กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
6 กันยายน 2554

Tea ...ชา








คนออสเตรเลียกับน้ำชา

ถ้าไปเที่ยวออสเตรเลียสั่ง iced tea หรือ iced coffee จะได้ชาหรือกาแฟปั่นกับไอศครีมวานิลา ถ้าได้รับการเชิญชวนให้ดื่ม cuppa หมายถึงน้ำชา ชวนให้อยู่กิน tea (have tea with us) นั่นหมายถึงอาหารมื้อเย็น


Tea นี้มาจากไหน

ฝรั่งเรียกชาว่า "ที" (Tea) นี้มาจากไหนบ้างว่ามาจากภาษาจีนที่เรียกชาว่า "เต๊" (tay) ออกเสียงเป็น"เท" แล้วเพี้ยนกันมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น "ที"

กำเนิดชาดำเย็น (iced tea)
การดื่มชาใส่น้ำแข็งเริ่มขึ้นในงานมหกรรมโลกที่เซนต์หลุยส์ ปี ค.ศ. 1904 โดยหนุ่มอังกฤษ ชื่อริชาร์ด เบลชินเดรน (Richard Blechyndren) ช่วงนั้นอากาศร้อนมากเขาขายน้ำชาร้อนๆไม่ออก จึงรินน้ำชาราดลงไปบนก้อนน้ำแข็ง
ชาติแรกที่ เติมนมในชา คนฝรั่งเศสเป็นชาติแรกที่เติมนมสดในน้ำชา
ชาถุง (tea bag) กล่าวกันว่าชาใส่ถุงจะให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค ผู้ค้นพบวิธีเอาชาใส่ถุงคือคนจีน โดยบรรจุลงถุงผ้าไหมส่งไปลอนดอนแต่เอกสารหนึ่งกล่าวว่า โทมัส ซุลละแวน (Thomas Sullivan) เป็นผู้คิดค้นถุงใส่ชาที่แสนอำนวยความสะดวกและเหมาะสมกับรสนิยมคนรุ่นใหม่
ชาบรรจุกระป๋อง เพื่อเอาใจผู้บริโภคที่เดินทางไกล หรือคนที่งานยุ่งไม่สนใจการกินอยู่ โรงงานอุตสาหกรรมได้เอาน้ำชาใส่กระป๋องเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2483 ประเทศไทยพัฒนาเป็นครั้งแรกคือ ชากระป๋องลิปตัน เมื่อ พ.ศ. 2531 ด้วยการเติมกลิ่นมะนาวลงไป เมื่อดื่มตอนเย็นจัดมีรสชาติกลมกล่อมยิ่ง
เมี่ยง เป็นผลิตภัณฑ์ชาที่ผ่านการนึ่งและหมักอย่างหนึ่งของคนไทยภาคเหนือ คนลาวและคนพม่า อาจกินเมี่ยงแบบเปรี้ยวๆ หรือโรยเกลือใส่เล็กน้อยก็จะเสริมรสชาติ เมี่ยงมีบทบาทในชีวิตจนเกิดคำพังเพยว่า "เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม" ปัจจุบันเมี่ยงถูกลดบทบาท เพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจน้อยลง
กากเมล็ดชา มีสารซาโปนีน (Saponin) ใช้สระผมและล้างสิ่งสกปรกออกจากเรือนผม ทำให้เส้นผมเป็นมัน ส่วนกากใบชาที่ชงแล้วนำมาพอกแผลน้ำร้อนลวกได้ น้ำมันจากเมล็ดชาทำเนยเทียมได้

