|
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 14
บทที่ 14
ณ ป่าไผ่แห่งหนึ่ง ใกล้เมืองฉางซา
แสงอาทิตย์สาดส่องจากพื้นฟ้าลงมายังป่าไผ่ ลอดทะลวงหมู่ใบไผ่เขียวขจีเป็นแสงทองเรืองรองเป็นทางยาวดูสวยงามและสงบเงียบยิ่งนัก แต่เพียงไม่นานนักความเงียบสงบนั้นก็พลันหายไปสิ้นพร้อมทั้งเสียงนกบินแตกรังกันไปทั่ว ลมพายุก็พัดแรงกระจายพาใบไผ่หลุดกิ่งบินว่อน
ทว่าลมพายุนั้นหาได้เกิดจากธรรมชาติบรรดาลไม่ แต่กลับมาจากวรยุทธ์อันเหนือล้ำต่างหาก ภาพของชายในชุดดำผู้หนึ่งทะยานตัวดุจนกนางแอ่นร่อน ดีดปลายเท้าแตะต้นไผ่สูงพาร่างเหินฟ้าอย่างองอาจ ก่อนจะมีอีกชายอีกสองคนทะยานตามติดไม่ทิ้งช่วง
ชายคนแรกในชุดสีดำล้วนนั้นมีผิวขาวซีดไปทั้งตัวอีกทั้งผอมอย่างยิ่ง ทว่าผมกลับดำเข้มเป็นสีอีกา รูปหน้าคมคายทว่าไร้จิตวิญญาณมิคล้ายปุตุชนทั่วไป ชายผู้นี้ย่อมมิใช่ใครนอกจาก มารโลหิต อันเป็นที่เลื่องลือในยุทธภพ ทว่าแล้วชายอีกสองคนที่ตามติดมาเล่านั้นเป็นผู้ใด
อู๋จิง บีบมันให้ไปตรงกลาง ชายผู้ตามติดมารโลหิตไม่ห่าง ตะโกนลั่นด้วยเสียงอันดังก้อง ที่แท้ชายผู้นี้คือ ตัดกระบี่ ซึ่งตามล่ามารโลหิตเพราะหลงคิดว่าหยกน้ำเงินนั้นอยู่กับมัน
หนึ่งดาบปราบสิบ อู๋จิงคือชายอีกคนหนึ่งซึ่งไล่ตามมารโลหิตมาไม่ห่าง และหลังรับฟังคำอาจารย์ เขาก็ใช้ออกด้วยเพลงดาบที่ร่ำเรียนมาได้อย่างช่ำชอง ฟาดฟันดาบมารสีดำสร้างปราณดาบขนาดใหญ่ลากตัดอากาศไปไกลทะลวงผ่านต้นไผ่อย่างดุดัน
หากไม่เห็นผู้ถือดาบ อาจจะนึกว่าไปว่าเพลงดาบนี้ใช้ออกด้วยตัดกระบี่เองก็ว่าได้ และถึงแม้นพลังปราณจะไม่สามารถเทียบเคียงต้นฉบับได้ ทว่ากระบวนท่านั้นหาได้ผิดเพี้ยนแม้นเพียงนิดไม่ มารโลหิตเหลือบหางตามาเห็นปราณดาบ พลันต้องดีดปลายเท้ากับต้นไผ่ใกล้ตัวเพื่อเคลื่อนหลบคมปราณดาบทันที ทำให้ไม่สามารถหลบหนีออกทางด้านข้างได้
ดี!!! บีบมันมาตรงกลางได้ คราวนี้ก็ถึงทีข้าบ้าง ตัดกระบี่ชักนำพลังปราณถ่ายออกบังคับกระบี่ที่สพายไว้ด้านหลังนับสิบให้เคลื่อนไหวเลื่อนจากฝักก่อนจะหยิบซัดเหล่ากระบี่นั้นประดุจดังดั่งธนูเพลิง พุ่งกระจายตัวเข้าเล่นงานมารโลหิตจากด้านหลังทันที
มารโลหิตโดนรุกไล่ต่อเนื่องจนเกิดโทสะอย่างยิ่ง
