว

อู๋จิงไม่เปิดโอกาสให้มารร้ายได้ตั้งตัวติด บังคับมีดบินให้กระหน่ำซ้ำเสริมต่อเนื่อง “มวลหงส์ทำลาย!!! ” จ้าวมารพลันถ่ายพลังอสูรสู่กรงเล็บปัดป้องเหล่ามีดให้พ้นทาง

อู๋จิงแม้นมือซ้ายวาดดรรชนีกลางหาวควบคุมกระบี่บิน แต่ยังคงมีสมาธิ มือขวาใช้ออกด้วยยอดวิชาดาบ “สังหารไร้ซุ่มเสียง!!!” มารร้ายเมื่อถูกรุกไล่หยามเกียรติจึงพลันตะโกนอย่างบ้าคลั่งก่อนจะฟาดสองฝ่ามือเข้าปะทะดาบอย่างรุนแรง

แรงปะทะสร้างเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่เหนือสิ่งอื่นใดแรงนั้นกระชากดาบเลื่อยฟันปลาให้ต้องหลุดจากมือชุ่มเลือดของอู๋จิงที่พยายามฝืนรั้งมันไว้

ยามนั้นมารยิ้มเสมือนได้ชัย แต่มันหารู้ไม่ว่ากระบี่หยกน้ำเงินได้ถูกชักนำแล้ว

“บังคับกระบี่เหิน!!!” กระบี่หยกพุ่งทะยานจากมุมอับสายตาของมารร้ายแล่นเข้าหาร่างของมันอย่างรวดเร็ว และทันทีที่มารเฒ่าเห็นมันถึงกับหน้าถอดสีลอบเสียใจที่ประมาทดูเบาอู๋จิง

ทว่าไม่เพียงจ้าวมารที่อยู่ในภาวะสุดอัดอั้น ชายหนุ่มก็เช่นกัน เพราะการจะใช้ยอดวิชาของทั้งสี่ศาสตราในคราเดียวย่อมเหลือกำลังยิ่ง ยามนั้นก็เสมือนดั่งถึงขีดจำกัดของอู๋จิงแล้ว

“อีกนิดเดียวเท่านั้น!!!” ชายหนุ่มกัดฟันฝืนใช้พลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดบังคับกระบี่หยก โดยไม่สนใจว่าลมปราณของตนจะแตกซ่านอย่างไร

ฉึก!!! เสียงกระบี่ปักกระแทกดังก้อง ยามนั้นเพียงมองจากด้านข้างย่อมเห็นเป็นว่ากระบี่หยกหายเข้าไปในร่างมารร้ายแล้ว

ทว่าหากเพียงมองจากด้านหน้ากลับเห็นเป็นว่า กระบี่นั้นเพียงแทงลอดระหว่างช่องว่างใต้วงแขนมันเท่านั้นเอง หาได้เรียกเลือดจากมันไม่

“ยัง...ยังไม่ยอมแพ้หรอก” อู๋จิงพยายามบอกกับตัวเองก่อนจะกัดฟันฟาดหนึ่งฝ่ามือเข้าหาใบหน้าของจ้าวมาร

แต่เพลงฝ่ามืออันทื่อด้านเชื่องช้านั้นไหนเลยจะทำอันตรายมารร้ายได้ ฉับพลันจ้าวมารใช้ฝ่ามือขวาแทงออกดุจคมมีดพุ่งแหวกอากาศเข้าใต้อกของอู๋จิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทะลวงร่างเข้าไปหาหัวใจ และพริบตานั้นเองหัวใจของเด็กหนุ่มก็อยู่ในกำมือมันแล้ว

“ลาก่อน เจ้าเด็กน้อย” จ้าวมารพลันกล่าวคำอำมหิตก่อนจะหมายบีบหัวใจนั้นให้เละคามือ

แต่พริบตาสุดจะคาด ที่หางตาซ้ายมันพลันปรากฎเห็นเป็นเงาเตะพุ่งเข้าใส่อย่างแรง แม้นมารเฒ่าจะยกมือซ้ายที่ว่างอยู่เข้ากัน แต่แรงเตะนั้นก็มากพอจะพาร่างมันให้ต้องเซถลาไปหลายก้าว ละมือจากหัวใจของอู๋จิง

