Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 24

บทที่ 24

ณ สำนักเทพกระบี่สาขาลั่วหยาง

ยามนี้เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ซึ่งเป็นค่ำคืนที่ประหลาดยิ่งพระจัทร์ดวงกลมใหญ่ยิ่งกว่าทุกคราอีกทั้งสีของมันยังคล้ายดั่งเป็นสีส้มออกแดง ชวนแปลกตายิ่ง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นวันอัปมงคล วันพระจันทร์สีเลือด

ยามรักษาการภายในสำนักเทพกระบี่วันนี้มีเพียงไม่กี่คน อีกทั้งต่างเดินเฝ้ายามกันแบบไม่เต็มใจนัก ผู้คนเหล่านั้นแม้นเป็นเพียงลิ้วล้อธรรมดาแต่ก็ต่างมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีคล้ายคลึงกัน พวกมันรู้สึกใจคอมิสู้ดีอีกทั้งเสียวสันหลังวาบเป็นระยะอย่างไม่ปกติสุข

และในมุมมืดหนึ่งซึ่งลับสายตาของยามสองคน เงาของยอดยุทธ์สองคนก็เหินกระโจนอย่างรวดเร็วอีกทั้งแผ่วเบายิ่ง ขึ้นไปเหยียบยืนบนหลังคาของบ้านพักเจ้าสำนักสาขาหรือ ห้องของกระดาษแดง อย่างไร้ซุ่มเสียง

ชายทั้งสองมิได้แต่งตัวชุดดำหรือปกปิดใบหน้าแต่อย่างไร กลับแต่งตามสบายในชุดสีขาว หนึ่งดูสูงวัยอีกหนึ่งเป็นเด็กหนุ่ม หนึ่งคือหวงเย่ว์อีกหนึ่งคืออาจารย์ผู้เฒ่าคนใหม่ของมัน

“อาจารย์… ท่านแน่ใจหรือว่ายามนี้ ระดับฝีมือข้าพเจ้าจะสามารถล้างแค้น สังหารมันได้” หวงเย่ว์แม้นกล่าวเยี่ยงนั้นแต่แววตาของเค้ากลับแผงรังสีอำมหิตคิดลงมือแล้ว

“เจ้าได้รับเลือดวิสุทธ์ของข้าไปแล้ว อย่างมันเรียกตัวอะไรได้ อีกอย่างอย่าเรียกว่าล้างแค้นเลย มันเป็นผู้ใช้วิชามารซึ่งการกำจัดมารถือเป็นเรื่องถูกต้อง” ผู้เฒ่ากล่าวพร้อมร้อยยิ้มที่มุมปาก

หวงเย่ว์ค่อย ๆ วางมือทาบลงบนอกของตัวเองช้า ๆ เขาเสมือนรู้ถึงพลังปราณอันมากมายผิดธรรมดา แต่ไฉนมันเป็นพลังด้านมืด พลังปราณเปลี่ยนอสูร

ทำไมเป็นเช่นนี้ทั้งที่เขานั้นได้รับเลือดของชายผู้คล้ายดั่งปานเทพยดา อีกทั้งพกพากระบี่หยกน้ำเงิน?

“อาจารย์พูดถูก…งั้นข้าพเจ้าไปล่ะนะ” แม้นจะสับสนอยู่บ้างแต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกทางของเขาแล้ว สิ้นคำกล่าวหวงเย่ว์ก็เดินถอยเข้าไปในมุมมืดเสมือนค่อยๆ หายเข้าไปในเงา


ภายในห้องพักของกระดาษแดง

กระดาษแดงยามนั้นจ้องอ่านคัมภีร์มารภายใต้แสงเทียน ใบหน้าของมันยังคงผอมตอบแห้งกระด้างเหมือนเดิมทว่าที่แตกต่างคือใบหน้ามันไม่มีสีเลือดมากเหมือนแต่ก่อน ดั่งสันนิฐานได้ว่ามันสำเร็จวิชามารไปสองในสี่ส่วนแล้ว

