|
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 27
บทที่ 27
ณ งานชุมนุมชาวยุทธ์
ภายในห้องโถงกว้างแบบเปิดโล่งบนชั้นสูงสุดของหอมองจันทร์แห่งพรรคกระจ่างแจ้งยามนั้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังตรงกลางเวทีซึ่งมีเพียงชายสามคนผู้ถือครองความยิ่งใหญ่กันคนล่ะขั้ว หลิวเหยี่ยนหงมือกระบี่อันดับหนึ่งสำนักเทพกระบี่ พยักษ์ขาวเจ้าสำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ และสุดท้ายหวังเผิงเจ้าสำนักกระจ่างแจ้ง ยามนั้นหากให้เลือกผู้ใดผู้หนึ่งเป็นเจ้ายุทธภพก็นับว่าต้องชั่งใจมากแล้ว
ตัดกระบี่ซึ่งยื่นอยู่ในหมู่ชนจ้องมองตรงไปยังพยักษ์ขาวแล้วก็ได้แต่ลอบยิ้มที่มุมปากจนอู๋จิงอดสงสัยถามมิได้
ท่านอาจารย์ มีเรื่องอันใดน่าสนใจหรือ
เจ้าจำไม่ได้หรือว่าเบื้องหลังพยักษ์ขาวนั้น แท้จริงมันคือผู้นำกลุ่มโจรจิ้งจอกดำ ยามนี้มันเสนอตัวเป็นผู้นำยุทธภพเช่นนี้ไม่คิดน่าขำหรือ
ก็จริงของท่าน
..นับว่ามันกล้าไม่เบา อู๋จิงกล่าวพร้อมทั้งนึกขำในใจ
พอมีผู้เสนอตัวเป็นผู้นำยุทธภพถึงสามคน ชาวยุทธ์ทั้งหลายในงานจึงเริ่มวิพากย์วิจารณ์ความเหมาะสมของแต่ละคนกันอย่างสนุกปาก ใครเป็นคนของฝ่ายไหนก็ย่อมถือหางมันผู้นั้นและด่าสาดเสียเทเสียต่ออีกฝ่ายที่เหลือ
และเมื่อความเห็นไม่ตรงกันดังนี้แล้วไม่นานนักบรรยากาศของความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวยุทธ์ก็เริ่มเปิดเผยออกมา เริ่มจากด่าทอจนไปถึงหมายจะวัดระดับฝีมือกันในงานก็ไม่ปาน นี้ไม่นับว่าไร้สาระสิ้นดีอย่างงั้นหรือ ไม่ทันที่จะรวมพลังไปกำจัดมารก็จะทำลายล้างกันเองเสียแล้ว
พริบตานั้นเอง หวังเผิง เจ้าบ้านซึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงรีบชิงกล่าวด้วยเสียงอันดังหมายเตือนสติชาวยุทธ์ทั้งหลาย
พวกท่านอย่าได้ขัดแย้งกันไปเลย ผู้ที่จะนำยุทธภพย่อมถูกคัดเลือกอย่างยุติธรรม เสียงอันเปี่ยมไปด้วยพลังของมันทำเอาชาวยุทธ์ทั้งหลายหยุดฟังเงียบงันยิ่งแล้ว
แต่ก่อนที่มันจะกล่าวอันใดต่อไป หลิวเหยี่ยนหงผู้ถือกางพัดกระดาษปิดครึ่งหน้าในยามนั้นก็รวบเก็บพัดกระดาษของมันพร้อมกับกล่าวน้ำเสียงท้าทายว่า
หากจะคัดเลือกเจ้ายุทธภพ ใยไม่ใช้วิธีดั่งเดิมเล่า
พยักษ์ขาวได้ฟังดังนั้นก็ลอบกล่าวทวนคำด้วยน้ำเสียงสูงว่า
วิธีดั่งเดิมอันใด