และเพียงจ้าวมารหยุดเซถลา มันก็พลันมองย้อนกลับไปด้วยสายตาอำมหิต ก่อนจะเห็นเป็นหลินฟงซึ่งกำลังประคองอู๋จิงที่เลือดท่วมกาย ใบหน้าซีดเซียว

“หวงเย่ว์!!! เจ้าทำไมปล่อยมันสอดมือมาได้” จ้าวมารกล่าวตะคอกลูกศิษย์อย่างโกรธา

“ขออภัยท่านอาจารย์ข้าพเจ้าเผลอเลอไปหน่อย” หวงเย่ว์กล่าวจบก็เดินเรียบเฉยมายืนต่อหน้าหลินฟงพร้อมทั้งแววตาอำมหิต

อู๋จิงเห็นดังนั้นก็พลันรีบกล่าวอย่างตะกุกตะกัก เลือดท่วมปากไปว่า

“หนี..หนีไป!” กล่าวจบ อู๋จิงก็กระอักเลือดอีกครา แต่หลินฟงนั้นหาได้ดูเหมือนรับฟังไม่ เพียงวางพี่ชายลงนอนอย่างช้า ๆ ก่อนจะกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิเคยคิดจะทิ้งพี่น้อง หากจะตายก็ตายด้วยกันเถิด” หลินฟงกล่าวจบก็ประนมมือ ประทับกระบวนท่าเทพพันมือ

“กล่าวได้ประเสริฐ” หวงเย่ว์กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก จากนั้นจึงลงมือวาดเพลงเตะเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ท่วงท่าไร้การสูญเปล่า

แต่เพลงเตะนั้นหาได้โจมตีหลินฟงไม่ กลับเตะสลับซ้ายขวาเข้าใส่จ้าวมารให้ต้องปัดป้องวุ่นวายพร้อมกับเสียงด่ากราดไปว่า

“บัดซบ เจ้าคิดจะทรยศข้ารึ” มารเฒ่าร้องเสียงหลง

“พี่หวง ท่านกลับใจได้แล้วหรือ” หลินฟงกล่าวน้ำเสียงยินดีนัก

“ฟงน้อยเจ้าเข้าใจผิดแล้ว...” หวงเย่ว์หยุดกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันชั่วร้าย จากนั้นจึงพูดต่อไปว่า

“ที่ข้าลงมือก็เพราะต้องการ ล้มมันและขึ้นเป็นใหญ่แต่เพียงลำพังต่างหาก” สิ้นเสียงหวงเย่ว์มันก็ร่ายรำกรงเล็บมารเข้าปะทะกรงเล็บมารของจ้าวมารทันที

อู๋จิงแม้นได้ยินเช่นนั้นแต่ก็อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ยามนั้นจึงใช้ออกด้วยวิชาบังคับกระบี่เหินทันที แต่หาใช่กระบี่บินที่บังคับไม่ กลับเป็นเข็มเงินร้อยด้ายที่ซ่อนอยู่ปรากฎออกมาเย็บแผลที่ใต้อกอย่างรวดเร็ว

ฝ่ายหลินฟงเมื่อเห็นหวงเย่ว์เริ่มลงมือจึงรีบเข้าร่วมศึก ประทับเทพพันมือร่ายรำเพลงฝ่ามือนับไม่ถ้วนเข้าจู่โจมยามนั้นประดุจเห็นเป็นพันมือ

ฝ่ายจ้าวมารยามเมื่อโดนบีบคั้นจากสองด้านจึงต้องอึดอัดมากแล้ว ไหนจะกรงเล็บมารหวงเยว์ ไหนจะฝ่ามือธรรมหลินฟง ยามนั้นมารร้ายต้องถอยร้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าเดือดแค้นแสนสาหัส

“เห็นทียามนี้จะถึงคราเคราะห์ของท่านผู้เฒ่าแล้ว” หวงเย่ว์กล่าวอย่างได้ที แต่จ้าวมารร้ายกลับยิ้มที่มุมปากพร้อมตอบไปว่า

“คงเป็นคราเคราะห์ของข้าแน่ หากข้าถ่ายทอดวิชาให้เจ้าทั้งหมดสิ้น” หวงเยว์ได้ฟังคำจ้าวมารก็พลันตื่นตะลึงยิ่ง มีวิชาลึกลับอันใดที่ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์มารเปลี่ยนอสูรกัน

