Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 17

บทที่ 17

สายลมแรงพริ้วไหวไปทั่ว ชักพาหมู่ใบไม้แห้งสีน้ำตาลให้ลอยว่อน หลินฟงน้อยจับกุมคัมภีร์โบราณไว้แน่นเต็มสองมือ พร้อมกล่าวบทพูดซึ่งหลุดออกด้วยความไม่ตั้งใจว่า

“คัมภีร์มารเปลี่ยนอสูร!!!!”

สิ้นคำกล่าวของหลินฟง ชายหน้ากากหรือจ้าวมาร ผู้สวมเสื้อคลุมสีดำโปร่งปิดทั่วร่างซึ่งเปรียบตนเองดั่งผู้เปิดทางแห่งนิรันดร ก็กล่าวต่อไปว่า

“จงเปิดทางของเจ้าเถิด”

หลินฟงเลื่อนสายตาลงไปยังหนังสือ ก่อนจะค่อยๆ ใช้สองมือกางมันออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับแววตาสับสน

หนังสือก็ค่อย ๆ ถูกกางออกเรื่อยๆ กางออกเรื่อยๆ จนกระทั้งดูเหมือนหน้ากระดาษจะถูกเปิดกว้างเกินไป มันกว้างเกินไปและในที่สุดหนังสือก็ขาดวิ่นเป็นสองท่อนทันที

แต่มิเพียงเท่านั้นหลินฟงยังคงฉีกขยี้มันต่อจนเป็นเศษเล็กเศษน้อยเสียด้วยซ้ำ

“ขออภัย ข้าพเจ้ามิเคยสนใจวรยุทธ์ โดยเฉพาะวิชามาร” เหตุที่หลินฟงตัดสินใจเช่นนั้นด้วยเพราะปราณหยกน้ำเงินในร่างเกิดการเคลื่อนไหวเป็นปฏิปักต่อมารร้ายเบื้องหน้ายิ่งนัก

มารร้ายใต้หน้ากากจ้องมองคัมภีร์วิเศษถูกฉีกขาดอย่างไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะล้วงแขนเข้าไปในปกเสื้ออีกครา ก่อนจะหยิบออกมาซึ่งคัมภีร์อีกครั้ง

“เด็กน้อยด่วนคิดมักผิดพลาด” ชายหน้ากากกล่าวด้วยเสียงสำเนียงแปลกหูเช่นเดิม ก่อนจะโยนซึ่งคัมภีร์เล่มใหม่ไปให้หลินฟงอย่างไม่เสียดาย

หลินฟงฉวยรับเอาคัมภีร์เล่มใหม่ ก่อนจะสงสัยใคร่รู้ว่ามันคือวิชาอะไรจึงเหลือบสายตาไปดูที่หน้าปกอีกครั้ง

“คัมภีร์มารเปลี่ยนอสูรอีกเล่มรึ?” หลินฟงกล่าวตะลึงงันเล็กน้อยก่อนจะรีบถามต่อไปอีกว่า

“เจ้ามีกี่เล่มกัน มารร้าย” สิ้นเสียงกล่าว ชายหน้ากากก็หยิบนำคัมภีร์มารออกมาแสดงอีกห้าถึงหกเล่ม เช่นนี้นับว่าไร้เหตุผลสิ้นดีหรือไม่มันก็มีเหตุผลอื่นในใจ

“วิชามารหวนคืนยุทธภพ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่” หลินฟงลอบกล่าวในใจก่อนจะฉีกทำลายคัมภีร์มารเล่มที่สองอย่างไม่ใยดี และเมื่อมาถึงครานี้ชายหน้ากากย่อมไม่อยู่เฉยอีกต่อไป

“โง่เขลา!!!” สิ้นคำกล่าวมารหน้ากากก็ทะยานเหินร่างพุ่งเข้าหาหลินฟงด้วยความเร็วอย่างยิ่ง

