Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
14 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 28

บทที่ 28

ค่ำคืน ณ โรงเตี๊ยมเลื่องชื่อแห่งหังโจว

หลังจากที่โรงเตี๊ยมชั้นสองถูกเปลี่ยนเป็นสนามประลองวิชาระหว่าง อู๋จิงและหลิวเหยี่ยนหง ยามนั้นชาวยุทธ์ทั้งหลายที่มีฝีมืออยู่บ้างก็เฝ้ามองแต่เพียงห่าง ในขณะที่พวกฝีมือต่ำทรามก็พากันหนีหายลงไป

อู๋จิงตั้งท่ารัดกุมมือขวาถือดาบเหล็กสีหม่นมือซ้ายถือทวนไม้พู่แดง มันจ้องมองไปยังหลิวเหลี่ยนหงไม่วางตา มันย่อมรู้ดีว่าเพลงพัดต่างกระบี่ของหนุ่มสำอางเบื้องหน้านั้นรวดเร็วเพียงใด แต่กระนั้นมันก็แอบนึกเป็นห่วงเหวินลี่ที่ไปตามล่ามารร้ายแต่เพียงลำพังมิได้ สายตามันฟ้อง มันแสดงออกให้เห็น

และเพียงวูปเดียวที่อู๋จิงเสียสมาธิจากศัตรูเบื้องหน้า หลิวเหลี่ยนหงก็เปิดฉากโจมตีมาพร้อมกับสายลมพัดแรงวูปหนึ่ง เพลงพัดสังหารของมันสร้างปราณกระบี่โจมตีตัดขวางเข้าใส่อู๋จิงนับสิบเพลงคล้ายจริงคล้ายหลอก คล้ายทื่อด้านกลับพิสดารยิ่ง

เพียงนี้ทำเอาอู๋จิงแตกตื่นมากแล้ว พลันกำสองมือแน่นสลับฟาดปลายทวนและดาบเหล็กเข้าปัดป้องสลายปราณกระบี่อย่างตึงมือ

“ชิ!!! ไม่เปิดโอกาสให้ผละหนีเลย” อู๋จิงใจจริงอยากจะเลิกการต่อสู้ที่ไร้สาระนี้แทบตาย แต่ไม่สามารถละสายตาไปจากคู่ต่อสู้ไปได้แม้นเพียงเสี้ยว และเรื่องราวยิ่งมายิ่งซับซ้อนมันรู้สึกสัมผัสถึงพลังปราณรุนแรงจากอีกหนึ่งบุคคลที่แผ่ซ่านมาจากทางด้านหลังได้ แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถละสายตาไปจากหลิวเหยี่ยนหงเบื้องหน้าได้เลย

“ผู้มาใหม่ ศัตรูหรือมิตร” อู๋จิงลอบสับสนในใจ แต่เพียงวินาทีนั้นเองที่เหลือบมองไปเห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงชุ่มเหงื่อของหลิวเหยี่ยนหงเบื้องหน้าก็พลันทราบว่าผู้มาเป็นมิตรแน่

และเป็นจริงดังกล่าว ผู้มาเยือนยามนี้เปิดฉากมาพร้อมกับเพลงดาบที่วาดเข้าผ่าแยกอากาศอย่างรุนแรงเข้าหาคนแซ่หลิวดุจจะสะบั้นทั้งคนทั้งโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้ขาดเป็นสองส่วนไปเลยทีเดียว

“สังหารไร้ซุ่มเสียง!!!!”

