Inglorious Basterds : หนังนาซีฉบับเลือดสาด
“ยุทธการเดือดเชือดนาซี” นานๆทีจะเห็นชื่อหนังภาษาไทยที่สื่อความหมายได้ตรงตัวแบบนี้ นี่คือภาพยนตร์ของผู้กำกับฝีมือฉมังเควนติน ทาแรนติโน ( Quentin Tarantino) เจ้าของผลงานอย่าง Kill Bill 1-2, Plub fiction และ Death Proof คราวนี้เขากลับมาพร้อมกับหนังนาซีในแบบฉบับของเขาเอง
หนังเล่าถึงภารกิจการกวาดล้างพวกนาซีของแก๊งค์โคตรแสบ (The Basterds) ที่มีร้อยโทอัลโด เรน (แบรด พิตต์) เป็นผู้นำ อีกด้านหนึ่งโชซานน่า ไดรย์ฟัส (เมลานี่ โลรอง) สาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว ที่รอดตายจากการโดนทหารนาซีฆ่ายกครอบครัวเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ที่ครั้งนี้โชคชะตากลับเล่นตลกให้เธอได้มีโอกาสล้างแค้น ยุทธการเดือด เชือดเลือดสาดจึงอุบัติขึ้น...
ในหนังแบ่งเรื่องราวออกเป็น 5 บท (5 Chapters) ซึ่งแต่ละบทก็มีตัวเด่นและความหมายแตกต่างตามชื่อของมัน โดยเปิดเรื่องด้วยบทนี้
Chapter 1: ONCE UPON A TIME IN... NAZI OCCUPIED FRANCE
ดูจากชื่อก็น่าจะรู้แล้วว่าบทนี้จะเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาไหน? นี่คือบทย้อนอดีตและเปิดตัวตัวละครหลัก อย่าง พันเอกฮานซ์ แลนดา (คริสทอฟ วอลท์ซ) ฉายานักล่ายิว (The Jew Hunter) นายทหารระดับพันเอกผู้มีหน้าที่กวาดล้างชาวยิวให้หมดสิ้นไปจากฝรั่งเศส โดยครั้งนี้เขาต้องไปสอบปากคำครอบครัวชาวไร่ครอบครัวหนึ่งที่สงสัยว่าน่าจะให้ที่หลบซ่อนแก่พวกเชื้อสายยิว
บทสนทนาอันเชือดเฉือนและเล่นกับอารมณ์บวกเข้ากับสกอร์เพลงที่ได้จังหวะ ทำให้คนดูได้ลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลาว่าสุดท้ายแล้วหัวหน้าครอบครัวชาวไร่อย่างเพอร์เรียร์ พาราดิธ (เดนิส เมโนเช็ต)จะตัดสินใจอย่างไร???
*****************เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ (คลิกคลุมเพื่ออ่าน)*****************
สุดท้ายด้วยความที่มีภาระหน้าที่ของคนเป็นพ่อค้ำบ่าอยู่ เขาจึงตัดสินใจยอมรับและบอกที่ซ่อนของครอบครัวไดรย์ฟัสเพื่อแลกกับชีวิตและความปลอดภัยของเขาและลูกสาวทั้ง 3 คน และแล้วบทสรุปของครอบครัวไดรย์ฟัสจึงเหลือรอดเพียง 1 ชีวิต กับคำพูดหนึ่งประโยคของพันเอกฮานซ์ที่พูดว่า “ช่างมันเหอะ”
Chapter 2: INGLORIOUS BASTERDS