จ้าวมารยามนั้นลอบยิ้มที่มุมปากก่อนจะฟาดฝ่ามือขวาเข้าปะทะกรงเล็บของหวงเย่ว์ พร้อมเพรียงกับฝ่ามือซ้ายที่ฟาดเข้าใส่หมัดของหลินฟง ทว่าทั้งสองฝ่ามือนั้นหาได้รุนแรงไม่ เพราะมันผู้เฒ่าเพียงหยิบแรงปะทะดีดตัวถอยหนีไปเท่านั้นเอง

และเพียงมันละมือจากสองพี่น้องได้ มันก็รีบเดินพลังสร้างหมอกเมฆสีดำสนิททั่วทั้งสองมือ หวงเย่ว์ตื่นตะลึงจ้องมองไม่วางตาใจเต้นสั่นเทา หลินฟงเห็นท่าไม่ดีพลันพุ่งตัวหามารเฒ่าหมายจะขัดขวาง

“สววรค์มีทางเจ้าไม่เดิน!!!” จ้าวมารกล่าวจบก็วาดดรรชนีคู่จากมือซ้ายขวา ฉับพลันหมอกเมฆสีดำที่มือทั้งสองก็พลันพุ่งทะยานออกเป็นคมกระบี่สีดำนับสิบสาย ห้าสายพุ่งเข้าใส่หลินฟง อีกห้าสายพุ่งโจมตีหวงเย่ว์

หลินฟงซึ่งกำลังบุกเข้าใส่เต็มตัวประดุจเกาฑัณฑ์หลุดสาย ฉับพลันเห็นคมกระบี่ดำทั้งห้าที่พุ่งเข้าสวนมาอย่างเฉียบคมก็ตื่นตะลึงยิ่งแล้ว วินาทีแห่งความเป็นตายนั้นเองเด็กหนุ่มพลันใช้สองมือคร่ากุมแขนเสื้อทั้งสองของตนเองก่อนจะกระชากดึงให้ขาดเป็นทางยาว

“พลังหมื่นน้ำแข็งขั้นที่เจ็ด!!!” หลินฟงฉับพลันถ่ายไอเย็นจับกุมแขนเสื้อทั้งสองเปลี่ยนมันให้เป็นสองกระบี่น้ำแข็งในพริบตา ก่อนจะยกประสานต้านทานปราณกระบี่สีดำทั้งห้า บังเกิดเป็นเสียงดังสะท้านพร้อมทั้งภาพเกร็ดน้ำแข็งที่กระจายตัวไปทั่ว ก่อนจะเห็นเป็นฟงน้อยที่ดีดตัวถอยพร้อมทั้งรอยเลือดที่มุมปาก

ฝ่ายหวงเย่ว์นั้นยังดีที่อยู่ห่างจ้าวมารมากกว่าหลินฟง ยามเห็นคมกระบี่ดำทั้งห้ายังพอมีเวลาเดินพลังวาดกรงเล็บเข้าต้านทานได้ แต่กระนั้นความรุนแรงของปราณกระบี่ดำยังคงพาร่างมันถอยไปกว่าสิบก้าว มือซ้ายขาวสั่นเทาพร้อมลอยเลือดหยด

“มันไม่ใช่คนแล้ว” หลินฟงกล่าวจบก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งครา

“มันย่อมไม่ใช่คนอยู่แล้ว” หวงเย่ว์กล่าวอย่างหน้าเสีย อันวิชาที่จ้าวมารเก็บงำไม่ถ่ายทอดนั้นย่อมมีแท้จริง ยามนั้นสองพี่น้องจึงได้แต่ลังเลไม่กล้าบุกเข้าใส่แล้ว

จ้าวมารเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองไม่รุกไล่ต่อก็พลันยิ้มอย่างพึงพอใจยิ่ง จากนั้นจึงกล่าวคำเรียบง่ายทว่าน้ำเสียงอำมหิตไปว่า

“เห็นแก่พวกเจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง ข้าผู้เฒ่าจะให้ตายตกไปพร้อมกัน ยามอยู่ยมโลกจะได้ไม่เหงา” จ้าวมารกล่าวจบก็กางสองแขนออกอย่างช้า ๆ ทว่าดูมีอำนาจยิ่งนัก ฉับพลันพลังปราณสีดำรอบกายมันก็แผ่ขยายไปทั่ว อีกทั้งสีของปราณนั้นก็ค่อยๆ ดำทมึนเข้าไปเรื่อย ๆ ประดุจเมฆดำก่อนฝนตก