หลิวเหยี่ยนหงยกพัดเหล็กขึ้นต้านรับปราณดาบรุนแรงที่พุ่งเข้าหาอย่างเต็มกำลังจนพัดเหล็กในมือของมันต้องสั่นสะท้าน แทบสลัดหลุดจากมือมันไป และไม่เพียงเท่านี้มันยังต้องทะยานร่างถอยสลายพลังปราณดาบที่ตกค้างอีกด้วย

“ตัดกระบี่รึ!!!” หลิวเหยี่ยนหงลอบเค้นเสียงหนัก ๆ หนึ่งครา

นี้นับว่าตัดกระบี่มาได้จังหวะดียิ่งนัก

“ท่านอา ทำไมถึงมาสายเพียงนี้” อู๋จิงตัดพ้อ

“อู๋จิงต่อหน้าศัตรูใยไม่ควบคุมสมาธิให้มั่นคง แล้วเหวินลี่ หลินฟง พวกมันไปอยู่แห่งใดกัน” ตัดกระบี่กล่าวซักถาม แต่ยังคงไม่ละสายตาจากคนแซ่หลิวเบื้องหน้า พออู๋จิงได้ฟังถึงเหวินลี่พลันก็อดเป็นห่วงไม่ได้พลันตอบกลับไปว่า

“เหวินลี่ กำลังอยู่ในอันตราย”

“เช่นนี้ไม่รีบไปหานางเล่า จะมัวเสียเวลาสู้กับลูกเต่าหน้าขาวที่นี้ไปใย”

“แล้วท่านอาเล่า” เด็กหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง

“เทียบกับข้า ไอ้เด็กหน้าขาวเบื้องนี้นับเป็นตัวอะไรกัน มิต้องห่วงข้า เจ้ารีบไปช่วยนาง” ตัดกระบี่กล่าวแดกดันหลิวเหยี่ยนหงอย่างองอาจ อู๋จิงได้ฟังดังนั้นก็อดซ่อนรอยยิ้มมิได้ อีกทั้งลอบสำนึกวางใจในตัวตัดกระบี่ จึงประสานสองมือคาราวะพร้อมจากลา ใช้ท่าเท้าวิชาตัวเบากระโจนออกจากระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยมไป

หลิวเหลี่ยนหง ยามนั้นแม้นจะอยากตามไปราวีอู๋จิงต่อก็เห็นจะทำไม่ได้แล้ว คมดาบเบื้องหน้าดูซ่อนอันตรายอย่างยิ่ง หากละสายตาเพียงครู่ไม่แน่มันอาจจะต้องเอาชื่อมาทิ้งที่หังโจวนี้ก็เป็นได้

“ท่าจับดาบเช่นนี้ คิดจะสู้ให้ตายตกไปตามกันหรือไร” หลิวเหยี่ยงหงจ้องมองท่าจับดาบแบบบู๊ล้างผลาญของตัดกระบี่ที่เน้นโจมตีแปดส่วนตั้งรับสองส่วนก็ได้แต่อึดอัดใจ แม้นมันจะรู้ว่าตัวมันยังคงมีเปรียบในเรื่องกระบวนท่าและความเร็วแต่ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันจะชนะโดยไม่สูญเสีย

ยามนั้นทั้งหลิวเหยี่ยนหงและตัดกระบี่เผชิญหน้ากันอยู่นาน ทั้งสองต่างจ้องมองการวางท่าของอีกฝ่ายด้วยความตึงเครียดถึงขีดสุด จนสุดท้ายจึงเป็นหลิวเหยี่ยนหงที่พลันสำนึกคิดได้

“ไม่ควรเอาหยกมาแลกกระเบื้องเลย อันงานของเราที่ได้รับมอบหมายมาก็จบเพียงนั้นแล้ว ไม่ควรแส่หาเรื่อง” สุดท้ายมันจึงลอบเปิดเผยรอยยิ้มอันจอมปลอม ก่อนจะลอบประกบสองมือคาราวะพร้อมกับกล่าวน้ำเสียงสุภาพไปว่า

“ตัดกระบี่ที่ล่ำลือ ฝีมือมิเพียงแค่การกล่าวอ้าง ผู้น้อยนับถือ” กล่าวจบมันก็หันหลังเดินจากไปอย่างเรียบเฉยให้ตัดกระบี่ต้องประหลาดใจยิ่งแล้ว และเพียงมันหันหลังลับตาไปสีหน้ามันก็พลันไปเป็นเกรี้ยวกราดไม่พอใจ

