|
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 26
บทที่ 26
ณ เมืองหังโจวในยามเช้า
ภายเมืองหังโจวยามนั้นต่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทว่าผู้คนเหล่านั้นที่เดินกันเปะปะตามท้องถนนนั้นส่วนมากหาใช่ดูเหมือนชาวหังโจวไม่ ไม่ว่าจะการแต่งกาย หน้าตา รูปร่างทรงผมล้วนมองออกได้ไม่ยากว่าเป็นคนต่างถิ่น แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคือมันเหล่านั้นล้วนเป็นชาวยุทธ์ทั้งสิ้น
ซึ่งชาวยุทธ์เหล่านั้นมีทั้งแบบจับกลุ่มกันเป็นหมู่คณะ หรือมาเพียงลำพัง บ้างฝีมือสูงส่ง บ้างยังคงดูต่ำทรามนัก บ้างมีชื่อเสียง บ้างไร้นามให้จดจำ แต่พวกมันทั้งหมดที่มาเยือนหังโจวนั้นย่อมมีจุดประสงค์เดียวกัน คือเข้ารวมงานชุมนุมยาวยุทธ์
และในหมู่ชาวยุทธ์นั้น ยังคงมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดสีแดงสดตัดกับสีดำ ผมเผ้ารุงรังแห้งหยาบสีแดงน้ำตาล สะพายกระบี่หลายเล่มไว้ที่ด้านหลัง แต่ถือไว้ในมือซ้ายด้วยฝักไม้บรรจุดาบใหญ่โค้ง ลักษณะมันผู้นี้มีคนเดียวที่นับได้อันนามว่าตัดกระบี่
เนิ่นนานเพียงใดแล้ว ที่ไม่ได้มาเยือนหังโจว ตัดกระบี่กล่าวก่อนจะมองไปยังหมู่ตึกพรรคกระจ่างแจ้งที่สูงใหญ่แลเห็นได้แต่ไกล และการมาเยือนครั้งนี้มันย่อมอดมิได้ที่มันจะหวนคิดกลับไปถึงเมื่อครั้งก่อนที่มันมางานจัดอันดับยอดยุทธ์ รวมไปถึงการเดินทางไปสู่ลั่วหยางอันเป็นเหตุให้พบเรื่องราวมากมายยิ่งนัก
สุดจะคาดคิดได้ อู๋จิงเด็กซุกซนในวันก่อน มาวันนี้มันจะกลายเป็นผู้กล้าอันดับฝีมือเทียบเคียงตัวข้าแล้ว ตัดกระบี่นึกย้อนถึงวันแรกที่พบเจออู๋จิง เด็กน้อยนั้นยังคงวิงวอนขอร้องเป็นศิษย์อยู่เลย ตัดกระบี่รำลึกความหลังพร้อมกับร้อยยิ้มที่เปิดเผยออกมา
สงสัยข้าพเจ้าจะแก่แล้ว เวลานึกถึงวันวานพลันรู้สึกยินดีอย่างเสียมิได้ พอกล่าวจบมันก็ก้าวเท้าเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างผ่าเผย โดยคงมีเป้าหมายอยู่ที่งานชุมนุมชาวยุทธ์ ณ หมู่ตึกพรรคกระจ่างแจ้ง
ทว่าหลังมันออกเดินไปได้ไม่นานนักมันก็ต้องหยุดเท้าลง สีหน้าแจ่มใสพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมระแวดระวัง อีกทั้งควบคุมสมาธิหยุดจิตสัมผัส รับฟังเสียงฝีเท้า
มันผู้ใดกล้าติดตามเรา ตัดกระบี่กล่าวในใจ สมาธิมันยามนั้นแน่วแน่สามารถแบ่งแยกเสียงฝีเท้าที่แตกต่างรอบกายสิ้น พลันรับรู้ถึงเสียงฝีเท้าหนึ่งที่ตามติดมันมาตลอด เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของยอดยุทธ์
มิคาด คนบ้านป่าเช่นข้า เวลาเข้าเมืองทีไรมักมีเรื่องราวน่าสนใจให้กระทำทุกครั้งไป ถึงครานี้มันจึงเริ่มเดินออกจากเส้นทางหลัก เปลี่ยนเป็นเข้าตามตรอกซอกซอย หนีห่างจากฝูงชน
มันเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่หันย้อนกลับไปมองผู้ติดตามให้แตกตื่น แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ตัวเพื่อหวังจะล่อผู้สะกดรอยให้ออกจากฝูงชน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับรู้สึกว่าเสียงฝีเท้าติดตามได้ห่างหายไปเรื่อยๆ ยามนี้จนใจมันได้แต่คิดไปว่า
ชิ เป็นข้าพเจ้าคิดไปเองหรือนั้น แต่ฉับพลันที่มันวางใจก็พลันมีหนึ่งฝ่ามือปรากฏมาจากด้านหลัง เคลื่อนเข้าใกล้ต้นคอมันอย่างยิ่งแล้ว ยามนั้นตัดกระบี่ตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้าง มิคาดฝัน มันผู้นั้นเป็นใครกันสามารถลอบเข้าใกล้ได้เพียงนี้โดยปิดงำประกายสังหารสิ้น
ยามนั้นตัดกระบี่รีบหันควับกลับไปหาชายลึกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นร่างของชายสูงโปร่ง สวมเสื้อผ้าเนื้อดีสีขาวเมฆา ตัดกับหมวกดำปีกผ้าขนาดใหญ่ที่ปกปิดใบหน้า ยืนห่างมันเพียงก้าวเท้าเดียว ตัดกระบี่ย่อมรู้ว่าหากลงมือยามนี้ย่อมช้ากว่าเป็นแน่ แต่หามีทางใดให้มันเลือกได้อีกเล่า
บัดซบ!!! ตัดกระบี่กระแทกเสียงหนักทั้งรีบเอื้อมมือขวาหมายชักเอาดาบใหญ่ออกจากฝักในมือซ้ายทันที แต่สุดจะคาดไม่ทันที่ดาบจะออกจากฝักได้ทั้งหมดสิ้น หนึ่งฝ่ามือของชายเสื้อขาวก็พลันกระแทกเข้าที่ปลายด้ามจับ กระแทกซัดดาบนั้นกลับคืนฝักอย่างง่ายดาย สิ้นฤทธิ!!!
วินาทีนั้นหากดื้อดึงจะชักดาบออกอีกครั้งย่อมช้าเหลือแสน ตัดกระบี่พลันฟาดสันมือขวาต่างดาบเข้าหาลำคอชายลึกลับแทนที แต่ทุกอย่างคล้ายอยู่ในการควบคุมสิ้นแล้ว ชายลึกลับพลันจี้ดรรชนีเข้าที่ข้อมือขวาของตัดกระบี่ทำเอาฝ่ามือดาบนั้นพลันสะท้านกลับ ด้านชาไร้ความรู้สึก
ตัดกระบี่หน้าถอดสีอย่างยิ่ง ผิดพลาดสองเพลงยุทธ์ต่อเนื่องยามนี้เท่ากับว่าตัวมันได้เปิดจุดอ่อนไว้สิ้นแล้ว อย่างดีเพียงทำได้แค่รั้งพลังวัตรมาคุ้มกายไม่ให้ตายตกไป
มิคาดประมาทครั้งเดียวพาตัวเข้าจุดอับ ตัดกระบี่นึกตัดพ้อ
ยามคับขันสุดจะคาด หนึ่งคมกระบี่หยกน้ำเงินพลันปรากฎจากมุมอับสายตา พุ่งเข้าหายอดอกชายลึกลับช่วยแก้ไขเงื่อนตายให้ตัดกระบี่
ผู้สอดมือมาช่วยย่อมมิใช่ผู้อื่นไปได้ อู๋จิง เสียบแทงกระบี่หยกมาช่วยเหลือแล้ว แต่การปรากฎกายนี้มิเพียงช่วยเหลือ ซ้ำยังพลิกสถานการณ์กลับสิ้น เป็นชายลึกลับเข้าตาจนแทน อันอาวุธมีคมย่อมมิสามารถใช้เพียงมือเปล่ารับได้ แต่แล้วเหลือเชื่อยิ่งชายลึกลับกลับใช้ปลายเท้าเตะกระแทกปลายปลอกดาบในมือซ้ายของตัดกระบี่ส่งแรงพาเอาดาบเหล็กพุ่งออกฝักมาอยู่ในมือมันได้พอเหมาะ ยกต้านรับคมกระบี่หยกพอดิบดี
ตัดกระบี่แม้นเสียดาบไป แต่มิคิดปล่อยให้ศัตรูได้ฟื้นตัวง่าย ๆ จึงก็สาดเพลงเตะเข้าหว่างขาชายลึกลับอย่างอำมหิตทันที พร้อมเพรียงกับอู๋จิงที่ใช้กระบี่หยกเข้าซ้ำเสริมอีกหนึ่งเพลง เช่นนี้หากรอดไปได้มิทราบเป็นคนหรือปีศาจแล้ว
