หนังเรื่องล่าสุดของ
เบน สติลเลอร์ (
The Cable Guy, Zoolander และ
Tropic Thunder) ที่ทั้งกำกับและนำแสดงเอง โดยดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของ
เจมส์ เธอร์เบอร์ ที่เคยถูกสร้างมาเป็นหนังมาแล้วเมื่อปี 1947 นอกจากสติลเลอร์ในบทนำแล้ว ยังมี
คริสเต็น วิกก์, เชอร์ลีย์ แม็คเลน, อดัม สก็อตต์ และ
ฌอน เพนน์ ร่วมแสดงอีกด้วย
หนังเล่าถึง
วอลเตอร์ มิตตี้ (เบน สติลเลอร์) ผู้ทำงานในบริษัทนิตยสาร
Life ที่มีแผนจะปิดตัวลงเพื่อขยายไปเป็นรูปแบบออนไลน์ในเร็ววัน และเมื่อเขาดันทำฟิล์มของนักถ่ายภาพชื่อดังอย่าง
ณอน โอคอนเนลล์ (ฌอน เพนน์) หาย ซึ่งจะต้องถูกใช้เป็นภาพปกนิตยสารเล่มสุดท้าย ทำให้เขาต้องเลิกนิสัยฝันกลางวันที่เขามักจะเป็นประจำอยู่บ่อยๆ แล้วออกไปลุยภาคสนามสู่โลกกว้างเพื่อตามหาฟิล์มรูปภาพหมายเลข 25 ที่หายไป..
มาตามแบบฉบับหนังรีเมคอีกหลายเรื่องที่หยิบเอาเพียงพล็อตหลักคร่าวๆ มาดัดแปลงและตีความใหม่ ทำให้เวอร์ชั่นนี้จะไม่เหมือนทั้งในเรื่องสั้นและหนังต้นฉบับ!! ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของหนังเพราะทำให้
The Secret Life of Walter Mitty เวอร์ชั่นนี้ดูสดใหม่และสร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี..
ชอบมากเป็นพิเศษคืองานด้านภาพที่ถ่ายภาพออกมาได้สวยสดงดงามในทุกฉากทุกตอน(อย่างกับกำลังดูหนังสือ
National Geographic)
ยิ่งกับฉากจินตนาการแฟนตาซีทั้งหลายด้วยแล้วยิ่งทำให้หลงรักหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก (หลงรักมากกับฉากขายวิวทิวทัศน์ทั้งหลาย ทั้งบนเกาะกรีนแลนด์ เกาะไอซ์แลนด์ และบนเทือกเขาหิมาลัย)
แถมยังได้ใจสุดๆ กับฉากออกไปผจญภัยจริงของพระเอกที่มีทั้งกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ สู้กับฉลาม เล่นสเก็ตบอร์ดทางยาก และหนีตายจากภูเขาไฟระเบิด และกับมุกตลกในเรื่องนั้นก็แอบทำให้ขำได้อยู่ (ฮามากกับฉากมุกล้อเลียนหนังดัง
The Curious Case of Benjamin Button) ส่วนกับงานด้านเพลงก็โดดเด่นโดนใจไม่แพ้กันเพราะเพลงแต่ละเพลงที่ผู้กำกับเลือกใช้มันช่างเพราะแถมแฝงความหมายและเหมาะกับเรื่องราวเสียเหลือเกิน (อินเป็นพิเศษกับฉากนางเอกร้องเพลง
Major Tom ของ
เดวิด โบวี่ ที่ช่างน่ารักมากมาย)
ส่วนกับด้านการแสดงนั้นสติลเลอร์ก็ดูเหมาะสมดีกับบทชายธรรมดาๆที่ชอบฝันกลางวันคนหนึ่ง แต่ที่โดนใจหน่อยคงเป็นสาววิกก์กับป้าแม็คเลนที่ทั้งคู่ต่างมอบบทบาทสมทบที่ช่างน่ารักน่าเอ็นดู
และที่โดดเด่นขโมยซีนที่สุดคงต้องยกให้ป๋าเพนน์คนนี้นี่แหละที่ถึงจะออกมาน้อยหน่อยแต่ก็มีเสน่ห์และเพิ่มสีสันให้กับเรื่องราวได้เยอะ..และสุดท้ายกับประเด็นดีๆ ข้อคิดโดนๆ ที่เห็นได้ชัดในหนังเรื่องนี้ก็คือ..
เลิกเป็นคนช่างฝันที่วันๆ มัวแต่ฝันกลางวันซะ แล้วหันมาลุกขึ้นทำตามฝันให้มันเป็นจริงจะดีกว่า!!
สรุป
The Secret Life of Walter Mitty จัดว่าเป็นหนังดราม่าแฟนตาซีแนวฟีลกู้ดที่นอกจากจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่ามนุษย์เงินเดือนได้ลุกขึ้นไปลงมือทำอะไรแล้ว? ยังจะช่วยกระตุ้นต่อมอยากเที่ยวจนอาจถึงขั้นทำให้รีบลุกไปแพ็คกระเป๋าเดินทางเตรียมตัวออกไปเที่ยวท่องโลกกันเลยทีเดียว!!ป.ล. ตอนที่เรื่องสั้นต้นฉบับของเธอร์เบอร์ได้ตีพิมพ์ลงหนังสือ The New Yorker ในปี 1939 นั้น ได้รับความนิยมจนชื่อตัวละคร วอลเตอร์ มิตตี้ กลายมาเป็นคำสำหรับเรียกคนที่ไร้ประสิทธิภาพที่วันๆ เอาแต่นั่งฝันกลางวัน คิดดูก็แล้วกัน..
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พี่อุ้ม
ต้องไปดูแน่นอนจ๊ะน้องไอซ์
จนได้รับสายสะพาย 3 เส้น
ขอบคุณนะคะ