Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
9 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 23

บทที่ 23

ยามค่ำคืนซึ่งมีเพียงแสงจันทร์ให้ความสว่าง ภายในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งเงียบสงบอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยามสามเช่นนี้แล้ว ย่อมแทบไม่ได้ยินเสียงผู้คนเลย ทว่าถึงกระนั้นยังคงมีหญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งนอนนิ่งสงบอยู่ที่ทางเท้าด้วยใบหน้าซีดเผือดไม่สู้ดี

ไม่นานนักนางก็ถูกพบเห็นโดยยามประจำหมู่บ้านและทันทีที่เขาเห็นนางนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปเพื่อดูอาการทันที ก่อนจะประคองนางไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับกล่าวถามอย่างตื่นตระหนกว่า

“แม่นาง ๆ เกิดอะไรขึ้น”

“ข้าพเจ้า….” สาวชาวบ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เว้นช่วงไปนานก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ข้าพเจ้าหิวเลือด!!!” สิ้นคำกล่าวหญิงสาวก็พลันมีแววตาดุร้ายราวสัตว์ป่า รีบกระโจนคมเขี้ยวแหลมคมหมายจะเข้าไปกัดคอชายผู้โชคร้ายทันที

แต่พริบตาดุจสายฟ้าแลป ก่อนคมเขี้ยวอสูรร้ายนั้นจะประทับลงต้นคอเพียงนิด กระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งมาจากไหนไม่ทราบจี้เข้าหาเบื้องหน้าของปีศากสาวให้ต้องผวาถอนตัวถอยหนี ปล่อยให้เหยื่อในมือรอดตายไปได้เป็นที่น่าเจ็บใจนางนัก

บัดนั้นยามหมู่บ้านเมื่อรอดตายก็รีบวิ่งหนีไปไกลให้มารสาวต้องมีใบหน้าเสียดายมิน้อย แต่เพียงครู่เดียวปีศาจสาวก็ไม่มีอาการเสียดายอีกต่อไปเมื่อเห็นเหยื่อใหม่เป็นสาวในชุดบู๊รัดกุมท่าทางสง่างามดั่งเหยื่อโอชะยิ่งกว่าเดิม

แต่ทว่ามารสาวผู้นั้นหารู้ไม่ว่า หญิงสาวผู้มาใหม่นั้นจริงๆ แล้วมิใช่สมันน้อยกลับเป็นพยักษ์ร้ายเสียมากกว่า เพราะเธอผู้นั้นมิใช่ใครอื่น เหวินฟาง เทพยุทธ์กระบี่บิน ผู้สืบทอดกระบี่หยกน้ำเงิน

“ในเมื่อแกมาขัดขวางข้า ข้าก็จะดื่มเลือดแกเอง” ปีศาจสาวไม่ประมาณตนรีบกระโจนเข้าโจมตี เซียนหญิงสุดกำลัง

“ควบคุมกระบี่เหิน!!!” เหวินฟางร่ายรำฝ่ามือ พริบตาเดียวกระบี่ทั้งหกที่พุ่งออกฝักข้างกายด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

ปีศาจสาวพลันเห็นกระบี่ทั้งหกก็ลอบตะลึงงันตาตื่นตกใจ แต่ขณะนั้นก็มิสามารถทำอะไรได้แล้วนอกจากสำนึกเสียใจที่ไม่ประเมิณตน มิทันได้ต่อการอันใดกระบี่ทั้งหกก็ทะลวงร่างของมารหญิงให้ต้องสิ้นสูญแล้ว

เมื่อเสร็จภารกิจเหวินฟางจึงเรียกกระบี่บินทั้งหกกลับคืนฝัก

“จ้าวมารเริ่มซ่องสุมกำลัง กระจายคัมภีร์มารชั่วช้าไปทั่ว ผู้คนมากมายเริ่มถูกหลอกลวงให้หลงผิดเข้าสู่หนทางมาร” นางคิดในใจด้วยใบหน้ากังวล ก่อนจะมองไปยังชายผู้อยู่เบื้องหลังในเงามืดพร้อมกับกล่าวว่า