นี่ย่อมเป็นวิชาเดียวกันกับเมื่อครู่แน่ ทว่าก่อนหน้านี้ปราณเมฆดำนั้นกว้างเพียงคลุมสองมือ แต่คราวมันแผ่ขยายเสียจนเห็นเป็นว่าทั่วทั้งฉากหลังของจ้าวมารยามนั้นดำสนิทแล้ว

ยามนั้นทั้งหลินฟง และหวงเย่ว์ทำได้แต่มองตาค้าง สองขาค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัวจะกระทั่งหลังของทั้งสองนั้นกระทบเข้าถูกฝ่ามือหนึ่ง พร้อมกับน้ำเสียงที่กล่าวแต่แผ่วเบาว่า

“พี่น้องข้า ยามนี้โปรดระวังตัว” ผู้กล่าวเป็นอู๋จิงที่พื้นตัวจากอาการปางตาย แม้นยามนี้มันจะลุกขึ้นจับอาวุธได้อีกครั้ง แต่จะเข้าสู้ได้นานแค่ไหนกัน ทว่าถึงกระนั้นมันก็ทำให้ฟงน้อย และหวงเย่ว์ได้ใจชื่นขึ้นบ้าง

พออู๋จิงกล่าวจบมือขวาก็ยื่นกระบี่หยกน้ำเงินให้หลินฟง ในขณะที่มือซ้ายนั้นยื่นดาบเลื่อยฟันปลาให้หวงเย่ว์ ส่วนตัวมันนั้นใช้เพียงทวนทองพยักษ์

หลินฟง และหวงเยว์นั้นต่างรับเอาอาวุธไปใช้โดยดี มันย่อมรู้แน่ว่ายามนี้คงมีเพียงอาวุธวิเศษที่พอจะช่วยต่อเส้นชีวิตของมันออกไปได้

“มันใกล้จะมาแล้ว” อู๋จิงกัดฟันกล่าว พอจบคำนั้นจ้าวมารซึ่งยืนกอดอกอยู่อยู่เบื้องหน้าปราณหมอกเมฆสีดำประดุจฉากหลัง ก็ค่อยๆ คลายมือจากการกอดอกอย่างช้า ๆ ก่อนจะยกมือขาวชี้นิ้วไปทางสามพี่น้องแล้วกล่าวประกาศนามวิชาไปว่า

“มวลกระบี่มารไร้จำกัด!!!” สิ้นเสียงมันนั้นเอง กระบี่ดำก็ค่อย ๆ ผุดออกจากม่านหมอกสีดำก่อนจะลอยนิ่งค้างกลางอากาศอย่างพร้อมเพรียงจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย จนกระทั้งเห็นกระบี่ดำลอยอยู่ด้านหลังมารร้ายเต็มไปหมดประดุจฝูงค้างคาวเตรียมออกล่าเหยื่อ

“จงรับด้านมืดของกระบี่ไป” พอจ้าวมารกล่าวคำอหังการจบมวลกระบี่มารนับร้อยก็พุ่งเข้าหา สามพี่น้องอย่างพร้อมเพรียง

พริบตานั้นเองเสียงลมจากกระบี่ดำที่พุ่งผ่านอากาศก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องประดุจเสียงฝนตกกระทบกระเบื้องดินบนหลังคา และมิทราบเสียงลมเหล่านั้นดังเนิ่นนานเพียงใดกัน แต่สำหรับชายทั้งสามพวกเขารู้สึกเหมือนเสียงนั้นจะไม่มีวันจบสิ้น พวกเขาใช้อาวุธในมือต้านรับคมปราณกระบี่อย่างสุดแรงจน เสียงปะทะของอาวุธและกระบี่ดำดังกึกก้องดุจลั่นกลองรบอย่างยาวนาน ก่อนจะจบลงที่ฝุ่นผงกระจายไปทั่วทั้งห้อง

ขนาดที่ว่าภายในอุโมงค์นั้นทำจากหินทั้งหมดสิ้น ยังคงเห็นเป็นว่าผนังศิลา พื้นหิน หรือเพดาน ต่างร้าวแตกป่นปี้ จะเหลือก็แต่พื้นด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสามที่ยังคงสภาพเรียบเชกเช่นเดิม