แต่ยามนั้นอยู่ ๆ ก็เสมือนมีลมพัดเข้ามาภายในห้องอยู่วูบหนึ่ง ให้กระดาษแดงต้องสะดุ้งกลัวก่อนที่แสงเทียนจะโดนลมให้หริบหรี่แทบดับลง ส่งผลให้ห้องเกือบมืดสนิทไปเสี้ยววินาที และพอลมหยุดแสงเทียนกลับมาสว่างจ้า ภาพที่มันเห็นตรงหน้าก็สุดจะเชื่อได้

“หวงเย่ว์!!!” มันตะลึงงันสุดแสน ที่เห็นภาพของอดีตศิษย์ผู้น่าจะตายไปเนิ่นนานแล้วมาปรากฎอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ทันที่มันจะกล่าวต่อไปอันใด ร่างของหวงเย่ว์ก็พุ่งเข้าหาดุจภูติพรายและได้ฟาดหนึ่งฝ่ามือประทับลงที่ยอดอกของมันอย่างรุนแรงจนมันกระอักเลือด ร่างพุ่งปลิวไปหาประตูไม้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว จนมันคิดว่าตัวมันต้องกระแทกประตูไม้ให้แตกพักอย่างแน่นอน และนั้นจะเป็นโอกาสหนีของมัน

แต่พริบตาที่หลังของมันปะทะกับสิ่งกีดขวางกลับไม่มีเสียงดังแต่อย่างใดเลย มันมิได้กระแทกประตูแต่กลับกระทบชนสองฝ่ามือของหวงเย่ว์ที่มายืนรับร่างของมันไว้ได้อย่างอัศจรรย์ นับว่าเป็นความเร็วที่เหนือมนุษย์แล้ว

“เร็วอะไรอย่างนี้” กระดาษแดงนึกกล่าวอย่างสะพรึงกลัวสีหน้าถอดสีก่อนจะรีบดีดตัวออกห่าง จากนั้นจึงควานหากระบี่ที่แนบข้างกาย แต่กลับปรากฎว่ากระบี่นั้นหายไปแล้ว หายไปอยู่ในมือหวงเย่ว์!!!

และพริบตาเดียวก็เป็นเงากระบี่นับสิบสายที่พุ่งเข้าแทงมันอย่างรวดเร็ว ทว่ากระดาษแดงถึงอย่างไรก็นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง มันใช้ออกด้วยวิชามารเพียงครึ่งที่เรียนรู้ตวัดกรงเล็บพันพัวปัดป้องเงากระบี่ให้พ้นตัวไปได้

“มารเฒ่า ใช้วิชามารได้ดี” หวงเย่ว์กล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะรวบกระบี่หยุดการโจมตี ปล่อยให้ชายแก่ได้หอบพักหายใจอยู่บ้าง หากเพียงสังหารอาจง่ายดายไม่ลำบากแต่นั่นหาได้สาแก่ใจหวงเยว์ยามนี้ไม่

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้น่ะไอ้เด็กเนรคุณ เจ้าก็ใช้วิชามารเช่นกัน เจ้าก็เป็นมารไม่ต่างจากข้า” เจ้าสาขาฯ ตอกกลับ

“ผิดแล้ว วิชามารควบคุมเจ้า แต่ข้าควบคุมวิชามาร ย่อมถือว่าข้านั้นมิใช่มารแล้ว”

“เจ้าต้องการอะไร” กระดาษแดงกล่าวเสียงตะกุกตะกัก

“ชีวิตเจ้า” สิ้นคำอหังการจากหวงเยว์ ชายแก่ย่อมรู้ว่ามารน้อยเบื้องหน้าไม่รู้จักคำว่าปราณีแล้ว มันไม่รอช้ารีบฉวยโอกาสเข้าโจมตีด้วยการเล็บมารเต็มกำลังทันที ทว่าหวงเย่ว์ยิ้มเย้ยก่อนจะใช้วิชามารชั้นที่เหนือชั้นกว่ามาก