“ไอ้เด็กแซ่หลิว ร้ายกาจเกินวัยนัก” ตัดกระบี่กล่าวเค้นเสียงหนัก ๆ ก่อนจะก็ปาดเหงื่ออย่างโล่งอก หากต้องแลกดาบกันยามนั้นมันก็ย่อมรู้ว่าโอกาสชนะไม่ถึงสี่ส่วนดี


ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า ณ หอนางโลมไผ่แดงเมืองหังโจว

หนึ่งในหอนางโลมอันขึ้นชื่อแห่งหังโจวยามนั้นกลับถูกจับจองไว้ด้วยคนของสำนักคุ้มภัยทวนพยักษ์ทั้งหมดสิ้นเพื่อใช้เลี้ยงฉลองการเป็นเจ้ายุทธภพคนใหม่นามพยักษ์ขาว ชั้นล่างถูกจับจ้องไว้ให้ลูกพรรคระดับหัวหน้าหมู่ที่ดื่มกินกันอย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่ชั้นสองห้องพิเศษเป็นของลูกพรรคระดับสูงและตัวพยักษ์ขาวเองที่กำลังสนทนากันอย่างรื่นเริง

“พวกเจ้าเห็นสีหน้าของไอ้ลูกเต่าแซ่หลิว กับจิ้งจอกเฒ่าแซ่หวัง ตอนที่มันพ่ายแพ้การแข่งขันให้แก่ข้าหรือไม่ ฮะฮะฮะ เรื่องวรยุทธ์ข้าอาจสู้พวกมันไม่ได้ แต่เรื่องการวางอุบายแล้วพวกมันยังไม่อาจเปรียบบิดาได้” พยักษ์ขาวได้ทีกล่าวแดกดันหัวเราะดังลั่นห้อง พอลูกน้องของมันได้ยินก็รีบกล่าวเสริม

“พวกตัวโง่งมนั้น ช่างไม่ประมาณตน ก็สมควรอยู่ ฮะฮะฮะ” หนึ่งในลูกน้องของพยักษ์ขาวรูปร่างสูงใหญ่ดุดันดุจวัวป่ายามนั้นกลับประจบประแจดุจขันทีวังหลวง ดูไปแล้วก็น่าขบขันยิ่ง

พอสิ้นคำกล่าวมัน จึงเป็นชายแก่อีกผู้หนึ่งที่แต่งกายคล้ายบัณฑิตกล่าวเตือนสติเจ้านายตน

“ท่านเจ้าสำนักจะอย่างไรก็ดี คนแซ่หลิว แซ่หวัง คงไม่วางมือง่าย ๆ อันที่จริงท่านเจ้าสำนักควรจะระวังตัวช่วงนี้ให้มาก”

ทว่ากลับเป็นพยักษ์ขาวที่หาสนใจไม่ มันกล่าวกลับไปว่า

“ระวังอันใดกัน พวกมันถือเป็นชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะซึ่งอยู่ในที่แจ้ง ใยจะกล้าลงมือสกปรกลอบสังหารเราได้” พยักษ์ขาวกล่าวพร้อมหัวเราะเสียงหลง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะประจบประแจของลูกน้องอีกหลายนาย

ชั่วครู่ไม่นานนักอาหารชั้นยอดจากโรงครัว และสุราหายากก็ได้ถูกยกขึ้นมาบำเรอพร้อมกับสาวงามแต่งกายเย้ายวนหลากหลายคน พออาหารวางได้ทีสาวงามแต่ละคนก็เข้าไปนั่งแนบชิดกับคนของสำนักทวนพยักษ์ทันทีอย่างมิเขินอาย โดยที่สาวผู้งดงามที่สุดได้นั่งเทียบเคียงกับพยักษ์ขาว

แต่ก่อนที่ใครอื่นจะเริ่มหยิบตะเกียบรับประทานอาหารเลิศรสสดใหม่ที่ควันครุกรุ่น ชายแก่ในชุดบัณฑิตก็ลอบหยิบเข็มเงินออกมาจิ้มแทงลงบนอาหารทุกจาน อีกทั้งยังจุ่มลงในสุราเพื่อพิสูจน์ว่ามื้ออาหารนี้มีพิษหรือไม่

