|
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 34 (อวสาน)
บทที่ 34
ณ อุโมงค์หินลี้ภัยภายในตึกหมู่มาร
ร่างของจ้าวมารอันหยาบแห้งไร้ชีวายามนี้ถูกปักไว้ด้วยกระบี่หยกสีน้ำเงินแน่น หลินฟงมองร่างนั้นด้วยความเวทนายิ่ง อันสูงสุดคืนสู่สามัญแท้จริง จากดินย่อมกลับคืนไปสู่ดิน อันความสำเร็จยิ่งใหญ่ในช่วงหนึ่งชีวิตของมนุษย์หากเทียบกับอายุของยุคสมัยบนผืนแผ่นดินแล้วนับว่าเล็กเพียงผงธุรี
หลินฟงค่อยๆ ดึงกระบี่หยกนั้นออกจากร่างของมารร้ายอย่างช้า ๆ ก่อนที่ร่างนั้นเหมือนจะผุกร่อนและสลายกลายเป็นดินไปอย่างน่าอัศจรรย์ มิทราบมารร้ายนั้นมีอายุมานานเพียงใด อันวิชามารเปลี่ยนอสูรลึกลับแท้จริง เปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นดุจภูติพรายคล้ายดั่งมีช่วงชีวิตอนันต์
หลินฟงตระหนักคิดเพียงชั่วครู่แต่ก็คล้ายเหมือนได้รับความเข้าใจในชีวิตอย่างยิ่ง จากนั้นเขาจึงตื่นจากภวังค์ด้วยว่าเสียงเรียกของอู๋จิงพี่ชาย
หลินฟง
หยุดหวงเย่ว์ไว้ อู๋จิงที่นอนคว่ำตัว ใบหน้าซีดเผือดเลือดไหลนอง กล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก
หลินฟงได้ฟังก็พลันมองหาหวงเย่ว์ตามคำกล่าว ก่อนจะเห็นหวงเย่ว์ที่พยายามลากขาเดินหนีห่างด้วยความทุลักทุเล เลือดสีแดงเข้มเกือบเป็นสีดำไหลหยดเป็นทาง
พี่หวง ท่านจะไปไหน หลินฟงกล่าวน้ำเสียงห่วงใย
ไร้เดียงสาหรือเจ้า ที่นี้ล้วนไม่มีธุระใดกับข้าพเจ้าแล้ว หวงเย่ว์กล่าวพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ
ใยพี่ท่านต้องหนีกัน จากนี้ไปพวกเราสามคนกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหมือนดั่งวันวานที่ลั่วหยางไม่ดีหรือพี่ท่าน คำกล่าวของหลินฟงนี้ทำเอา หวงเย่ว์เผลอเผยรอยยิ้มรำลึกอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะกลบเกลื่อนมันไปด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
หลินน้อยเจ้าเพ้อฝันมากแล้ว ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าที่ร่วมมือกับพวกเจ้านั้นเพียงต้องการกำจัดจ้าวมารเท่านั้นเพื่อที่ข้าจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในโลกมารเหนือผู้ใด อันตอนนี้ทุกอย่างสำเร็จแล้วใยข้าจะกลับไปเป็นชนชั้นสามัญเยี่ยงพวกเจ้า หวงเย่ว์กล่าวก่อนจะพยายามฝืนเดินหนี
ยามนั้นหลินฟงเห็นเพียงแต่แผ่นหลังของหวงเยว์เท่านั้นใยจะรู้ถึงใบหน้าอันชอกช้ำและทุกข์ทน อีกทั้งในใจของมันที่กล่าวว่า