แต่จังหวะรุกของเพลงเตะกับเพลงกระบี่ยังคงไม่เสมอกันอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ชายลึกลับพลันสบช่องรีบยกฝ่าเท้าซ้ายเข้าต้านรับเพลงเตะก่อน และฉับพลันที่ท่าเท้าของตัดกระบี่สัมผัสฝ่าเท้าชายลึกลับ ตัดกระบี่พลันลอบตะลึงด้วยว่าเหมือนดั่งสัมผัสถูกอากาศธาตุ พลันตะโกนลั่น
มันใช้ โยกย้ายดารา!!! สุดจะคาดพลังปราณเพลงเตะของตัดกระบี่ เมื่อสัมผัสกับฝ่าเท้าซ้ายของชายลึกลับ พลังนั้นก็พลันถูกดูดโอนถ่ายไปเข้าฝ่าเท้าซ้ายของชายลึกลับแล้วส่งต่อไปสู่เท้าขวา ก่อนที่มันจะลอยตัวเหนืออากาศเตะเท้าขวาที่เปี่ยมพลังนั้นกับตัวกระบี่หยกของอู๋จิง แล้วจึงหยิบยืมแรงกระแทกม้วนตัวกลางอากาศถอยหนีออกไปตั้งหลัก
ร้ายกาจ อู๋จิงถึงกลับหลุดปากชื่นชม จากนั้นจึงเดินพลังปราณหมายชักนำบังคับมีดบินทั้งหก แต่วินาทีนั้นเองชายลึกลับก็พลันรีบกล่าวขึ้นว่า
ท่านพี่ ท่านอา หยุดมือก่อน พอกล่าวจบชายลึกลับก็เปิดหมวกปีกใบใหญ่เผยให้เห็นใบหน้าของมัน
หลินฟง? อู๋จิงพลันกล่าวตะลึงงัน
ตัดกระบี่เห็นเป็นคนคุ้นเคยก็พลันรีบกล่าวด่าทอ
ไอ้ลูกเต่า เป็นเจ้าแล้วทำไมไม่บอกแต่แรก
หลินฟงพอได้ฟังก็รีบอธิบายยกใหญ่ไปว่า
ข้าพเจ้าแค่จะสะกิดไหล่ท่านอา ให้ประหลาดใจ แต่ท่านกลับลงมือให้ข้าแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ตัดกระบี่ได้ฟังจึงเข้าใจเหตุใดมันจึงจับจิตสังสารไม่ได้
มิคาด หลินฟงเด็กน้อยที่เคยไม่ฝึกยุทธ์ มาวันนี้กลับเก่งกาจไม่ธรรมดา อู๋จิงลอบกล่าวแซว พร้อมทั้งแววตาที่เลื่อมใส
พี่ใหญ่ท่านชมข้าเกินไปแล้ว ท่านก็เหนือฟ้าไม่ธรรมดาเชกเช่นยอดอินทรี
ตัดกระบี่เห็นพี่น้องพบกันก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจต่อการมาของหลินฟงจึงเอ่ยถามไปว่า
หลินฟง ตอนนี้เจ้าเป็นมือขวาพรรคหมื่นน้ำแข็ง การปรากฎตัวของเจ้าย่อมมีเหตุไม่ธรรมดาใช่หรือไม่
อย่างที่พวกท่านรู้ เย็นวันนี้มีประชุมชาวยุทธ์เกี่ยวกับเรื่องการปรากฎตัวกลับคืนสู่ยุทธ์ภพของจ้าวมาร และเป็นที่แน่นอนว่าพรรคหมื่นน้ำแข็งซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคอธรรมย่อมไม่ได้รับเชิญ แต่จะให้ข้าพเจ้าปล่อยผ่านการประชุมนี้ก็เห็นจะมิได้ เลยจำเป็นต้องปลอมตัวมาสืบข่าวให้หิมะ ไม่ใช่สิ ให้ท่านเจ้าสำนัก
ดูท่าหิมะกับเจ้าจะสนิทสนมไม่ธรรมดานะ อู๋จิงกล่าวแซวต่อหน้าทำเอา หลินฟงหน้าแดงไปไม่น้อยพลันรีบแก้ตัวต่าง ๆ นา ๆ และในจังหวะนั้นเองก็เป็น เซียนหญิงเหวินลี่ที่เหินร่างปรากฎตัวขึ้นมาพร้อมกับกล่าวต่ออู๋จิงว่า
ท่านวิ่งไม่รอข้าเลยนะ หลินฟงได้ฟังนางก็พลันยิ้มอย่างกะหล่อน พร้อมทั้งถามอู๋จิงไปว่า
แม่นางน้อยผู้นี้สวยน่ารักยิ่ง มิทราบเป็นอะไรกับพี่ท่านหรือ คำถามซุกซนของหลินฟงทำเอา เหวินลี่ชะงักอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตาไปมองอู๋จิงที่อำ ๆ อึ้ง ๆ ไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเปิดปากว่า
แม่นางผู้นี้เป็น
.
หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ยามค่ำ ณ วัดร้างกลางป่า
ยามนั้นความสว่างและความอบอุ่นได้มาจากกองไฟตรงกลางวัดที่สุมจากกิ้งไม้ที่หาได้ง่ายในบริเวณนั้น ภายในวัดนี้ดูเก่าทรุดโทรมอย่างยิ่ง หลังคาก็แตกเป็นช่องหลายแห่ง กำแพงที่แตกร้าวเป็นรอย พื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน เรียกได้ว่าไม่สามารถนึกสภาพตอนมันถูกใช้จัดงานได้เลย
อู๋จิงนอนแผ่ผิงไฟโดยใช้เบาะผ้าเก่า ๆ ต่างหมอน และแอบมองไปยัง เหวินลี่ที่กำลังวุ่นวายกับการปัดฝุ่นบนพื้นและนำผ้าที่หาได้ในวัดนั้นมาปูต่างที่นอน
ใบหน้านางช่างเหมือนเหวินฟางเหลือเกิน อู๋จิงยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึงเหวินฟางให้ต้องปวดร้าวทุกครา
เหวินลี่พอรู้สึกว่าถูกมองจึงรีบหันควับไปหาอู๋จิง แต่ก็เป็นชายหนุ่มที่ทำทีเป็นว่ากำลังจ้องมองสิ่งอื่นอยู่
อึดอัดใจหรืออย่างไร เหวินลี่กล่าวน้ำเสียงฉุนเฉียว
มิได้ แม้นกล่าวต่อนาง แต่มันกลับไม่แม้นจะหันไปมองหน้านาง
หากไม่อึดอัดใจแล้วใย ที่ผ่านมาท่านทำเหมือนไม่อยากจะจ้องมองข้าพเจ้า คำกล่าวนี้ทำเอาอู๋จิงอึ้งและนิ่งไปนานก่อนจะพูดออกไปทั้งที่ยังคงไม่มองนาง
เหวินลี่ ข้าพเจ้าสงสัย หากท่านต้องการชีวิตข้าแล้ว ใยหลายครั้งที่ข้าพเจ้ากำลังสู้กับมารร้ายผีดิบ ใยเจ้าไม่ฉกฉวยช่วงเวลานั้นปลิดชีพข้า คำกล่าวนี้ทำเอาเหวินลี่อึ้งกลับไปบ้าง นางนิ่งเหมือนจะคิดหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบไปว่า
หากทำเช่นนั้นก็ออกจะไร้คุณธรรมเกินไป นางกล่าวคล้ายดั่งแก้ตัว
แล้วใยข้าพเจ้าไม่เคยสัมผัสจิตสังหารท่านได้เลยแม้นสักครั้ง หากจะกล่าวไปแล้วครั้งแรกที่พบกันท่านก็หาได้มีจิตสังหารที่จะปลิดชีวิตข้าไม่ ยิ่งมันกล่าวนางยิ่งจนคำพูด
ท่าน
. ท่าน
นางอึกอักกล่าวติดขัดก่อนสุดท้ายจะนิ่งไปอยู่นานแล้วจึงกล่าวออกไปว่า
ถูกแล้วข้าไม่เคยมีใจจะสังหารท่าน
แล้วเจ้าตามข้ามาทำไม
ข้าพเจ้ามีเหตุผลของข้า
หญิงสาวยามนั้นจ้องมองไปยังชายหนุ่มซึ่งยังคงสนทนาโดยที่ไม่แม้นจะเหลียวมามองหน้านาง จนสุดทนนางต้องกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
"แล้วเจ้าทำไมไม่มองหน้าข้า คำกล่าวของนางทำเอาอู๋จิงทำหน้าไม่ถูกเช่นกันได้แต่ตอบไปว่า
เจ้ามีเหตุผลของเจ้า ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า มันกล่าว
คำกล่าวนั้นทำเอาเหวินลี่ฉุนไม่น้อย และไม่ทนนิ่งอีกต่อไปนางเดินเข้าไปหาอู๋จิงที่กำลังนอนแผ่อยู่ และพอนางเดิมมาใกล้มันก็เบือนหน้าหนี ยิ่งทำให้นางยิ่งโมโหหนักเข้าไปกันใหญ่ มิทราบอย่างไรฉับพลันนางจึงนั่งลงควบร่างของชายหนุ่มทันทีให้มันต้องตะลึงงันแล้ว
เจ้าทำอะไร ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะรีบหันไปมองนางอย่างช่วยไม่ได้ และก็เป็นวินาทีนั้นเองที่นางใช้สองมือจับสองแก้มของชายหนุ่มไว้ให้ต้องมองไปยังหน้านางอย่างเสียมิได้พร้อมกับกล่าวว่า