นี่คือบทเปิดตัวแก๊งค์โคตรแสบ ที่ในหน่วยประกอบไปด้วยหัวหน้าหน่วยร้อยโทอัลโด เรน ฉายานักรบอัลปาเช่ (Aldo the Apache), สิบเอกดอนนี่ โดโนวิทซ์ (เอลี ร็อธ) ฉายาหมียักษ์ยิว (The Bear Jew),สิบเอก ฮิวโก้ สติกลิทซ์ (ทิล ชไวเกอร์), สิบโทวิลเฮล์ม วิคกี้ (กิเดียน เบิร์กฮาร์ด), สิบตรีสมิธสัน อูทิวิทช์ (บี.เจ. โนวัก)ฉายาไอ้ตัวเล็ก (The Little Jew)และสิบตรีโอมาร์ อัลเมอร์ (โอมาร์ ดูม) ซึ่งภารกิจหลักของทหารหน่วยนี้ก็คือ ตามล่าฆ่านาซี โดยไม่เคยถามถึงเหตุผล แค่รู้ว่าเป็นทหารเยอรมันแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับการฆ่าแล้ว
Chapter 3: GERMAN NIGHT IN PARIS
บทนี้เปิดตัวโชซานน่า ไดรย์ฟัส ที่ตอนนี้ได้เป็นเจ้าของโรงหนังแห่งหนึ่งในปารีส จนวันหนึ่งวีรบุรุษผู้กล้าจากสงครามของฝ่ายทหารเยอรมัน พลทหาร เฟรเดอริค โซลเลอร์ (เดเนี่ยล บรูห์ล) ที่รู้สึกชอบพอเธอเป็นพิเศษ ได้เสนอขอจัดงานเปิดตัวหนังที่เขาแสดงนำในโรงหนังของเธอ…
*****************เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ (คลิกคลุมเพื่ออ่าน)*****************
ตอนแรกเธอก็รู้สึกไม่ค่อยชอบขี้หน้านายทหารคนนี้สักเท่าไหร่ เนื่องด้วยจากความเกลียดฝังใจในสมัยเด็กที่ครอบครัวเธอถูกทหารเยอรมันฆ่า แต่เมื่อโชซานน่าได้รู้ว่าเหล่าทหารเยอรมันยศใหญ่ๆทั้งหลายจะมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย มีหรือที่เธอจะไม่ยอมรับข้อตกลง เพราะนี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียวที่เธอจะได้ล้างแค้นฆ่ายกบางพวกนาซีนั่นเอง
Chapter 4: OPERATION KINO
บทนี้กล่าวถึงการปฏิบัติงานวางแผนฆ่าล้างนาซีในคืนวันเปิดตัวหนัง ซึ่งทางฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างประเทศอังกฤษได้ส่งร้อยโทอาร์ชี่ ไฮค็อกซ์ (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์)ให้มาปฏิบัติงานฆ่าล้างนาซีร่วมกับแก๊งค์โคตรแสบ โดยมีดาราสาวเยอรมันชื่อดังอย่าง บริดเจ็ต วอน แฮมเมอร์สมาร์ก (ไดแอน ครูเกอร์) คอยให้การช่วยเหลือ อีกด้านหนึ่งโชซานน่าก็กำลังวางแผนล้างแค้นในแบบฉบับของเธอเอง
Chapter 5: REVENGE OF THE GIANT FACE
มาถึงบทสุดท้ายนี่คือบทสรุปเรื่องราวต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกัน ในสถานที่เดียวกัน ฝ่ายทหารนาซี มาร่วมงานเปิดตัวและชมหนังรักชาติ เรื่อง Nation’s Pride ฝ่ายแก๊งค์โคตรแสบมาร่วมงานเพื่อต้องการจะฆ่ายกบางพวกทหารนาซี ฝ่ายโชซานน่าก็ต้องการล้างแค้นตามแผนของเธอ…
กับการแสดงในเรื่องนี้ต้องขอยกนิ้วให้กับ คริสทอฟ วอลท์ซ ที่แสดงได้ตีบทกระจุย ส่วนแบรด พิตต์ ก็เล่นได้ดี แต่ไม่มีอะไรให้ติดใจ สำหรับสาวคนนี้เมลานี่ โลรอง ที่มีเสน่ห์และแสดงได้ดีจนน่าแปลกใจ กับคนอื่นๆที่เหลือ ก็แสดงได้ถึงอย่างที่ควรจะเป็น