น้องรอง น้องสาม มือข้าเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้บริสุทธ์มากมาย ผู้เกลียดชังมีไม่น้อย ผู้เคียดแค้นก็ไม่ทราบมากเท่าใด มารร้ายเช่นข้าอยู่ที่ลับไม่อาจเปิดเผยตัวในที่แจ้ง อันความรู้สึกเจ้าข้ารับด้วยใจ
หนทางแห่งมารไม่มีทางย้อนกลับแท้จริง
อู๋จิงยามนั้นเห็นหวงเย่ว์ออกห่างไปไกลจึงกล่าวย้ำเตือนต่อหลินฟงไปว่า
หลินน้อย รีบจับพี่เจ้าไว้อย่าให้หนีไปได้
หลินฟงได้ฟัง ก็เพียงหันหน้ามาหาอู๋จิงอย่างช้า ๆ ก่อนจะเดินไปประคองร่างของเขาไว้ก่อนจะกล่าวแต่แผ่วเบาไปว่า
ขอโทษพี่รอง ข้าพเจ้าอาจแยกถูกผิด ดำขาว ไม่เข้าที แต่พี่หวงไม่ว่าจะยังไงก็คือพี่หวงของข้าเสมอ หวงเย่ว์เพียงได้ยินก็พยันหยุดเท้า หนึ่งหยดน้ำตาไหลผ่านแก้ม หากแม้นมีสักผู้สักคนมองมันว่าไม่ใช่มาร ในคืนมืดมิดยามราตรีหากยังมีเพียงหนึ่งดวงส่องแสง บางทีวิถีมารอาจจะมีหนทางให้ย้อนคืน
หลินฟงค่อยๆ พยุงพาร่างของอู๋จิงเพื่อจะพากลับไปรักษา แต่เพียงก้าวเดินไปได้ไม่นานก็มีเสียงหวงเย่ว์ที่กล่าวไล่หลังมาว่า
หลินน้อย เรื่องที่ชาวยุทธ์ต้องพิษสูญวิญาณนั้น มีเพียงเจ้ามารเท่านั้นที่รู้สูตรยาแก้ แต่ทางรอดยังพอมี หากเจ้ากลับไปค้นที่ห้องยาด้านซ้ายเจ้าจะพบส่วนประกอบของพิษ หากนำไปให้หมอผู้เชี่ยวชาญคงคิดค้นหายาแก้ได้ไม่ยาก
หลินฟงได้ยินดังนั้นก็รีบหันกลับไปกล่าวขอบคุณหวงเย่ว์ทันที ทว่าเพียงหันกลับไปนั้นก็ไม่พบเห็นแม้นแต่เงาของมันแล้ว
ขอบคุณมากพี่ใหญ่
หลายวันต่อมา
ยามเช้า ณ ห้องพักแห่งหนึ่งในโรงเตี๊ยมเมืองซูโจว
อู๋จิงยังคงนอนหลับบนเตียงแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ท่อนกายด้านบนต่างเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ทว่าใบหน้ายังคงดูแจ่มใสขึ้นบ้าง ยามนั้นข้างกายของมันมีเพียงเซียนสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ทว่านางผู้นั้นหาใช่เหวินฟางคนรักไม่ กลับเป็นเหวินลี่
เหวินลี่จ้องมองใบหน้าของอู๋จิงยามนอนหลับอย่างอาลัยก่อนจะโน้มตัวลงไปใกล้จนริมฝีปากแทบกระทบกัน แต่ทว่ากลับเป็นค่อยๆ หอมแก้มชายหนุ่มอย่างช้า ๆ
แต่ฉับพลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นแบบไม่ให้แม่นางน้อยตั้งตัวติด เธอรีบชักหน้าออกจากหนุ่มน้อยอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบหันมองไปยังผู้มาใหม่
พี่
พี่
พี่ฟาง เธอกล่าวตะกุกตะกักไม่ทราบเหวินฟางได้ทันเห็นการกระทำของเธอเมื่อครู่หรือไม่
น้องลี่เจ้าเป็นอะไร ใยหน้าแดงเพียงนั้น เหวินฟางกล่าวเรียบง่ายพร้อมรอยยิ้มเสมือนไม่ทันเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่