“อู๋จิง ยามนี้ยอมรับแล้วหรือไม่ว่า ผู้ฝึกยุทธ์มารย่อมเป็นมาร หลีกเลี่ยงมิได้” เหวินฟางกล่าวต่ออู๋จิงก่อนจะค่อยๆ เดินห่างไปอย่างเรียบเฉย มันเป็นคำกล่าวที่ไม่ต้องการคำตอบใด ๆ

“บางทีอาจจะถูกของนาง” อู๋จิงได้แต่กล่าวในใจใบหน้าคล้ายยอมรับคำเหวินฟาง ก่อนจะเดินตามติดนางไป

นี้ก็นับเป็นเวลาแรมเดือนแล้วที่อู๋จิงได้แต่เดินตามหลังแม่นางเหวินฟาง เสมือนเขาเป็นเพียงผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ผ่านแผ่นหลังของเธอ

อู๋จิงเดินตามติดเซียนหญิงเป็นเงา และมองไปที่ยังแผ่นหลังของนาง แผ่นหลังอันบอบบางและเล็กกว่าชายหนุ่มเช่นเขาอย่างมาก ไหล่ที่ไม่กว้างของนางนั้นแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ไว้มากมายเหลือเกิน

“งดงามจริงๆ” อู๋จิงถึงกับหลุดปากเอ่ยไปแต่แผ่วเบาถึงความงดงามแห่งการเสียสละ ในขณะที่เหวินฟางก็เหมือนจะได้ยินหยุดฝีเท้าอยู่ครู่ คล้ายดังจะหันกลับมาแต่สุดท้ายก็ก้าวเดินต่อไป


หลายสัปดาห์ต่อมา

เป็นอีกคืนหนึ่งที่มืดมิด แต่ทว่าคืนนี้กลับเยือกเย็นน่ากลัวยิ่งกว่าทุกคืนที่ผ่านมา คล้ายดั่งว่าคราวนี้กระบี่หยกน้ำเงินจะชักนำเซียนหญิงเข้าไปสู่ความอันตรายยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

สถานที่ซึ่งทั้งสองคนยืนอยู่นั้นเป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง แต่ทว่าเป็นเมืองร้างที่แทบไม่มีเงาของสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย ที่จะพบเห็นก็เป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณของเหล่าผู้เสียชีวิตจากมารร้าย โดยสังเกตได้จากคอซึ่งถูกกัดดูดเลือดไปจนสิ้น

“บัดซบ!!!” อู๋จิงถึงกลับระงับอารมรณ์โกรธไว้ไม่อยู่

“อู๋จิง นี้ไม่ใช่ศึกของท่าน อีกทั้งครั้งนี้อันตรายอย่างยิ่ง โปรดถอยห่าง” เหวินฟางกล่าวเรียบเฉยตามแบบฉบับของเธอ ซึ่งในความคิดของนางแล้วการทำลายล้างมารร้ายถือเป็นภารกิจของนางเท่านั้นมิควรให้ผู้อื่นมาเสี่ยงชีวิตด้วย

และสิ้นเสียงคำกล่าวของเธอนั้นร่างเงามืดทั้งเจ็ดก็กระโจนเข้าหมายโจมตีนางจากทุกทิศทางทันที พวกมันทั้งหมดล้วนมีแววตากระหายเลือดเชกเช่นเดียวกัน พวกมารนอกรีต!!!

“ควบคุมกระบี่เหิน!!!” เหวินฟางไม่ประมาทควบคุมกระบี่ทั้งหกเข้าโจมตีสกัดมารทั้งหกตนทันที หนึ่งกระบี่ต่อหนึ่งมาร ก่อนที่เธอเองจะชักกระบี่หยกน้ำเงินเข้าสู้กับมารตัวที่เจ็ด

แสงจันทร์สะท้อนกระบี่หยกเป็นเงาสีน้ำเงินงดงามยิ่งนัก เพลงกระบี่ของเธอตัดวาดอากาศรวดเร็วรุกไล่มารนอกรีตเบื้องหน้าให้ต้องปัดป้องหลบหลีกอย่างลำบากยิ่ง ในขณะที่มารอีกหกตัวก็วุ่นวายสู้รบกับกระบี่บินของเธอที่จู่โจมพวกมันประดุจดั่งดังมียอดยุทธ์ถือร่ายรำกระบี่อยู่

