|
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 25
บทที่ 25
เหวินฟางและอู๋จิงทั้งสองอยู่ในระหว่างการเดินทางไปสู่เมืองหลวงตามภารกิจกำจัดมารร้ายให้หมดไป โดยระหว่างทางได้เจอกับหนึ่งชายหนุ่มหนึ่งอาวุโสนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ และใครจะเชื่อได้ว่าสองคนนั้น หนึ่งคือจ้าวแห่งมาร ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นคือหวงเย่ว์ ผู้ถลำลึกเข้าสู่วิถีมารไปแล้ว
จ้าวมารได้ยั่วยุเหวินฟางโดยกล่าวว่ากระบี่หยกในมือมันนั้นได้มาจากการสังหารหนึ่งในพรรคพวกของนางทำให้นางไม่สามารถข่มอารมณ์โมหะได้อีกต่อไป
ควบคุมกระบี่เหิน!!! เธอบังคับกระบี่ทั้งหกเล่มข้างกายให้พุ่งเข้าหาจ้าวมารทันที ก่อนที่นางเองจะวาดกระบี่หยกตามไปสมทบ
ทว่ามารเฒ่ากลับหาได้กลัวเกรงไม่ มันเพียงสบัดชายเสื้อลงนั่งข้างกระดาษหมากล้อมอย่างเยือกเย็นยิ่งนัก และในขณะที่เพียงกระบี่บินห่างตัวไม่เกินสิบศอก มันก็พลันขยับมือซ้ายขวาอย่างรวดเร็วใช้ออกด้วยดรรชนีดีดเม็ดหมากล้อมขาวดำประดุจดีดพิณ
เม็ดหมากล้อมพลันเหินบินอย่างรวดเร็วเข้าปะทะปลายคมของกระบี่อย่างแม่นยำทำให้กระบี่เหินทั้งหกเสียทิศทางบินเฉออกข้างผ่านตัวมารร้ายไปอย่างเฉียดฉิว มิทำอันตรายมันแม้นเพียงสักเล็กน้อย
มันยิ้มที่มุมปากอย่างได้ทีก่อนจะสบัดมือซ้ายขวาใช้เพลงดรรชนีดีดเม็ดหมากล้อมนับสิบหมากอีกครั้งโดยครานี้เพ่งเล็งเข้าโจมตีเหวินฟางแล้ว
อย่ามาดูถูกกันให้มากนักแม้นไม่สามารถควบคุมกระบี่บินให้กลับมาปกป้องตนได้ทัน แต่เหวินฟางก็ยังคงไม่คิดถอยหนี นางพยายามร่ายรำเพลงกระบี่หยกปัดป้องเม็ดหมากล้อมที่แหวกอากาศเข้าโจมตีด้วยความเร็วดุจลูกธนู ทว่าก็หาได้ปัดป้องหมดไม่ หลายเม็ดหมากได้บินเฉือนเฉียดผ่านร่างนางให้บังเกิดบาดแผลได้ไม่น้อย
หลังผ่านมรสุมอันตรายเหวินฟางรีบประทับสมาธิควบมคุมกระบี่บินทั้งหกทันที
บังคับกระบี่เหิน ต้านรับอย่างเดียวเห็นจะเสียท่าเธอรีบบังคับกระบี่บินให้วกกลับมาโจมตีตอบโต้มารร้าย
กระบี่หกดาวใต้!!! นางบังคับกระบี่ให้เหินพุ่งโจมตีมารร้ายจากหกทิศหกทางต่างกันดุจค่ายกลกระบี่ เช่นนี้มารร้ายจะคลี่คลายได้หรือ
ทว่ามารกลับไม่มีแม้นสีหน้าลำบากใจ พลันตบกรงเล็บขวาเข้าที่หน้ากระดานไม้หมากล้อมขนาดหนาหนึ่งคืบ ก่อนจะจิกเล็บทั้งห้าลงเนื้อไม้แล้วยกขึ้นมันเหนือพื้น และใช้กระดานหมากปัดป้องคมกระบี่ทั่วทิศรับมือศาตราทั้งหกที่พุ่งเข้าแทงได้อย่างเรียบง่าย อีกทั้งยังส่งผลทำให้กระบี่ทั้งหกนั้นปักคาบนกระดานไม้แน่นอีกด้วย
แค่นี้กระบี่บินเจ้าก็สิ้นท่า มารร้ายผยองกล่าวเย้ย ยามนั้นกระบี่บินทั้งหกได้ปักแน่นคากระดานไปไหนไม่ได้แล้ว