และเพียงรอไม่นานนักเมื่อเห็นว่าเข็มเงินมิได้เปลี่ยนสีแต่อย่างใดชายแก่จึงกล่าวไปว่า

“ไม่มีพิษ พวกท่านเชิญรับประทานได้” สิ้นเสียงชายแก่พวกมันจึงเริ่มหยิบจับตะเกียบลิ้มลองอาหารเลิศรส สุราหายาก พร้อมเพรียงกับเหล่าสตรีเลอโฉมที่เริ่มปรณิบัติพวกมัน

เวลาผ่านไปราวครึ่งธูปไหม้หมดพวกมันก็อิ่มเอิมเปรมปรี่ อีกทั้งมึน ๆ ด้วยฤทธิสุราอีกทั้งเคลิบเคลิ้มไปกับสตรีที่คอยเอาอกเอาใจ แต่ฉับพลันสิ่งไม่คาดคิดก็พลันปรากฎ ประตูได้ถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะก่อนจะเผยให้เห็นร่างของชายผู้หนึ่งผู้สวมชุดดำทั้งตัว วินาทีนาทีนั้นเองที่พยักษ์ขาวได้เห็นผู้มาเยือน ม่านตาของมันก็เบิกกว้างอย่างยิ่ง ตื่นตะลึงอย่างมาก ตะเกียบในมือถึงกับร่วงหล่นพื้น ปากพลันสั่นเทากล่าวตะกุกตะกักไปว่า

“หวงเย่ว์ มารไร้เงา!!!” หากผู้มาเยื่อนเป็นมันแล้วล่ะก็ นับว่าไม่ใช่เรื่องดีของเจ้ายุทธภพคนใหม่เป็นแน่

“บังอาจบุกรุก หาที่ตายไอ้ตัวมาร” ชายนักบู๊ผู้ประจบประแจงยามนั้นรีบลุกจากอ้อมกอดสาวงามก่อนจะชักกระบี่เตรียมเข้าสู้ แต่ไม่ทันที่มันจะแสดงฤทธิเดชออกมันก็ต้องหน้าซีด ดวงตาเบิกกว้างตัวสั่นเทาเหมือนหมาแก่พร้อมทั้งกล่าวเสียงแหบซ่านว่า

“ข้าโดนพิษ!!!”

ชายแก่ผู้พิสูจน์พิษก่อนหน้าเมื่อได้รับฟังก็รีบแย้งทักท้วงไปว่า

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าพเจ้าตรวจสอบชัดเจนก่อนแล้ว” ชายแก่พลันรีบเอาดรรชนีในมือซ้ายทาบลงบนเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือขวาเพื่อตรวจชีพจร พร้อมเดินพลังปราณ ก่อนจะตาเหลือกสำนึกเห็นเป็นจริงดังมันว่า

ครานี้จึงเป็นทีของหวงเย่ว์ที่ยิ้มเย้ยที่มุมปากก่อนจะกล่าวอธิบายว่า

“อาหารแต่ล่ะจานล้วนไม่มีพิษในตัวของมันแต่ทว่าทุกจานล้วนมีส่วนประกอบจากพืชพิสดารทั้งสิ้น ซึ่งการจะสำแดงฤทธิ์เปลี่ยนเป็นพิษได้ก็ต้องผ่านสองเงื่อนไข หนึ่งพวกท่านต้องผ่านการชิมอาหารแตกต่างกันสามจาน และเงื่อนไขที่สอง….” มันยิ้มที่มุมปากอย่างได้ชัยก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวเงื่อนไขที่สองพร้อมรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม

“เงื่อนไขที่สองคือพวกท่านต้องสัมผัสตัวนางงามเหล่านี้” ที่มันยิ้มเย้ยนั้นเพราะเงื่อนไขอันที่สองนี้มันย่อมแน่ใจว่าไม่ผิดพลาดเป็นแน่

พวกคนของสำนักทวนพยักษ์ได้ฟังก็ตะลึงงันรีบแบสองมือออกดู ก็รู้ได้ถึงผงแป้งหอมจากตัวเหล่านางงามที่ได้ส่งกลิ่นออกมาจากมือของมันแล้ว นี้นับว่าเป็นแผนที่ลึกล้ำร้ายกาจเสียจริง