เหวินฟางร่ายรำเพลงกระบี่ที่ซับซ้อนรุกไล่ต่อสู้มารเบื้องหน้าได้ไม่นานมันก็ต้องพลาดท่าเซถลาเปิดจุดอ่อนที่หน้าอกอย่างช่วยไม่ได้

“จังหวะนี้แหละ” นางกล่าวก่อนจะทุ่มกำลังทิ่มกระบี่หยกอย่างรวดเร็วเข้าหามารร้ายทันที และก็เป็นมันที่เพลี่ยงพล้ำรับกระบี่เสียบเข้าไปเต็มที่คาอก แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้ใช้สองมือจับยึดกระบี่เธอไว้

“สู้ได้ดี” นางกล่าวก่อนจะพยายามชักดึงกระบี่กลับแต่ไม่สำเร็จมารยึดจับไว้แน่น และพริบตาสุดจะคาดเรื่องราวกลับซับซ้อนเมื่อเธอสัมผัสถึงบางสิ่งได้

“พวกมันมี แปด!!!” ที่แท้กลับมีมารร้ายอีกตัวซ่อนอยู่ในมุมมืดก่อนจะรีบอาศัยจังหวะที่นางไม่สามารถใช้กระบี่ได้ เข้าจู่โจมเธอโดยกรงเล็บทันที บัดนั้นอันตรายยิ่งแล้วเพราะเธอก็ไม่สามารถเรียกกระบี่อีกหกเล่มที่กำลังสู้อยู่กลับมาป้องกันตัวได้

ฉับพลันเลือดสีแดงฉาดก็ได้ไหลออกจากต้นแขนข้างซ้ายของนางทันที เธอถูกกรงเล็บของมันให้บาดเจ็บเป็นแผลยาว และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายหนักเพราะหลังจากที่นางถูกโจมตี สมาธิที่ควบคุมกระบี่บินทั้งหกก็พลันเสียจังหวะไปด้วย ทำให้มารร้ายอีกหกตนละมือจากการต่อสู้กับกระบี่บินทั้งหกได้ พร้อมทั้งพุ่งเข้ารุมเตรียมทำร้ายเธอทันที วินาทีแห่งความเป็นความตายเบื้องหน้ายากจะหนีพ้นได้

“มวลหงส์ทำลาย!!!” วินาทีนั้นเองภาพที่นางเห็นก็เป็นเพียงมีดบินทั้งเจ็ดพุ่งแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็วดุจพญาหงส์ หากมิใช่เธอย่อมมิสามารถมองได้ทันแล้ว

มีดบินวิเศษทั้งเจ็ดนั้นพุ่งเข้าหามารร้ายทุกตัวในจุดตายทั้งสิ้นบีบบังคับให้พวกมันต้องละมือจากเซียนหญิงไปป้องปัดอันตรายของตัวมันก่อน

มารสองตนที่ฝีมือแก่กล้าอยู่บ้างก็พลันปัดเบี่ยงทางวิ่งของมีดได้ สามตนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างก็พลันเอี้ยวตัวหลบการโจมตีได้ ในขณะที่สองตัวที่เหลือโดนมีดบินเข้าที่จุดตายให้ดับสูญทันที

วินาทีนั้นเกมพลันพลิกกลับทันที เหวินฟางในที่สุดก็สามารถชักกระบี่หยกน้ำเงินออกจากร่างไร้วิญาณของมารร้ายเบื้องหน้าได้ รีบร่ายรำเพลงกระบี่สังหารมารร้ายอีกสองตนที่เพิ่งหลบมีดบินได้ ก่อนจะบังคับหกกระบี่บินเข้าโจมตีมารร้ายสามตนที่เหลือ

ตอนแรกมารร้ายเหล่านั้นสู้กระบี่บินตัวต่อตัวยังพอรับมือได้ แต่ครานี้เจอสองกระบี่บินย่อมต้องรับมือยากขึ้นตามลำดับ มิหน่ำซ้ำยังต้องเผชิญกับเหวินฟางและอู๋จิงอีกด้วย