หุปปากเจ้าเถิด เหวินฟางย่อมไม่คิดถอยกลับด้วยว่ากระบี่หยกน้ำเงินของนางนั้นจี้จะเข้าเกือบถึงตัวมารแล้ว
ยามนั้นมารเฒ่ายังคงสงบนิ่งเพียงใช้มือซ้ายข้างที่ว่างอยู่โปกสบับแขนเสื้อลากผ่านพื้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ฉับพลันสามารถบังคับเม็ดหมากขาวดำที่ตกเรียงรายบนพื้นให้พุ่งเข้าโจมตีทำลายจังหวะบุกของเหวินฟางให้ต้องใช้กระบี่หยกปัดป้อง จากนั้นมันจึงเคลื่อนเท้าท่าท่องแดนอสูรเข้าประชิดตัวนางอย่างรวดเร็วจนนางได้แต่มองตาค้าง
ผู้สืบทอดกระบี่หยก ก็แค่นี้รึ กล่าวจบมันก็ฟาดหนึ่งฝ่ามือเข้าที่ท้องน้อยของนางอย่างรุนแรงจนตัวนางต้องงอเป็นกุ้ง อีกทั้งกระอักเลือดรุนแรง ร่างลอยละลิ่วเป็นว่าวไร้สายป่าน และยามนั้นร่างเธอไร้การคุมกันสิ้น มารเฒ่าจึงชักกระบี่หยกของมันออก ก่อนจะจี้ปลายคมเข้าหาเหวินฟางหมายปลิดชีวิตเธอทันที
เหวินฟาง!!!! อู๋จิงยามตะลึงงันรีบคว้าด้ามดาบเหล็กดำหมายเข้าช่วย แต่พริบตานั้นเองก็เป็นหวงเย่ว์ที่เข้าประกบรวดเร็วเหนือชั้นคว้ากุมข้อมือของเด็กหนุ่มไว้
น้องข้า นางชะตาขาดแล้ว อย่าฝืนเลย คำกล่าวของหวงเย่ว์ทำเอา อู๋จิงเดือดดาลยิ่งนักพลันตวัดขาฟาดเตะสามจังหวะไล่จากต้นขา เอว ก้านคอ แต่ก็เป็นหวงเย่ว์ที่เร็วทันกัน ยกฝ่ามือต้านรับได้ทุกจังหวะไป แต่ถึงกระนั้นอย่างน้อยเพลงเตะนั้นก็ทำให้หวงเยว์ต้องถอยไปครึ่งก้าว เปิดจังหวะให้อู๋จิงมีกระโจนเข้าไปช่วยเหวินฟางได้
มารเฒ่าถอยไปนะ อู๋จิงตวัดวาดดาบเหล็กดำสุดแรง ฟันเข้าใส่สีข้างของมารเฒ่าทันที เพื่อคลี่คลายเงื่อนตายให้เซียนหญิง
รุนแรงดี มารเฒ่ายิ้มเยาะ มันเปลี่ยนท่าจับกระบี่เป็นสองมือยึดมั่น ทว่าไม่ยกกระบี่เข้าต้านรับ กลับเพียงใช้ปลายสุดคมกระบี่กดเบี่ยงตัวดาบดำให้เบี้ยวผิดทางไปเล็กน้อยจนเด็กหนุ่มวาดดาบผิดเป้าหมายไปอย่างฉิวเฉียด จากนั้นมันจึงเข้าเคลื่อนร่างเข้าใกล้แล้วฟันศอกเข้าใส่กลางใบหน้าของอู๋จิงทันที
มันใช้ หนึ่งตำลึงปาดพันชั่ง!!! อู๋จิงพลันสำนึกเสียใจ มิคาดมารร้ายจะใช้เพลงยุทธ์อ่อนสยปแข็งกร้าวเข้ารับมือ แต่ก็สายไปแล้วศอกของมารเฒ่าเข้าปะทะเต็มไปหน้าอย่างจังจนเซถลา ยามนั้นทั่วทั้งร่างของเขาเปิดจุดอ่อนไปทั่ว หากมารร้ายเคลื่อนกระบี่อีกหนึ่งเพลงชีวิตของเขาย่อมจบสิ้นแน่และมันก็ไม่ลังเลที่จะทำเสียด้วย หนึ่งเพลงกระบี่นั้นได้เคลื่อนตัดอากาศเข้าหาต้นขอของอู๋จิงแล้ว
โปรดหยุดมืออาจารย์!!! สุดจะคาดกลับเป็นหวงเยว์ที่เข้ามาคลี่คลายให้ เขาใช้ท่าเท้าท่องแดนอสูรเคลื่อนตัวดุจภูติพราย กระแทกฝ่ามือขวาเข้าที่ตัวกระบี่ของมารเฒ่าให้ต้องเบี่ยงพลาดเป้าเข้าเพียงกรีดบาดต้นคออู๋จิงเล็กน้อย
พอผ่านช่วงความตายมาได้อู๋จิงรีบโครจรพลังใหม่ ดีดตัวหนีเข้าไปหาเหวินฟางที่กำลังนั่งกุมท้องน้อยด้วยอาการบาดเจ็บสุดแสน