“เปิดวิถี มารฟ้า!!!” ยากจะเชื่อสายตาได้ เพียงพริบตาเดียวหวงเย่ว์โคจรพลังปราณมหาศาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ บังเกิดเป็นปราณพิษไอดำคลุมกาย

“เป็นไปได้….” กระดาษแดงลอบสำนึกเสียใจวิชามารเหนือชั้นเบื้องหน้านั้นหาได้มีในคัมภีร์ไม่ จะหยุดมือเปลี่ยนเป็นหลบหนีก็หาได้ทันไม่ สุดท้ายจึงเสมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ กรงเล็บของมันที่รวดเร็วนั้นหาได้เฉียดเข้าใกล้ตัวหวงเย่ว์ไม่ ด้วยว่าปราณพิษสีดำของเด็กหนุ่มสกัดกันเหนี่ยวรั้งพลังของกรงเล็บสิ้นแล้ว ส่งผลให้ท่าจู่โจมมันกลับดูเชื่องช้ายิ่งนัก

“ฆ่า” หวงเย่ว์กล่าวคำอำมหิตก่อนจะร่ายรำกระบี่ฟาดฟันด้วยพลังมารฟ้ารวดเร็วยิ่ง เริ่มแรกฟันเป็นรูปกากบาทที่ยอดอกของมันก่อนจะฟัดตัดขวาง ฟันตัดล่างทแยงซ้ายขวา แล้วจึงผ่ากลาง เป็นอันจบสิ้นกระบวนท่า จากนั้นเลือดสีแดงของมันก็ซึมออกมาให้เห็นเป็นอักษร คำว่าฆ่า (杀) และวินาทีต่อมาเลือดแดงฉ่านนั้นก็พุ่งกระจายไปทั่วห้อง และร่างของมันก็ล้มตึงไม่ไหวติงอีกต่อไป

“ไหมขาว…ข้าล้างแค้นให้ท่านแล้ว” หวงเย่ว์สังหารมันด้วยเพลงกระบี่เขียนอักษรย่อมสื่อถึงการล้างแค้นเพื่อไหมขาวในครั้งนี้

เด็กหนุ่มจ้องมองร่างอันไร้วิญาณของกระดาษแดงด้วยความพึงพอใจยิ่งจนต้องลอบยิ้มที่มุมปาก มันพึงพอใจด้วยว่าล้างแค้นสำเร็จเพียงนั้นหรือ? รึว่าแท้จริงมันจะพึงพอใจต่อเลือด ต่อการฆ่าฟัน ต่อการสังหารด้วย

“ข้าพเจ้าเป็นอะไรไป” หวงเย่ว์พลันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เขารู้สึกถึงจิตมารที่รุนแรงเพิ่มพูนภายในกาย

“ข้าพเจ้าสังหารมันเพื่อล้างแค้น มิใช่เพื่อตัวเอง” หวงเย่ว์กล่าวตอกย้ำกับตัวเองซึ่งกำลังสับสนที่ไม่ทราบใยจึงพึงพอใจการการฆ่าเยี่ยงนี้ ความสับสนนั้นบีบบังคับให้เขาต้องตัดสินใจรีบออกไปจากตรงนั้นเพื่อระงับจิตมารที่แฝงอยู่ในตัว

แต่เมื่อเด็กหนุ่มเปิดประตูออกมาแล้วก็ต้องตะลึงงันอย่างเป็นที่สุด ดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้าตาค้างเพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นสุดจะเชื่อได้ ภาพที่เห็นนั้นเป็นร่างของศิษย์สำนักเทพกระบี่นับร้อยที่เหลือเพียงร่างไร้วิณญาณเต็มไปหมดทั่วทั้งลานสำนัก ในขณะที่เบื้องหน้านั้นเห็นเป็นอาจารย์มันซึ่งแต่งกายด้วยชุดขาวทว่าบัดนั้นกลายเป็นสีแดงที่ย้อมไปด้วยเลือดแล้ว มันผู้เฒ่ากำลังบีบคอชายผู้เคราะห์ร้ายผู้หนึ่งให้ต้องดิ้นทุรนทุรายให้สาแก่ใจมันยิ่ง

