Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
13 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 27

บทที่ 27

ณ งานชุมนุมชาวยุทธ์

ภายในห้องโถงกว้างแบบเปิดโล่งบนชั้นสูงสุดของหอมองจันทร์แห่งพรรคกระจ่างแจ้งยามนั้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังตรงกลางเวทีซึ่งมีเพียงชายสามคนผู้ถือครองความยิ่งใหญ่กันคนล่ะขั้ว หลิวเหยี่ยนหงมือกระบี่อันดับหนึ่งสำนักเทพกระบี่ พยักษ์ขาวเจ้าสำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ และสุดท้ายหวังเผิงเจ้าสำนักกระจ่างแจ้ง ยามนั้นหากให้เลือกผู้ใดผู้หนึ่งเป็นเจ้ายุทธภพก็นับว่าต้องชั่งใจมากแล้ว

ตัดกระบี่ซึ่งยื่นอยู่ในหมู่ชนจ้องมองตรงไปยังพยักษ์ขาวแล้วก็ได้แต่ลอบยิ้มที่มุมปากจนอู๋จิงอดสงสัยถามมิได้

“ท่านอาจารย์ มีเรื่องอันใดน่าสนใจหรือ”

“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าเบื้องหลังพยักษ์ขาวนั้น แท้จริงมันคือผู้นำกลุ่มโจรจิ้งจอกดำ ยามนี้มันเสนอตัวเป็นผู้นำยุทธภพเช่นนี้ไม่คิดน่าขำหรือ”

“ก็จริงของท่าน…..นับว่ามันกล้าไม่เบา” อู๋จิงกล่าวพร้อมทั้งนึกขำในใจ

พอมีผู้เสนอตัวเป็นผู้นำยุทธภพถึงสามคน ชาวยุทธ์ทั้งหลายในงานจึงเริ่มวิพากย์วิจารณ์ความเหมาะสมของแต่ละคนกันอย่างสนุกปาก ใครเป็นคนของฝ่ายไหนก็ย่อมถือหางมันผู้นั้นและด่าสาดเสียเทเสียต่ออีกฝ่ายที่เหลือ

และเมื่อความเห็นไม่ตรงกันดังนี้แล้วไม่นานนักบรรยากาศของความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวยุทธ์ก็เริ่มเปิดเผยออกมา เริ่มจากด่าทอจนไปถึงหมายจะวัดระดับฝีมือกันในงานก็ไม่ปาน นี้ไม่นับว่าไร้สาระสิ้นดีอย่างงั้นหรือ ไม่ทันที่จะรวมพลังไปกำจัดมารก็จะทำลายล้างกันเองเสียแล้ว

พริบตานั้นเอง หวังเผิง เจ้าบ้านซึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงรีบชิงกล่าวด้วยเสียงอันดังหมายเตือนสติชาวยุทธ์ทั้งหลาย

“พวกท่านอย่าได้ขัดแย้งกันไปเลย ผู้ที่จะนำยุทธภพย่อมถูกคัดเลือกอย่างยุติธรรม” เสียงอันเปี่ยมไปด้วยพลังของมันทำเอาชาวยุทธ์ทั้งหลายหยุดฟังเงียบงันยิ่งแล้ว

แต่ก่อนที่มันจะกล่าวอันใดต่อไป หลิวเหยี่ยนหงผู้ถือกางพัดกระดาษปิดครึ่งหน้าในยามนั้นก็รวบเก็บพัดกระดาษของมันพร้อมกับกล่าวน้ำเสียงท้าทายว่า

“หากจะคัดเลือกเจ้ายุทธภพ ใยไม่ใช้วิธีดั่งเดิมเล่า”

พยักษ์ขาวได้ฟังดังนั้นก็ลอบกล่าวทวนคำด้วยน้ำเสียงสูงว่า

“วิธีดั่งเดิมอันใด”