ประลองฝีมือ!!! ผู้ใดเยี่ยมยุทธ์ที่สุดย่อมสมควรเป็นเจ้ายุทธภพแล้ว มือกระบี่หนุ่มย่อมมั่นใจในฝีมือมันอย่างยิ่ง อีกทั้งชื่อเสียงเลื่องลือในฝีมือของมันล้วนไม่ใช่เรื่องโกหก แม้นแต่พยักษ์ขาวเองก็ไม่มั่นใจว่าจะมีเปรียบในการนี้จึงตีฝีปากขึ้นว่า
เด็กหนุ่มล้วนคิดแต่จะใช้กำลัง หากพวกเราลงมือประลองกันเองเช่นนี้ พลาดพลั่งขึ้นมาจะพาลเสียน้ำใจกันเปล่า ๆ นับว่าไร้เหตุผลสิ้นดี
ท่านอาพยักษ์ขาวยามนี้ชรามากแล้ว ข้าน้อยย่อมเข้าใจ หลิวเหยี่ยนหง กล่าววาจาดาบในรอยยิ้ม
บัดซบ ไอ้ลูกเต่า!!! พยักษ์ขาวสุดจะระงับใจ ด่าทอกลับไปด้วยเสียงดังเกรี้ยวกราด
ชายแก่อย่าเพียงแต่ปากดี หากท่านถือตัวเก่งจริง ลองแสดงเพลงทวนพยักษ์ให้ข้าชื่นชมเถิด หลิวเหยี่ยนหงกล่าวจบก็รวบเก็บพัดกระดาษ พร้อมทั้งชี้ไปที่หน้าของพยักษ์ขาวอย่างท้าทาย
แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายสมใจมือกระบี่หลิว ก็เป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดอย่างหวังเผิงได้ออกมาห้ามปรามว่า
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับ พยักษ์ขาว การประลองล้วนแต่จะทำให้เกิดการเสียน้ำใจ อีกทั้งไม่ได้เกิดผลดีแต่อย่างใด พยักษ์ขาวได้ยินเช่นนั้นก็พลันแปลกใจไม่น้อยที่ได้รับการสนับสนุนพลันลอบคิดไปว่า
ไอ้เฒ่านี้มันจะมาไม้ไหนอีก พยักษ์ขาวย่อมอดคิดไม่ได้ว่าหากมันต้องประลองกับ หลิวเหยี่ยนหงจริง ผู้ได้ประโยชน์ก็เป็น หวังเผิง ที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงอันใดเสมือนนั่งภูดูเสือกัดกัน
แต่สุดท้ายคำกล่าวต่อมาของ หวังเผิง ก็อธิบายทุกสิ่ง
เป็นที่แน่นอนว่าเจ้ายุทธภพต้องมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่หากจะเลือกวิธีการแล้ว ข้าพเจ้าขอเสนอว่า.....หากหนึ่งในพวกเรา ผู้ใดสามารถกำจัดจิ้งจอกดำโจรผู้ต่ำช้าได้ มันสมควรได้รับตำแหน่งเจ้ายุทธภพไป คำกล่าวของหวังเผิง ประดุจสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางตัวพยักษ์ขาวทันที
ไอ้ลูกหมา บัดซบ พยักษ์ขาวลอบด่ากล่าวในใจ
จะว่าไปแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าสำนักกระจ่างแจ้งผู้รอบรู้อย่างหวังเผิงจะไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งของพยักษ์ขาวนั้นก็คือจิ้งจ้องดำ แต่ที่มันไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเพราะมันเองก็มองว่าการเปิดโปงนั้นไม่มีประโยชน์อันใดต่อมันเลย แต่มายามนี้มันกลับแยบคายร้ายกาจใช้จุดอ่อนของพยักษ์ขาวมาบีบคั้นให้พยักษ์ขาวต้องถอนตัวออกไป