“หนึ่งดาบปราบสิบ” อู๋จิงวาดดาบเหล็กดำเข้าโจมตีทันที ปราณดาบวาดเป็นวงจันทร์รวดเร็วร้ายกาจ พริบตาเดียวมารร้ายที่กำลังวุ่ยวายกับสองกระบี่บินก็พลาดท่าโดนดาบฟันขาดสพายแล่งให้ดับสูญ

“เหวินฟาง ทางท่านเป็นไงบ้าง” อู๋จิงเมื่อเสร็จศึกทางด้านตนก็รีบหันไปหาเซียนหญิงทันทีก่อนจะเห็นนางใช้ออกด้วยเพลงกระบี่หยกน้ำเงินสังหารมารร้ายอีกสองตนอย่างไม่ลำบากมือแล้ว

ทันทีที่เสร็จศึกอันยากลำบากนี้ เหวินฟางก็นั่งลงแล้วฉีกแขนเสื้อของเธอออกมาเตรียมจะพันแผลที่ต้นแขนขวา แต่ทว่าหากจะพันแผลด้วยตัวเองเพียงลำพังนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเลย ยิ่งเธอพยายามพันก็ยิ่งดูเทอะทะลำบากยิ่งแล้ว

“ให้ข้าพเจ้าช่วย” อู๋จิงไม่รอฟังคำตอบที่จะได้รับ รีบใช้สองมือพันแผลให้เธออย่างรวดเร็วก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ลุกขึ้นไหวไหม” เด็กหนุ่มกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันที่เหวินฟางจะกล่าวตอบอันใด เขาก็ค่อยๆ จับแขนซ้ายของนางมาฟาดที่ไหล่ของเขา จากนั้นจึงใช้แขนขวาโอบเอวประคองพยุงร่างของนางให้ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ

“ขอโทษที่ล่วงเกิน” อู๋จิงกล่าวอย่างสุภาพก่อนจะเตรียมถอนตัวออกเมื่อเหวินฟางลุกยืนแล้ว แต่วินาทีนั้นเองกลับเป็นนางฟ้าข้างกายที่กล่าวขึ้นก่อนว่า

“หยุดก่อน” เธอกล่าวแต่แผ่วเบา ทำเอาอู๋จิงต้องประหลาดใจ

เธอทำหน้าเหมือนสงสัยบางสิ่งก็จะกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า

“บางสิ่งในกายข้า รู้สึกไม่ปกติ”

“เหวินฟางท่านเป็นอะไร บาดเจ็บภายในหรือ” อู๋จิงกล่าวเสียงดังตกใจด้วยความเป็นห่วง แต่กลับเป็นเธอที่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“มิใช่อาการบาดเจ็บใด ๆ แต่เป็นหัวใจข้าพเจ้าที่เต้นไม่เป็นปกติ” เธอกล่าวก่อนจะใช้มือขวาวางแนบลงบนอกตรงหัวใจของเธอ จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า

“ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ความไหวหวั่นที่หัวใจนี้มันคืออะไรกัน” เธอกล่าวจบก็มองไปยังชายหนุ่ม

คำกล่าวและสายตาของหล่อนทำเอาชายหนุ่มต้องเขินหน้าแดงพลันหลบสายตา และก็เป็นนางเองที่ค่อยๆ หน้าแดงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ก่อนจะรู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะยิ่งกว่าเดิม ไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง สุดท้ายเธอจึงก้มหน้ารีบผละตัวออกไป แล้วก้าวเดินห่างไปโดยที่ไม่พูดอีกแม้นสักคำ


ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา

บนถนนสายการค้า ในเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งซึ่งดูคึกคักอย่างยิ่ง ผู้คนเดินกันวุ่นวาย บางคนจับจ่ายบางคนเดินเล่น บางคนก็พ่อค้า บางคนก็แม่บ้าน ในขณะที่เหวินฟางยังคงเดินนำหน้าอู๋จิงเชกเช่นเดิมไม่ต่างจากวันวาน