ทำไมกัน มองข้าแล้วมันนึกถึงเหวินฟางรึอย่างไร เหวินลี่กล่าวกระชากเสียงทำเอาอู๋จิงต้องตะลึงงันอีกทั้งเจ็บวาบในหัวใจ ยามนั้นมันจึงทำได้แต่แค่มองนาง และนางก็ทำเพียงมองจ้องไปยังมัน และในที่สุดก็เป็นเจ้าหล่อนที่โน้มหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะจูปลงไปอย่างแผ่วเบาให้อู๋จิงต้องตะลึงแล้ว
และชั่วครู่เพียงคิดได้ นางก็พลันรีบถอนตัวลุกขึ้นออกไปปล่อยให้อู๋จิงมึนงงพูดไม่ออก และก็เป็นนางที่ต้องกล่าวขึ้นก่อนว่า
หนวดเคราท่านหัดโกนเสียบ้าง เหวินฟางพี่ข้าชอบคนสะอาด กล่าวจบนางก็รีบเดินปรี่ตรงกลับไปนอนตรงผ้าปูที่นางได้ปูไว้ และหันหน้านอนไปคนล่ะทางกับชายหนุ่ม
ยามนั้นอู๋จิงไม่ทราบจะสามารถกล่าวอันใดดี จึงเพียงได้แต่กล่าวไปว่า
ข้าพเจ้าขอโทษ สิ้นคำกล่าวของชายหนุ่มก็ไม่คำกล่าวใด ๆ เกิดขึ้นอีกจนกระทั้งรุ่งสาง
เช้าวันต่อมาเมื่อเหวินลี่รู้สึกตัวตื่นก็พลันสะดุ้งรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบหันไปมองหาอู๋จิงที่น่าจะนอนอยู่อีกด้านของกองไฟที่ดับไปแล้ว แต่นางก็ไม่พบเห็นผู้ใดให้ได้แต่ลอบกล่าวในใจไปว่า
บ้าจริง เมื่อคืนข้าพเจ้าทำอะไรลงไป มิทราบใยถึงทำเรื่องเช่นนั้นลงไปได้
ชั่วครู่ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาในวัดร้าง ก่อนที่นางจะเห็นเป็นอู๋จิงที่ผมเผ้า ใบหน้าเปียกปอนเหมือนเพิ่งไปล้างหน้ามาหยก ๆ แต่มีบางสิ่งที่ดูแปลกไปจากทุกครั้ง
เจ้าโกนหนวด เหวินลี่กล่าว
ไม่เกี่ยวกับท่านหรือว่าเรื่องเมื่อคืนหรอกนะ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันยาวเกินไป ไม่เพียงแต่หนวดเคราเท่านั้น ครานี้เขายังคงตอบกลับพร้อมทั้งสายตาที่มองไปยังนางอีกด้วย
ย้อนกลับมาที่ปัจจุบันเมืองหังโจว
แม่นางน้อยผู้นี้สวยน่ารัก มิทราบเป็นอะไรกับพี่ท่านหรือ คำถามซุกซนของหลินฟงทำเอา เหวินลี่ชะงักอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตาไปมองอู๋จิงที่อำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะเปิดปากกล่าวว่า
แม่นางผู้นี้เป็น
.เสมือนน้องสาวของข้า แม้นจะกล่าวเช่นนี้แต่อู๋จิงก็พลันอดที่จะคิดถึงคืนที่วัดร้างและหนึ่งรอยจูปมิได้ แต่จะอย่างไรมันก็ไม่เคยคิดเกินเลยไปกับนางมากกว่านั้นในเมื่อหัวใจของมันยังมีเพียงเหวินฟางเท่านั้น ซึ่งคำตอบของอู๋จิงทำเอาเหวินลี่ต้องแอบซ่อนแววตาของความผิดหวังไว้อยู่เช่นกัน
หลินฟงผู้ไม่ได้รู้เรื่องอันใดเมื่อได้ฟังก็ลอบกล่าวแจ่มใสตอบกลับไปว่า
หากแม่นางเป็นเสมือนน้องสาวของพี่รอง ก็เสมือนเป็นน้องสาวข้าด้วย เหวินลี่ยามนั้นไม่ทราบจะกล่าวอันใดดี แต่ก็เป็นตัดกระบี่ที่กล่าวแทรกขึ้นมาก่อนว่า
ได้พบลิงน้อยทั้งสองกับหนึ่งดอกฟ้า นับว่าเป็นเรื่องดียิ่ง ยังไงก่อนไปงานชุมนุมชาวยุทธ์พวกเจ้าต้องให้ตาแก่คนนี้เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวสักหน่อย
งานชุมนุมชาวยุทธ์ ณ หมู่ตึกพรรคกระจ่างแจ้ง
งานชุมนุมชาวยุทธ์ทุกครั้งที่พรรคกระจ่างแจ้งจัดย่อมมิพ้นเลือกเอาหอมองจันทร์หนึ่งในหมู่ตึกที่สูงที่สุดและสวยที่สุดของพรรคมาใช้เป็นสถานที่ และเป็นที่แน่ชัดว่าจะต้องใช้ชั้นบนสุดซึ่งเสมือนเป็นห้องโถงแบบโปร่งไม่มีกำแพงกั้นสามารถรับชมความงามของดวงจันทร์และท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี
ยามนั้นภายในห้องโถงของหอมองจันทร์ เบื้องหน้าใกล้เวทีถูกวางได้ด้วยโต๊ะเก้าอี้เนื้อไม้สวยหลายแถวไว้ต้อนรับชายยุทธ์เลื่องชื่อ ในขณะที่ถัดออกมาเป็นเป็นพื้นที่ส่วนที่ชาวยุทธ์หลายร้อยเฝ้ายืนอยู่โดยแบ่งออกเป็นปีกขวาสำหรับชาวยุทธ์จากที่ต่าง ๆ ในขณะที่ทางปีกซ้ายเป็นคนของพรรคกระจ่างแจ้งเอง
แม้นตัดกระบี่ อู๋จิงรวมทั้งเหวินลี่จะสามารถเข้าไปจับจ้องที่นั่งทางเบื้องหน้าได้อย่างไม่ยากแต่พวกมันก็เลือกที่จะหลบอยู่ในหมู่ฝูงชนทางด้านปีกขวาแทนด้วยว่าหลินฟงไม่สามารถเปิดเผยตัวได้
ต้องขอโทษพวกพี่ท่านด้วยที่ต้องลำบากมายืนเป็นเพื่อนข้าตรงนี้ หลินฟงกล่าวอย่างเกรงใจ
อย่าคิดมากน้องเล็กถึงจะอย่างไรข้าพเจ้าและตัดกระบี่ก็มิชอบการไปนั่งรวมอยู่กับพวกเจ้าสำนักมากพิธีอยู่แล้ว พออู๋จิงกล่าวจบก็เป็นเหวินลี่ที่กล่าวขึ้นแทรกว่า
หวังเผิง เจ้าสำนักกระจ่างแจ้งมาแล้ว
ยามนั้นเสียงกล่าวพูดคุยของชาวยุทธ์พลันเงียบสงบลงในพริบตาเมื่อชายสูงวัยผู้หนึ่งลุกเดินออกจากเก้าอี้แถวหน้าใกล้เวทีบริเวณหมู่พวกเจ้าสำนักทั้งหลาย มันเดินขึ้นไปยังเวทีอย่างเรียบ ๆ จนถึงกลางเวที
เจ้าสำนักผู้นี้เป็นชายแก่ในวัยห้าสิบกว่าปี ในชุดเนื้อผ้าอย่างดีสีแดงปักลายสวยดูมีสง่าราศียิ่งนัก อีกทั้งใบหน้าอันผ่องใสฉายแววความฉลาดล้ำลึก รวมไปถึงท่วงท่าการเดินที่บ่งบอกถึงพลังวัตรและวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา และยิ่งเมื่อมันกล่าววาจาด้วยเสียงอันดังหนักแน่นยิ่งบ่งบอกว่าฝีมือมันไม่ต่ำทรามแน่ แม้นในงานจัดลำดับฝีมือมันจะไม่เคยส่งชื่อตนเองเข้าเทียบ แต่ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าหากมันส่งชื่อเข้าทำเนียบยอดยุทธ์ ฝีมือมันย่อมไม่ต่ำทราบกว่าที่สามเป็นแน่
ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ทันทีที่มันกล่าวน้ำเสียงของมันก็ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้ไปสนใจรับฟังแล้ว
ยามนี้ยุทธภพสับสนวุ่นวายอย่างยิ่งด้วยว่าการปรากฎตัวของจ้าวมาร และจำนวนมารร้ายผีดิบที่ฝึกวิชาจากคัมภีร์เปลี่ยนมารอสูรได้เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง คำกล่าวของชายแก่ยามนี้ทำเอาหลินฟงนึกไปถึงยามเมื่อเขาได้สู้กับหุ่นเชิดซึ่งเสนอคัมภีร์มารให้แก่เขา และเป็นที่แน่ชัดว่าผู้ชักใยหุ่นอยู่เบื้องหลังต้องการเผยแพร่วิชามารนี้
อันชาวบ้านสามัญชนหากได้คัมภีร์ไปฝึกโดยไม่มีพื้นฐานวรยุทธ์ที่ดี สุดท้ายย่อมถูกจิตมารดูดกลืนจนคล้ายดั่งผีดิบไป หรือแม้นแต่ผู้มีวรยุทธ์สูงแม้นจะสามารถสำเร็จขั้นสูงได้แต่ก็คงต้องการดื่มเลือดไม่เปลี่ยน เฉกเช่นนี้แล้วผู้อยู่เบื้องหลังต้องไม่ประสงค์ดีต่อยุทธภพเป็นแน่
เจ้าสำนักพรรคกระจ่างแจ้งยังคงกล่าวต่อไปอีกว่า