เปล่า ๆ ไม่มีอันใด ข้าเจ้าแค่จะมาร่ำลาท่าน แต่พอมาถึงก็พบแต่อู๋จิง เหวินลี่กล่าวลุกลี้ลุกลน
น้องลี่เจ้าจะลาไปไหนกัน เหวินฟางกล่าวถาม
แม้นว่าพวกเราจะชนะศึก จ้าวมารจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่ยังคงมีมารหลายตนหนีไปได้ อีกทั้งคาดว่ายังคงมีมารใหญ่น้อยหลบซ่อนตัวอยู่อีก ข้ากับพี่หงจะออกเดินทางไปกำจัดพวกมัน เหวินฟางได้ฟังก็มีสีหน้าเศร้าซึม และนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวสืบไปว่า
เจ้าจะไปเลยหรือ ไม่รอกล่าวลาพี่อู๋จิงสักหน่อยรึ
ใยข้าพเจ้าจะต้องกล่าวลาต่อเจ้าลิงป่าที่คิดมาแย่งชิงพี่ฟางอันเป็นที่รักของข้าด้วยเล่า เหวินลี่กล่าวน้ำเสียงโกรธและแดกดัน และเพียงกล่าวจบนางก็หันหลังกระโดดออกระเบียงลงไปหาเหวินหงที่รอยืนรออยู่เบื้องล่าง
แม้นนางจะกล่าวเยี่ยงเด็กน้อยเช่นนั้น แต่แท้จริงกลับเป็นนางเองที่เจ็บช้ำเสียใจที่สุด ทั้งหมดที่นางกล่าวไปนั้นเพียงเพื่อปิดบังความรู้สึกไม่ให้เหวินฟางได้รับรู้ว่านางนั้นแท้จริงมีใจต่ออู๋จิง เพราะว่าเหวินลี่นั้นรักเหวินฟางมากพอจะเปิดทางให้
แต่นางนั้นเล่าจะรู้ไหมว่าภาพที่นางหอมแก้มอู๋จิงก่อนลาจากนั้น เหวินฟางได้แอบเห็นไปแล้วสิ้น ความรู้สึกของเหวินลี่ต่ออู๋จิงคงไม่อาจปิดบังได้เพียงแค่คำกล่าว
เหวินฟางลอบมองใบหน้ายามหลับของอู๋จิงพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความความรู้สึก จากนั้นจึงบังคับกระบี่บินลอยเหนือฟ้า ก่อนจะสลักวาจาท่อนหนึ่งลงบนโต๊ะในห้องนั้นไปว่า
เข้าใจรักนั้นยาก หักใจจากนั้นทุกข์ทรม หากเพียงฝันตื่นหนึ่งคง
พบกัน
เพียงข้อความได้จารึก เหลินฟางก็ยิ้มโดยไร้การลังเลสงสัย ก่อนจะกระโดดตัวผ่านระเบียงลงไปสมทบกับเหวินลี่ และเหวินหง
น้องลี่ พี่หง พวกเจ้าจะไปโดยไม่รอข้าได้ยังไง
หลายเดือนต่อมา
ยามเช้า ณ หมู่ตึกสำนักหมื่นน้ำแข็ง
บนชั้นที่สูงที่สุดของหมู่ตึกนั้นเป็นเสมือนห้องโถงกว้างขนาดใหญ่ของเจ้าสำนักคนปัจจุบันผู้เลอโฉม นามหิมะ นางนั่งบนเก้าอี้หรูหราตรวจสอบบัญชีต่าง ๆ ของสำนักดูคร่ำเคร่ง ก่อนจะกล่าวไปว่า
หลินน้อย เจ้าไม่คิดจะช่วยข้าตรวจสอบงานสำนักบ้างหรือไร หิมะกล่าวน้ำเสียงงอน ๆ
หิมะ หมู่นี้เจ้าดูเคร่งเครียดกับงานมากเกินไปหรือไม่ หลินฟงกล่าวแย้ง
ข้าเป็นเจ้าสำนัก ไหนเลยจะละเลยงานเช่นนี้ได้ หิมะกล่าวเสียงเข้ม หลินฟงได้ฟังก็ได้แต่ทำหน้าน้อยใจก่อนจะกล่าวเสียงอ้อนไปว่า