เหวินฟางแม้นภายนอกจะดูเรียบเฉย แต่ทว่าทุกครั้งที่เดินเข้าไปในเมืองเธอก็ต้องมีอาการตื่นเต้น หันซ้ายหันขวาไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น คล้ายดังมิคุ้นเคยสภาพบ้านเมือง

“เมืองนี้ช่างดูคึกคักยิ่งนัก” นางกล่าวกับตัวเองก่อนจะเหลียวลอบมองไปหาอู๋จิงที่สมควรจะตามติดมาด้านหลัง แต่ยามนั้นกลับปรากฎไม่เห็นแม้นแต่เงาของชายหนุ่ม

แวบแรกที่ไม่เห็นเขา นางยังคงไม่ตกใจมากนัก แต่พอหันหลังกลับไปมองอย่างถี่ถ้วนก็ยังคงไม่เห็นแม้นแต่เงาของชายหนุ่มอยู่ดี มาครานี้เธอเริ่มตื่นตระหนกตกใจมากแล้ว ทว่าแม้นแต่เธอเองก็ไม่ทราบว่าตื่นตกใจอันใด

“อู๋จิง ๆ เจ้าอยู่ไหน” นางเริ่มกล่าวตะโกนเรียกชื่อก่อนจะเดินย้อนกลับไปหาด้วยความว้าวุ่นใจ นางคล้ายตกใจอย่างเป็นที่สุดมองหันซ้ายหันขวาไล่สายตาหาเขาอย่างตื่นตระหนก

สุดท้ายเมื่อไม่เห็นชายหนุ่ม นางจึงได้แต่กล่าวในใจว่า

“หรือว่าเขาจะจากไปแล้ว” นางค่อยๆ วางมือซ้ายลงแนบอกตรงตำแหน่งหัวใจของเธอเหมือนครั้งที่แล้ว หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ คล้ายดั่งเธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันเธอเฝ้าถามตัวเองในใจ

“เขาคงจะไปแล้วสินะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเหงาเศร้ายิ่งนักก่อนจะหันกลับไป สิ้นสุดความตั้งใจจะตามหา

และเป็นวินาทีนั้นเองเมื่อเธอหันไปก็พลันมีใครบางคนมาสะกิตที่หัวไหล่ของนาง ให้ต้องรีบหันกลับไปมอง และผู้ที่ปรากฎย่อมไม่ใช่ใครนอกจากอู๋จิง

“เหวินฟางท่านเป็นอะไร ทำไมถึงร้องไห้” อู๋จิงพลันเห็นใบหน้าของหล่อนที่เปื้อนน้ำตาอยู่บ้าง ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งแล้ว

“ข้า…ข้า…ไม่ได้ร้องไห้” นางกล่าวก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วรีบหันกลับ โดยที่ยังไม่ทราบว่าน้ำตาเหล่านี้ร่วงมาแต่เมื่อใดกัน

“เหวินฟาง ข้าไปซื้อถุงแพรนี้มาให้ท่าน” อู๋จิงกล่าวพร้อมทั้งยื่นถุงแพรสีแดงสดสวยไปให้เหวินฟาง เธอหันกลับมามองมันแวปหนึ่งก่อนจะสลับมือปัดถุงแพรแดงนั้นหลุดตกพื้นไป

“ข้าพเจ้าหาได้ต้องการมันไม่” นางกล่าวน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะลอบกล่าวในใจกับตัวเองว่า

“ทำไมข้าพเจ้าจะต้องโกรธอู๋จิงด้วย ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ข้าพเจ้าเป็นอะไร” เหวินฟางสบัดหน้าเบือนหนีและหันหลังให้เขา จากนั้นเพียงครู่หนึ่งนางก็พลันมีสีหน้าสำนึกเสียใจกับสิ่งที่เพิ่งทำลงไป ค่อยๆ ยื่นแบมือไปหาอู๋จิงทั้ง ๆ ยังเบือนหน้าหนีอยู่ อู๋จิงยามนั้นเพียงยิ้มให้แล้วจึงเดินไปหยิบถุงแพรที่ตกหล่นมายื่นใส่มือนาง