เป็นวิธีที่ดีจริงๆ ฮะฮะฮะ มือกระบี่หลิวเหยี่ยนหง ซึ่งอาจจะทราบถึงธุรกิจมืดของพยักษ์ขาวพลันรีบยกมือสนับสนุนทันที พร้อมกับเสียงชาวยุทธ์ทั้งหลายที่สนับสนุนความคิดนี้เสียด้วย
ยามนั้นพยักษ์ขาวอึดอัดแทบคลุงคลั่ง ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรได้ แน่นอนว่ากลุ่มโจรจิ้งจอกดำนับว่าเป็นธุรกิจมืดที่ทำรายได้ให้มันมิน้อย อีกทั้งส่งเสริมให้ธุรกิจคุ้มภัยของมันให้เจริญงอกงามอีกด้วย
สุดท้ายพยักษ์ขาวได้เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนจะกล่าวกระชากเสียงไปว่า
ดี!!! ตกลงตามนั้น คำตอบของพยักษ์ขาวทำเอา หลิวเหยี่ยนหงและหวังเผิงอดแปลกใจมิได้ กระนั้นมันทั้งคู่ก็อดจะปิดงัมรอยยิ้มที่มุมปากมิได้
หลายวันต่อมา ณ เนินเขาซึ่งเป็นที่มั่นของกองโจรจิ้งจอกดำ
บนสูงสุดของเนินเขาเห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ซึ่งปัจจุบันถูกใช้เป็นซ่องโจรของกลุ่มจิ้งจอกดำ ยามนั้นพวกโจรร้ายร่วมห้าร้อยคนได้ออกมาตั้งแนวรบออกเป็นสี่ชั้น พวกมันในชั้นแรกถือโลห์ขนาดใหญ่และอาวุธยาวหลากหลายทั้ง หอก ทวน ขวาน ดาบ ในขณะที่ชั้นสองถึงสี่นั้นเป็นพวกที่ถือธนูทั้งสิ้นแสดงให้เห็นว่าพวกมันซึ่งตั้งทัพอยู่บนที่สูงอาศัยภูมิศาสตร์เอื้อประโยชน์ต่อการใช้ธนู ในขณะที่ผู้ที่ยืนอยู่ท้ายสุดของกองทัพคือ จิ้งจอกดำในชุดบู๊สีดำรัดกุมและผ้าคลุมปิดปังใบหน้า มือซ้ายถือทวนมังกรดำอันเลื่องลือ
ทางด้านฝ่ายชาวยุทธ์นำโดย พยักษ์ขาวซึ่งพาคนของสำนักคุ้มภัยมาร่วมสองร้อย ติดตามมาด้วยหวังเผิง ซึ่งพาคนของมันมาเกือบร้อยเช่นกัน ในขณะที่ หลิวเหยี่ยนหง กลับมาพร้อมกับคนรับใช้เพียงหนึ่งนายซึ่งถือกล่องยาวอันหนึ่งขนาดพอดีที่จะใส่กระบี่ยาวหนึ่งเล่ม และถัดออกไปหน่อยก็เป็นกลุ่มชาวยุทธ์ไร้สังกัดที่ตามมาเฝ้าดู ซึ่งพวกของตัดกระบี่ หลินฟง และอู๋จิง ก็ยืนอยู่ในกลุ่มพวกนี้เช่นกัน
ยามนั้น หลิวเหยี่ยนหง และ หวังเผิง ต่างมอง พยักษ์ขาวเป็นตาเดียว หากมันอยู่ที่นี้แล้วย่อมแสดงว่าจิ้งจอกดำที่อยู่บนเนินเขานั้นเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน
จิ้งจอกเฒ่าดูสงบนิ่งนัก ไม่ทราบยามนี้นับมีอุบายอันใด หลิวเหยี่ยนหงด่าทอพยักษ์ขาวในใจ
ในขณะที่หวังเผิง หลังมองการจัดทัพของเหล่าโจรร้ายก็ได้กล่าวประเมิณสถานกาณ์รบต่อพยักษ์ขาวและคนแซ่หลิวไปว่า
พวกโจรเจ้าเลห์ร้ายกาจ ใช้ธนูเป็นอาวุธหลัก หากพวกเรานำทัพบุกตีขึ้นเนินเขาต้องลำบากยิ่งแล้ว อีกทั้งพาลจะถูกธนูของมันสังหารง่ายดายยิ่ง หวังเผิงกล่าวอย่างมีเหตุผล
แต่หลิวเหยี่ยนหงนั้นหาได้ฟังไม่ มันเอาหูทวนลมและเดินไปเปิดกล่องไม้ยาวจากบ่าวไพร่ก่อนจะหยิบสิ่งของภายในออกมา และไม่น่าเชื่อสิ่งนั้นกลับไม่ใช่กระบี่ยาวแต่อย่างใด มันเป็นพัดผ้าขนาดยักษ์เสียได้
หลิวเหยี่ยนหง หันกลับมากล่าวต่อ หวังเผิง และ พยักษ์ขาวอย่างเรียบ ๆ พร้อมทั้งร้อยยิ้มที่มั่นใจ
ผู้เฒ่าทั้งสองระวังตัว แต่หัวของจิ้งจอกดำล้วนเป็นของช้า
พอกล่าวจบมันก็วิ่งเข้าไปหากองโจรนับห้าร้อยแต่เพียงลำพังนี้ไม่เท่ากับว่าฆ่าตัวตายหรืออย่างไร ถึงจะเป็นยอดยุทธ์เพียงไหนแต่จะหลบลูกศรที่ดุจดังห่าฝนได้หรือ?
แต่กระนั้นพอหวังเผิงและพยักษ์ขาวเห็นหลิวเยี่ยนหงวิ่งนำไป ก็พลันกลัวว่าจะพ่ายแพ้ หลงลืมกลศึกสงครามสิ้น พลันวิ่งเข้าไปหากองโจรเชกเช่นกันด้วยว่ากลัวจะตามคนแซ่หลิวไม่ทัน
แต่เพียงมือกระบี่หนุ่มวิ่งไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทาง ลูกธนูอันมากมายประดุจดังดั่งห่าฝนก็พุ่งเข้าหามันทันที แต่มันนั้นเล่าไม่มีสีหน้าหวาดหลัวแต่อย่างใดเลย
พวกโง่งม มันกล่าวก่อนจะคลี่พัดผ้าขนาดยักษ์อย่างเปิดเผย และพริบตาขณะที่ลูกศรที่ใกล้ตัวมันอย่างที่สุดโดยห่างกายไม่เกินสิบศอกมันก็รวบรวมพลังปราณถ่ายทอดไปสู่พัดผ้านั้นก่อนจะโบกสบัดพัดออกอย่างรวดรวดเร็วบังเกิดเป็นลมคลุ้มคลั่งพัดเอาลูกศรทั้งหลายเปลี่ยนทางสิ้นแล้ว
ไม่น่าเชื่อ พยักษ์ขาวซึ่งควงทวนปัดป้องลูกศรได้แต่จ้องมองกลยุทธ์เหนือฟ้าของมือกระบี่หนุ่มอย่างตะลึงงัน
ในขณะที่ทางด้าน หวังเผิง นั้นเล่าสงบนิ่งดุจไม้ใหญ่มันยืนดูลูกธนูนับร้อยที่พุ่งเข้าหามันอย่างไม่ตื่นเต้นและพริบตาที่สองลูกธนูที่ใกล้ตัวมันที่สุดจะพุ่งเข้าร่างมัน มันก็ใช้ออกด้วยสองมือจับกุมปลายลูกศรทั้งสองนั้นแล้วใช้มันต่างกระบี่ร่ายรำป้องกันลูกธนูที่พุ่งมาที่หลังได้หมดสิ้น
พอหมดสิ้นห่าฝนธนูระลอกแรกแล้วพวกชาวยุทธ์ทั้งหลายจึงค่อยเคลื่อนกำลังไปสนับสนุนเหล่ายอดยุทธ์ทั้งสาม