เหวินฟางเจ้าเป็นอะไรไหม อู๋จิงถามไถ่อย่างเป็นห่วง ทั้งที่ตนเองพึ่งจะผ่านเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นตายมา ทว่าเหวินฟางกลับตะคอกเสียงหนักว่า
เจ้าอยากตายรึไง รีบหนีไปซะ เหวินฟางยามนั้นรู้สภาพนางดี กระดูกซี่โครง อวัยวะภายในเสียหายหลายส่วน นางหนีไม่ได้อีกแล้ว จะมีก็แต่เพียงความคิดที่หวังจะให้ชายหนุ่มนั้นรอดชีวิตไปได้
ไม่ข้าไม่ทิ้งเจ้า อู๋จิงกล่าวเสียงแข็ง
ทางด้านมารเฒ่าซึ่งเพิ่งถูกลูกศิษย์ของตนขัดขวาง กลับไม่โมโหโกรธา เพียงแต่ยิ้มไปที่หวงเยว์อย่างเจ้าเลห์พร้อมกับกล่าวคำอำมหิตว่า
มันเป็นน้องเจ้าสินะ ถ้าเช่นนั้นหากข้าฆ่ามันเจ้าก็คงไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากข้า คำกล่าวของมันทำเอาหวงเยว์เสียวสันหลังวาปตะลึงงันพลันตะโกนต่ออู๋จิงไปว่า
อู๋จิงเจ้ารีบหนีไป ไม่งั้นเจ้าตายแน่ แต่มิเพียงหวงเย่ว์เท่านั้นที่ต้องการให้เขาหนี เหวินฟางก็เช่นกัน
หนีไปอู๋จิงแล้วเอากระบี่หยกเล่มนี้ไปด้วย
.โปรดรักษาชีวิตเพื่อข้า เหวินฟางกล่าวพร้อมทั้งยื่นกระบี่หยกของนางใส่มือเขาก่อนจะกล่าวย่ำคำหนักแน่นอีกครั้งว่า
หนีไปไงเล่า เจ้าโง่ นางกล่าวจบก็ซัดหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่อกของอู๋จิงที่กำลังลังเลทันทีให้เขาต้องเซถอยไปหลายก้าว แต่เป็นเธอเองที่เจ็บปวดยิ่งกว่า หนึ่งหยดน้ำตาของนางหลั่งรินไม่อาจฝืน
ได้โปรดหนี นางกล่าววิงวอนพร้อมกับน้ำตา
วินาทีนั้นเองเมื่อมารเฒ่าเห็นเหวินฟางถ่ายโอนกระบี่หยกไปให้อู๋จิงมันตระหนักได้ถึงบางสิ่งทันที จึงรีบตะโกนกล่าวต่อหวงเย่ว์ว่า
กระบี่หยกเล่มนั้น ใช่แล้วเป็นเล่มนั้นเอง จะปล่อยมันหนีไปไม่ได้ แต่แทนที่หวงเย่ว์จะฟังคำอาจารย์กลับรีบตะโกนกล่าว
หนีไปอู๋จิง หนีไป ทุกเสียงยามนั้นต่างรุมเร้าให้อู๋จิงต้องถอยหนีไป
ยามนั้นเด็กหนุ่มจ้องมองเหวินฟางเสมือนว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย แววตาของเธอที่เปื้อนน้ำตาและบอกเพียงว่าให้เขาไป
ชายหนุ่มนั้นยังคงรับรู้ถึงแรงฝ่ามือของนางที่ซัดเข้าที่อกเขาอยู่เลย ทว่าความเจ็บปวดสุดแสนนั้นกลับอยู่ที่หัวใจ
.สิ่งร้องขอเพียงนี้โปรดทำ
เหวินฟาง
ข้าจะไม่ลืมท่าน อู๋จิงกล่าวพร้อมทั้งวิ่งจากไปด้วยน้ำตาเช่นกัน
แต่มารร้ายเมื่อรู้ว่ากระบี่หยกนั้นเป็นสิ่งที่มันตามหา มันย่อมไม่ต้องการให้อู๋จิงหลบหนีไปพร้อมกับกระบี่หยกเป็นแน่
ทว่า
บังคับกระบี่เหิน!!! ยามนั้นเหวินฟางใช้พลังที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดบังคับกระบี่บินตัดทำลายกระดานไม้ที่เสมือนพันธนาการ ก่อนจะบังคับกระบี่เข้าโจมตีพันพัวมารเฒ่าไม่ให้ติดตามอู๋จิงไปได้
ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของเหวินฟาง เธอเพียงใช้เหลียวมองไปยังแผ่นหลังของอู๋จิง มือหนึ่งค่อย ๆ วางลงบนอกในตำแหน่งหัวใจพร้อมทั้งกล่าวในใจว่า
ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร
.มันคือรักสินะ
ความในใจนั้นน่าเสียดายที่อู๋จิงคงไม่มีวันได้ยินเสียแล้ว ตอนนี้เขาทำได้แต่หนี หนี หนี และก็หนีอย่างสุดชีวิต เขาวิ่งอย่าไม่รู้ทิศรู้ทาง เพราะดวงตาของเขายามนั้นเต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว
เด็กหนุ่มวิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงกลางป่าทึบใหญ่แห่งหนึ่ง ก่อนจะต้องหยุดลงเพราะข้อเท้าของเขาไปเกี่ยวเข้ากับรากไม้จนล้มระเนละนาด เกลือกกลิ้งไปอย่างหมดสภาพจนนอนแน่นิ่งกับพื้นดิน
เหวินฟาง ข้าขอโทษ เขากล่าวสะอึกสะอื้นเสียใจ เขาผู้ซึ่งยอมตายไม่ยอมหนีครานี้กลับต้องหนี ทั้งยังหนีปล่อยทิ้งคนที่เขารักไว้เบื้องหลังอีกด้วย บางทีเขาก็คิดว่าเขาควรจะตายไปพร้อมกับนางมากกว่า
ทำไมกัน ข้าหนีมาทำไม ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจน้ำตาหลั่งริน ร้องไห้อย่างไร้ความคิดหยุดฝืน ยามนี้หากคิดย้อนไปเด็กหนุ่มย่อมไม่คิดหลีกหนี ยอมตายไม่ยอมทิ้งนางเป็นแน่
เขาได้แต่นอนนิ่งร้องไหวน้ำตาท่วมหน้า ในความคิดมีแต่ภาพของเจ้าหล่อนตั้งแต่ครั้งแรกพบเจอจนกระทั้งวินาทีสุดท้าย ภาพทุกอย่างมันแล่นเข้ามาให้หัวของเขาอย่างรวดเร็ว ยามนั้นคำกล่าวหนึ่งของเหวินฟางก็กระหึ่มก้องในหัวของเขา
หนีไปอู๋จิงแล้วเอากระบี่หยกนี้ไปด้วย
.โปรดรักษาชีวิตเพื่อข้า ชายหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ หนึ่งคราก่อนจะกล่าวแต่แผ่วเบาว่า
รักษาชีวิตเพื่อเจ้า แล้วชีวิตข้าเล่าจะอยู่ต่อไปอย่างไร
ข้าจะอยู่ไปทำไม แต่คำตอบของคำถามนั้นกลับดังกึกก้องภายในหัวของอู๋จิงฉับพลัน มันเป็นคำพูดของเหวินฟางที่เขาได้รับฟังมันอยู่บ่อยครั้ง
ข้าพเจ้ารู้จักแต่หน้าที่ที่ต้องกระทำ
..กำจัดมารร้าย วินาทีนั้นเองอู๋จิงพลันตอบตัวเองได้ว่าเขาต้องอยู่เพื่ออะไร
ข้าต้องสานต่อเจตนารมณ์ของนาง นี้เองเป็นเหตุผลที่นางฝากกระบี่หยกให้กับข้า อู๋จิงพลันคิดได้ลอบมองเข้าไปในกระบี่หยกน้ำเงิน ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางสิ่งเหนือธรรมดา เขาค่อยๆ ลูบไปบนตัวกระบี่อย่างช้า ๆ
มีอักษร ฝ่ามือนั้นสัมผัสได้ว่าบนตัวกระบี่นั้นมีรอยสลักแต่บางเบาเป็นตัวอักษร ยามนั้นเขาค่อยๆ ลูบมือบนตัวกระบี่ไปเรื่อย ๆ ก่อนจะอ่านอักษรเหล่านั้นในใจ และเมื่ออ่านจบก็พลันตื่นตะลึงยิ่งนักถึงกลับหลุดปากกล่าวไปว่า
เคล็ดวิชาบังคับกระบี่เหิน!!!