จะมากไปแล้ว มารโลหิตกล่าวคำรามก่อนจะใช้มือซ้ายหยิบนำโถโลหิตที่ผูกไว้ข้างกายขึ้นมา แล้วเป็นมือขวาที่จุ่มลงไปจนสุดมือ จากนั้นจึงเคลื่อนสบัดมืออันที่แดงฉาดออกอย่างรวดเร็ว ด้วยวรยุทธ์เหนือล่ำฉับพลันก็เปลี่ยนหยดเลือดธรรมดาให้กลายเป็นดรรชนีร้ายอาจพุ่งแหวกอากาศดุจศรแดง เพียงครู่เดียวกระสุนเลือดเหล่านั้นก็พุ่งปะทะ ทำลายมวลกระบี่ที่ตามติดมาทางด้านหลังหมดสิ้นไป
ร้ายกาจนัก ตัดกระบี่ขบฟันอย่างเจ็บใจ
มารโลหิตแม้นจะได้ชัยครานี้แต่หามีสีหน้าพึงพอใจไม่ ด้วยว่าเมื่อใดก็ตามที่มันได้ทะยานผ่านแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเงาใบไผ่ มันก็ต้องรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว ผิวหนังก็ยิ่งหยาบแห้งจนแทบหยุดเป็นแผ่น ๆ เสมือนร่างหลุดไปอยู่ในกระทะไฟร้อนก็ไม่ปาน
ต้องรีบสลัดพวกมันไปให้เร็วที่สุด มารโลหิตกล่าวเสียงแหบแห้งก่อนจะนำเลือดในโถออกมาป้ายเขียนหน้า และตามเนื้อตัวที่แห้งเกรียมจากแสงอาทิตย์ จนยิ่งดูน่ากลัวผิดมนุษย์ยิ่งนักแล้ว
แต่ทว่าตัดกระบี่และ อู๋จิงนั้นย่อมมิยอมให้มารโลหิตผู้หาตัวจับยากนี้หนีไปได้ง่าย ๆ แน่ ทั้งสองทะยานดีดตัวไปมาในอากาศด้วยท่าร่างดุจพญาเหยี่ยวตามติดมารโลหิตไม่ห่าง
อาจารย์โปรดเตรียมพร้อม อู๋จิงกล่าว ก่อนจะรีบถ่ายพลังลงสองเท้ากระแทกต้นไผ่ทะยานดีดตัวให้ไปข้างหน้าเหนือล้ำตัดกระบี่ก่อนจะใช้ออกด้วยเพลงดาบอันยอดเยี่ยม
สิบดาบปราบทัพ อู๋จิงกล่าวพร้อมลากดาบผ่านอากาศอย่างรวดเร็วกว่าสิบเพลง แต่ละดาบล้วนแฝงปราณระดับไม่ธรรมดา แต่สุดจะคาดเป้าหมายของอู๋จิงนั้นมิใช่มารโลหิตแต่กลับเป็นต้นไผ่นับสิบต้นที่ขาดสะบั้นทันที อีกทั้งประหลาดยิ่งเพราะเหล่าต้นไผ่นั้นกลับหลุดร่วงตามอากาศเป็นต้น ๆ ลอยขวางทางวิ่งของตัดกระบี่ไว้
ทว่าสิ่งกีดขัดขวางนี้กลับมิทำให้ตัดกระบี่ลอบรำคาญใจ ซ้ำยังเปิดเผยร้อยยิ้มที่มุมปากและกล่าวไปว่า
เด็กร้ายกาจ!!! ตัดกระบี่เข้าใจจุดประสงค์ของอู๋จิงพลันรีบเหินร่างเข้าหาต้นไผ่นับสิบกลางหาว ก่อนจะใช้ออกด้วยเพลงฝ่ามือซัดกระแทกต้นไผ่ทั้งสิบให้พุ่งหลาวประดุจหอกซัด เข้าโจมตีไปทางมารโลหิตทันที
มารโลหิตเห็นเสาต้นไผ่นับสิบพุ่งเข้าหาก็รู้ว่าผิดท่าแล้ว ดรรชนีโลหิตหาใช่สกัดต้านวัตถุขนาดใหญ่กลวงเช่นนี้ได้ไม่ โดยถ้าหากฝืนใช้ออกพลังดรรชนีก็เพียงทะลุผ่านปล่องไฝ่ไปหาได้สกัดหยุดอย่างที่หวังไม่ ยามนั้นมันจึงรีบใช้ออกด้วยกรงเล็บมารเตรียมรับมือเสาไฝ่บิน