หลังหลิวเหยี่ยนหงได้เห็นฝีมือของหวังเผิงก็มีสีหน้าเชิงตำหนิเล็กเล็กน้อยก่อนจะกล่าวไปว่า
ท่านหวังเผิง หากมั่วแต่เก็บงำฝีมือเกรงว่าตำแหน่งผู้นำยุทธภพจะตกเป็นของข้าแล้ว หลิวเหยี่ยนหง หลังรอดพ้นห่าฝนธนูรอดแรกก็เร่งฝีเท้าเข้าใกล้กลุ่มโจรทันที
ไม่นานนักห่าธนูระลอกสองก็พุ่งแหวกอากาศเข้าโจมตียอดยุทธ์ทั้งสามทันที หลิวเหยี่ยนหงก็ยังคงใช้พัดผ้าขนาดยักษ์ปัดเป่าธนูจนสิ้นและวิ่งนำหน้าผู้อื่นไปไกล ตามติดมาด้วยพยักษ์ขาวซึ่งร่ายรำเพลงทวนคุ้มกัน ในขณะที่หวังเผิงผู้อยู่รั้งท้ายยามนั้นก็ไม่คิดเก็บงำฝีมืออีกต่อไป
อาภรณ์สวรรค์ชั้นฟ้า!!!! เป็นดั่งหลิวเหยี่ยนหงคาดคิด ผู้เฒ่าตนนี้เก็บงำฝีมือที่แท้จริงไว้ ยามนี้มันเปิดเผยทำเอาชาวยุทธ์ทุกคนสั่นสะท้านเลื่อมใส มันใช้ออกด้วยพลังปราณวิเศษสีครามครอบคลุมทั่วกายดุจเกราะสรรค์ อันธนูทั้งหลายเพียงเข้าใกล้ปราณนั้นก็พลันถูกเบี่ยงวิธีให้หลุดพลาดเป้า หรือไม่ก็หักสลายกลางอากาศยามสัมผัสพลังนั้น นี้นับว่าร้ายกาจเกินไปแล้ว
หวังเผิงยิ้มอย่างได้ที ก่อนที่มันจะลอบหันไปมองหาคู่แข่งทั้งสอง และฉับพลันที่มันเห็นพยักษ์ขาวซึ่งนำหน้ามันไปหลายช่วงตัวก็ได้แต่นึกแปลกใจจนต้องกล่าวว่า
แปลกจริงใยทางด้าน พยักษ์ขาวจึงมีลูกธนูตกบนพื้นน้อยกว่าทางด้านเราและเด็กแซ่หลิวอยู่มาก รึว่า
. หวังเผิงนึกสะกิดใจบ้างสิ่ง
แต่จะอย่างไรผู้ได้เปรียบที่สุดยังคงเป็นหลิวเยี่ยนหง ผู้บุกเข้าไปจนเกือบถึงด้านแรกของกลุ่มโจรแล้ว ยามนั้นมือกระบี่หนุ่มรวบพัดผ้าขนาดยักษ์เก็บก่อนจะใช้มันต่างกระบี่ฟาดฟันตัดอากาศสร้างปราณกระบี่อย่างรุนแรงพุ่งเข้าหากลุ่มโจรทันที
เปลี่ยนวายุเป็นกระบี่!!!! ปราณกระบี่อันรุนแรงร้ายกาจเพียงลากตัดขวางผ่านกลุ่มโจรที่ยืนเป็นแนวด้านแรก พวกมันก็ต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำเอาพวกโจรที่ยืนเป็นแนวชั้นที่สองต้องเปลี่ยนจากถือธนูมาเป็นอาวุธระยะประชิดเช่นดาบ ขวาน กระบี่ ก่อนจะพุ่งเข้ารุมโจมตีหลิวเหี่ยนหงทันที นี้นับว่าเป็นศึกหนึ่งต่อร้อยแล้ว
แม้นจะหนึ่งต่อร้อยแต่หลิวเหยี่ยนหงก็ยังไม่มีสีหน้าตื่นตะหนกแต่อย่างใด มันยกควงตัวพัดยักษ์ในมือโจมตีโจรร้ายที่เข้าใกล้ได้อย่างคล่องแคล้ว โจรผู้ใดที่เสี่ยงเข้าสู้ก็ต้องถูกซัดกระเด็ดร่างลอยลิ่วดับสูญไปทั้งหมดสิ้น ยามนั้นแม้นพวกโจรจะเป็นร้อยแต่ไม่มีเลยซักคนที่จะเข้าใกล้ตัวมันได้ง่าย ๆ เลย
