District 9 : หนังเกินจริงบนความจริง
หนังฮอลลีวู๊ดเรื่องแรกของผู้กำกับโนเนมชาวแอฟริกา นีลล์ บลอมแคมป์ ( Neill Blomkamp) ที่ได้ผู้กำกับฝีมือฉกาจอย่าง ปีเตอร์ แจ๊คสัน (Peter Jackson) เจ้าของผลงาน The Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาค และ King Kong (2005) มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง
หนังเล่าถึงโลกอนาคตในปี 2010 ณ เมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ เมื่อความอดทนของมนุษย์ต่อสถานการณ์มนุษย์ต่างดาวเริ่มหมดลง มัลติ-เนชั่นแนล ยูไนเต็ด (Multi-National United) หรือ MNU บริษัทเอกชนผู้รับผิดชอบเหล่ามนุษย์ต่างดาวร่วมกันกับรัฐบาล ได้รับคำสั่งให้อพยพเหล่ามนุษย์ต่างดาวจาก เขตกักกัน 9 (District 9) ในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ออกไปยังเขตกักกัน 10 ที่อยู่นอกเมืองแทน วิกัส แวน เดอ เมอเว (ชาร์ลโต คอปลีย์) เจ้าหน้าที่จากบริษัท MNU ได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่ในขณะปฏิบัติงานนั้น วิกัสได้ถูกสารเหลวสีดำจนทำให้ร่างกายเขาเริ่มกลายสภาพเป็นมนุษย์ต่างดาว การเอาตัวรอดจากการเป็นร่างทดลองและหาวิธีกลับไปเป็นมนุษย์เหมือนเดิมให้ได้จึงเริ่มขึ้น...
เป็นหนังไซไฟที่สนุกและแปลกดีทีเดียว คิดได้อย่างไรกับการให้มนุษย์ต่างดาวมาเป็นผู้ลี้ภัยบนโลกมนุษย์ แถมสมจริงด้วยการถ่ายทอดหนังออกมาเป็นภาพจากกล้องต่างๆ จนทำให้เหมือนกับว่าคนดูกำลังนั่งดูหนังสารคดีกันอยู่ จุดนี้นี่เองที่เป็นจุดแข็งที่ช่วยทำให้หนังดูสมจริงและเป็นจริงมากขึ้น จนประหนึ่งคนดูคิดว่าเหล่ามนุษย์ต่างดาวในหนังนั้นมีชีวิตอยู่กันจริงๆ
ถึงแม้ช่วงแรกๆออกจะน่าเบื่อไปหน่อยสำหรับคนดูบางคน (รวมผมด้วยคนหนึ่ง) เพราะหนังเดินเรื่องด้วยฉากการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มนุษย์ต่างดาวและตัวพระเอก ตัดสลับไปสลับมาเหมือนกับเป็นการอธิบายที่มาที่ไปอย่างคร่าวๆ จึงทำให้ช่วงแรกขาดความน่าติดตามไปเยอะ แต่กับช่วงครึ่งหลังนั้น ความสนุก ตื่นเต้นและความมันส์ที่หนังมีให้ ก็มีให้ชมหลังจากนั้นตลอดจนจบเรื่องกันเลยทีเดียว
ผู้กำกับสามารถนำประเด็นหนักๆทางการเมือง อย่างประเด็นของการเหยียดสีผิว แบ่งแยกเชื้อชาติและต่อต้านผู้ลี้ภัย นำเสนอออกมาในรูปแบบของหนังแอ็คชั่นไซไฟที่ดูสนุกตื่นเต้นได้ ประเด็นดังกล่าวถูกเปรียบเทียบผ่านมนุษย์ต่างดาวในหนัง เหมือนกับอยากบอกว่าในโลกแห่งความเป็นจริงพวกเขาเหล่านี้ (ผู้ลี้ภัยและคนต่างผิว) ก็โดนกระทำไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ต่างดาวในหนังเรื่องนี้
กับการเรียกเหล่ามนุษย์ต่างดาวในหนังว่า พวกกุ้ง (The Prawns) ก็ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงของมนุษย์ที่ว่าใครแตกต่างหรือไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ ก็จะถูกหาจุดเด่นหรือข้อด้อยมาเรียกจิกหัวแทน อย่างเช่น นิโกร (Negro) ในคนผิวดำ, พวกผิวเหลือง (Yellow) ในคนเอเซีย หรือ แม่มด (Witch) ในการล่าแม่มดยุคกลาง ที่ช่างตอกย้ำความเป็นจริงของสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ที่แตกแยกและห้ำหั่นกันได้เป็นอย่างดี
บทสรุปที่หนังมีให้ก็คือ ความเป็นจริงในวันนี้ที่ตอกย้ำว่าบางปัญหาก็ยังคาราคาซังหาทางแก้ไม่ได้ ได้แต่ปล่อยไว้ให้ยืดเยื้อเป็นปัญหาเรื้อรัง เพราะว่าทุกคนมัวแต่คิดว่ามันไม่ใช่ เรื่องของเรา แต่มันเป็นปัญหาของผู้มี อิทธิพล และ เงิน ต่างหาก ปัญหาเหล่านั้นจึงยังคงมีอยู่ถึงทุกวันนี้
ขอตินิดนึง ทำไมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติถึงจัดเรตหนังเรื่องนี้ไว้ที่ 15+ ทั้งที่น่าจะจัดไว้ที่ 18+ ด้วยซ้ำ กับฉากยิงกันร่างกระจุยกระจายที่มีในหนังเยอะมาก แต่บ่นไปก็เท่านั้น เพราะขนาดโรงภาพยนตร์กับคนดูยังไม่ให้ความร่วมมือเลย (รอบที่ผมดูมีพ่อแม่พาเด็กผู้หญิงอายุไม่ถึง 15 ปีไปดูหนังเรื่องนี้ด้วย) ถึงจัดเรตสูงไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา (ยกเว้นคนดูแบบผม อิอิ)!!!
ความน่าดู 8/10 ขอหักคะแนนไปกับการใช้มุมกล้อง ที่ช่างทรมานสายตาคนดูแบบผม (พวกเวียนหัวง่าย) เสียจริงๆ
Create Date : 23 กันยายน 2552 |
|
18 comments |
Last Update : 12 เมษายน 2556 13:24:33 น. |
Counter : 7582 Pageviews. |
|
|
|
ถึงจะเกินจริงไป แต่ก็อยากไปดูอ่ะนะ