“ประลองฝีมือ!!! ผู้ใดเยี่ยมยุทธ์ที่สุดย่อมสมควรเป็นเจ้ายุทธภพแล้ว” มือกระบี่หนุ่มย่อมมั่นใจในฝีมือมันอย่างยิ่ง อีกทั้งชื่อเสียงเลื่องลือในฝีมือของมันล้วนไม่ใช่เรื่องโกหก แม้นแต่พยักษ์ขาวเองก็ไม่มั่นใจว่าจะมีเปรียบในการนี้จึงตีฝีปากขึ้นว่า

“เด็กหนุ่มล้วนคิดแต่จะใช้กำลัง หากพวกเราลงมือประลองกันเองเช่นนี้ พลาดพลั่งขึ้นมาจะพาลเสียน้ำใจกันเปล่า ๆ นับว่าไร้เหตุผลสิ้นดี”

“ท่านอาพยักษ์ขาวยามนี้ชรามากแล้ว ข้าน้อยย่อมเข้าใจ” หลิวเหยี่ยนหง กล่าววาจาดาบในรอยยิ้ม

“บัดซบ ไอ้ลูกเต่า!!!” พยักษ์ขาวสุดจะระงับใจ ด่าทอกลับไปด้วยเสียงดังเกรี้ยวกราด

“ชายแก่อย่าเพียงแต่ปากดี หากท่านถือตัวเก่งจริง ลองแสดงเพลงทวนพยักษ์ให้ข้าชื่นชมเถิด” หลิวเหยี่ยนหงกล่าวจบก็รวบเก็บพัดกระดาษ พร้อมทั้งชี้ไปที่หน้าของพยักษ์ขาวอย่างท้าทาย

แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายสมใจมือกระบี่หลิว ก็เป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดอย่างหวังเผิงได้ออกมาห้ามปรามว่า

“ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับ พยักษ์ขาว การประลองล้วนแต่จะทำให้เกิดการเสียน้ำใจ อีกทั้งไม่ได้เกิดผลดีแต่อย่างใด” พยักษ์ขาวได้ยินเช่นนั้นก็พลันแปลกใจไม่น้อยที่ได้รับการสนับสนุนพลันลอบคิดไปว่า

“ไอ้เฒ่านี้มันจะมาไม้ไหนอีก” พยักษ์ขาวย่อมอดคิดไม่ได้ว่าหากมันต้องประลองกับ หลิวเหยี่ยนหงจริง ผู้ได้ประโยชน์ก็เป็น หวังเผิง ที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงอันใดเสมือนนั่งภูดูเสือกัดกัน

แต่สุดท้ายคำกล่าวต่อมาของ หวังเผิง ก็อธิบายทุกสิ่ง

“เป็นที่แน่นอนว่าเจ้ายุทธภพต้องมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่หากจะเลือกวิธีการแล้ว ข้าพเจ้าขอเสนอว่า.....หากหนึ่งในพวกเรา ผู้ใดสามารถกำจัดจิ้งจอกดำโจรผู้ต่ำช้าได้ มันสมควรได้รับตำแหน่งเจ้ายุทธภพไป” คำกล่าวของหวังเผิง ประดุจสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางตัวพยักษ์ขาวทันที

“ไอ้ลูกหมา บัดซบ” พยักษ์ขาวลอบด่ากล่าวในใจ

จะว่าไปแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าสำนักกระจ่างแจ้งผู้รอบรู้อย่างหวังเผิงจะไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งของพยักษ์ขาวนั้นก็คือจิ้งจ้องดำ แต่ที่มันไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเพราะมันเองก็มองว่าการเปิดโปงนั้นไม่มีประโยชน์อันใดต่อมันเลย แต่มายามนี้มันกลับแยบคายร้ายกาจใช้จุดอ่อนของพยักษ์ขาวมาบีบคั้นให้พยักษ์ขาวต้องถอนตัวออกไป

“เป็นวิธีที่ดีจริงๆ ฮะฮะฮะ” มือกระบี่หลิวเหยี่ยนหง ซึ่งอาจจะทราบถึงธุรกิจมืดของพยักษ์ขาวพลันรีบยกมือสนับสนุนทันที พร้อมกับเสียงชาวยุทธ์ทั้งหลายที่สนับสนุนความคิดนี้เสียด้วย