หลินฟงตื่นตะลึงกับความเร็วของมารร้ายเบื้องหน้า และยิ่งเมื่อมันเข้าใกล้ยิ่งเหมือนปราณหยกน้ำเงินในตัวก็ยิ่งตื่นตัวยิ่งขึ้น ยามนั้นเด็กหนุ่มต้องรีบรวมสติพนมมือข่มจิตเตรียมต่อกรมารร้าย

เพลงหมัด ฝ่ามือ ดรรชนี ของมารร้ายร่ายรำวุ่นวายเข้าโจมตีระห่ำไม่ยั้ง ไม่คิดเปิดช่องเด็กหนุ่มต่อต้าน และทุกจังหวะล้วนแล่นเข้าหาจุดตายทั้งสิ้น

“ประทับเทพ พันมือ!!!” พริบตาดุจแสงไฟ หลินฟงพลันนึกถึงพระพุทธรูปในวัดร้างซึ่งเคยมองเห็นเป็นนิมิตรร่ายรำพันมือ เพลงหมัดปราบมาร

เพียงฉับพลันที่หลินฟงรวมจิตเป็นหนึ่งได้ เขาก็ร่ายรำเพลงฝ่ามือปัดป้องการโจมตีของมารร้ายได้อย่างงดงามอ่อนช้อย ทว่ารวดเร็วประหนึ่งเห็นเป็นพันมือ ตอบรับ ปัดป้อง ปิดกั้นมารร้ายได้อย่างไม่ธรรมดา นี้นับว่าฝีมือหลินฟงได้ก้าวล่ำหน้าเกินกว่าที่แม้นแต่ตัวเขาเองจะนึกฝัน

และยิ่งเมื่อหลินฟงรับมือกระบวนท่ามารร้ายได้นานเท่าใด เขาก็ยิ่งเห็นเป็นว่าศัตรูเคลื่อนไหวการโจมตีได้เฉื่องช้าลงเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เพลงหมัดเพลงฝ่ามือของมารร้ายนั้นเร้ารุ่มจู่โจมคล้ายหนักข้อขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่แท้เป็นเพราะสายตาของเด็กหนุ่มที่ยิ่งมายิ่งเฉียบคม

จนที่สุดแล้วช่องว่างระหว่างคลื่นกระบวนท่ามารก็ได้ถูกเปิดออก

“หยุดนิ่งเสียเถิดมารร้าย” สิ้นคำกล่าว หลินฟงก็พุ่งแทรงดรรชนีฝ่าช่องว่างของคลื่นหมัดศัตรูเข้าไปจี้สกัดจุดมารร้ายได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อดรรชนีแรกปะทะมารร้ายก็สะท้านสั่นไปทั้งร่าง หมัดมือพลันสะดุดนิ่ง จากนั้นดรรชนีอีกสามสี่เพลงก็ได้ถูกจี้สกัดจุดลงไปตรงตัวมารร้ายอย่างแม่นยำ

“ไอ้เด็กโง่งม บังอาจ…” ไม่ทันทีตัวมารจะกล่าวจบดรรชนีสุดท้ายก็จี้เข้าไปที่คอหอยมารหน้ากากทันทีทำเอาคำกล่าวสุดท้ายของมันไม่อาจถูกเปล่งวาจาได้

วินาทีนั้นร่างของมารร้ายได้แต่ยืนนิ่งสนิทเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ทว่าถึงเป็นเช่นนี้หลินฟงก็หาได้รู้สึกว่าชนะไม่ เขาลอบมองไปที่ดรรชนีของตนพร้อมกับกล่าวว่า

“แข็งด้าน เหมือนไม่ใช่กายมนุษย์” ดรรชนีสองนิ้วของเด็กหนุ่มสั่นเทา พร้อมกับเล็บที่หลุดออก