ตอนนี้ยุทธภพก็สงบสุขเรียบร้อย พวกเราลามือจากยุทธภพไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ดีกว่าเหรอหิมะ หลินฟงกล่าวอ้อนก่อนจะเดินมาด้านหลังหิมะน้อยแล้วบีบไหล่ นวดให้ แต่กลับเป็นหิมะที่สลัด ๆ หัวไหล่ และกล่าวไปว่า
เจ้านี้ไม่ได้เรื่องเลย แทนที่จะคิดช่วยเหลืองานสำนัก กลับจะบอกให้ข้าพเจ้าเลิกเสียนี้ หิมะกล่าวน้ำเสียงค้อน ก่อนจะนิ่งงันตัวแข็ง ตื่นตะลึง
ดรรชนีหยุดวารี!!! ที่แท้เป็นหลินฟงน้อยที่เจ้าเลห์แอบลอบจี้จุดยามหิมะเผลอ ก่อนจะรีบยกแบกตัวนางไว้ที่หัวไหล่
หลินฟงเจ้าจะทำอะไร วางข้าลงเดียวนี้ หิมะกล่าวโมโหเสียงดัง แต่หลินฟงน้อยนั้นเพียงยิ้มกว้างก่อนจะกล่าวตอบว่า
แต่ก่อนเจ้าเคยลักพาตัวข้า ครานี้ข้าจะลักพาตัวเจ้าบ้าง พอหลินฟงกล่าวจบก็ทะยานพาตัวเองและนางออกจากหน้าต่าง เหินร่างจากฟ้าดุจเทพเหินอากาศแล้วกล่าวเสียงดังต่อลูกศิษย์ทั้งหลายในสำนักไปว่า
ข้าหลินฟง จะขอพาเจ้าสำนักของพวกเจ้าไปพักผ่อนสักหลายเดือนอย่าได้วิตกไป หลินฟงยามนั้นยิ้มร่าในขณะที่หิมะเองก็อดจะแอบยิ้มค้อนมิได้
ณ อีกด้านหนึ่งของยุทธภพ
ชายผู้หนึ่งในชุดสีดำสนิทพร้อมทั้งถือกางร่มกระดาษได้ปรากฎกายขึ้น มันผู้นั้นเดินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั้งถึงบ้านหลังเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีป้ายแผ่นไม้ขนาดใหญ่เขียนว่าเรือนเทพกระบี่แดนใต้ มันยิ้มอย่างเจ้าเลห์และภายใต้เงาร่มนั้นเองจึงเห็นเป็นหวงเย่ว์
หวงเย่ว์เดินเข้าไปในตัวตึกอย่างสุขุมก่อนจะก้าวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งพบกับชายแก่สูงวัยอายุร่วมร้อย ผมเฝ้ายาวขาวดุจไหม เนื้อตัวผอมทว่าผิวหนังกลับมีชีวิตชีวายิ่ง สวมใส่ชุดสีขาวสนิท นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ ดูไปแล้วไม่ต่างจากเทพยดาแต่อย่างใดเลย
ท่านผู้เฒ่า คงเป็นเทพกระบี่แดนใต้มิผิดพลาด หวงเย่ว์กล่าวน้ำเสียงเยือกเย็น ชายแก่ได้ฟังก็เพียงลืมตามองก่อนจะกล่าวแต่แผ่วเบาตอบกลับว่า
คิดไม่ถึงก่อนข้าพเจ้าจะจากภพนี้ไปยังคงมีวาสนาได้พบผู้ใช้วิชามารเปลี่ยนอสูรเช่นเจ้า เทพกระบี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
อย่าพูดมาก ข้าพเจ้าหาได้มาเพื่อสังสรรค์ไม่ แต่มาเพื่อเอาชีวิตเจ้า หวงเย่ว์กล่าวจบก็ถ่ายเทพลังปราณสีดำกระจายออกกว้าง จนกระทั้งประดุจฉากหลังได้กลายเป็นม่านหมอกสีดำให้แล้ว และไม่นานนักปราณกระบี่สีดำก็ค่อยๆ ผุดลอยออกมาอย่างน่ากลัวนับหลายสิบเล่ม