ยามนั้นพยักษ์ขาวอึดอัดแทบคลุงคลั่ง ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรได้ แน่นอนว่ากลุ่มโจรจิ้งจอกดำนับว่าเป็นธุรกิจมืดที่ทำรายได้ให้มันมิน้อย อีกทั้งส่งเสริมให้ธุรกิจคุ้มภัยของมันให้เจริญงอกงามอีกด้วย

สุดท้ายพยักษ์ขาวได้เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนจะกล่าวกระชากเสียงไปว่า

“ดี!!! ตกลงตามนั้น” คำตอบของพยักษ์ขาวทำเอา หลิวเหยี่ยนหงและหวังเผิงอดแปลกใจมิได้ กระนั้นมันทั้งคู่ก็อดจะปิดงัมรอยยิ้มที่มุมปากมิได้


หลายวันต่อมา ณ เนินเขาซึ่งเป็นที่มั่นของกองโจรจิ้งจอกดำ

บนสูงสุดของเนินเขาเห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ซึ่งปัจจุบันถูกใช้เป็นซ่องโจรของกลุ่มจิ้งจอกดำ ยามนั้นพวกโจรร้ายร่วมห้าร้อยคนได้ออกมาตั้งแนวรบออกเป็นสี่ชั้น พวกมันในชั้นแรกถือโลห์ขนาดใหญ่และอาวุธยาวหลากหลายทั้ง หอก ทวน ขวาน ดาบ ในขณะที่ชั้นสองถึงสี่นั้นเป็นพวกที่ถือธนูทั้งสิ้นแสดงให้เห็นว่าพวกมันซึ่งตั้งทัพอยู่บนที่สูงอาศัยภูมิศาสตร์เอื้อประโยชน์ต่อการใช้ธนู ในขณะที่ผู้ที่ยืนอยู่ท้ายสุดของกองทัพคือ จิ้งจอกดำในชุดบู๊สีดำรัดกุมและผ้าคลุมปิดปังใบหน้า มือซ้ายถือทวนมังกรดำอันเลื่องลือ

ทางด้านฝ่ายชาวยุทธ์นำโดย พยักษ์ขาวซึ่งพาคนของสำนักคุ้มภัยมาร่วมสองร้อย ติดตามมาด้วยหวังเผิง ซึ่งพาคนของมันมาเกือบร้อยเช่นกัน ในขณะที่ หลิวเหยี่ยนหง กลับมาพร้อมกับคนรับใช้เพียงหนึ่งนายซึ่งถือกล่องยาวอันหนึ่งขนาดพอดีที่จะใส่กระบี่ยาวหนึ่งเล่ม และถัดออกไปหน่อยก็เป็นกลุ่มชาวยุทธ์ไร้สังกัดที่ตามมาเฝ้าดู ซึ่งพวกของตัดกระบี่ หลินฟง และอู๋จิง ก็ยืนอยู่ในกลุ่มพวกนี้เช่นกัน

ยามนั้น หลิวเหยี่ยนหง และ หวังเผิง ต่างมอง พยักษ์ขาวเป็นตาเดียว หากมันอยู่ที่นี้แล้วย่อมแสดงว่าจิ้งจอกดำที่อยู่บนเนินเขานั้นเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน

“จิ้งจอกเฒ่าดูสงบนิ่งนัก ไม่ทราบยามนี้นับมีอุบายอันใด” หลิวเหยี่ยนหงด่าทอพยักษ์ขาวในใจ

ในขณะที่หวังเผิง หลังมองการจัดทัพของเหล่าโจรร้ายก็ได้กล่าวประเมิณสถานกาณ์รบต่อพยักษ์ขาวและคนแซ่หลิวไปว่า

“พวกโจรเจ้าเลห์ร้ายกาจ ใช้ธนูเป็นอาวุธหลัก หากพวกเรานำทัพบุกตีขึ้นเนินเขาต้องลำบากยิ่งแล้ว อีกทั้งพาลจะถูกธนูของมันสังหารง่ายดายยิ่ง” หวังเผิงกล่าวอย่างมีเหตุผล