หนึ่งปีผ่านไป
ภายในตัวเมืองแถบกวางซีในยามคืนที่มืดมิด
เวลานั้นเป็นยามสามที่ค่ำคืนมากแล้ว ถนนตรอกซอกซอยล้วนเงียบกริบไม่มีแม้นแต่เสียงหนูร้องให้ได้ยิน มันเงียบเช่นนั้นอยู่นานก่อนจะมีเสียงล้อรถเกียวขับเคลื่อน เสียงนั้นดังขึ้นมาเรี่อยๆ ก่อนจะเห็นเป็นรถม้าเทียมเกวียนบรรทุกของเต็มคันรถวิ่งมาช้า ๆ พร้อมกับชายวัยกลางคนที่มือหนึ่งบังคับม้าเทียมเกวียนมือหนึ่งถือตะเกียงไฟ
กลับยามมืดค่ำเช่นนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ชายวันกลางคนแต่งกายคล้ายพ่อค้ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
ม้าเทียมเกียวแล่นไปได้ไม่นานนักก็พลันต้องหยุดชะงักด้วยว่า พ่อค้าพลันเห็นร่างของชายผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายบัณฑิตนอนคว่ำหน้ากลางถนนกีดขวางทางรถอยู่
บ้าจริง ยามนี้มิทราบเป็นคนหรือผี พ่อค้ามีสีหน้าลำบากใจอย่างยิ่งก่อนจะเอื่อมมือขวาไปหยิบกระบี่ที่ใกล้ตัว ในขณะที่มือซ้ายถือตะเกียงไฟแน่น จากนั้นจึงค่อย ๆ กระโดดจากเกวียนเดินเข้าไปหาบัณฑิตที่นอนคว่ำหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
ช่วงปีที่ผ่านมานี้ พวกผีดิบยิ่งออกอาละวาดอย่างหนักเสียด้วย พ่อค้าบ่นพึมพัมก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ร่างบัณฑิตจากนั้นจึงค่อยๆ เอาเท้าแหย่กระทุ้งร่างมันสองสามที
คงไม่มีปัญหา เพียงย้ายร่างมันออกนอกทาง คงพอ พ่อค้ากล่าวจบก็วางตะเกียงไฟและกระบี่ลงกับพื้น เพื่อว่าจะได้ใช้สองมือลากร่างของมันให้พ้นทาง แต่สุดจะคาดหลังจากที่วางตะเกียงไฟพอเหงยหน้ากลับไปมาก็พบว่าร่างของมันหายไปแล้ว
ผี
. ยังไม่ทันที่พ่อค้าจะกล่าวจบ ร่างของบัณฑิตก็พุ่งเข้าเตรียมประทับรอยเขี้ยวลงบนคอพ่อค้าแล้วเลือดสีแดงฉ่านพลันพุ่งกระจายเปรอะเปื้อนไปทั้งคอและใบหน้าของพ่อค้า ในขณะที่แววตาก็พลันเลื่อนลอย ชะตามันขาดแล้วรึ
ทว่าแท้จริงกลับเป็นผีดิบในคราบบัณฑิตต่างหากที่ชะตาขาด ด้วยว่าหนึ่งกระบี่หยกน้ำเงินแทงทะลุลำคอของมันก่อนที่เขี้ยวนั้นจะฝังลงไปยังคอพ่อค้า เลือดของมันพุ่งกระจายอย่างมากจนเปรอะเปื้อนใบหน้าพ่อค้าเต็มไปหมด
จ๊าาาาาากกกกก พ่อค้าร้องลั่น ขาอ่อนตะเกียดตะกายหนีจากร่างผีดิบก่อนจะเลือบมองไปเห็นผู้ถือกระบี่หยกน้ำเงินภายใต้แสงจันทร์
ชายหนุ่มผู้สวมเสื่อผ้าเก่าขาดรุงรัง ภายใต้ผ่าคลุมสีดำสนิท ใบหน้าคมคาย แต่ไร้ชีวิตชีวา หนวดเครา ผมเผ้ารุงรัง มันผู้นั้นเป็นอู๋จิง
พ่อค้ามองอู๋จิงอย่างตื่นตระหนกตกใจยิ่งนัก แต่เมื่อพอเห็นกระบี่หยกน้ำเงินในมือซ้ายจึงอุ่นใจกล่าวต่อไปว่า