หลายเดือนที่ผ่านมาจ้าวมารได้เริ่มเคลื่อนไหว มันรวบรวมผู้ฝึกคัมภีร์มารจนเป็นกองทัพปีศาจแล้ว และที่น่าตื่นตะลึ่งยิ่งพวกมันได้บุกทำลายล้างสำนักหมื่นอัคคีจนต้องลบชื่อออกจากยุทธภพไป ไม่พอมันยังยึดเอาสำนักนั้นเป็นฐานกบดาลของพวกมันอีกด้วย
พวกผีดิบดูดเลือดพวกนี้หากปล่อยไว้ก็รังแต่จะเป็นภัยยุทธภพ ตัวข้านั้นคิดอยากจะทำลายพวกมันเสียนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าด้วยกำลังคนของพรรคข้าเพียงหยิบมือหากคิดจะไปต่อกรกับพวกผีดิบนี้ก็ออกจะเหมือนพาคนไปตายสูญเปล่า เจ้าสำนักเฒ่ากล่าวต่อไปอีกว่า
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคิดใคร่ขอให้พวกเราชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ รวมพลังกันเข้าทำลายพวกมารต่ำช้าให้หมดสิ้นด้วยเถิด สิ้นคำกล่าวผู้เฒ่าชาวยุทธ์ทั้งหลายก็โห่ร้องด้วยความยินดีเสมือนแทนคำตอบว่าจะเข้าร่วมกำจัดเหล่ามารร้ายอย่างชัดเจน
ยามนั้นอู๋จิงได้ฟังก็ลอบคึกคักในใจยิ่งนัก ยิ่งเมื่อคิดไปว่าไม่ใช่มันผู้เดียวที่ต่อต้านพวกมารก็พลันปิติในใจยิ่ง
เสียงโห่ร้องดังอยู่นานจนกระทั้ง เจ้าสำนักเฒ่ายกสองมือขึ้นเสมือนจะกล่าวคำสืบไป ชาวยุทธ์จึงหยุดปากรอรับฟัง
อันที่จริงข้าพเจ้าได้ปรึกษากับเจ้าสำนักทั้งหลายมาแล้ว และได้ข้อสรุปว่าพวกเราควรที่จะรวมกำลังเป็นหนึ่ง แต่ยังมีข้อขัดข้องอยู่เล็กน้อย ด้วยว่าไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นเจ้ายุทธภพแกนนำกลุ่มได้
ตัดกระบี่ได้ฟังยามนั้นก็ลอบยิ้มที่มุมปากพร้อมกับกล่าวแต่แผ่วเบาว่า
จิ้งจอกเฒ่า เริ่มเผยหางแล้ว จะกล่าวด้วยอคติหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้
สิ้นคำกล่าวของหวังเผิงเจ้าสำนักกระจ้างแจ้ง ชาวยุทธ์ทั้งหลายก็หันไปพูดคุย ออกความคิดเห็นกันอย่างออกรสออกชาติว่าใครควรจะเป็นเจ้ายุทธภพดี และก็เป็นวินาทีนั้นเองที่ชายผู้หนึ่งก็ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้เบื้องหน้าเวทีก่อนจะกระโดดเหินร่างึ้นไปบนเวทียืนเคียงข้างเจ้าสำนักเฒ่าหวังเผิงอย่างองอาจ
ชายผู้นี้อยู่ในวัยราวสามสิบ แต่งกายในชุดของตัวแทนสำนักเทพกระบี่ ใบหน้าขาวผ่องดั่งสิงห์สำอาง คิ้วเรียวยาวสวย ผมมันวาวสีดำถูกมัดอย่างเรียบร้อย ในมือขวาถือพัดกระดาษและทันทีที่มันได้ยืนเด่นอยู่บนเวทีมันก็ไม่ต้องแนะนำตัวอีกต่อไป ชาวยุทธ์นับร้อยจากสำนักเทพกระบี่ก็ขานเรียกชื่อมันดุจดั่งเทพเจ้า
หลิวเหยี่ยนหง ๆ ๆ ๆ และฉับพลันเสียงเรียกทั้งหลายก็พลันค่อยๆ เงียบลงเมื่อ หลิวเหยี่ยนหง เริ่มเอ่ยวาจาไปว่า
ไม่ว่าด้าน บู๊หรือบุ๋นข้าพเจ้าล้วนเหมาะสมต่อการเป็นเจ้ายุทธภพทุกประการ สิ้นคำกล่าวมัน เสียงโห่ร้องสนับสนุนจากคนของพรรคเทพกระบี่ก็ดังขึ้นอีกระรอก
หลังจากเทพกระบี่แดนใต้อำลายุทธภพเมื่ออายุได้หกสิบปี ก็เป็นมันผู้นี้ที่โดดเด่นขึ้นมาเหนือศิษย์สำนักเทพกระบี่ทั้งปวงจนถูกเลือกให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปทันทีหากเมื่อใดที่เทพกระบี่ลาลับ เพราะฉนั้นคำอวดตัวของมันนับว่าไม่เกินจริงเลยแม้นแต่น้อย