แต่หลิวเหยี่ยนหงนั้นหาได้ฟังไม่ มันเอาหูทวนลมและเดินไปเปิดกล่องไม้ยาวจากบ่าวไพร่ก่อนจะหยิบสิ่งของภายในออกมา และไม่น่าเชื่อสิ่งนั้นกลับไม่ใช่กระบี่ยาวแต่อย่างใด มันเป็นพัดผ้าขนาดยักษ์เสียได้

หลิวเหยี่ยนหง หันกลับมากล่าวต่อ หวังเผิง และ พยักษ์ขาวอย่างเรียบ ๆ พร้อมทั้งร้อยยิ้มที่มั่นใจ

“ผู้เฒ่าทั้งสองระวังตัว แต่หัวของจิ้งจอกดำล้วนเป็นของช้า”

พอกล่าวจบมันก็วิ่งเข้าไปหากองโจรนับห้าร้อยแต่เพียงลำพังนี้ไม่เท่ากับว่าฆ่าตัวตายหรืออย่างไร ถึงจะเป็นยอดยุทธ์เพียงไหนแต่จะหลบลูกศรที่ดุจดังห่าฝนได้หรือ?

แต่กระนั้นพอหวังเผิงและพยักษ์ขาวเห็นหลิวเยี่ยนหงวิ่งนำไป ก็พลันกลัวว่าจะพ่ายแพ้ หลงลืมกลศึกสงครามสิ้น พลันวิ่งเข้าไปหากองโจรเชกเช่นกันด้วยว่ากลัวจะตามคนแซ่หลิวไม่ทัน

แต่เพียงมือกระบี่หนุ่มวิ่งไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทาง ลูกธนูอันมากมายประดุจดังดั่งห่าฝนก็พุ่งเข้าหามันทันที แต่มันนั้นเล่าไม่มีสีหน้าหวาดหลัวแต่อย่างใดเลย

“พวกโง่งม” มันกล่าวก่อนจะคลี่พัดผ้าขนาดยักษ์อย่างเปิดเผย และพริบตาขณะที่ลูกศรที่ใกล้ตัวมันอย่างที่สุดโดยห่างกายไม่เกินสิบศอกมันก็รวบรวมพลังปราณถ่ายทอดไปสู่พัดผ้านั้นก่อนจะโบกสบัดพัดออกอย่างรวดรวดเร็วบังเกิดเป็นลมคลุ้มคลั่งพัดเอาลูกศรทั้งหลายเปลี่ยนทางสิ้นแล้ว

“ไม่น่าเชื่อ” พยักษ์ขาวซึ่งควงทวนปัดป้องลูกศรได้แต่จ้องมองกลยุทธ์เหนือฟ้าของมือกระบี่หนุ่มอย่างตะลึงงัน

ในขณะที่ทางด้าน หวังเผิง นั้นเล่าสงบนิ่งดุจไม้ใหญ่มันยืนดูลูกธนูนับร้อยที่พุ่งเข้าหามันอย่างไม่ตื่นเต้นและพริบตาที่สองลูกธนูที่ใกล้ตัวมันที่สุดจะพุ่งเข้าร่างมัน มันก็ใช้ออกด้วยสองมือจับกุมปลายลูกศรทั้งสองนั้นแล้วใช้มันต่างกระบี่ร่ายรำป้องกันลูกธนูที่พุ่งมาที่หลังได้หมดสิ้น

พอหมดสิ้นห่าฝนธนูระลอกแรกแล้วพวกชาวยุทธ์ทั้งหลายจึงค่อยเคลื่อนกำลังไปสนับสนุนเหล่ายอดยุทธ์ทั้งสาม

หลังหลิวเหยี่ยนหงได้เห็นฝีมือของหวังเผิงก็มีสีหน้าเชิงตำหนิเล็กเล็กน้อยก่อนจะกล่าวไปว่า