“ขอบคุณ” เธอกล่าวตะกุกตะกักด้วยความเขินอายก่อนจะเดินหน้าไป

เธอมองถุงแพรนั้นด้วยอาการปิติยินดีโดยที่เธอเองนั้นก็ไม่สามารถทราบได้ว่าใยเพียงถุงแพรอันนี้ถึงทำให้เธอยินดีได้มากขนาดนั้น เธอยังคงไม่เข้าใจตัวเอง

“เหวินฟาง” เสียงเรียกของอู๋จิงดึงเธอกลับจากภวังค์

“มีเรื่องอันใด” เธอพยายามปรับเสียงให้กลับมาเยือกเย็นดุจเดิม

“ข้าพเจ้าพึ่งนึกได้ว่าสำนักมีดบินวิหกเหินตั้งอยู่ที่เมืองนี้ เพราะฉนั้นหากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปข้าพเจ้าจะขอปลีกตัวเพื่อไปคืนชุดเจ็ดมีดบินให้กับเจ้าของที่แท้จริง”

“ก็ตามใจท่าน” เหวินฟางกล่าว

“ถ้าเช่นนั้นท่านรอที่ตรงนี้สักครู่” อู๋จิงกล่าวก่อนจะเดินปลีกตัวออกไป และหลังจากชายหนุ่มเดินห่างออกไปสักครู่ก็พลันรู้สึกถึงว่ามีเสียงฝีเท้าติดตาม เขาจึงรีบหันกลับไปดู

“เป็นท่าน” อู๋จิงกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยว่าผู้ที่ตามติดมาก็ไม่ใช่ใครนอกจากเหวินฟาง เขามองนางก่อนจะยิ้มให้จากนั้นจึงเดินหน้าต่อไป และนี้คงเป็นครั้งแรกกระมังที่อู๋จิงได้เป็นฝ่ายเดินนำหน้านาง

หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่งจุดหมายปลายก็ทางก็ได้ปรากฎให้เห็นเด่นชัดเป็นตึกราบ้านช่องขนาดใหญ่พร้อมกับป้ายชื่อสำนัก ทว่าน่าแปลกตรงที่ป้ายสำนักกับผูกแขวนไปด้วยโบว์แดงขนาดใหญ่พร้อมด้วยแพรพรรณสีแดงสวยงาม

“มีงานแต่งงานหรือ” อู๋จิงซึ่งยืนนิ่งต่อหน้าประตูสำนักกล่าว ก่อนที่เพียงครู่หนึ่งจะเป็นเหวินฟางที่เดินมาเคียงข้างแล้วกล่าวว่า

“อะไรคืองานแต่งงาน?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย

“ท่านไม่รู้จักงานแต่งงาน” อู๋จิงกล่าวย้อน

“ข้าพเจ้าไม่รู้จัก” นางตอบ

“เป็นไปได้อย่างไร” อู๋จิงยังคงไม่เชื่อ

“ข้าพเจ้าเกิดและเติบโตในหุบเขาเซียนกระบี่บิน ที่มีผู้อาศัยไม่เกินสิบชีวิต ทั้งหุบเขามีชายเพียงหนึ่งซึ่งคือท่านผู้เฒ่าที่เป็นทั้งบิดาบุญธรรมและอาจารย์ เรื่องทางโลกภายนอกนั้นหาได้รอบรู้ไม่ สิ่งที่รู้นั้นมีเพียงภารกิจที่ต้องกระทำ หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้งานแต่งงานคืออันใดข้าพเจ้าหาจะทราบได้ไม่” เหวินฟางกล่าวหน้าซื่อตาใส

“เช่นนี้เอง ท่านจึงไม่รู้จักงานแต่งงาน” อู๋จิงเมื่อได้ทราบที่มาที่ไป และอดีตของเธอ เขาจึงเริ่มเข้าอกเข้าใจในตัวเธอมากยิ่งขึ้น

“แล้วมันคืออะไร เจ้าลองอธิบาย” นางกล่าว

“ข้าพเจ้าก็มิใช่คนมีความรู้ จึงไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรดี เอาเป็นว่างานแต่งงานก็คือการที่ชายหญิงคู่หนึ่งรักกันและประกาศว่าจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน” แต่แทนที่จะทำให้นางเข้าใจ เธอกลับย้อนถามกลับไปว่า