มารโลหิตใช้กรงเล็บมารวาดตัดอากาศเสียงดังดุจลมวายุ ตัดทำลายเสาไผ่อันที่หนึ่งถึงเก้าให้พ้นทางไปอย่างบีบคั้น จนกระทั้งถึงเสาต้นไผ่อันสุดท้ายที่พุ่งเข้าเสียบรุนแรงประดุจทวนศึกก็ไม่ปาน จนมารโลหิตต้องมองตาตื่นพร้อมลอบคร่ำครวญ
บัดซบจริง มารโลหิตยกสองฝ่ามือเข้าประกบยึดจับปลายคมท่อนไผ่ด้วยใบหน้าอึดอัดยิ่ง ทว่าความเร็วและความแรงของต้นไผ่กลับไม่ลดไปเลย ที่แท้เพราะว่าตัดกระบี่นั้นทะยานตนตามมาใช้ฝ่ามือดันส่งพลังที่ปลายสุดอีกด้านของเสาต้นไผ่อันสุดท้าย ทำให้มันแข็งแกร่งรุนแรงประดุจทวนสวรรค์
อย่าอยู่เลย ไอ้มารร้าย ตัดกระบี่กระแทกพลังฝ่ามือรุนแรงจนปลายแหลมตัดอีกด้านของต้นไผ่พุ่งดันบีบคั้นให้สองมือของมารร้ายต้องถอยร่นไปติดที่อกของมันเองได้ ถ้าหากมันหมดพลังเมื่อใดปลายแหลมของต้นไผ่คงต้องได้ทะลวงอกมันเป็นแน่
มารร้ายยามนั้นมีสีหน้าอึดอัดอย่างยิ่งด้วยว่าคู่ต่อสู้ฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยังต้องต่อสู้ในเวลากลางวันอันไม่ใช่ชั่วยามถนัดของมันอีกด้วย นี้นับว่ามีความเสียเปรียบไม่น้อย แต่กระนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดของยุทธภพย่อมไม่จบชื่อเพียงนี้
จะเกินไปแล้ว มารโลหิตโคจรพลังสุดแรงสู่สองมือ ดันกระแทกต้นไผ่กลับไป
ยามนั้นพลังปราณมารโลหิตและพลังปราณของตัดกระบี่ประสานงากันตรงกลางต้นไผ่อย่างรุนแรงจนต้นไผ่ต้องแตกแยกออกเป็นซี่ ๆ ในทันที แต่ผู้ที่พลังปราณเหนือล้ำกว่านั้นย่อมเป็นมารโลหิต ซี่ต้นไผ่ที่แยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลับถูกพลังมารซัดกลับคืนไปหาตัดกระบี่ดุจคมเขี้ยวมังกร
ยามนั้นตัดกระบี่หน้าตาตื่นรีบใช้ฝ่าเท้าดีดเตะต้นไฝ่ใกล้ตัว พุ่งหลบวิถีซี่ไผ่ที่พุ่งมาดุจกระบี่เหินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งตัวเหินอากาศไปทางด้านข้าง และไม่เพียงเท่านั้นอู๋จิงที่ตามหนุนจะมาช่วย ยามนั้นกลับโชคร้ายอยู่ในวิถีกระบี่ไผ่ที่แหวกอากาศมาใกล้ ก็ต้องรีบหยุดลมปราณวิชาตัวเบาเพื่อดิ่งร่างลงพื้นหลบซี่ไผ่ที่ซัดมาได้อย่างฉิวเฉียด
ชิ พลังปราณของมารตนนี้เหนือกว่าเราอีกหรือนี้ นับว่าคัมภีร์มารเปลี่ยนอสูรร้ายกาจไม่ธรรมดาจริงๆ ตัดกระบี่กล่าวบ่นพึมพัมก่อนจะเหินร่างลงพื้น ค่อยๆ แตะปลายเท้าสู่ดินอย่างสง่างาม
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งอู๋จิงซึ่งรอดชีวิตอย่างฉิวเฉียดก็พลัดหลงกับตัดกระบี่ไปอีกคนละทาง เขาร่อนตัวลงไม่สวยงามนัก โดยที่ร่วงหล่นกลิ่งตัวลงกลับพื้นหลายตลบอย่างยากลำบากก่อนจะนอนแผ่