“ท่านหวังเผิง หากมั่วแต่เก็บงำฝีมือเกรงว่าตำแหน่งผู้นำยุทธภพจะตกเป็นของข้าแล้ว” หลิวเหยี่ยนหง หลังรอดพ้นห่าฝนธนูรอดแรกก็เร่งฝีเท้าเข้าใกล้กลุ่มโจรทันที

ไม่นานนักห่าธนูระลอกสองก็พุ่งแหวกอากาศเข้าโจมตียอดยุทธ์ทั้งสามทันที หลิวเหยี่ยนหงก็ยังคงใช้พัดผ้าขนาดยักษ์ปัดเป่าธนูจนสิ้นและวิ่งนำหน้าผู้อื่นไปไกล ตามติดมาด้วยพยักษ์ขาวซึ่งร่ายรำเพลงทวนคุ้มกัน ในขณะที่หวังเผิงผู้อยู่รั้งท้ายยามนั้นก็ไม่คิดเก็บงำฝีมืออีกต่อไป

“อาภรณ์สวรรค์ชั้นฟ้า!!!!” เป็นดั่งหลิวเหยี่ยนหงคาดคิด ผู้เฒ่าตนนี้เก็บงำฝีมือที่แท้จริงไว้ ยามนี้มันเปิดเผยทำเอาชาวยุทธ์ทุกคนสั่นสะท้านเลื่อมใส มันใช้ออกด้วยพลังปราณวิเศษสีครามครอบคลุมทั่วกายดุจเกราะสรรค์ อันธนูทั้งหลายเพียงเข้าใกล้ปราณนั้นก็พลันถูกเบี่ยงวิธีให้หลุดพลาดเป้า หรือไม่ก็หักสลายกลางอากาศยามสัมผัสพลังนั้น นี้นับว่าร้ายกาจเกินไปแล้ว

หวังเผิงยิ้มอย่างได้ที ก่อนที่มันจะลอบหันไปมองหาคู่แข่งทั้งสอง และฉับพลันที่มันเห็นพยักษ์ขาวซึ่งนำหน้ามันไปหลายช่วงตัวก็ได้แต่นึกแปลกใจจนต้องกล่าวว่า

“แปลกจริงใยทางด้าน พยักษ์ขาวจึงมีลูกธนูตกบนพื้นน้อยกว่าทางด้านเราและเด็กแซ่หลิวอยู่มาก รึว่า….” หวังเผิงนึกสะกิดใจบ้างสิ่ง

แต่จะอย่างไรผู้ได้เปรียบที่สุดยังคงเป็นหลิวเยี่ยนหง ผู้บุกเข้าไปจนเกือบถึงด้านแรกของกลุ่มโจรแล้ว ยามนั้นมือกระบี่หนุ่มรวบพัดผ้าขนาดยักษ์เก็บก่อนจะใช้มันต่างกระบี่ฟาดฟันตัดอากาศสร้างปราณกระบี่อย่างรุนแรงพุ่งเข้าหากลุ่มโจรทันที

“เปลี่ยนวายุเป็นกระบี่!!!!” ปราณกระบี่อันรุนแรงร้ายกาจเพียงลากตัดขวางผ่านกลุ่มโจรที่ยืนเป็นแนวด้านแรก พวกมันก็ต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำเอาพวกโจรที่ยืนเป็นแนวชั้นที่สองต้องเปลี่ยนจากถือธนูมาเป็นอาวุธระยะประชิดเช่นดาบ ขวาน กระบี่ ก่อนจะพุ่งเข้ารุมโจมตีหลิวเหี่ยนหงทันที นี้นับว่าเป็นศึกหนึ่งต่อร้อยแล้ว