และพริบตานั้นเองมารร้ายที่ถูกจี้สกัดจุดอย่างสมบูรณ์แบบก็พลันเคลื่อนกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ฟาดสันมือเข้าหาเด็กหนุ่มซึ่งไม่ทันตั้งตัวอย่างสุดแรง ทำเอาหลินฟงลอยระลิ่วไปตามลมก่อนจะกระแทกกายเข้าไปที่ไม้ใหญ่ บาดเจ็บภายในไม่น้อย

“โง่เขลา” มารร้ายกล่าวก่อนจะรีบทยานเข้าไปหมายซ้ำเติมหลินฟงให้จบสิ้น

ยามนั้นหลินฟงค่อยๆ บ้วนเลือดในปากออก ก่อนจะฝืนยืนขึ้นอย่างยากลำบากอาศัยไม้ใหญ่ด้านหลังค้ำยันช่วย แต่ไม่ทันจะได้ตั้งท่ารับมือมารร้ายก็อยู่ตรงหน้าแล้วพร้อมทั้งกระแทกสองฝ่ามือเข้าหาอกของหลินฟงหมายเผด็จศึกทันที

แต่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไวพอที่จะยกสองมือเข้าค่ำยันสองมือมารเอาไว้ได้ทั้งที่ยังบาดเจ็บภายในอยู่

“โง่เขลา” มารร้ายยังคงกล่าวเฉกเช่นเดิมก่อนจะถ่ายแรงพลังปราณลงสองมือมัน ผลักดันสองมือหลินฟงจนข้อศอกเด็กหนุ่มต้องถอยไปค่ำกับต้มไม้ใหญ่ด้านหลังสุดจะต้านทาน และแม้นหลินฟงจะพยายามใช้แรงผลักดันกลับไปแต่หาทำได้สะดวกไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ปล่อยมือให้มารร้ายได้ออกเพลงหมัดเข้าซ้ำเติม

“โง่เขลานัก เมื่อไม่เป็นฝ่ายข้า ย่อมเท่ากับเป็นศัตรูข้า” สิ้นคำกล่าวมารร้ายก็อ้าปากกว้างพ่นพิษสีดำพุ่งกระจายเข้าใส่หน้าหลินฟงทันที นี้นับว่าเหนือการคำนวณแล้ว หลินฟงใยจะคาดคิดได้ว่าแม้นมันไม่ใช้สองมือก็ยังคงมีทางเล่นงานเขาได้

“วิชามารต่ำช้า” หลินฟง ยามนั้นสุดแสนจะแสบตา แสบจมูก ด้วยว่าโดนพิษมารเข้าเล่นงานอย่างจัง รีบดีดตัวหนีมารร้ายทันที

แต่โชคไม่เข้าข้างเพียงดีดตัวไปได้ไม่ไกล ก็แข็งขาอ่อนจากพิษร้ายทรุดตัวกับพื้นเสมือนไร้เขี้ยวเล็บอีกต่อไป

“น่าเสียดาย ยอดยุทธ์รุ่นเยาว์ที่ต้องมาสิ้นชื่อเพียงนี้” มารร้ายเดินเข้าหาหลินฟงอย่างใจเย็นคล้ายดั่งชนะศึกแล้วเป็นมั่นคง ก่อนจะชักกางสันฝ่ามือประดุจแทนคมดาบเตรียมฟาดฟัน

แต่พริบตาก่อนที่ดาบตัดสินจะฟาดลงที่ต้นคอหลินฟง

“พลังปราณหยกน้ำเงิน!!!” พริบตาดุจหนึ่งลมพัด พลังปราณหยกน้ำเงินก็สำแดงเดช ขจัดพิษออกจากร่างหลินฟงได้ทันการ สุดที่มารร้ายจะคาดคิดได้

ชายหนุ่มฉับพลันได้สติก็พลิ้วกายหลบเลี่ยงคมสันฝ่ามือมารได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะสวนกลับไม่ธรรมดาด้วยเพลงฝ่ามืออย่างเต็มแรงเข้าปะทะที่กลางกายของมารร้ายทันที แรงกระแทกนั้นพาร่างมารทะยานไร้ทิศไปในอากาศดุจนกปีกหักทันที