“อาจารย์ ท่านทำอะไรลงไป” หวงเย่ว์ตะโกนกล่าวดังก้อง

“ข้าก็ทำเหมือนอย่างที่เจ้าพึ่งทำยังไงล่ะ” ชายแก่กล่าวน้ำเสียงแจ่มใสก่อนจะบีบมือดับชีพเหยื่อเบื้องหน้าอย่างรุนแรงจนเลือดของชายเคราะห์ร้ายกระเด็นเปื้อนหน้ามัน

“ท่านมันเสียสติไปแล้ว” หวงเย่ว์เนื้อตัวสันเทายากจะเชื่อภาพที่เห็นเบื้องหน้า

แต่มารร้ายในคราบนักบุญเบื้องหน้าหาได้สนใจคำกล่าวของเขาไม่ มันเพียงยิ้มอย่างมารร้ายก่อนจะพลันชี้ไปที่ชายผู้หนึ่งซึ่งยังคงมีชีวิตและกำลังตะเกียดตะกายพยายามคลานหนีออกไป

“ฮะฮะฮะฮะ ดูนั่นหวงเย่ว์ มีชายผู้หนึ่งยังไม่ตาย ทำไมเจ้าไม่ลองฆ่ามันดูสนุก ๆ เล่า” มารเฒ่ากล่าวอย่างสบายอารมณ์ยิ่ง

หวงเย่ว์ได้ฟังต้องตะโกนกลับอย่างโกรธาสุดแสนว่า

“ไม่!!! ข้าไม่มีทางสังหารคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”

แต่เป็นมารร้ายที่ตอบกลับแผ่วเบาด้วยสีหน้าที่ชั่วร้ายเย็นชาไปว่า

“ถ้าเจ้าไม่ฆ่ามัน มันก็จะเป็นพยานรู้เห็นว่าข้ากับเจ้าฆ่าล้างสำนักนี้ และเจ้าก็จะกลายเป็นปีศาจ เป็นมารร้ายในสายตาของยุทธภพไปโดยสมบูรณ์” คำกล่าวของมารเฒ่าทำเอาหวงเย่ว์ต้องคิดตะลึงงัน พลันเห็นมโนภาพปรากฎชัดเจนเป็นว่าเขาโดนคนทั่วทั้งยุทธภพประนาม อีกทั้งโดนตามแก้แค้นไม่จบสิ้น

ยามนั้นแววตาของหวงเย่ว์พลันสื่อถึงความหวาดกลัวต่ออนาคตที่จะมาถึงอย่างสุดแสน และสุดจะคาดโดยปราศจากความคิดใด ๆ เด็กหนุ่มก็พลันหยิบหินก่อนหนึ่งเบื้องหน้า ก่อนจะปามันออกด้วยพลังปราณสุดแรง จนหินก้อนนั้นทะลุร่างพยานคนสำคัญให้ต้องดับสูญแล้ว

ยามนั้นมารเฒ่าเห็นเหตุการณ์พลันหัวเราะลั่นอีกทั้งปรบมือด้วยความสะใจยิ่งนัก

“ฮะฮะฮะฮะ ต้องอย่างนี้สิศิษย์ข้า”

หลังจากที่ชายหนุ่มเมื่อพลาดพลั่งทำผิดไป ก็รู้สึกผิดบาปมหันต์เนื้อตัวสั่นเทาจ้องมองสองมือของตนซึ่งแปดเปื้อนเลือดของผู้บริสุทธ์ไปแล้ว