“ปาฏิหาร์แท้ ๆ ที่พวกเรายังไม่ตาย” หวงเย่ว์กล่าวจบก็ทรุดเข่าลงกับพื้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ในขณะที่อู๋จิงก็หอบหายใจแรง เสื้อของมันนั้นแดงฉานไปด้วยรอยเลือดแล้ว ยังคงมีเพียงหลินฟงเท่านั้นที่ดูดีกว่าคนอื่นโดยมีเพียงรอยบาดยาวหลายแห่งซึ่งอาจจะด้วยว่ากระบี่หยกน้ำเงินนั้นต้านพลังมารได้ดีที่สุดก็เป็นได้

จ้าวมารเห็นทั้งสามยังคงมีชีวิตรอดมาได้ ก็พลันมีสีหน้าไม่พอใจอยู่บ้างก่อนจะกล่าวไปว่า

“ไม่น่าเชื่อพวกเจ้าจะรอดมาได้ แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าจะทำได้อีกเป็นครั้งที่สอง” มารร้ายกล่าวจบก็กางสองแขนใช้ออกด้วยอวิชาเดิมอีกครั้ง

ยามนั้นทั้งหวงเย่ว์ และหลินฟงเพียงเห็นมารเฒ่าเตรียมใช้วิชามารอีกครั้งก็พลันมีสีหน้าท้อแท้อดสู ในแววตานั้นหาได้มีความหวังไม่ แต่ฉับพลันนั้นเองมิทราบอู๋จิงกล่าวแผนการณ์อันใดต่อพี่น้องทั้งสอง มันทั้งคู่จึงพลันมีแววความหวังในดวงตาอีกครั้ง

เมื่ออู๋จิงกล่าวจบทั้งสามก็พลันจัดทัพเป็นสองคนยืนหน้าหนึ่งคนอยู่หลัง อู๋จิงและหวงเย่ว์ทั้งสองยืนเบื้องหน้าในขณะที่หลินฟงนั้นยืนอยู่ทางด้านหลัง จากนั้นทั้งสามจึงรวบรวมพลังที่เหลืออยู่ทุ่มสุดตัวทะยานเข้าหาจ้าวมารอย่างไม่คิดชีวิต

ทางด้านจ้าวมารนั้นแม้นจะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็หาได้วิตกอันใดไม่ มันเดินพลังสร้างม่านหมอกสีดำกระจายไปทั่วแล้ว แต่ครานี้ดูเหมือนว่าการรีบบุกของสามพี่น้องจะทำให้จ้าวมารต้องรีบใช้วิชาออกก่อนเวลาอยู่บ้าง

“มวลกระบี่มารไร้จำกัด!!!” สิ้นคำกล่าวกระบี่มารทั้งหลายก็พลันผุดออกจากม่านหมอกสีดำ ก่อนจะทะยานผ่านอากาศ เข้าไปหาชายทั้งสามที่วิ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล

แม้น'มวลกระบี่มารไร้จำกัด'ครานี้จะยังไม่สมบูรณ์ดีแต่ปราณกระบี่ดำที่สร้างขึ้นกว่าครึ่งร้อยก็น่าจะเพียงพอที่จะคร่าชีวิตชายทั้งสามได้

“วายุพยักษ์!!!” อู๋จิงควงทวนทองพยักษ์ดุจกังหันปัดป้องฝูงกระบี่ดำบังเกิดเป็นเสียงปะทะดังระรัว ในขณะที่หวงเย่ว์ก็ใช้ดาบเลี่อยฟันปลาแทนกระบี่ใช้ออกด้วยเพลงกระบี่เขียนอักษรวาดคำว่าปกป้อง ร่ายรำบุกฝ่าฝูงกระบี่ดำอย่างไม่คิดชีวิต โดยที่หลินฟงซึ่งอยู่ด้านหลังนั้นยังคงไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด

ยามนั้นทั้งอู๋จิงและหวงเย่ว์ต่างทำหน้าที่เสมือนเป็นโลห์ปกป้องหลินฟง มิทราบนี้เป็นแผนการณ์รบอันใดกัน? หรือว่าทั้งสองต้องการให้หลินฟงได้เข้าสู้กับจ้าวมารในสภาพที่ดีที่สุด?