“แสดงว่านางมารเหล่านี้คือพวกของมันสินะ” หนึ่งในนักบู๊ของสำนักทวนพยักษ์โกรธแค้นพลันชักกระบี่หมายสังหารนางงาม แต่กระนั้นหวงเย่ว์ก็หาได้สนใจสอดมือช่วยไม่ มันเพียงแต่กล่าวเบา ๆ ต่อเหล่านกต่อนางงามไปว่า

“ยามนี้เจ้าดื่มสุราแดงเถิด” สิ้นคำกล่าวหวงเย่ว์พวกนางงามทั้งหลายก็พลันแยกเขี้ยวยาวคมดุจหมาป่าเที่ยงคืนกลับสู่ฐานะมารอีกครั้ง ฉับพลันพวกนางก็เข้ากัดคอดื่มเลือดสังหารคนของพรรคทวนพยักษ์ที่โดนพิษไร้ทางตอบโต้จนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงพยักษ์ขาวผู้เดียว

หวงเย่ว์ยามนั้นมองเหล่านางงามอันกระหายเลือดปากแดงฉาดด้วยสายตาเอ็นดูยิ่ง ก่อนจะค่อยๆ เหลือบสายตาหันไปมองพยักษ์ขาวพร้อมทั้งกล่าวว่า

“พยักษ์ขาว จะอย่างไรท่านก็ยังมีฝีมือไม่น้อย พิษเพียงนี้คงไม่ทำให้ท่านสิ้นใจง่าย ๆ กระมัง ใยไม่วัดฝีมือกับข้าดูสักครั้งจะเป็นไร”

ห้องเลี้ยงนั้นเป็นห้องแบบปิดไร้หน้าต่างพยักษ์ขาวย่อมไม่มีทางหนีอยู่แล้วนอกจากจะสังหารหวงเย่ว์และผ่าออกไปให้ได้ และด้วยสภาพมันที่โดนพิษแทรกซึมอยู่ในขณะนี้ ทำให้มันไม่สามารถต่อสู้ยืดเยื่อได้ ทางชนะมีทางเดียวคือต้องทุ่มกำลังทั้งมวลลงมือหนักหน่วงรวดเร็วให้รู้แพ้ชนะกันในหนึ่งครา

“ไอ้มารสกปรก หากเจ้าต้องการจะวัดฝีมือจริง จงเข้ามาอย่าได้หย่อนมือ” พยักษ์ขาวกล่าวด่ายั่วยุให้หวงเย่ว์เข้าสู้แบบวัดดวงเช่นกัน ยามนั้นหวงเยว์ได้ฟังก็อดโมโหเกรี้ยวกราดมิได้พลันพุ่งตัวเข้าหาพร้อมด่ากราดไปว่า

“ไอ้ลูกหมา หาที่ตาย” มารหนุ่มพุ่งเข้าหาพร้อมกับวาดกรงเล็บมารทั้งสองมือซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังปราณสีดำ

ยามนั้นพยักษ์ขาวก็รู้ว่าโอกาสมีเพียงหนึ่งเท่านั้น มันจึงตั้งท่าเปิดรุกมากกว่ารับ โคจรพลังทั้งหมดทั้งมวลจนด้ามทวนที่จับมั่นถึงกับสั่นสะท้าน ขณะที่หวงเย่ว์ก็เข้ารุกไล่อย่างสุดแรงเช่นกันนี้นับว่าแพ้ชนะตัดสินกันเพียงชั่วพริบตาแล้ว

“วายุพยักษ์มังกร!!!” พยักษ์ขาวทุ่มสุดตัวไม่มีเก็บงำฝีมือแต่อย่างใด มันหมุนสบับข้อมือบิดควงทวนหมุนวน ทิ่มแทงออกอย่างรุนแรงดุเดือดหากแม้นเป็นกำแพงหินขว้างกั้นยามนั้นก็ต้องพังทลายสิ้นแล้ว