โอกาสไม่มากมายต้องรีบฉกฉวยชายหนุ่มไม่รอรีรีบทะยานเหินร่างตามติดมารร้ายทันทีก่อนจะรวมปราณทั้งหมดสิ้นไว้เพียงหนึ่งหมัด ก่อนจะซัดหมัดนั้นเข้าที่หน้ามารร้ายอย่างไม่คิดยั้งมือ

วินาทีนั้นมารร้ายไม่สามารถแม้นจะหันหน้าหลบซ้ายขวาหนีเพลงหมัดไปได้ทัน ชัยชนะของเด็กหนุ่มจึงอยู่เพียงเอื้อม

แต่สุดจะคาดมันกลับหักคอไปทางด้านหลังได้อย่างประหลาด ต้องเรียกว่าหักคอเลยทีเดียวเพราะคนธรรมดาย่อมไม่สามารถหักเฉกเช่นนั้นได้ มันหักซะเรียกว่าหลังศีรษะไปกระแทกหลังของมันเองเลยทีเดียว

ยามนั้นหลินฟงได้แต่ตะลึงงันสุดสะท้าน หมัดที่คิดว่าโดนแน่ ๆ กลับชกโดนเข้าเพียงอากาศธาตุและภาพของมารร้ายที่หักคอตัวเองอย่างสุดจะเชื่อได้

“เป็นไปไม่ได้…” หลินฟงถึงกลับอึ้งหลุดปากกล่าว แต่ยังไม่ทันกล่าวจบหมัดของมารร้ายก็พุ่งเข้าปะทะกระแทกทำร้ายเข้าที่ใบหน้าเขาจนต้องสบัดตามแรงหมัดเลยทีเดียว

“บัดซบ” หลินฟงพอพลาดท่าโดนไปหนึ่งหมัดก็รีบดีดตัวออกห่างทันที แต่มารร้ายก็ไม่เปิดโอกาส รีบตามติดทันทีทั้ง ๆ ที่หัวของมันยังคงหันพับอย่างน่ากลัวอยู่เลย นี้มันนับว่าไม่ใช่คนแล้ว

แต่เรื่องราวกลับประหลาดหนักข้อ ทั้ง ๆ ที่เห็นแน่ชัดว่าหากหัวของมันยังอยู่ติดหลังเช่นนั้น มันย่อมต้องมองไม่เห็นหลินฟงเบื้องหน้าเป็นแน่ แต่ใยหมัดของมันยังคงพุ่งเข้าหาใบหน้าหลินฟงได้อย่างแม่นยำ

“ยังพอหลบได้” หลินฟงที่บอบช้ำไม่น้อย กล่าวขึ้นก่อนจะก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งระดับเพื่อให้มั่นใจว่าหมัดของมารจะไม่ถึงตัวเขา

แต่เรื่องราวยิ่งมายิ่งเหลือเชื่อหมัดของมารร้ายกลับยืดยาวออกมาได้ดั่งงูเลื้อยพุ่งเข้ากระแทกตรงยังใบหน้าของหลินฟงทันที นี้นับเป็นวิชามารอะไรกัน

ยามนั้นเด็กหนุ่มถึงกับเซถลาตามแรงหมัดไปในบัดดล ในหัวของเขาล้วนว่างเปล่าไปสิ้น สติพลันเลือนหายไป ก่อนที่มารร้ายจะตามติดร่ายรำเพลงหมัดซัดเอาหลินฟงเซซ้ายทีขวาทีเป็นกระสอบทราย เลือดของเขาพุ่งกระจายเต็มฟ้าปะปนกับหยาดฝนที่เริ่มตกโปรยมาอย่างไม่ตั้งใจ จนที่สุดแล้วเขาก็ต้องทิ้งร่างนอนแผ่กับพื้นในที่สุด