“ข้าทำอะไรลงไป ๆ” หวงเย่ว์ขาอ่อนให้ต้องคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเอาหน้าซบไปกับพื้น เนื้อตัวสั่นเทา และเป็นยามนั้นที่มารเฒ่าเดินเข้ามาเคียงข้างวางฝ่ามือลงบนไหล่เด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบาแล้วกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนไปว่า

“จริงๆ ก่อนหน้านี้ที่มุมมืด ข้าเพิ่งปล่อยมันหนีรอดไปคนหนึ่ง ซึ่งมันก็คงจะเห็นข้ากับเจ้าลงมือแล้ว” พอพูดจบมันก็หัวเราะลั่นอย่างสาแกใจยิ่งนัก

เด็กหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองชายแก่อีกครั้งด้วยอาการตกตะลึงยิ่งกว่าเก่านัก ปากสั่นเทากล่าวแทบไม่เป็นคำไปว่า

“ว่า…ว่า…ว่ายังไงนะ”

“หวงเยว์เอ่ย ตอนนี้เจ้ากับข้าก็เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ในสายตาชาวยุทธ์ข้าคือจ้าวแห่งมาร ส่วนเจ้านั้นก็เป็นมารเช่นกัน ทุกคนล้วนอยากกำจัดเรา” ยามนั้นหวงเย่ว์ไม่สามารถกล่าวอะไรได้แล้ว เขาทำได้เพียงแต่รับฟังเท่านั้น

“แต่พวกมันหารู้ไม่ว่า มารเช่นพวกเรานั้นยิ่งใหญ่เพียงไหน อีกไม่นานยุทธภพก็จะตกเป็นของเราแล้ว” จ้าวมารกล่าวอย่างมั่นใจต่อไปอีกว่า

“หวงเย่ว์แม้นเจ้าจะร่วมมือกับข้าหรือไม่ ชาวยุทธ์ทั้งหลายก็มองเจ้าเป็นมารร้าย เป็นภัยยุทธภพอยู่ดี แล้วแบบนี้เจ้าร่วมมือกับข้ายึดครองยุทธ์ภพเลยไม่ดีกว่าหรือ?” พลังของจ้าวมารที่เด็กหนุ่มได้ประจักษ์ย่อมรู้ว่าคำกล่าวเหล่านี้ไม่เกินจริงเลย มารเฒ่ามันช่างโน้มน้าวได้อย่างร้ายกาจยิ่ง

ในภาวะนั้นหวงเย่ว์ยากจะรู้ตัวได้ว่าถูกครอบงำจิตใจไปแล้ว เลือดมารที่อยู่ในตัวก็ส่งเสริมต่อจิตมารยิ่ง สุดท้ายมารเฒ่าก็กล่าวปิดท้ายอย่างร้ายกาจว่า

“ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์” คำกล่าวเพียงสั้นนี้กลับชนะใจหวงเยว์ไปแล้ว มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่เขียนประวัติศาสตร์ได้ แม้นยามนี้พวกมันจะถูกมองว่าเป็นมารร้ายก็ตาม แต่เมื่อใดที่พวกมันยึดครองยุทธภพได้ พวกมันย่อมเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้พวกมันเป็นดั่งกองทัพธรรมได้

“ข้าเข้าใจแล้ว” หวงเย่ว์ลอบกล่าวเน้นย้ำทีละคำอย่างหนักแน่น ดวงตาพลันฉายแววอำมหิตชั่ววูป ยามนั้นเด็กหนุ่มกลับคิดได้เพียงแต่ว่า ในเมื่อสวรรค์ไม่เปิดทางถอยให้แล้วใยไม่ท่อไปให้สุดนรกเลยเล่า

“ดีมากศิษย์ข้า ฮะฮะฮะฮะ” มารร้ายหัวเราะลั่น หลังจากมันหลอกให้หวงเย่ว์ฝึกพลังมารขั้นสูงโดยดื่มเลือดมันได้ มาครานี้มันยังหลอกให้เด็กหนุ่มเข้าร่วมอุดมการณ์อย่างสุดใจอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้อีกไม่นานเด็กหนุ่มย่อมต้องเข้าสู่ด้านมืดอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว


อีกมุมหนึ่งของค่ำคืนนั้น ณ ตำหนักหมื่นน้ำแข็ง

บนปลายยอดสุดของหลังคาตำหนักหมื่นน้ำแข็งยังคงมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่าหลินฟงยืนเด่นเป็นสง่าจ้องมองดูท้องฟ้าพันดาวอันสวยงาม มันเป็นคืนที่แสงดาวช่างกระจ่างแจ้งยิ่งนัก แต่ทว่าในใจของเขานั้นกลับดูไม่เบิกบานแต่อย่างใดเลย

ไม่นานก็มีเสียงเรียกของสาวน้อยผู้หนึ่งดังขึ้นเรียกสติของหลินฟงจากวภังค์ ซึ่งจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากหิมะที่ค่อยๆ เหินร่างดีดตัวจากระเบียงบนชั้นสูงสุดขึ้นมายืนบนหลังคาเชกเช่นเด็กหนุ่มพร้อมกับกล่าวว่า

“ที่แท้เจ้ามาอยู่ที่นี้เอง” หิมะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับจากหลินฟง เด็กหนุ่มเพียงเหลียวไปมองพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ

“หลินฟง ทำไมเจ้าดูไม่ดีใจเลย ตอนนี้ข้าเป็นถึงเจ้าสำนักหมื่นน้ำแข็งคนใหม่แล้ว และเจ้าก็เป็นมือขวาของข้าแล้วนะ” นางกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปคล้องแขนเขาไว้

“ข้าพเจ้า… รู้สึกว้าวุ่นในใจ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับพวกพี่ใหญ่และพี่รอง” หลินฟงกล่าวน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างยิ่ง

“เจ้าอย่าคิดมากเลยมันก็แค่ลางสังหรณ์” หิมะกล่าวจบก็ซบไปยังตรงไหล่ของชายหนุ่ม เสมือนแทนความหมายว่ายังมีนางอีกคนที่เป็นห่วงเขา หลินฟงมองเจ้าหล่อนก่อนจะเปิดเผยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม


หลายเดือนต่อมา

ยามเย็น ณ ถนนดินกว้างใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งทอดยาวไปสุดที่เมืองลั่วหยาง

อู๋จิงและเหวินฟางหลังจากเดินทางผ่านสำนักมีดบินมาแล้ว ทั้งสองก็ดูเหมือนยิ่งเข้าใจกันมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเมื่อได้เดินเคียงข้างกันไปทำให้ได้มีโอกาสพูดคุยและทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น ยามนั้นคล้ายดั่งอู๋จิงได้ลืมไปแล้วว่าตามนางเพื่ออะไรกัน เขารู้แต่ว่าเขานั้นไม่สามารถจากเธอไปได้ ในขณะที่เหวินฟางนั้นแม้นจะไม่สามารถตอบความรู้สึกในใจของตัวเองได้ แต่ภารกิจของเธอก็ยังต้องก้าวต่อไป เธอใช้กระบี่หยกน้ำเงินต่างเข็มทิศเพื่อชี้นำทางไปกำจัดมารร้ายผู้ฝึกคัมภีร์มาร

“เหวินฟางข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นเคยเส้นทางนี้จริงๆ” อู๋จิงกล่าวเป็นประเด็น

“ใยจะไม่คุ้นเคย ถนนเส้นนี้คือทางต่อไปยังเมืองลั่วหยาง ซึ่งเป็นเมืองที่ข้าพเจ้าพบกับท่านครั้งแรกยังไงเล่า”

“เมืองลั่วหยาง เช่นนั้นก็คือบ้านเกิดของข้านะสิ” แม้นจะจากบ้านไปนานแต่ กลับจำทางกลับบ้านไม่ได้นี้นับว่าทึ่มไม่น้อยแล้ว