แต่ยิ่งชายทั้งสามเข้าใกล้จ้าวมารเท่าใดปราณกระบี่ดำยิ่งหนาแน่นรุนแรงขึ้นเท่านั้น หลังดาบเลื่อยฟันปลาปะทะปราณกระบี่ดำมานับไม่ถ้วน มือของหวงเย่ว์ก็ล้าและชุ่มไปด้วยเลือดและเหงื่อมากแล้ว และเพียงดาบเล่มนั้นถูกใช้เข้าปะทะอีกครั้งมันจึงหลุดมือหวงเย่ว์ไป และเมื่อไร้ศาสตราปัดป้องหวงเย่ว์จะใช้อะไรป้องกันปราณกระบี่ดำที่พุ่งเข้าใส่ได้

“เรียกกระบี่มาร!!!” สุดจะคาดหวงเยว์ใช้ปราณอสูรของตนสร้างคมกระบี่มารสีดำให้ปรากฎในสองมือ ดั่งลอกเลียนวิชาของจ้าวมารได้

ยามนั้นหวงเย่ว์จึงใช้สองกระบี่มารที่สร้างขึ้นต้านทานต่อไป ในขณะอู๋จิงกลับพลาดพลั่งถูกคมกระบี่ดำพุ่งทะลุผ่านต้นขาทั้งสอง แม้นเขาจะกัดฟันร่ายรำเพลงทวนบุกเข้าสู้ต่อไป แต่ก็เพียงไม่นานก็ต้องทรุดตัวลงกองกับพื้น

“หลินฟงเจ้าต้องทำให้ได้” หวงเย่ว์ซึ่งวิ่งนำหลินฟงไปได้อีกอีกไม่นานก็โดนคมปราณกระบี่ดำปักเข้าที่ไหล่ซ้าย ขวาอย่างจัง เซถลาล้มทั้งยืน ยามนั้นจึงเหลือเพียงหลินฟงเพียงคนเดียวแล้ว

“ประทับเทพพันมือ!!!” หลินฟงประทับสมาธิควบคุมกระบี่หยกร่ายรำต้านฝูงกระบี่มารอย่างรวดเร็วประดุจเห็นเงากระบี่สีฟ้าเคลื่อนไหวเต็มฟ้า เข้าต้านรับห่าฝนกระบี่ดำที่พุ่งเข้าใส่ได้อย่างเต็มที่

ทว่าแม้นอู๋จิงและหวงเย่ว์จะกรุยทางไปหาจ้าวมารให้กว่าครึ่งแล้ว แต่อีกครึ่งที่เหลือนั้นก็ไม่ง่ายเลยเพราะว่าเหลือเพียงหลินฟงคนเดียวแล้ว กระบี่มารทั้งหลายเลยพุ่งเข้าหาเขาเพียงจุดเดียว ยามนั้นจึงเสมือนวิ่งผ่าฝนจะไม่ให้เปียกปอนได้อย่างไร

มือทั้งสองของหลินฟงเริ่มล้าทำให้โดนคมกระบี่ดำบาดเฉือนไปไม่น้อย ทว่าฟงน้อยยังคงปัดป้องกันจุดสำคัญได้หมดสิ้นและเพียงระยะห่างระหว่างตัวเขาและจ้าวมารเหลือเพียงสิบก้าว คำกล่าวของอู๋จิงที่เคยบอกก็พลันดังขึ้นในหัวของเขาอีกครา

“วินาทีที่มันใช้กระบวนท่า'มวลกระบี่มารไร้จำกัด'จบ วินาทีนั้นพลังปราณอสูรของมันจะหมดสิ้นไปครู่หนึ่ง ยามนั้นหลินฟงเจ้าต้องทำให้ได้”

ยามนั้นแววตาของหลินฟงฉับพลันเปลี่ยนเป็นมั่นคงแน่วแน่ก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดสิ้น กระโจนลอยตัวเหนือพื้นเข้าหาจ้าวมารที่ยามนั้นไร้พลังอสูรคุ้มกายเชกเช่นทุกที

ฉึก!!! เสียงอาวุธต้องร่างดังก้อง

แต่ทว่ากลับเป็นกระบี่มารสีดำที่พุ่งแทงต้นขาขวาของหลินฟงขณะที่เขาลอยตัวกลางหาว ฟงน้อยยามนั้นกัดฟันฝืนเจ็บทิ่มแทงปลายกระบี่หยกน้ำเงินพุ่งเข้าไปที่อกของจ้าวมารด้วยแรงทั้งหมดสิ้น

คมกระบี่พุ่งเขาหาตำแหน่งหัวใจของมารร้ายไม่ผิดพลาด ทว่าสุดจะคาดปลายคมกระบี่กลับหยุดยั้งก่อนถึงอกมันเพียงนิ้วเดียว ที่แท้จ้าวมารยังคงร้ายกาจใช้ออกด้วยมือซ้ายคีบจับหยุดตัวกระบี่ได้สำเร็จ มันยังคงมีพลังซ่อนอยู่!!!