แม้นจะหนึ่งต่อร้อยแต่หลิวเหยี่ยนหงก็ยังไม่มีสีหน้าตื่นตะหนกแต่อย่างใด มันยกควงตัวพัดยักษ์ในมือโจมตีโจรร้ายที่เข้าใกล้ได้อย่างคล่องแคล้ว โจรผู้ใดที่เสี่ยงเข้าสู้ก็ต้องถูกซัดกระเด็ดร่างลอยลิ่วดับสูญไปทั้งหมดสิ้น ยามนั้นแม้นพวกโจรจะเป็นร้อยแต่ไม่มีเลยซักคนที่จะเข้าใกล้ตัวมันได้ง่าย ๆ เลย

แต่ถึงกระนั้นยิ่งสู้นานเข้าคนแซ่หลิวก็เริ่มมีหยาดเหงื่อไหลริน และแผลบาดเล็กน้อยให้เห็นแล้ว แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือว่าพวกมันกลับแทบไม่ไปสู้รบกับพยักษ์ขาวแต่อย่างใดเลย อีกทั้งกลับเป็นจิ้งจอกดำที่หาญกล้าบุกเข้าไปหาพยักษ์ขาวเองอย่างไร้เหตุผล

“บัดซบ พวกเราประเมินสติปัญญาของพยักษ์ขาวต่ำทรามไป” หลิวเหยี่ยนหง ลอบกล่าวเจ็บแค้นก่อนจะโมโหระเบิดพลังปราณกางพัดใหญ่โบกสร้างลมวายุสลายพวกโจรออกไปทาง

“ไอ้พวกลิ้วล้อ ออกไปให้พ้นทางข้า” หลิวเยี่ยนหงตะโกนก้องเกรี้ยวกราด

และอีกเพียงไม่นานศึกทั้งหมดก็หยุดสิ้นลงเมื่อพยักษ์ขาวสามารถใช้เพลงทวนทิ่มแทงเข้าที่กลางอกของจิ้งจอกดำ สังหารมันอย่างเลือดเย็นได้สำเร็จทำให้พวกโจรที่เหลือต่างเสียขวัญแตกทัพหนีหายไปสิ้น ที่หนีไม่ทันก็ได้เพียงแต่ยอมแพ้

ยามที่จิ้งจอกดำใกล้ดับสูญมันได้แต่จ้องมองไปยังพยักษ์ขาวด้วยสายตาเคียดแค้นแล้วกล่าวว่า

“ชั่วช้า...เจ้าหลอกข้า” แต่ก่อนที่มันจะสามารถกล่าวเปิดโปงอันใดต่อไปได้อีก พยักษ์ขาวก็รีบละมือจากทวน เคลื่อนเท้าเข้าประชิดใช้ออกด้วยสองดรรชนีทิ่มเข้ากลางคอหอยปิดปากมันอย่างเลือกเย็น และเพียงหลังจากที่มันสังหารจิ้งจอกดำตัวปลอมได้แล้ว มันก็กล่าวตะโกนก้องเสียงดังลั่นว่า

“ชาวยุทธ์ทุกท่านเป็นพยาน ข้าคือผู้สังหารจิ้งจอกดำได้สำเร็จ ข้าคือเจ้ายุทธภพ ฮะฮะฮะฮะ”


ค่ำคืนวันนั้น ณ โรงเตี๊ยมเลื่องชื่อแห่งหนึ่งในหังโจว

บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมยามนั้นต่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย โต๊ะแทบไม่เหลือจะให้แขกอื่นอีกแล้ว และตรงริมหน้าต่างของโรงเตี๊ยมแห่งนั่นนั้นเองที่ หลินฟง เหวินลี่ และ อู๋จิงได้ไปจับจองโต๊ะเพื่อรอเลี้ยงให้กับตัดกระบี่ผู้ยังมาไม่ถึง

“ท่านอาตัดกระบี่ ช่างมาช้าเสียจริง” อู๋จิงกล่าว

“พี่รองยังคงใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ” หลินฟงแม้นกล่าวต่ออู๋จิงแต่สมาธิยังคงจดจ่ออยู่กับการเขียนจดหมาย จนเหวินลี่ต้องลอบถามไปว่า

“พี่หลิน ท่านเขียนอะไรน่ะ” นางถาม

“จดหมายลับ” หลินฟงกล่าวพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น ก่อนจะหันหน้ากลับไปเขียนต่ออีกสองสามบรรทัดจากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า

“เขียนเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าขอตัวไปส่งจดหมายให้กับสายสืบที่รออยู่นอกเมืองก่อนนะ” หลินฟงพอกล่าวจบก็พับกระดาษใส่ซองจดหมายจากนั้นจึงขอตัวจากไป

พอหลินฟงจากไปได้สักครู่ เหวินลี่กับ อู๋จิง ก็พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายอารมณ์จนกระทั้งอยู่ ๆ เรื่องประหลาดพลันเกิดขึ้นกระบี่หยกน้ำเงินของอู๋จิงที่วางอยู่บนโต๊ะพลันสั่นสะเทือน วินาทีนั้นดวงตาของชายหนุ่มพลันเบิกกว้างตะลึงงัน

“มารร้ายปรากฎตัวขึ้นในเมืองนี้!!!!” การที่กระบี่หยกมีปฏิกิริยาเช่นนี้แสดงว่ามารร้ายได้ปรากฎกายอยู่ไม่ห่าง และ เหวินลี่ก็รู้ถึงข้อนี้เชกเช่นเดียวกัน

“เช่นนี้เรารีบไปกันเถิด” นางกล่าว แต่พริบตาเดียวก่อนที่พวกเขาจะลุกจากโต๊ะออกไปก็พลันมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งสองที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านคงเป็น อู๋จิง ที่เลื่องลือสินะ” มิคาดผู้มากลับเป็นหลิวเหยี่ยนหง มันกล่าวเป็นเชิงเยินยอแต่สายตากลับดูหมิ่น

“ขออภัยข้าพเจ้ามีธุระต้องรีบไปก่อน” อู๋จิง วิตกต่อการปรากฎตัวของมารร้ายมากกว่าจึงไม่อยากเสียเวลาแม้นสักนาที

“อู๋จิง ท่านออกจะเสียมารยาทไปหน่อยหรือไม่” หลิวเหยี่ยนหงกล่าวก่อนจะยกพัดกระดาษเล็กด้ามเหล็กออกมากางปิดบังสีหน้าไม่พอใจที่ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา

“ขออภัยจอมยุทธ์หลิว แต่ข้าพเจ้าไม่มีเวลา….” ไม่ทันทีอู๋จิงจะกล่าวจบ พัดด้ามเหล็กที่ถูกพับเก็บก็พลันพุ่งเข้าหาใบหน้าของเขาดุจมีดสั้นทันที อู๋จิงไม่ทันระวังตัวได้แต่เบี่ยงหน้าหลบตามสัญชาตณาณรอดพ้นวิถีแทงห่างเพียงกว้างหนึ่งนิ้ว แต่ไม่หยุดเพียงนี้คนแซ่หลิวฉับพลันคลี่กางพัดอย่างรวดเร็วจนด้ามพัดตัดอากาศเฉียบคมเข้าใกล้ดวงตาของอู๋จิงทันที

ยังดีที่อู๋จิงคอยระวังตัวอยู่แล้วพลันก้มศีรษะหลบคมพัดได้ทันท่วงที ตัดโดนเพียงเส้นผมขาดหวิ่น

“จะเกินไปแล้ว….” อู๋จิงพลันกล่าวอย่างโมโห แต่ไม่ทันที่จะกล่าวจบพัดเหล็กนั้นก็วนกลับมาฟันอีกครั้งด้วยพลังปราณให้คมดุจกระบี่เคลื่อนเข้าหาหลังคออู๋จิง

คมพัดกระบี่รุกเร้าจากมุมอับ บีบคั้นให้อู๋จิงไร้ทางหลบหนี

“หลบไม่ทันแล้ว” อู๋จิงได้แต่กล่าวสะท้าน

เสี้ยววินาทีอับจน อู๋จิงพลันพลิกแพลงไม่ธรรมดาใช้ฝ่ามือซ้ายตบไปที่ด้านล่างของปลายปลอกกระบี่หยกที่สพายหลัง ชักนำมันลอยขึ้นมาต้านรับคมพัดก่อนฟาดฟันถึงต้นคอได้อย่างอัศจรรย์ จนหลิวเยี่ยนหงได้แต่มองตาค้าง