“ครั้งนั้นตอนข้าพเจ้ามาเมืองนี้กระบี่หยกน้ำเงินก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน แต่ครั้งนี้กลับรุนแรงเป็นที่สุด” เหวินฟางกล่าวพร้อมทั้งมีสีหน้าที่วิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

คำกล่าวนี้ของนางทำให้อู๋จิงนึกไปถึงครั้งเมื่อตอนเจอตัดกระบี่ครั้งแรกและภารกิจคุ้มกันหยกน้ำเงินที่ทำให้สู้กับมารร้ายตนหนึ่ง ซึ่งหลังจากศึกครั้งนั้นเขาจึงได้เจอกับเหวินฟางครั้งแรกที่ในร้านขายอาวุธ

“เจ้ามีสีหน้ากังวลใจ” อู๋จิงกล่าว

“กังวลอย่างยิ่ง ครั้งที่กระบี่หยกนี้พาข้าไปเจอกับมารโลหิตนั้น ปฏิกิริยาของมันต่อพลังมารยังไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้เลย” นางยังคงมีสีหน้าวิตกไม่เปลี่ยน อู๋จิงเมื่อเห็นดังนั้นพลันรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเช่นกันพลันรีบกล่าวไปว่า

“งั้นเจ้าอย่าไปเลย เราทั้งสองไปยังที่แห่งอื่นเถิด” เขากล่าวพร้อมทั้งใช้สองมือกุมมือขวาของหล่อนไว้แน่น

เหวินฟางจ้องมองดูแววตาวิงวอนขอร้องของอู๋จิงยิ่งใจหาย อีกทั้งรู้สึกสับสนภายในใจยิ่งนัก

“ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน” เธอกล่าวในใจพร้อมทั้งจะวางมือซ้ายที่ว่างอยู่แนบลงบนอกตรงตำแหน่งหัวใจซึ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ

แต่สุดท้ายเธอได้แต่เบือนหน้าหลบสายตาอ้อนวอนของอู๋จิงแล้วกล่าวอย่างไม่เต็มใจไปว่า

“ข้าพเจ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นชะตาชีวิตของข้าพเจ้า” กล่าวจบเธอก็ถอนมือออกจากการคร่ากุมของอู๋จิง ทำเอาเด็กหนุ่มผิดหวังไม่น้อยและเมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งเดียวที่อู๋จิงจะทำได้นั้นก็เพียงแต่ต้องยอมรับชะตาที่จะเกิดขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรศึกครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าช่วยท่านอย่างเต็มที่” สิ้นคำกล่าวชายหนุ่ม เหวินฟางก็พยักหน้าแทนคำตอบ

ทั้งสองเดินต่อไปได้อีกพักหนึ่งก็ได้เห็นชายสองคนในชุดขาวหนึ่งอาวุโส หนึ่งเด็กหนุ่มกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบงัน ชายผู้เฒ่าดูมีสง่าราศรียิ่งประดุจดังดั่งปรมจารณ์ก็ไม่ปานในขณะที่ทางด้านเด็กหนุ่มก็งามสง่าไม่แพ้กัน

“เป็นมันทั้งสอง” เหวินฟางกล่าวน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่อู๋จิงได้ฟังแล้วแทบไม่เชื่อหู บุรุษทั้งสองผู้ดูโดดเด่นดั่งภาพเขียนเบื้องหน้ากลับเป็นมารร้ายไปได้ และยิ่งเมื่อเขาได้มองชายหนุ่มเบื้องหน้าดี ๆ เขายิ่งแทบไม่เชื่อสายตายพลันกล่าวไปว่า

“เป็นไปไม่ได้ ๆ” เขาได้แต่ลอบกล่าวทวนคำอย่างไม่เชื่อยิ่ง เพราะว่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านั้นแท้ที่จริงแล้วเป็น หวงเย่ว์นั้นเอง