ในทางกลับกันหลินฟงที่ทุ่มพลังจนหมดสิ้นไปแล้ว ตัวเขานั้นไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่อีกต่อไป ยามนั้นมารเฒ่าจึงเพียงยิ้มเย้ยอย่างได้ทีก่อนจะกล่าวไปว่า

“น่าเสียดาย หากเจ้ามีแรงมากอีกสักหน่อย คมกระบี่นี้คงปักเข้าร่างข้าได้ ฮะฮะฮะ” พอมันกล่าวจบก็ใช้มือขวาที่เหลืออยู่ฟาดเข้าใส่ร่างหลินฟงทันที

ยามนั้นจ้าวมารยิ้มดุจได้ชัยไปแล้วแต่ฉับพลันนั้นเองมันกลับต้องตื่นตะลึงดวงตาเบิกกว้าง อันฝ่ามือของมันที่พุ่งเข้าใส่หลินฟง ยามนั้นเด็กหนุ่มยังคงสามารถยกฝ่ามือมือซ้ายขึ้นมาประสานกันได้ทันท่วงที แต่ที่มารร้ายตื่นตะลึงนั้นหาใช่การป้องกันไม่ แต่เป็นฝ่ามือของมันที่เสมือนปะทะเข้าเพียงอากาศธาตุ

วินาทีนั้นเองจ้าวมารลอบกล่าวอย่างลืมตัวออกไปว่า

“รึว่า…มันใช้โยกย้ายดารา!!!” มารร้ายสุดจะคาดกำลังฝ่ามือของมันถูกดึงดูดเข้าสู่มือซ้ายของหลินฟงก่อนจะถูกโอนถ่ายเข้าสู่มือขวาของเด็กหนุ่มที่จับกระบี่หยกน้ำเงินอยู่เป็นมั่นคง

“โยกย้ายดารา!!!” หลินฟงฉับพลันหยิบยืมพลังของจ้าวมารมาเป็นของตนแทงออกด้วยกระบี่หยกน้ำเงินทันที ครานี้มือซ้ายของจ้าวมารที่คีบจับกุมกระบี่หยกก็ไม่สามารถรั้งไว้ได้อีกต่อไป กระบี่นั้นเคลื่อนเข้าแทงกลางหัวใจของมันชัดเจน

“อ๊าาาากกก!!!” จ้าวมารร้องลั่น ก่อนจะเซถลาจนแผ่นหลังไปติดผนังหินด้านหนึ่ง ดวงตาของมันเบิกกว้างสุดแสน เนื้อตัวสั่นเทา อันกระบี่หยกเป็นสิ่งทำลายพลังมารแท้จริง

ยามนั้นผิวกายของมารเฒ่าที่เคยเปล่งปลั่งก็ค่อยๆ เหี่ยวย่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยาบแห้ง ร่างมารที่เคยหยุดคงสภาพไว้เสมือนยอดยุทธ์วัยห้าสิบก็พลันค่อย ๆ เปลี่ยนไปเสมือนดั่งเป็นชายแก่อายุเจ็ดสิบ แปดสิบ จนกระทั้งมากกว่าร้อยปีพร้อมทั้งเสียงตะโกนร้องโหยหวนของมันที่ค่อยๆ หายไป

แต่แววตาอันเคียดแค้นยังคงอยู่ มันมองไปยังหลินฟง และ อู๋จิงอย่างเคียดแค้นแสนสาหัส แต่ก่อนที่มันจะขาดใจก็ได้มองไปยังหวงเย่ว์ แต่ไม่ใช่สายตาแห่งความแค้นเป็นสายตาที่ยากจะบอกได้ มันแฝงความนัยบางสิ่ง และไม่นานจ้าวมารก็ดับสูญไป




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2550
0 comments
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 22:07:09 น.
Counter : 457 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.