แต่เรื่องราวในโลกยุทธภพล้วนไม่เรียบง่ายเช่นนั้นเมื่อมีหนึ่งผู้เสนอตัวเป็นคนของสำนักเทพกระบี่เช่นนี้ ทางคนของพรรคกระจ่างแจ้งก็ไม่ยอมเงียบเสียงอีกต่อไปพลันกล่าวเรียกชื่อเจ้าสำนักเฒ่าซึ่งยืนอยู่บนเวทีก่อนแล้วเป็นเสียงดังก้องว่า
หวังเผิง ๆ ๆ ๆ คราวนี้เท่ากับว่ามีผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าสำนักถึงสองคนแล้ว ทว่ายังคงไม่หยุดเพียงเท่านี้เพราะผู้ท้าชิงอีกคนก็ได้เผยตัวออกมาแล้วพร้อมเสียงโห่ร้องสนับสนุนเช่นกัน มันคือ พยักษ์ขาว เจ้าสำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ สำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
การปรากฎตัวของมันครั้งนี้ทำเอาหลิวเหยี่ยนหงต้องลอบประหลาดใจไม่น้อยก่อนจะรีบยกพัดขึ้นกางปิดซ่อนเร้นร้อยยิ้มเย้ยหยันเอาไว้ ในขณะที่หวังเผิงก็มีสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้างแต่ยังคงเก็บงำอารมณ์ไว้ได้ดี
นี้เท่ากับว่าสามตัวแทนแห่งสามสำนักใหญ่ในขณะนั้นได้ออกตัวชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพแล้ว เรื่องราวยิ่งมายิ่งซับซ้อนทั้งสามล้วนเป็นเจ้าสำนักใหญ่และมีผู้สนับสนุนอยู่มาก แล้วทีนี้ผู้ใดจะตัดสินใจได้เล่าว่าใครควรจะได้เป็นผู้กุมชะตายุทธภพ
Create Date : 12 ธันวาคม 2550 |
|
33 comments |
Last Update : 12 ธันวาคม 2550 17:48:50 น. |
Counter : 718 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: veerar 13 ธันวาคม 2550 0:18:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุ้งกลม 13 ธันวาคม 2550 6:18:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: pigarea 13 ธันวาคม 2550 7:05:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: pukilf 13 ธันวาคม 2550 8:01:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: nuuyin 13 ธันวาคม 2550 8:09:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: eiffel_n 13 ธันวาคม 2550 8:39:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ธิธารา 13 ธันวาคม 2550 8:56:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: a_mulika 13 ธันวาคม 2550 9:26:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: zunzero 13 ธันวาคม 2550 10:04:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: โสมรัศมี 13 ธันวาคม 2550 10:55:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองค่ะ (fifty-four ) 13 ธันวาคม 2550 11:39:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าตุ้ย (amornsri ) 13 ธันวาคม 2550 11:54:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: Blueshio 13 ธันวาคม 2550 12:35:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทรายะจัง 13 ธันวาคม 2550 16:39:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: paerid 13 ธันวาคม 2550 17:00:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: wikato 13 ธันวาคม 2550 17:02:50 น. |
|
|
|
|
|
|
|