“ไม่ผิดพลาดไปได้ อู๋จิงหากเจ้าจะช่วยข้าก็จงเตรียมพร้อมเถิด” เหวินฟางกล่าวน้ำเสียงเรียบเฉียบ

ในขณะที่ชายสองคนผู้กำลังคร่ำเคร่งกับหมากบนกระดานนั้นหาได้สนใจเหวินฟางและอู๋จิงไม่ ทั้งสองยังคงเดินหมากไปอย่างเรียบ ๆ เสียงหมากดำขาวกระแทกกระดานเป็นจังหวะอย่างไพเราะยิ่ง จนเมื่อเหวินฟางได้โคจรพลังเตรียมเข้ารบ ชายอาวุโสผู้ถือหมากขาวจึงกล่าวขึ้นมาว่า

“อีกหนึ่งผู้ครอบครองกระบี่หยก ก็เป็นหญิงที่งามสง่าจริงๆ” มันกล่าวก่อนจะลุกยืนอย่างช้าๆ เป็นเหตุให้ หวงเย่ว์ต้องถอนสมาธิจากหมากบนกระดานไปมองยังเหวินฟางและอู๋จิง และเมื่อเขาเห็นอู๋จิงก็ลอบตะลึงงันรีบกล่าวว่า

“อู๋จิง เป็นเจ้าได้อย่างไร!!!” น้ำเสียงหวงเย่ว์นั้นบ่งบอกว่าคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง มันละสายตาจาอู๋จิงไปมองอาจารย์เฒ่าของมันแวบหนึ่งอย่างลังเลสงสัย

ในขณะที่อู๋จิงก็ตะลึงงัน หัวสมองว่างเปล่าได้แต่กล่าวย้อนคำ

“พี่ใหญ่ เป็นท่านได้อย่างไร!!!”

แต่คนที่อยู่อาการตกตะลึงยามนั้นยังรวมไปถึงเหวินฟางผู้ซึ่งเห็นกระบี่หยกในมือของมารเฒ่าอีกด้วย

“กระบี่หยกน้ำเงินอีกเล่มหนึ่งอยู่ที่เจ้าได้อย่างไรกัน!!!” เหวินฟางกล่าวกระชากเสียงถามอย่างเดือดดาล

มารร้ายฉีกยิ้มกว้างก่อนจะตอบไปอย่างเรียบง่ายว่า

“เรื่องราวง่ายดายยิ่ง ข้าก็สังหารหนึ่งในพวกพ้องของเจ้าแล้วเอามันมานะสิ” คำกล่าวนี้ทำเอาเหวินฟางซึ่งเงียบสงบถึงกลับโมโหโกรธาอย่างสุดแสน

“ควบคุมกระบี่เหิน!!!!” ยากจะควบคุมอารณ์โกรธในยามนั้นได้ เธอสั่งกระบี่บินทั้งหกเข้าโจมตีมารเฒ่าทันที ก่อนที่เธอเองจะร่ายรำกระบี่หยกเข้าไปสมทบกระบี่บินพร้อมทั้งกล่าวต่ออู๋จิงว่า

“อู๋จิง ข้าจะกำจัดมารเฒ่า ส่วนท่านกำจัดมารหนุ่มผู้นั้น”

ยามนั้นทั้งอู๋จิงและหวงเย่ว์ทำได้ก็เพียงแต่ยืนนิ่งจ้องมองดูกันและกันเท่านั้นเอง อู๋จิงย่อมยากจะเชื่อได้ว่าพี่ชายของตนจะเข้าพวกกับมารในขณะที่หวงเย่ว์ก็ยากจะเชื่อได้ว่าพรรคพวกกระบี่หยกที่ตนต้องกำจัดจะกลายเป็นน้องชายของตน นี้นับว่าชะตาฟ้ามักบีบคั้นผู้คนให้ต้องเผชิญทุกข์ทนลำบากยากหลุดพ้น




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2550
0 comments
Last Update : 10 ธันวาคม 2550 18:23:24 น.
Counter : 541 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.