จะจะจะ เจ้าถือกระบี่หยก เจ้าคืออู๋จิงผู้ปราบมารที่เค้าล่ำลือสินะ คำกล่าวของพ่อค้านั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของอู๋จิงเลยแม้นแต่น้อย เขาเพียงมองไปยังเหนือหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ก่อนจะกล่าวพึมพัมไปว่า
ข้าพเจ้ารู้สึกไปเองหรือเปล่า อู๋จิงกล่าวแต่แผ่วเบาก่อนจะละสายตาจากมุมมืดบนหลังคา กลับมามองยังพ่อค้า
ณ เช้าวันรุ่งขึ้น บนโรงเตี๊ยมชื่อดังในเมืองกวางซี
แม้นบนถนนของเมืองกวางซียามนั้นจะเริ่มคับคั่งไปด้วยผู้คนมากแล้ว แต่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังคงมีเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้นที่ถูกจับจอง และหนึ่งในนั้นเป็นโต๊ะของพ่อค้าผู้โชคดีซึ่งกำลังเลี้ยงตอบแทนอู๋จิง
ขอบคุณท่านผู้กล้า หากไม่ได้ท่านยามนี้ ญาติข้าคงต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ข้าแล้วอย่างแน่นอน พ่อค้ากล่าวอย่างนอบน้อม แต่กลับเป็นอู๋จิงที่หาได้สนใจไม่กลับวุ่นวายอยู่กับการดื่มกินอาหารเลิศรสบนโต๊ะเสียมากกว่าและบ่อยให้พ่อค้าพร่ำพรรณาต่อไป
ข่าวสารจากพรรคกระจ่างแจ้งที่ว่า ผีดิบออกอาละวาดไปทั่วเห็นจะเป็นเรื่องจริงสินะ สิ้นคำกล่าวพ่อค้ายามนี้อู๋จิงเพียงเหลือบไปมองหน้าด้วยสายตาเล็กน้อยก่อนจะกลับไปมุ่งมั่นกับการกินต่อ
เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีข่าวว่าพรรคหมื่นอัคคีของมังกรร้อนเพิ่งถูกกลุ่มของพวกผีดิบมารร้ายนำโดยมารไร้เงา กวาดล้างไปหยก ๆ แม้นพรรคหมื่นอัคคีจะเป็นพรรคอธรรมแต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ พวกผีดิบนี้เป็นภัยยุทธภพจริง ๆ คำกล่าวอ้างถึงมารไร้เงาทำเอาอู๋จิงถึงกลับต้องสะดุ้งหยุดนิ่งวางตะเกียบ ภายในหัวพลันนึกไปถึงเหตุการณ์แห่งความหลัง วันที่เขาต้องละทิ้งเหวินฟาง และวันนั้นเองก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็น มารไร้เงา หรือชื่อเดิม หวงเย่ว์
ขอบคุณท่านพ่อค้า ข้าพเจ้าขอจากลา อู๋จิงประสานสองมือคาราวะเตรียมพร้อมจากลา
เดี๋ยวก่อนสิท่านจอมยุทธ์ ไม่อยู่คุยกันอีกสักหน่อยเหรอ พ่อค้ากล่าวเหนี่ยวรั้ง ทำเอาอู๋จิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะคิดไปว่า
อยู่คุยอีกสักครู่ก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่พริบตาก่อนที่เขาจะกลับนั่งลง ที่สุดปลายสายตาก็พลันเหลือไปเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดบู๊รัดกุมสีขาวสะอาดตา ที่เดินปะปนบนท้องถนนกับชาวบ้านทั่วไป ภาพของแผ่นหลังแม่นางน้อยผู้นั้นนั้นทำเอาดวงตาของเขาเบิกกว่าขึ้นทันที