นี้นับว่าเป็นวิชามารสูงสุดแท้จริง และแม้นยามนี้หวงเย่ว์จะยังคงไม่สามารถสร้างคมกระบี่ได้มากมายดุจอดีตจ้าวมารแต่นั้นก็น่าเพียงพอต่อการได้ชัยต่อชายแก่อายุร่วมร้อยเบื้องหน้า
มารน้อยเอ่ย เจ้ามิได้มากำจัดข้าดอก ทว่ามาให้ข้ากำจัดเสียมากกว่า เพียงเทพกระบี่แดนใต้กล่าวจบ หวงเย่ว์ก็หน้าเสียไปครู่ ก่อนจะกล่าวคำอหังการ
มวลกระบี่มารไร้จำกัด!!! สิ้นคำบัญชาปราณกระบี่มารหลายสิบก็บินตัดอากาศเข้าหาเทพกระบี่อย่างพร้อมเพรียง ยามนั้นชายแก่เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า
เปลี่ยนอากาศเป็นกระบี่!!! ชายแก่เพียงเรียบง่าย วาดฝ่ามือสองผ่านอากาศ ก็สามารถสร้างมวลปราณกระบี่ไร้รูปไร้เสียงนับสิบก่อตัวจากอากาศให้ปรากฎอย่างง่ายดาย ยิ่งวาดมือเท่าใดปราณกระบี่ไร้รูปก็ยิ่งมากมายเท่านั้น ฉับพลันปราณกระบี่ไร้รูปก็พุ่งเข้าทลายปราณกระบี่มารจดหมดสิ้น และเพียงกว่าหวงเยว์จะสัมผัสถึงกระบี่ไร้รูปที่ทะยานพุ่งมาได้ มันก็แล่นเข้าใกล้ร่างมารหนุ่มยิ่งแล้ว
เสียงปักกระแทกดังกึกก้องต่อเนื่องมากมาย และเพียงสิ้นเสียงและหมอกควันก็เห็นเป็นเพียงหวงเย่ว์ที่หน้าถอดสี ยกสองมือคุมกายไว้ ทว่าสุดท้ายกลับพบเห็นเป็นว่าไม่มีแม้นปราณกระบี่สักเล่มจะปักผ่านตัวมันเลย หรือนี้เป็นความตั้งใจของปรมจารย์เฒ่า
ใยท่านไม่สังหารข้า มารหนุ่มกล่าวเสียงสั่น
ข้าย่อมดูออกว่าเจ้ามิได้มาสังหารข้า แต่มาให้ข้าสังหาร เจ้าหวังว่าจะให้คมกระบี่ข้าปลิดชีพเจ้าพร้อมกับเส้นทางมารของเจ้า ทว่าเด็กน้อยเอ่ย สมดุลโลกมิอาจทำลายเพียงง่าย อันมีมืดย่อมมีสว่าง อันมีแสงย่อมมีเงา สองสิ่งนี้ไม่อาจแยกขาด เพียงทำลายเจ้าก็ยังคงมีมารอีกมากมายที่พร้อมจะก้าวขึ้นมา ปรมจารย์หยุดนิ่งมองหวงเย่ว์อย่างเอ็นดูก่อนจะกล่าวสืบไปว่า
ที่สำคัญภายในตัวเจ้านอกจากด้านมืดยังคงมีด้านสว่างให้สมดุลกัน หากเพียงนี้ใยข้าจะหักใจทำลายได้ มีแต่ปลาบปลื้มที่ได้พบผู้นำมารเช่นเจ้า
หากเพียงนี้ข้าคงจะลาภพนี้ได้อย่างสงบ เพียงกล่าวจบปรมจารย์เฒ่าก็เพียงหลับตาอย่างช้า ๆ และจากไปอย่างเงียบสงบ
หวงเย่ว์ได้ฟังคำกล่าวทั้งหมดของยอดปรมจารย์ก็คล้ายดั่งจะเข้าใจบางสิ่ง เข้าใจในวิถีทางของตน สุดท้ายจึงค่อยๆ โขกศีรษะคารวะกับพื้นแสดงความเคารพจากนั้นจึงหยิบร่มกระดาษและก้าวเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
และเพียงเมื่อเดินออกมาจนถึงภายนอกตัวตึกแล้วมันก็ต้องมีสีหน้าประหลาดใจยิ่งเพราะมีชายผู้หนึ่งซึ่งไม่คาดคิดว่าจะได้พบปรากฎตัวอยู่ต่อหน้า ชายผู้นั้นคือตัดกระบี่