กำเนิดปั้นชา ยุคแรกๆ ชาวจีนดื่มชา จะใช้หม้อต้มและเทลงดื่มในชาม ต่อมาประมาณต้นศตวรรษที่ 16 มีการค้นพบปั้นชาขึ้นใกล้เมืองอี๋ชิงมณฑลเจียงซูโดยเด็กรับใช้คุณชายตระกูลอู๋ที่กำลังจะเดินทางไปสอบจอหงวน ได้แวะพักที่วัดจิน ซา ที่วัดนี้มีเตาเผาเพราะพระจะปั้นภาชนะดินใช้เอง วันหนึ่งหลังการเตรียมชงน้ำชาให้คุณชายท่องหนังสือเรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้ชื่อ กงชุน ได้หลบมาพักผ่อนและเห็นพระปั้นภาชนะดินอยู่ จึงเข้าร่วมวง ปั้นไปปั้นมา ปั้นเอาภาชนะทรงกลมมีฝาปิดด้านบนเติมหูจับ ต่อพวยกาออกมา กลายเป็นอุปกรณ์ชงชาและกรองใบชาใบแรกของโลก และยังเป็นต้นแบบของภาชนะชงชาชุดเครื่องเงินของราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษอีกด้วย

กาน้ำชา-กากาแฟต่างกันตรงไหน
แตกต่างกันที่พวยกา กาแบบมีพวยยื่นออกมาจากตอนก้นนั้นใช้ชงชา ทั้งนี้เพราะเมื่อใส่ใบชาลงไป ใบชาจะลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อรินน้ำชาก็จะไม่มีใบชาปนออกมาให้หงุดหงิดใจ ส่วนกากาแฟจะทำพวยกาพุ่งตรงออกจากส่วนบนของกา เพราะผงกาแฟที่ชงจะจมลงสู่ก้นกาโดยเร็ว เวลารินกาแฟผงกาแฟที่นอนก้นอยู่จะได้ไม่ไหลปนออกมา


ค่าน้ำร้อน - น้ำชา

สมัยโบราณ ชาเป็นเครื่องดื่มของพระสงฆ์ผู้มีฐานะดีและขุนนางข้าราชการเท่านั้น มีสำนวนไทยที่ใช้กันต่อมาคือ
"ค่าน้ำร้อนน้ำชา" ซึ่งเข้าใจว่าชาวจีนที่ไปติดต่องานกับขุนนางราชการได้ใช้ขึ้นก่อนเมื่อนำเงินไปติดสินบน

กง ฟู ฉา แปลว่า ชงชาด้วยฝีมือ (ที่มีความชำนาญ) เริ่มต้นที่เมื่อน้ำเดือดแล้ว ลวกปั้นชาที่เตรียมไว้ รวมทั้งถ้วยชา การลวกนี้ถือเป็นการเตรียมปั้นชา (เพื่อที่เวลาใช้ชงชาจริงๆ อุณหภูมิของน้ำจะไม่ลดลงมากเท่ากับเทน้ำลงในภาชนะที่เย็นๆ) แล้วตักใบชาลงในปั้นที่อุ่นไว้ใช้น้ำเดือดเทตามลงไปจนน้ำล้นออกนอกปั้นชา ปิดฝาปั้น เทน้ำลงบนฝาด้วยเพื่อป้องกันกลิ่นหอมไม่ให้หนีออกจากปั้น แล้วเทน้ำที่ได้จากการชงครั้งแรกนี้ใส่ถ้วยชาทุกใบและเททิ้ง


ขั้นตอนนี้คือการ "ปลุก" ใบชาให้ตื่นจากหลับ และล้างใบชาด้วย จากนั้นรินน้ำเดือดลงในปั้นอีกครั้ง ปิดฝาปั้น เทน้ำลงบนฝา แล้วจึงรินชาใส่ถ้วยทุกใบด้วยวิธีรินวน คือรินถ้วยที่หนึ่งถึงสี่โดยไม่ต้องรอถ้วยแรกเติมรินวนไปมาจนเต็มทั้งสี่ถ้วย อย่างนี้แล้ว ชาถ้วยที่หนึ่งถึงสี่จะมีรสชาติเสมอกัน

ประโยชน์ของการดื่มชา

ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องดื่มชาเขียวสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ผู้คนก็แตกตื่นหันมาดื่มชาญี่ปุ่นกันใหญ่ เพราะเข้าใจว่าชาเขียวคือชาญี่ปุ่น จริงๆ แล้วชาเขียว คือ ชาทุกชนิดที่ผลิตโดยการเอาใบชาสดมาคั่วให้แห้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนการทำปฏิกิริยาของออกซิเจนกับใบชา ในชาเขียวจะมี สารคาเทชิน อยู่มากกว่าชาชนิดอื่น ดังนั้นคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งจึงอยู่ตรงนี้