“โง่เขลายิ่งนัก” มารร้ายกล่าวก่อนจะหักคอพับกลับคือมาเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แล้วจึงค่อยกล่าวต่อหลินฟงที่นอนแผ่ไปว่า

“สู้ได้ดี แต่เจ้าก็เพียงเด็กน้อยโง่งม” มารร้ายกล่าวก่อนจะง้างเท้าหมายเตรียมกระทืบลงไปยังหัวของหลินฟง ยามนั้นเด็กหนุ่มช่างไร้การป้องกันสิ้นเชิง

“หิมะ…” ภายในหัวของเขามีเพียงภาพของหิมะเท่านั้น

ฉับพลันฝ่าเท้าของมารร้ายก็พุ่งเข้าหาเต็มกำลัง ระยะห่างระหว่างศีรษะเด็กหนุ่มและฝ่าเท้ามารค่อยๆ เข้าใกล้ ๆ มากยิ่งขึ้น ๆ ระยะห่างระหว่างความเป็นความตายก็ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

“หิมะ…”

พริบตาเดียว เสียงกระแทกเท้าของมารร้ายก็ดังกึกก้องไปทั่ว ร่างของหลินฟงนิ่งสนิทภายใต้ฝ่าเท้าของมัน

เหมือนเป็นเช่นนั้น แต่หากมองกันให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าฝ่าเท้าของมันยังห่างศีรษะของเขาอยู่เพียงเล็กน้อยแล้วอะไรเล่าที่ทำให้ฝ่าเท้าของมันหยุดลงได้

ทั้งหมดกลับเป็นปิ่นปักผมยาวที่ถูกหลินฟงหยิบขึ้นมายันขวางเท้าของมันไว้ได้อย่างพอดิบพอดี

“ข้าพเจ้าไม่ยอมตายตรงนี้หรอก” หลินฟงประกาศกร้าวก่อนจะกระแทกพลังใส่ปิ่นเรือนงามให้พุ่งทะลุผ่านฝ่าเท้าของมารร้ายจนมันต้องเซถลาไปด้านหลัง และในวินาทีนั้นเอง ขณะที่ปิ่นลอยคว้างกลางอากาศหลินฟงก็รีบเขย่กตัวลุกขึ้นซัดฝ่ามือไปทางปิ่นสวยเปลี่ยนมันเป็นอาวุธบินพุ่งเข้าหา ใบหน้าของมารร้ายภายใต้หน้ากากทันที

เสียงปักของปิ่นดังกึกก้อง แม้นตัวมารจะใส่หน้ากากอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าปิ่นนั้นปักเข้าไปเกือบจะมิดด้ามอยู่แล้ว นี้นับว่าโอกาสรอดของมันล้วนเป็นศูนย์

ฤาเจ้ามารจะสิ้นชื่อเพียงนี้!!!

หลินฟงค่อยๆ ยืนประคองตัวขึ้นจ้องมองวาระสุดท้ายของมารร้ายภายใต้ฝนพร่ำอย่างช้า ๆ แต่สุดจะคาดมารร้ายกลับค่อยๆ ขยับตัว เอื้อมมือมาดึงปิ่นสวยออกจากหน้าผากได้อย่างหน้าตาเฉยโดยที่ไม่มีเลือดแม้นสักหยด ยามนั้นหลินฟงได้แต่ตะลึงงันสุดจะเชื่อ แต่จะไม่เชื่อไม่ได้เพราะภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นหาใช่ความฝันไม่

“มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว” หลินฟงลอบกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

แต่สิ้นเสียงนั้น ภายใต้วันที่ฝนพรำ ก็เหมือนเขาจะค้นพบเข้าใจอะไรบางอย่าง

“มันไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ ด้วย” หลินฟงกล่าวย้ำ ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองเห็นเป็นเหมือน หยาดน้ำที่เรียงร้อยเป็นเส้นนับสิบที่ลากยาวจากตัวมารสูงหายเข้าไปในแมกไม้สูง

หยาดน้ำที่เรียงเป็นเส้นสายนั้น…มันคืออะไรกัน?