แต่ถึงกระนั้นยิ่งสู้นานเข้าคนแซ่หลิวก็เริ่มมีหยาดเหงื่อไหลริน และแผลบาดเล็กน้อยให้เห็นแล้ว แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือว่าพวกมันกลับแทบไม่ไปสู้รบกับพยักษ์ขาวแต่อย่างใดเลย อีกทั้งกลับเป็นจิ้งจอกดำที่หาญกล้าบุกเข้าไปหาพยักษ์ขาวเองอย่างไร้เหตุผล
บัดซบ พวกเราประเมินสติปัญญาของพยักษ์ขาวต่ำทรามไป หลิวเหยี่ยนหง ลอบกล่าวเจ็บแค้นก่อนจะโมโหระเบิดพลังปราณกางพัดใหญ่โบกสร้างลมวายุสลายพวกโจรออกไปทาง
ไอ้พวกลิ้วล้อ ออกไปให้พ้นทางข้า หลิวเยี่ยนหงตะโกนก้องเกรี้ยวกราด
และอีกเพียงไม่นานศึกทั้งหมดก็หยุดสิ้นลงเมื่อพยักษ์ขาวสามารถใช้เพลงทวนทิ่มแทงเข้าที่กลางอกของจิ้งจอกดำ สังหารมันอย่างเลือดเย็นได้สำเร็จทำให้พวกโจรที่เหลือต่างเสียขวัญแตกทัพหนีหายไปสิ้น ที่หนีไม่ทันก็ได้เพียงแต่ยอมแพ้
ยามที่จิ้งจอกดำใกล้ดับสูญมันได้แต่จ้องมองไปยังพยักษ์ขาวด้วยสายตาเคียดแค้นแล้วกล่าวว่า
ชั่วช้า...เจ้าหลอกข้า แต่ก่อนที่มันจะสามารถกล่าวเปิดโปงอันใดต่อไปได้อีก พยักษ์ขาวก็รีบละมือจากทวน เคลื่อนเท้าเข้าประชิดใช้ออกด้วยสองดรรชนีทิ่มเข้ากลางคอหอยปิดปากมันอย่างเลือกเย็น และเพียงหลังจากที่มันสังหารจิ้งจอกดำตัวปลอมได้แล้ว มันก็กล่าวตะโกนก้องเสียงดังลั่นว่า
ชาวยุทธ์ทุกท่านเป็นพยาน ข้าคือผู้สังหารจิ้งจอกดำได้สำเร็จ ข้าคือเจ้ายุทธภพ ฮะฮะฮะฮะ
ค่ำคืนวันนั้น ณ โรงเตี๊ยมเลื่องชื่อแห่งหนึ่งในหังโจว
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมยามนั้นต่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย โต๊ะแทบไม่เหลือจะให้แขกอื่นอีกแล้ว และตรงริมหน้าต่างของโรงเตี๊ยมแห่งนั่นนั้นเองที่ หลินฟง เหวินลี่ และ อู๋จิงได้ไปจับจองโต๊ะเพื่อรอเลี้ยงให้กับตัดกระบี่ผู้ยังมาไม่ถึง
ท่านอาตัดกระบี่ ช่างมาช้าเสียจริง อู๋จิงกล่าว
พี่รองยังคงใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ หลินฟงแม้นกล่าวต่ออู๋จิงแต่สมาธิยังคงจดจ่ออยู่กับการเขียนจดหมาย จนเหวินลี่ต้องลอบถามไปว่า
พี่หลิน ท่านเขียนอะไรน่ะ นางถาม
จดหมายลับ หลินฟงกล่าวพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น ก่อนจะหันหน้ากลับไปเขียนต่ออีกสองสามบรรทัดจากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า
เขียนเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าขอตัวไปส่งจดหมายให้กับสายสืบที่รออยู่นอกเมืองก่อนนะ หลินฟงพอกล่าวจบก็พับกระดาษใส่ซองจดหมายจากนั้นจึงขอตัวจากไป
พอหลินฟงจากไปได้สักครู่ เหวินลี่กับ อู๋จิง ก็พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายอารมณ์จนกระทั้งอยู่ ๆ เรื่องประหลาดพลันเกิดขึ้นกระบี่หยกน้ำเงินของอู๋จิงที่วางอยู่บนโต๊ะพลันสั่นสะเทือน วินาทีนั้นดวงตาของชายหนุ่มพลันเบิกกว้างตะลึงงัน
มารร้ายปรากฎตัวขึ้นในเมืองนี้!!!! การที่กระบี่หยกมีปฏิกิริยาเช่นนี้แสดงว่ามารร้ายได้ปรากฎกายอยู่ไม่ห่าง และ เหวินลี่ก็รู้ถึงข้อนี้เชกเช่นเดียวกัน
เช่นนี้เรารีบไปกันเถิด นางกล่าว แต่พริบตาเดียวก่อนที่พวกเขาจะลุกจากโต๊ะออกไปก็พลันมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งสองที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวว่า
ท่านคงเป็น อู๋จิง ที่เลื่องลือสินะ มิคาดผู้มากลับเป็นหลิวเหยี่ยนหง มันกล่าวเป็นเชิงเยินยอแต่สายตากลับดูหมิ่น
ขออภัยข้าพเจ้ามีธุระต้องรีบไปก่อน อู๋จิง วิตกต่อการปรากฎตัวของมารร้ายมากกว่าจึงไม่อยากเสียเวลาแม้นสักนาที
อู๋จิง ท่านออกจะเสียมารยาทไปหน่อยหรือไม่ หลิวเหยี่ยนหงกล่าวก่อนจะยกพัดกระดาษเล็กด้ามเหล็กออกมากางปิดบังสีหน้าไม่พอใจที่ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา
ขออภัยจอมยุทธ์หลิว แต่ข้าพเจ้าไม่มีเวลา
. ไม่ทันทีอู๋จิงจะกล่าวจบ พัดด้ามเหล็กที่ถูกพับเก็บก็พลันพุ่งเข้าหาใบหน้าของเขาดุจมีดสั้นทันที อู๋จิงไม่ทันระวังตัวได้แต่เบี่ยงหน้าหลบตามสัญชาตณาณรอดพ้นวิถีแทงห่างเพียงกว้างหนึ่งนิ้ว แต่ไม่หยุดเพียงนี้คนแซ่หลิวฉับพลันคลี่กางพัดอย่างรวดเร็วจนด้ามพัดตัดอากาศเฉียบคมเข้าใกล้ดวงตาของอู๋จิงทันที
ยังดีที่อู๋จิงคอยระวังตัวอยู่แล้วพลันก้มศีรษะหลบคมพัดได้ทันท่วงที ตัดโดนเพียงเส้นผมขาดหวิ่น
จะเกินไปแล้ว
. อู๋จิงพลันกล่าวอย่างโมโห แต่ไม่ทันที่จะกล่าวจบพัดเหล็กนั้นก็วนกลับมาฟันอีกครั้งด้วยพลังปราณให้คมดุจกระบี่เคลื่อนเข้าหาหลังคออู๋จิง
คมพัดกระบี่รุกเร้าจากมุมอับ บีบคั้นให้อู๋จิงไร้ทางหลบหนี
หลบไม่ทันแล้ว อู๋จิงได้แต่กล่าวสะท้าน