แต่สุดจะคาดทันทีที่มันทิ่มแทงทวนออกไปก็พลันลอบตะลึงงันปากอ้าตาค้าง

แต่ทว่าที่มันตกตะลึงนั้นหาใช่เพราะว่าการโจมตีของหวงเย่ว์ไม่ แท้ที่จริงแล้วที่มันตกใจกลับเป็นการวกกลับดีดตัวถอยซึ่ง ๆ หน้าของหวงเย่ว์ต่างหาก

ยามนั้นพอทวนที่เปี่ยมพลังรุนแรงซึ่งสมควรจะกระแทกโดนบางสิ่งกลับทิ่มแทงโดนเพียงอากาศธาตุ ผู้ใช้ออกก็พลันเสียสมดุลเซถลาไปด้านหน้ามิสามารถเหนี่ยวรั้งพลังกลับคืนได้ ซ้ำร้ายพิษในกายก็กระหน่ำซ้ำเติมให้มันต้องกระอักเลือกออกหนึ่งครา

หลงกลซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่มันคงจะไม่มีวันหลงกลอีกต่อไปแล้วเพราะชีวิตมันก็เข้าจุดอับสิ้นแล้ว ยามนั้นหวงเย่ว์ยิ้มอย่างร้ายกาจก่อนจะเคลื่อนตัวท่าเท้าท่องแดนอสูรเข้าประชิดพยักษ์ขาวที่เสียหลักไร้พลังอย่างง่ายดายและกล่าวว่า

“เป็นมารช่างแสนสบายนัก สามารถลงมือไม่เลือกวิธีใช้ ไม่ต้องสนสายตาผู้ใด” สิ้นคำกล่าวสันมือของมันก็ฟาดลงบนท้ายทอยของพยักษ์ขาวอย่างเต็มกำลังจนหัวของพยักษ์ขาวต้องสะบัดอย่างรุนแรงพร้อมกับเลือดของมันที่พุ่งกระจายจากปากเป็นสาย จากนั้นร่างของมันจึงตกกระแทกพื้นสิ้นชื่อเจ้ายุทธภพคนใหม่อย่างง่ายดาย

พอสิ้นศึกแล้วมารไร้เงาหวงเย่ว์ก็เดินอย่างผ่าเผยออกจากห้องเลี้ยงเลือดในชั้นสองผ่านทางประตูหน้าที่เปิดอยู่แล้ว และเพียงมันออกมายืนที่ระเบียงชั้นสองก็มองดูรอบด้านทั่วทั้งห้องโถงชั้นหนึ่งของหอนางโลมในขณะนั้นซึ่งเต็มไปด้วยเลือดและร่างที่ไร้วิญาณมากมายของคนสำนักทวนพยักษ์และก็มือสังหารในคราบนางงามทั้งหลาย

หวงเย่ว์มองเหล่ามารผู้งดงามปากแดงฉานเหล่านั้นด้วยร้อมยิ้มอันภาคภูมิก่อนจะกล่าวไปว่า

“พวกเจ้ารีบสลายตัวเถิด อีกไม่กี่ชั่วยามตะวันจะขึ้นแล้ว” พวกมารสาวมองนายน้อยของมันด้วยสายตาหยาดเยิ้มก่อนจะค่อยๆ โค้งคำนับลาและสลายตัวไปตามคำสั่ง และพอพวกนางหายหน้ากันไปจนหมดสิ้นหวงเย่ว์จึงกระโดดเหินร่างลงมาจากระเบียงชั้นสองสู่พื้นชั้นหนึ่งเพื่อเตรียมตัวล่าถอยเช่นกัน แต่พริบตายามนั้นกลับมีเสียงทัดทานออกมาว่า

“มารร้ายจะหนีไปไหน” น้ำเสียงหญิงงามยามนั้นแข็งกระด้าง เหวินลี่ทักท้านพร้อมทั้งชี้กระบี่หยกน้ำเงินไปทางมารไร้เงา




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2550
0 comments
Last Update : 14 ธันวาคม 2550 21:09:35 น.
Counter : 511 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.