“แล้วความรักคือ?” คำถามนี้ทำเอาอู๋จิงต้องมีสีหน้านักใจยิ่งกว่าเก่านัก เขาถึงกลับเกาหัวอย่างจนแต้ม ก่อนจะจนใจตอบไปว่า

“ความรักมันอธิบายไม่ได้ง่าย ๆ เอาเป็นว่าเมื่อท่านรักใครสักคนท่านจะเข้าใจเอง” เพื่อตัดปัญหาอู๋จิงจึงรีบคว้าจับมือของเธอก่อนจะเปิดประตูสำนักมีดบินวิหกเหินแล้วจึงรีบเดินเข้าไป และยามเมื่อมือของทั้งสองได้สัมผัสกันเธอก็ได้แต่ลอบถามตัวเองในใจว่า

“ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน”

เพียงทั้งสองเดินผ่านหน้าประตูใหญ่เข้าไปก็ยิ่งพบกับ บรรยากาศวันแต่งงานมากยิ่งขึ้น ผ้าแพรพรรณสีแดง ของข้าวของตกแต่งวันงานมงคลอันมากมายล้วนถูกจัดเรียงอย่างถูกที่เป็นระเบียบสวยงามและผู้คนต่างดูวุ่นวายตกแต่งเตรียมงาน ยามนั้นเหวินฟางถึงกับหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ

ทั้งสองยืนเก้งกางเกะกะไม่นานนัก ก็มีพ่อบ้านอาวุโสคนหนึ่งเดิมเข้ามาถามไถ่ด้วยมารยาทอันสมควรถึงเหตุแห่งการมาเยือนของทั้งคู่ อู๋จิงจึงตอบเล่าไปตามจริงก่อนจะถามหาเจ้าสำนัก

หลังจากพ่อบ้านได้รับฟังเหตุต่าง ๆ จากอู๋จิงจึงส่ง เด็กรับใช้ให้ไปเชิญตัวเจ้าสำนักมา และไม่นานนักเจ้าสำนักก็ได้เดินองอาจผ่าเผยออกมา เขาเป็นชายสูงวัยที่ดูมีชาติตระกูลยิ่ง แต่งกายด้วยแพรพรรณชั้นดีเลิศ

เพียงเห็นแวบแรกอู๋จิงก็พลันรู้ได้ทันทีว่าเขาคือเจ้าสำนักด้วยว่ารูปหน้าตาช่างเหมือนกับมารโลหิตไม่ผิดเพี้ยน นับว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลย

“ข้าพลี่เผิงเจ้าสำนักฯ ส่วนเจ้าคือ….” เจ้าสำนักกล่าวเป็นเชิงคำถาม

“ข้าพเจ้าอู๋จิง ที่มาในครั้งนี้เพื่อคืนชุดเจ็ดมีดบินให้แก่ท่านตามคำขอของ….” อู๋จิงพลันจะกล่าวชื่อมารโลหิตแต่พลันคิดได้จึงหยุดปาก ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นด้วยการยื่นชุดเจ็ดมีดบินให้

“มิต้องกล่าวข้าพเจ้าย่อมรู้ว่าเจ้ามาตามคำขอใคร” ผู้เฒ่ากล่าวก่อนจะรับชุดเจ็ดมีดบินไว้ด้วยสองมือแล้วถึงค่อยกล่าวต่อไปด้วยใบหน้าปนความเศร้าว่า

“มันตายแล้วใช่ไหม” แทนคำกล่าวตอบอู๋จิงทำได้เพียงพยักหน้าหนึ่งคราอย่างช้า ๆ

“ใยเจ้านำชุดมีดบินนี้มาคืนข้าโดยง่าย อาวุธวิเศษเช่นนี้เจ้าไม่อยากได้หรือ”

“เพราะข้าพเจ้ารับปากลูกชายท่านไว้แล้ว” อู๋จิงตอบเพียงสั้นและทื่อด้านยิ่งนัก แต่คำกล่าวนี้กลับพอใจเจ้าสำนักอาวุโสยิ่งนัก