ตัดกระบี่นั้นมาที่นี้เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียว เติมเต็มความฝันของการเป็นยอดนักเพลงดาบที่สามารถจะเอาชนะยอดเพลงกระบี่ของเทพกระบี่แดนใต้ให้ได้
แต่ครานี้เมื่อหวงเย่ว์พบตัดกระบี่โดยบังเอิญ ทั้งสองก็ต้องมีสีหน้าตกใจไปตาม ๆ กัน ก่อนที่ตัดกระบี่จะรีบชักดาบเลื่อยฟันปลาออกมาพร้อมกล่าวห้าวหาญ
มารร้ายเจ้ามาทำอะไร และพอหวงเย่ว์ได้รับฟัง ก็ยิ้มอย่างรันทดแล้วกล่าวอย่างจริงใจไปว่า
เพียงมาให้ปรมจารย์เฒ่าสังหาร คำกล่าวนี้ตัดกระบี่ได้รับฟังก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก
แต่เจ้าก็ยังไม่ตาย แล้วท่านเทพกระบี่แดนใต้เล่า
เทพกระบี่แดนใต้นั้นได้จากภพนี้ไปแล้ว หวงเย่ว์กล่าวน้ำเสียงเศร้า ทว่าตัดกระบี่เพียงได้ฟังก็นึกไปได้เพียงทางเดียว
บัดซบ!!! เจ้ามารร้าย ตัดกระบี่วาดดาบเลื่อยฟันปลาอย่างรวดเร็วตัดอากาศผ่านไร้ซุ่มเสียง ทว่าแม้นเพลงดาบจะร้ายกาจเพียงนี้ ก็ตัดเข้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น และเพียงวินาทีต่อมาตัดกระบี่ก็พบว่ามารร้ายได้หนีหายไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้การมาท้าปะลองกับเทพกระบี่ก็ดูจะหมดความหมายซะแล้ว แต่กระนั้นตัดกระบี่ก็ยังคงทำใจไม่ได้ จึงต้องเดินเข้าไปดูร่างของเทพกระบี่ให้เห็นจริงเสียก่อน
ข้ามาช้าเกินไป ตัดกระบี่กล่าวเมื่อแรกเห็นร่างอันไร้ลมหายใจของเทพกระบี่แดนใต้
จากนั้นตัดกระบี่จึงค่อย ๆ มองไปทั่วทั้งห้องและเห็นร่องรอยของคมของกระบี่ไร้รูปไปทั่ว นี้นับว่าเป็นการดวลกระบี่ขั้นเทพแล้ว ทว่าตัดกระบี่นั้นก็หาได้พบเห็นกระบี่แม้นสักเล่มหล่นอยู่ไม่ มันจึงพลันคิดได้
สูงสุดของวิชากระบี่คือไร้กระบี่สินะ กล่าวจบตัดกระบี่ก็หัวเราะลั่นอย่างสาแก่ใจยิ่ง สุดท้ายจึงโขกศีรษะกับพื้นคาราวะเทพกระบี่แดนใต้คราหนึ่งก่อนจะจากไปโดยละทิ้งดาบเลื่อยฟันปลาไว้เพียงเบื้องหลัง
เมื่อใดข้าใช้ดาบได้โดยไร้ดาบ ยามนั้นข้าพคงพอจะเทียบเคียงท่านได้สินะ ตัดกระบี่กล่าวพร้อมรอยยิ้มมั่นใจที่มุมปาก
หนึ่งปีต่อมา
ยามเย็น ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
บนถนนดินกว้างใหญ่ ยาวไปไกลสุดตายังคงมีขบวนขนสินค้าหนึ่งซึ่งถูกคุ้มครองโดยสำนักคุ้มภัยพยักษ์วิหกอันถูกก่อตั้งจากเงินทุนของผิงผิงลูกสาวพยักษ์ขาวและผู้เฒ่าหลี่เจ้าสำนักมีดบินวิหกเหิน ซึ่งยามนั้นนับว่าเป็นสำนักคุ้มภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ
ถึงแม้นสำนักคุ้มภัยนี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด แต่ยามนั้นกลับประหลาดยิ่งที่ทั่วทั้งขบวนสินค้านั้นนอกจากคนขับเกวียนแล้วหาได้มีนักบู๊คุ้มกันแต่อย่างใดไม่ จะมีก็เพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นอนเหยียดกายอย่างสบายอยู่บนหีบขนาดใหญ่ใบหนึ่งบนเกวียน
ทว่าเพียงชายผู้นี้คนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โจรร้ายไม่กล้าข้องแวะเพราะชายผู้นั้นคือเทพกระบี่เหินอู๋จิงผู้เลื่องลือ ชายหนุ่มยามนั้นเพียงนอนมองฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย อันความสำเร็จ ชื่อเสียงหาได้ทำให้เขาปิติดีใจไม่ เพราะว่าในใจของมันนั้นยังคงขาดหายบางสิ่งไป
อู๋จิงมองท้องฟ้าอย่างเปลี่ยวเหงา พร้อม ๆ กับที่หิมะขาวดุจปุยนุ่นค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาอย่างช้า ๆ ให้ยิ่งต้องเหงาในใจ ชายหนุ่มยามนั้นเพียงใช้วิชาบังคับกระบี่เหินต่อหิมะ หิมะทั้งหลายก็ลอยนิ่งเหนือฟ้าไม่อาจต้องตัวมัน
แต่จู่ ๆ เรื่องราวมหัศจรรย์ก็พลันเกิดขึ้นเมื่อหิมะเหล่านั้นจู่ ๆ ก็ลอยรวมกันจนเป็นรูปนกและบินจากไป ทำเอาคนขับเกวียนต้องออกปากว่า
ท่านจอมยุทธ์ทำได้อย่างไรกัน แต่อู๋จิงยามนั้นกลับยิ้มอย่างปิติเปี่ยมล้นก่อนจะกล่าวกลับว่า
ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ กล่าวจบมันก็รีบลุกยืนก่อนจะมองไปเห็นเหวินฟางที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ไม่ห่าง ทั้งสองจ้องมองตากันอย่างเข้าใจ เหวินฟางยิ้มให้แล้วกล่าวว่า
หากเพียงฝันตื่นหนึ่งคง
พบกัน
อู๋จิงมองนางเสมือนยังคงอยู่ในความฝันก่อนจะกล่าวอย่างตื้นตันไปว่า
เหวินฟาง
จบบริบูรณ์
Create Date : 20 ธันวาคม 2550 |
|
8 comments |
Last Update : 20 ธันวาคม 2550 12:53:47 น. |
Counter : 875 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Handmade 20 ธันวาคม 2550 15:53:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: โสมรัศมี 22 ธันวาคม 2550 21:17:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: haiku 23 ธันวาคม 2550 5:08:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: pigarea 25 ธันวาคม 2550 6:19:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: zunzero 26 ธันวาคม 2550 18:20:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: p_tham 27 ธันวาคม 2550 3:43:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เก่งมากค่ะ