เสี้ยววินาทีอับจน อู๋จิงพลันพลิกแพลงไม่ธรรมดาใช้ฝ่ามือซ้ายตบไปที่ด้านล่างของปลายปลอกกระบี่หยกที่สพายหลัง ชักนำมันลอยขึ้นมาต้านรับคมพัดก่อนฟาดฟันถึงต้นคอได้อย่างอัศจรรย์ จนหลิวเยี่ยนหงได้แต่มองตาค้าง
พอผ่านเพลงยุทธ์นี้ไปได้ อู๋จิงจึงสามารถเรียกจังหวะของตนกลับคืน ชักดาบเหล็กออกวาดตัดอากาศโจมตีตอบโต้ คมดาบเข้าปะทะกับด้ามพัดเหล็กในมือหลิวเหยี่ยนหงบังเกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง
แม้นเพียงดวลกันไปไม่ถึงสิบเพลงแต่ทั้งคู่ก็รู้เป็นอย่างดีว่าไม่อาจละสมาธิจากคู่ต่อสู้เบื้องหน้าไปได้แม้นสักเสี้ยววินาที
เหวินลี่ซึ่งยืนอยู่ภายนอก สายตาได้แต่จับจ้องไปยังกระบี่หยกน้ำเงินบนโต๊ะที่ยังคงสั่นไม่หยุดเช่นนั้นจึงได้รีบกล่าวอย่างร้อนรนไปว่า
อู๋จิง ท่านอย่าเสียเวลาตรงนี้เลย รีบไปเถิด
แต่ยามนั้นทั้งหลิวเหลี่ยนหงและอู๋จิงกลับเสมือนมิได้รับฟังสิ่งใดแล้ว มันทั้งสองเริ่มดวลเพลงยุทธ์กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง เงากระบี่จากพัดเหล็กฟันออกเป็นแนวหลายสิบสายเข้าปะทะเพลงคมดาบที่ตัดอากาศเข้าต้านเสียงดังกึกก้อง
สุดท้ายเมื่อเหวินลี่เหมือนเห็นว่าอู๋จิงหาได้สนใจเรื่องกระบี่หยกเบื้องหน้าไม่ นางจึงกล่าวกระแทกเสียงไปว่า
ถ้าท่านไม่สะดวกงั้นข้าพเจ้าไปเอง เหวินลี่กล่าวอย่างไม่พอใจพร้อมทั้งหยิบกระบี่หยกน้ำเงินของอู๋จิงที่อยู่บนโต๊ะไปอย่างรีบเร่ง ก่อนจะทยายร่างออกจากหน้าต่างไปเพียงลำพังเพื่อตามหาต้นตอของมารร้าย อู๋จิงเห็นดังนั้นได้แต่ตะลึงงันพลันเสียสมาธิไป จึงโดนหนึ่งคมพัดกระบี่กรีดต้นแขนให้ได้เลือดทันที แต่อู๋จิงหาได้สนใจแผลบาดไม่พลันตะโกนไล่หลังเหวินลี่ด้วยความเป็นห่วงว่า
เหวินลี่ กลับมา!!!!
Create Date : 13 ธันวาคม 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 13 ธันวาคม 2550 17:56:26 น. |
Counter : 595 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Takaw (Takaw ) 13 ธันวาคม 2550 17:58:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุ้งกลม 13 ธันวาคม 2550 18:09:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: eiffel_n 14 ธันวาคม 2550 13:39:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: yyswim 14 ธันวาคม 2550 18:42:49 น. |
|
|
|
|
|
|
|