แต่ไม่ทันไร มารร้ายก็ไม่หยุดบ้าคลั่งพุ่งเข้าจู่โจมอย่างบ้าเลือดเฉกเช่นเดิม แล้วครานี้หลินฟงที่แทบจะสิ้นแรงแล้วจะต่อกรได้อย่างไร

แต่หลินฟงกลับดูไม่สะท้านตื่นกลัว เขาได้แต่ยิ้มอย่างว่างเปล่า นี้คือสิ้นหวังหรือมีเปรียบยากจะรู้ได้

ชายหนุ่มเฝ้ารอ ๆ รอจนกระทั้งมารร้ายนั้นเข้าใกล้ตัวเขาถึงที่สุด เขาถึงเคลื่อนกาย และเพียงเคลื่อนทะยานหนีขึ้นฟ้าไปเท่านั้น

หลินฟงเพียงทะยานหลบ?

นั้นก็หาใช่ไม่ เขาลอยตัวกลางฟ้า ร่ายรำเพลงฝ่ามืออย่างตื่นตาสวยงามดั่งเทพพันมือ

ทว่าเป้าหมายของเขาหาใช่พุ่งเข้าโจมตีตัวมารไม่ เพราะถึงอย่างไรเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดก็หาใช่จะล้มมารร้ายได้ไม่ แล้วเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ที่ใด?

ก็อยู่ตรงที่หยาดน้ำที่เรียงกันเป็นสายต่อมาจากที่ใดสักแห่งตรงไปยังตัวของมารร้ายนั้นเอง

“ไหมฟ้างั้นรึ หุ่นชักใยงั้นรึ” ฝ่ามือของหลินฟงตัดผ่าหยาดน้ำที่เรียงกันเป็นเส้นนับสิบขาดสะบั้น ที่แท้หยาดน้ำที่เห็นนั้นก็คือหยาดฝนที่ตกมาติดย้อยตามเส้นด้ายบาง ๆ ที่ต่อเข้ากับมารร้ายนั้นเอง หรือว่าง่าย ๆ มารร้ายที่แท้เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกชักใยเท่านั้นเอง

ทันทีที่เส้นชักใยได้ถูกตัดขาด ร่างของมารก็ค่อยๆ เหมือนสิ้นฤทธ์ทิ้งตัวลงบนกองดินอย่างสิ้นท่า

แต่ทว่าเส้นใยที่ถูกตัดไปแล้วนั้นยังมิใช่เส้นใยทั้งหมด หากแต่ยังมีเส้นใยที่ด้านหลังของหุ่นมารซึ่งเหมือนใช้เพียงเพื่อการหนี หลุดรอดพ้นฝีมือหลินฟงมาได้

เมื่อกลมารร้ายถูกเปิดโปง ผู้ชักใยก็รีบชักนำหุ่นมารของตนกลับคืน ลอยขึ้นฟ้าหายเข้าไปในหมู่แมกใบไม้เบื้องบนอย่างรวดเร็วรวด เร็วซะจนแม้นกระทั้งหลินฟงก็มิอาจคว้าจับหุ่นไว้ได้ทัน

ถึงกระนั้นหลินฟงก็ยังคงไม่มีสีหน้าที่สู้ดี

“หิมะ ข้าพเจ้าอาจต้องจบชีพตรงนี้ก็เป็นได้” แม้นหลินฟงจะชนะศึกหุ่นชักใยไปได้แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจหรือได้ชัยแต่อย่างใดเลยเพราะเขารู้ว่า หากเพียงหุ่นชักยังร้ายกาจเพียงนี้แล้วผู้ชักใยที่ถ่ายพลังปราณผ่านเส้นด้ายเพียงบาง ๆ เพื่อบังคับหุ่นไม่นับว่าเป็นยอดคนแล้วหรืออย่างไร และหากเพียงชายผู้นี้ต้องการสังหารหลินฟงนั้นไม่ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือหรือ

หลินฟงยามนั้นได้แต่ยืนนิ่งเงียบรอรับชะตากรรมของตนที่จะตามมาเท่านั้นเอง ก่อนจะได้ยินเสียงของฝ่ายตรงข้ามซึ่งไร้การดัดเสียงเฉกเช่นเดิม ดังกึกก้องกังวาลน่าเกรงขามว่า

“ผู้ถือครองหยกน้ำเงินยุคนี้ไม่ธรรมดาทั้งที่ยังเยาว์วัย แต่เพลงฝีมือกลับลึกล้ำ” เพียงได้ยินน้ำเสียง หลินฟงก็ได้แต่กลืนน้ำลายหนึ่งอึกเสียวสันหลังวาบ สะท้านถึงพลังมารอันเหมือนไม่มีขีดจำกัด

มารร้ายซึ่งไม่ปรากฎตัวก็กล่าวก้องกังวานต่อไปว่า

“จะทำลายเสียตรงนี้ ก็นับว่ารังแกเด็กเกินไปเสียหน่อย” ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ยังไงชะตากรรมของผู้ถือหยก ย่อมต้องเผอิญหน้ากับข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว” ไม่นานมันก็กล่าวเสริมว่า

“อันผลไม้รสเลิศนั้นมิควรกินเมื่อห่าม…กว่าจะถึงตอนนั้น เจ้าอย่าเพลี้ยงพล่ำให้ผู้ใดไปเสียก่อนล่ะ ฮะฮะฮะ”

สิ้นเสียงครานี้ก็เหมือนทุกอย่างจะสงบลง ปราณหยกน้ำเงินในตัวหลินฟงก็บอกว่ามารร้ายที่แท้จริงได้จากไปแล้ว


โรงเตี๊ยมเมืองเหอเฟยยามก่อนรุ่งสาง

หลินฟงหอบร่างอันสบับสะบอมของตนกลับมาอย่างเหนื่อยล้า แต่เพียงแรกเห็นหน้าหิมะที่นอนขดกายเหมือนแมวน้อยน่ารัก เขาก็รู้สึกถึงความปิติที่ยังคงรักษาชีวิตเอาไว้ได้จนต้องรอยยิ้มอย่างเปิดเผย

เขาค่อยๆ หยิบปิ่นปักผมยาวขึ้นมา ก่อนจะลอบถอนหายใจ ปิ่นอันงามนี้ได้บิ่นงอไปแล้ว ของขวัญที่แอบไปซื้อมาชิ้นนี้คงไม่เหมาะกับนางเสียแล้ว

ความรู้สึกของหลินฟงต่อหิมะยิ่งนานวันก็ยิ่งผูกพัน สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มคิดในคราววิกฤติก็คือหิมะ และสิ่งแรกเขาที่คิดในตอนนี้ก็คือหิมะ เขาแทบอยากจะตรงเข้าไปหอมแก้มนางทันที

แต่สุดท้ายเขาได้แต่หักห้ามใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายนึกสนุกเอานิ้วแต้มหมึกผู่กัน แต่งแก้มนางเล่นอย่างมีอารมณ์ขัน

“เอาคืนที่เจ้าเคยแกล้งข้า ก่อนหน้านี้”

แต่พริบตาที่วาดนิ้วเสร็จหิมะก็พลันลืมตาตื่นฉับพลัน จับกุมข้อมือของหลินฟงไว้แนบแน่นก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องเจ็บตัวใช่ไหม?” ยามนั้นหลินฟงสะดุ้งสุดตัว ลอบสำนึกในใจ รับมือมารร้ายยังไม่ยากเท่าแม่นางน้อยผู้นี้




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2550
0 comments
Last Update : 3 ธันวาคม 2550 18:59:45 น.
Counter : 599 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.