ในทางการแพทย์ ใบชาจะมีคุณสมบัติทางเคมีบางประการซึ่งในจำนวนนั้นจะมี กรดแทนนิค ปริมาณ 20 – 30 % กรดแทนนิค มีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบและการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีสารอัลคาลอยด์ 5% (ส่วนใหญ่จะเป็นคาเฟอีน) ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางและระบบเมตาบอลิซึ่ม

ชาที่มีกลิ่นหอมจะมีคุณสมบัติในการแยกองค์ประกอบของเนื้อและไขมัน ดังนั้นจึงมีส่วนช่วยเรื่องการย่อยอาหาร

ในจีนจะมีสำนวนพูดกันติดปากว่า "ขาดเกลือสามวันยังดีกว่าขาดชาหนึ่งวัน"

ไม่ว่าจะเป็นชารูปแบบใด ความนิยมเรื่องดื่มชามีมากขึ้นทุกวัน เพราะรสชาตินุ่มนวลชวนฝันของชาประการหนึ่ง และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าชามีสารพฤกษเคมีบางชนิดที่ออกฤทธิ์ป้องกันโรคหลายโรคได้เป็นอีกประการหนึ่ง อีกทั้งชาก็เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีชนชั้น ผู้ดื่มเท่านั้นที่รู้รสชาติของการดื่ม และผู้มีรสนิยมต่างเลือกชาและโปรดการดื่มชา

ชาในประเทศไทย

ชากลายเป็นเครื่องดื่มที่จำเป็นในสังคมไทย จากการสั่งใบชาเข้ามาบริโภคในประเทศก็ริเริ่มปลูกชาพันธุ์ดี การพัฒนาอุตสาหกรรมชาของไทยเริ่มอย่างจริงจังที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เมื่อปีพ.ศ.2480 มีนายประสิทธิ์ และนายประธาน พุ่มชูศรี ตั้งบริษัทใบชาตราภูเขาจำกัด นายพร เกี่ยวการค้า นำผู้เชี่ยวชาญชาวฮกเกี้ยนมาถ่ายทอดความรู้เรื่องชาแก่คนไทย รวมทั้ง ป๋าซุง นายทหารกองพล 93 บ้านแม่สลอง ต่อมาสองพี่น้องตระกูลพุ่มชูศรี ได้ขอสัมปทานทำสวนชา จากกรมป่าไม้ในนามของ บริษัทชาระมิงค์ ภายหลังเอกชนเริ่มให้ความสนใจอุตสาหกรรมชามากขึ้น จึงมีการขายสัมปทานสวนชาแก่บริษัทชาสยามผู้นำใบชาสดมาผลิตชาฝรั่งในนาม "ชาลิปตัน" จนกระทั่งปัจจุบัน

เรื่องจากอินเตอร์เน็ต












Create Date : 06 กันยายน 2554
Last Update : 6 กันยายน 2554 22:00:40 น. 2 comments
Counter : 1637 Pageviews.  

 
ความรู้ทั่วไป ดีจริงๆ


โดย: ญามี่ วันที่: 6 กันยายน 2554 เวลา:20:12:16 น.  

 

พี่อุ้มแวะมานั่งดื่มชาด้วยคนจ้าน้องมี่


โดย: อุ้มสี วันที่: 6 กันยายน 2554 เวลา:23:13:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ญามี่
Location :
ภูเก็ต Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 260 คน [?]






อัพบล็อกครั้งแรก ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๑
free counters
who's online
คนพูดน้อยคิดบ่อยแต่ไม่เงียบ
ไร้ระเบียบเคลิ้มครุ่นอณูคุ้นฝัน
ไม่ประวิงหากทิ้งจักลืมวัน
พลัดผ่านพลันหากจากยากฝากคอย...











[Add ญามี่'s blog to your web]