รึว่าพลังปราณที่เราสัมผัสได้เมื่อคืน จะเป็นนางจริงๆ อู๋จิงกล่าวแผ่วเบาอย่างตื่นตะลึงก่อนจะรีบกล่าวลาต่อพ่อค้าจากนั้นก็กระโจนร่างออกจากโรงเตี๊ยมจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม ใช้วิชาตัวเบาเหินร่างลงบนถนน จากนั้นจึงวิ่งติดตามแผ่นหลังของสาวผู้นั้นไปทันที
แต่ก็เหมือนเล่นตลกแม้นอู๋จิงจะเร่งฝีเท้าเท่าไร ก็ยังคงไม่สามารถเข้าใกล้แม่นางลึกลับผู้นั้นได้มากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังคงใกล้ชิดมากขึ้น และยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไร ยิ่งเห็นชัดมากเท่าไรชายหนุ่มก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
รึว่าจะเป็นนางจริง ๆ
หญิงสาวเสมือนรู้ถึงการติดตาม พลันเดินหลีกลี้หนีฝูงชน เข้าไปยังตรอกเล็กซอยน้อย จนกระทั้งไปสุดที่ตรอกหนึ่งซึ่งไร้ผู้คนสิ้นเชิง เธอยืนหันหลังให้อู๋จิงอย่างเรียบเฉย
แผ่นหลังเช่นนี้
.. อู๋จิงซึ่งยามนั้นอยู่ห่างเธอไม่เกินยี่สิบก้าวแล้ว
เหวินฟาง เป็นท่านใช่หรือไม่ อู๋จิงกล่าวเรียกนางอย่างตื้นตัน แต่นางกลับไม่แม้นจะหันกลับมามอง และคำที่นางกล่าวตอบกลับกลายเป็น
บังคับกระบี่เหิน!!! พริบตาสุดจะคาด กระบี่ทั้งหกที่แนบอยู่ข้างกายซ้ายขวาด้านล่ะสาม พลันถูกบังคับพุ่งเข้าจู่โจมอู๋จิงอย่างพร้อมเพรียง
อู๋จิงยามนั้นตกตะลึงงันไม่นึกว่านางจะโจมตีเปิดเผยรวดเร็วเช่นนี้ แต่หนึ่งปีที่ผ่านมากับการล่าอสูรร้ายก็พัฒนาอู๋จิงไปอย่างมากมาย เขารีบใช้มือซ้ายหยิบทวนขึ้นหมุนวนรวดเร็วจนด้ามทวนบิดโค้งงอ ปลายคมปัดต้านรับกระบี่บินสามเล่มได้อย่างรวดเร็วในขณะที่มือขวาก็ชักดาบเหล็กสีดำหม่นขึ้นวาดตัดสร้างปราณดาบขนาดใหญ่สลายกระบี่บินสามสายที่เหลือ
กระบี่เหินกลับคืน เมื่อการโจมตีไม่ส่งผล นางจึงบังคับกระบี่บินทั้งหมดกลับคืนฝัก
เหวินฟาง เป็นท่านใช่หรือไม่ การบังคับกระบี่บินนี้ย่อมยืนยันตัวท่านแล้ว อู๋จิงกล่าวน้ำตาคลอ ถึงแม้นเขาจะรู้ว่าแทบไม่มีโอกาสที่นางจะรอดจากเหตุการ์ณวันนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่หยุดฝันว่านางอาจจะยังไม่ตาย
สิ้นคำกล่าวของอู๋จิงนางจะค่อย ๆ หันกลับมาให้เขายลโฉมอย่างช้า ๆ จนในที่สุดก็เผอิญหน้ากัน
อู๋จิง ในที่สุดเราก็ได้พบกัน นางกล่าวเรียบเฉย ในขณะที่อู๋จิงได้แต่ตะลึงงันปากอ้าตาค้างก่อนจะกล่าวเสียงสั่นเทาว่า
เจ้า
เจ้า
. เจ้าไม่ใช่ เหวินฟาง
ข้าย่อมไม่ใช่นาง เพราะนางถูกเจ้าทิ้งให้ตายอย่างลำพัง นางแต่งกายในชุดบู๊สีขาวรัดกุมเหมือนดั่งเหวินฟางไม่มีผิด ต่างก็ตรงที่นางไม่มีกระบี่หยกน้ำเงิน ทางด้านรูปลักษณ์ใบหน้าก็มีส่วนคล้ายกันอย่างยิ่ง แม้นรูปหน้านางไม่ดูงามสง่าเท่าเหวินฟาง แต่เหวินฟางก็หาได้มีรูปหน้าอ้อนหวานเท่านางไม่ แต่ที่แน่ชัดคือทั้งคู่งดงามดั่งนางฟ้ามาเดินดิน