พลังมารร้ายกาจไม่ธรรมดาจริงๆ อู๋จิงกล่าวจบก็ค่อย ๆ ดีดตัวลุกขึ้นจากพื้นแล้วจึงใช้สองมือปัดฝุ่นผงให้ออกไปจากตัวจนสิ้น
ในขณะที่อีกมุมหนึ่งแม้นมารโลหิตเหมือนจะคล้ายได้ชัยหลบหนีจากการไล่ล่าสำเร็จ แต่ก็หาได้มีสีหน้าของผู้ชนะไม่ มันหมดสิ้นเรี่ยวแรงค่อยๆ เหินร่างลงกลับพื้น ณ อีกมุมหนึ่งของป่าไผ่แต่ลำพังด้วยสภาพอิดโรยยิ่ง
ตัดกระบี่มันไม่ยอมเลิกราจริง ๆ มารโลหิตกล่าวเหนื่อยหอบ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือไปที่โถเลือด ก่อนจะมีสีหน้าตื่นตะลึงเมื่อพบว่าโถของมันนั้นแตกไปในระหว่างการต่อสู้เสียแล้ว และไม่มีเลือดหลงเหลืออยู่เลย
แย่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ตัวเรา
. มารโลหิตกล่าวก่อนจะวางมือทาบไปลงตรงใบหน้า และมีสีหน้าแววตาที่ดูเจ็บปวดภายในอย่างยิ่ง
เลือดดดดดดด มันกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก่อนจะดีดตัวหายเข้าไปในเงามืดของป่าไผ่
ในขณะที่ทางด้านอู๋จิงหลังพลัดหลงกับตัดกระบี่ก็รีบเดินหน้าตามหาอาจารย์ของตนทันที แต่ด้วยว่าตอนเหินลงพื้นนั้นพลิกหลายตลบจนทำให้มึนงงทิศทาง ไม่รู้จะเริ่มออกเดินไปทางไหนดีได้แต่ตะโกนเรียกอาจารย์เป็นการใหญ่
อาจารย์ ๆ ท่านอยู่ตรงไหนกัน อู๋จิงเดินไปกล่าวไป แต่ทว่าหารู้ไม่ยิ่งเดินยิ่งผิด ยิ่งเดินยิ่งออกนอกเส้นทางไปไกล
และซ้ำร้ายช่วงเวลายามเย็นก็ค่อยๆ เคลือบคลานเข้าใกล้ แสงอาทิตย์เริ่มล่าถอยไปแล้ว และยิ่งภายใต้ผืนแมกไม้ใบไผ่กลับทำให้ดูมืดครืมยิ่งขึ้น
บ้าจริง หลงทางเสียได้ อู๋จิงกล่าวเสียงอ่อนก่อนจะหมดแรงนั่งลงบนหินก่อนใหญ่
ทว่าเพียงนั่งไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกของอาจารย์ตัดกระบี่ดังมาไม่ห่าง ทำเอาเด็กน้อยดีใจจนออกนอกหน้าจะรีบลุกเดินไปหาต้นเสียง แต่ฉับพลันก่อนจะได้กล่าวขานรับก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวูป
พลังปราณเช่นนี้
หรือว่า เด็กหนุ่มรู้สึกถึงภัยคุมคามอย่างยิ่ง เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึกก่อนจะรีบหันกลับไปเผอิญที่มาแห่งอันตราย และสุดท้ายก็พบเห็นเป็นเงาร่างมารพุ่งเข้าจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง
มารโลหิตปรากฎกายอีกแล้ว!!!