“ตอบได้ดี มีแต่ผู้คิดได้เช่นนี้ถึงบรรลุวิชามีดบินชั้นสุดยอดได้”

“อย่างไร” อู๋จิงกล่าวสงสัย

“หากเจ้าถือครองมีดวิเศษไว้ เวลาเจ้าใช้ออกย่อมต้องกังวลว่ามันจะสูญหาย เช่นนี้แล้วจะกล้าปาเต็มกำลังได้หรือ เพราะฉนั้นการยึดติดอยู่กับตัวอาวุธนั้นจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง”

“อืมมม....เข้าใจแล้ว” แม้นจะกล่าวเช่นนั้นแต่เขาก็ยังคงยังไม่เข้าใจถี่ถ้วน แต่ถึงจะอย่างไรเจ้าสำนักก็ยังคงชื่นชมในความซื่อสัตว์ของชายหนุ่มอย่างมากถึงกับออกปากว่า

“หากไม่ลำบาก ข้าพเจ้าขอเชิญเจ้าทั้งสองร่วมในงานมงคลของลูกสาวข้า” ผู้อาวุโสกล่าวน้ำเสียงจริงใจ แม้นอู๋จิงจะสนใจรับข้อเสนอแต่กระนั้นก็ต้องย้อนมองไปทางเหวินฟางก่อนว่าคิดเห็นประการใด

“ข้าพเจ้าไม่ขัดข้อง” เหวินฟางกล่าวเช่นนี้ทำเอาอู๋จิงยิ้มออกเลยทีเดียว

“สุภาพบุรุษจริงๆ ฮะฮะฮะ” เจ้าสำนักกล่าวหัวเราะเสียงดัง


อู๋จิงและเหวินฟางต่างร่วมเป็นสักขีพยานให้คู่บ่าวสาว พร้อมทั้งร่วมโต๊ะดื่มกินอยู่นานก่อนจะลาไปในตอนใกล้ค่ำ และก็เป็นเจ้าสำนักที่มีมิตรไมตรียืนยันขอให้ทั้งสองพักค้างคืนในหมู่ตึกของเขา สุดท้ายทั้งสองกว่าจะได้ออกเดินทางอีกครั้งก็เป็นรุ่งเช้าของวันถัดมา

ก่อนจะจากลาไปเจ้าสำนักยังคงมีน้ำใจยิ่งให้ชุดมีดบินหนึ่งแก่อู๋จิง ซึ่งแม้นจะไม่อาจเทียบชุดเจ็ดมีดบินวิเศษได้แต่ก็ไม่ถือว่าด้อยกว่ามาก และหลังจากร่ำลากันแล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าออกเดินทางทันที โดยครั้งนี้มีบางสิ่งที่แปลกไปกว่าทุกครั้ง

“อู๋จิง” เหวินฟางซึ่งเดินนำหน้าดั่งเช่นทุกครั้งกล่าวเรียกเสียงสูง ซึ่งพลอยทำให้อู๋จิงต้องเดินขึ้นมาเทียบเคียงแล้วถามไถ่

“มีอะไรเหรอ” ชายหนุ่มกล่าวสงสัย

“เปล่า” แต่นางตอบกลับเรียบ ๆ ด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินห่างไป และยังคงเป็นอู๋จิงที่ค่อยๆ เดินช้า ๆ เว้นระยะเพื่อให้นางเดินนำเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ครานี้ไม่เหมือนเดิมแล้วเพราะนางรีบกล่าวขึ้นว่า

“ทำไมเจ้าเดินช้าจริง” เหวินฟางยามนั้นหน้าแดงเล็ก ๆ กล่าวน้ำเสียงค้อนอย่างเป็นนัย คนซื่ออย่างอู๋จิงจึงเข้าใจและยิ้มออกอย่างเสียมิได้ก่อนจะวิ่งตามไปจนเคียงข้าง และเดินคู่กันไปในที่สุด




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2550
0 comments
Last Update : 9 ธันวาคม 2550 18:42:39 น.
Counter : 420 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.