อู๋จิงครั้นเห็นนางไม่ใช่เหวินฟางก็พลันผิดหวังเป็นที่สุด อีกทั้งเมื่อได้ยินนางกล่าวถึงการละทิ้งปล่อยให้เหวินฟางเผอิญชะตากรรมแต่ลำพัง ยิ่งทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มแทบแตกสลายอีกครา
ข้าพเจ้าเหวินลี่ น้องของเหวินฟาง ที่ข้ามาในวันนี้เพื่อจะตัดหัวของเจ้าไปเซ่นวิญญาณพี่สาวข้า นางกล่าวน้ำเสียงเกรียวกราดจริงจัง
ข้าพเจ้าผิดต่อนางจริง หากเจ้าต้องการชีวิตช้าก็เชิญลงมือเถิด อู๋จิงกล่าวเหมือนคนไร้วิญญาณก่อนจะคุกเข่ารอรับการลงทัณษ์
นับว่ายังคงมีความเป็นชายอยู่บ้าง พอเหวินลี่กล่าวจบนางก็บังคับกระบี่บินทั้งหกพุ่งเข้าหาอู๋จิงผู้มีแววตาไม่จีรังกับชีวิต
และเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง คำกล่าวของเหวินฟางในอดีตก็กลับดังก้องเตือนสติ
..โปรดรักษาชีวิตเพื่อข้า
ใช่!!!! ข้าจะตายตรงนี้ไม่ได้ อู๋จิงพลันสำนึกคิดได้ ว่าภารกิจกำจัดมารยังไม่บรรลุจะมีหน้าไปพบเหวินฟางในปรรโลกได้ยังไงกัน ยามนั้นแววตาของเขาพลันเปล่งประกายพร้อมกับกล่าวว่า
บังคับมีดบิน!!! พริบตามีดบินทั้งหกเล่มก็พลันพุ่งสยายออกจากผ่าคลุมสีดำของอู๋จิงเข้ารับมือกับกระบี่บินทั้งหกทันที
แม้นมีดบินจะมีขนาดเล็กกว่ากระบี่บินกว่ามากแต่กลับสามารถสลายการโจมตีของกระบี่บินได้หมดสิ้นแสดงให้เห็นว่าพลังปราณอู๋จิงยามนั้นย่อมเหนือกว่านางไม่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น
อะไรกัน เจ้าสามารถใช้วิชาบังคับกระบี่เหินได้อย่างงั้นรึ เหวินลี่กล่าวตะลึงงันก่อนจะเรียกกระบี่บินทั้งหกกลับคืน
ขออภัยแม่นางน้อย แต่ข้าพเจ้าสำนึกเปลี่ยนใจ ไม่สามารถให้ชีวิตท่านยามนี้ได้ อู๋จิงพอกล่าวจบก็บังคับมีดบินทั้งหกกลับคืนมาเก็บซ่อนไว้ภายในผ้าคลุม จากนั้นจึงเดินห่างไปอย่างไม่เหลี่ยวแลนาง
อู๋จิงเดินอย่างเรียบเฉยต่อไปได้สักพักก็ต้องพลันหันหลังกลับไปมอง
แม่นางน้อย เจ้าตามข้ามาทำไม อู๋จิงแม้นกล่าวต่อนาง แต่ก็ไม่พยายามจะมองหน้านาง เพราะหากเมื่อมองไปแล้วก็อดคิดถึงเหวินฟางเสียมิได้ ใบหน้าของนางทั้งสองช่างคล้ายกันเหลือเกิน
ถนนนี้เป็นของเจ้าหรือไง ทำไมข้าจะเดินทางนี้ไม่ได้ เหวินลี่ตอบกลับข้าง ๆ คู ๆ
อู๋จิงพยายามจะไม่สนใจนางแต่ไม่ว่าจะเดินไปไหนนางก็ตามติดเป็นเงา แม้นกระทั้งเขาเดินออกจากเมืองไปแล้วนางก็ยังคงตามติดไม่เลิก
เจ้าต้องการจะตามข้าไปถึงไหน อู๋จิงกล่าวทั้งที่พยายามจะไม่มองหน้าสบตานาง
จนกว่าข้าจะพอใจ
Create Date : 11 ธันวาคม 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 11 ธันวาคม 2550 15:55:21 น. |
Counter : 535 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|