มันเหินร่างเข้าใส่อู๋จิงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชายหนุ่มก็ไม่ประมาทมือซ้ายดีดแทงทวนเข้าเป็นด่านแรกต้านทานไว้ ในขณะที่มือขวาก็กำดาบสีดำหม่นไว้แน่นเตรียมไว้เป็นปราการด้านที่สอง
แต่สุดท้ายเพลงทวนของเด็กหนุ่มนั้นหาได้คู่ควรกับกรงเล็บมารโลหิตไม่ พริบตาเดียวมารร้ายก็เคลื่อนกรงเล็บเป็นเงาตวัดไปมาพลิกปัดคมทวนให้พ้นทิศทางรวดเร็วบีบคั้นใช้เด็กหนุ่มต้องใช้ออกด้วยเพลงดาบ
มารโลหิตยามนั้นดูคล้ายหิวกระหายไม่เป็นตัวของตัวเอง ใช้เพลงกรงเล็บดูคล้ายสะเปะสะบะ แต่ทว่าก็ยังคงความร้ายกาจปัดป้องคมดาบอู๋จิงได้อย่างน่าชม
เลือดดด มารร้ายกล่าวอย่างเสียสติก่อนจะร่ายรำเพลงกรงเล็บเข้าจู่โจมอย่างบ้าคลั่งเป็นเงาไหวนับสิบ ยามนั้นอู๋จิงต้องร่ายรำฟาดเพลงทวนในมือซ้ายและเพลงดาบในมือขวาอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มที่ออกท่องเที่ยวยุทธภพได้ไม่นานสามารถต่อต้านมารโลหิตได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่ายอดแล้ว แต่ก็คงทำได้เพียงเท่านี้เพราะระดับฝีมือนั้นต่างกันเกินไป
มารโลหิตโคจรพลังไม่ออมมืออีกต่อไปซัดกระแทกกรงเล็บใส่ทวนและดาบของอู๋จิงอย่างรุนแรงจนอาวุธทั้งสองต้องสบับหลุดมือตกหล่นไปทันที
อู๋จิงใจหายหน้าซีดขาว สองมือสั่นเทา ลอบกล่าวอย่างลืมตัวไปว่า
แย่แล้ว
และเป็นยามนั้นที่มารโลหิตใช้ออกด้วยกรงเล็บสองมือจู่โจมหมายเผด็จศึกทันที แต่สุดจะคาดอู๋จิงยังคงไม่ยอมเสียท่าง่าย ๆ รีบใช้สองมือเปล่าเข้าจับกุมข้อมือทั้งสองของมารร้ายก่อนถึงตัวได้อย่างฉุกละหุก
เลือดดดด มารร้ายกล่าวอย่างไร้สติ จากนั้นจึงใช้ฟันกัดริบฝีปากล่างของมันเองจนเลือดไหล แล้วจึงดูดกลืนเลือดนั้นเข้าไป ก่อนจะพ่นกลับไปดั่งคล้ายดรรชนีเลือดแหวกอากาศรวดเร็วดุจอาวุธซัดเข้าใส่อู๋จิงทันที นี้นับว่าเป็นกระบวนยุทธ์ที่สุดจะคาดแล้ว
ดรรชนีเลือดนั้นพุ่งผ่านอากาศอย่างรวดเร็วยิ่งนักและด้วยระยะทางที่ไม่ห่างระหว่างผู้ใช้และเป้าหมาย พริบตาเดียวมันก็พุ่งทะลุหัวไหล่ของอู๋จิงเข้าไปอย่างจัง เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเด็กหนุ่มกล่าวได้เพียงว่า
อาจารย์
สิ้นเสียงกล่าวของเด็กหนุ่ม มารร้ายก็พุ่งเข้ากัดที่ต้นคอดูดเลือดของเขาทันที
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ตัดกระบี่ก็ได้ปรากฏกายมาตามเสียงเรียกของศิษย์เอก ก่อนจะเห็นภาพของอู๋จิงที่ชะตาใกล้ขาดรอนๆ
อู๋จิงงงงงงงง ตัดกระบี่ตะโกนลั่น รีบชักดาบหมายปกป้องลูกศิษย์ของตนทันที
แต่ทว่าการมาถึงของตัดกระบี่นั้นสายเกินไป
มารโหลหิตค่อย ๆ เหลือบชำเลืองมองด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะรีบดีดตัวหลบคมดาบพร้อมกับร่างอู๋จิงที่อยู่ในวงแขน จากนั้นจึงเคลื่อนตัวหายเข้าไปในความมืดของป่าไผ่ทั้งตัวมันและร่างของอู๋จิง
ไอ้มารร้าย ตัดกระบี่รีบดีดตัวหมายติดตามไปทันที
เขาไล่ตามร่องรอยเพียงหนึ่งเดียวนั้นคือหยดเลือดบนพื้น เขาตามไปเรื่อยๆ จนในที่สุดสิ่งที่ได้พบกลับเป็นทางตันเมื่อพบว่าหยดเลือดนั้นได้หายไปแล้ว
ตัดกระบี่ค่อยๆ ขาอ่อนคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะตะโกนลั่นด้วยความแค้นว่า
อู๋จิงงงงงง
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 13:02:36 น. |
Counter : 998 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|