พอผ่านเพลงยุทธ์นี้ไปได้ อู๋จิงจึงสามารถเรียกจังหวะของตนกลับคืน ชักดาบเหล็กออกวาดตัดอากาศโจมตีตอบโต้ คมดาบเข้าปะทะกับด้ามพัดเหล็กในมือหลิวเหยี่ยนหงบังเกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง

แม้นเพียงดวลกันไปไม่ถึงสิบเพลงแต่ทั้งคู่ก็รู้เป็นอย่างดีว่าไม่อาจละสมาธิจากคู่ต่อสู้เบื้องหน้าไปได้แม้นสักเสี้ยววินาที

เหวินลี่ซึ่งยืนอยู่ภายนอก สายตาได้แต่จับจ้องไปยังกระบี่หยกน้ำเงินบนโต๊ะที่ยังคงสั่นไม่หยุดเช่นนั้นจึงได้รีบกล่าวอย่างร้อนรนไปว่า

“อู๋จิง ท่านอย่าเสียเวลาตรงนี้เลย รีบไปเถิด”

แต่ยามนั้นทั้งหลิวเหลี่ยนหงและอู๋จิงกลับเสมือนมิได้รับฟังสิ่งใดแล้ว มันทั้งสองเริ่มดวลเพลงยุทธ์กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง เงากระบี่จากพัดเหล็กฟันออกเป็นแนวหลายสิบสายเข้าปะทะเพลงคมดาบที่ตัดอากาศเข้าต้านเสียงดังกึกก้อง

สุดท้ายเมื่อเหวินลี่เหมือนเห็นว่าอู๋จิงหาได้สนใจเรื่องกระบี่หยกเบื้องหน้าไม่ นางจึงกล่าวกระแทกเสียงไปว่า

“ถ้าท่านไม่สะดวกงั้นข้าพเจ้าไปเอง” เหวินลี่กล่าวอย่างไม่พอใจพร้อมทั้งหยิบกระบี่หยกน้ำเงินของอู๋จิงที่อยู่บนโต๊ะไปอย่างรีบเร่ง ก่อนจะทยายร่างออกจากหน้าต่างไปเพียงลำพังเพื่อตามหาต้นตอของมารร้าย

อู๋จิงเห็นดังนั้นได้แต่ตะลึงงันพลันเสียสมาธิไป จึงโดนหนึ่งคมพัดกระบี่กรีดต้นแขนให้ได้เลือดทันที แต่อู๋จิงหาได้สนใจแผลบาดไม่พลันตะโกนไล่หลังเหวินลี่ด้วยความเป็นห่วงว่า

“เหวินลี่ กลับมา!!!!”




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2550
5 comments
Last Update : 13 ธันวาคม 2550 17:56:26 น.
Counter : 595 Pageviews.

 

Happy Birthday นะค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆ ปล.แวะมาเยี่ยมชมค่ะ

 

โดย: Takaw (Takaw ) 13 ธันวาคม 2550 17:58:10 น.  

 

สุขสันต์วันเกิดนะค่ะ

ขอให้มีความสุขมากๆ ค่ะ

อย่าลืม!!! รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

 

โดย: กุ้งกลม 13 ธันวาคม 2550 18:09:58 น.  

 

แวะมาเยี่ยมจ้า

วันศุกร์แล้วดีใจจัง

 

โดย: eiffel_n 14 ธันวาคม 2550 13:39:42 น.  

 


ผมมาเยี่ยมครับ แต่ไม่ถนัดเรื่องอ่านนิยาย ถ้าเป็นjoke จะชอบ

 

โดย: yyswim 14 ธันวาคม 2550 18:42:49 น.  

 

มาส่งกำลังใจ

 

โดย: ใจดี (jaidee.jaidee ) 14 ธันวาคม 2550 19:54:11 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.