ถึงแม้หนังจะเต็มไปด้วยบทสนทนาที่มากเกิน จนทำให้เหล่าคนดูที่ชอบฉากแอ๊คชั่นนเว่อร์ๆเกิดอาการเบื่อได้ แต่สำหรับประโยคเด็ดๆที่โดนก็มีแทรกไว้ในบทสนทนายืดยาวเหล่านั้น อย่างเช่น ฉากที่ พันเอกฮานซ์ พูดเปรียบเทียบระหว่างกระรอกกับหนู ที่บอกว่าสัตว์ทั้ง 2 ชนิด ก็เป็นสัตว์สายพันธ์เดียวกัน แต่ทำไมมนุษย์ถึงเห็นว่าหนูสมควรโดนกำจัดทิ้งมากกว่ากระรอก พันเอกฮานซ์ให้เหตุผลว่าก็เพราะมันอยู่ที่ “ความเชื่อ” ต่างหาก หนูถูกเชื่อว่านำความเดือดร้อนมาให้มนุษย์ ทั้งขโมยอาหาร ทั้งแพร่ระบาดเชื้อโรค ฯลฯ ก็เปรียบได้กับชาวยิวในความเชื่อของนาซีที่ว่า…ถึงจะเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่ถ้านำความเดือดร้อนมาให้ ก็สมควรโดนกำจัดทิ้งเหมือนหนูนั่นเอง
กับสารอีกอย่างหนึ่งที่ชอบก็คือ ฉากที่ก่อนจะปล่อยตัวทหารเยอรมันที่เป็นเชลยไป ร้อยโทอัลโดจะถามว่าถ้ามีชีวิตรอดจะกลับไปใส่ชุดทหารเยอรมันอีกไหม? กับคำตอบที่ได้ส่วนใหญ่ก็คือ “ไม่” ซึ่งร้อยโทอัลโดก็จะเอามีดกรีดเป็นสัญลักษณ์นาซีบนหน้าผากของเชลยคนนั้น เหมือนจงใจบอกว่ากับสิ่งที่ได้ทำลงไป ถ้าคิดว่าแค่ถอดชุดทหารออกไปก็ไม่มีใครสนใจแล้วนั้น มันไม่จริง สัญลักษณ์นี้จึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้กับเชลยเหล่านั้นว่าในอดีตเคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้ มันจะคงอยู่ตลอดไป เหมือนกับผู้กำกับอยากบอกเป็นนัยๆว่า…ในใจลึกๆของชาวยิวทั้งหลายก็ยังเกลียดชาวเยอรมันอยู่ดี ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นพวกนาซีก็ตาม แต่สิ่งที่ชาวยิวทั้งหลายรับรู้ก็คือ พวกนั้นมีสัญชาติเดียวกันและความเกลียดก็คงจะฝังอยู่ในใจไม่คลาย
ส่วนที่ชอบอีกอย่างในหนังเรื่องนี้ก็คือ งานสกอร์เพลงเพราะๆที่เสริมแต่ละฉากได้เป็นอย่างดี ซึ่งนี่ก็แทบจะเป็นเอกลักษณ์และพรสวรรค์อย่างหนึ่งของผู้กำกับท่านนี้ไปแล้ว ส่วนฉากโหดเลือดสาดทั้งหลายในหนัง ก็คงจะถูกใจคนดูซาดิสม์ได้เป็นอย่างดี (รวมผมไปคนหนึ่งได้เลย) ที่ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเหมาะสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจริงๆ
กับบทสรุปที่ได้หลังดูหนังจบก็คือ คนเลวๆบางคนก็ยังยีนอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยไม่ได้รับบทลงโทษและผลกรรมใดๆ เหมือนกับความเป็นจริงบนโลกเบี้ยวๆใบนี้ที่ว่า ผลของการทำชั่วของคนบางคนมักจะเดินทางมาถึงช้าเสมอด้วยอัตราความเร็วต่ำ
ความน่าดู 9/10 ใครเป็นแฟนผลงานของผู้กำกับท่านนี้ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
Create Date : 03 กันยายน 2552 |
|
22 comments |
Last Update : 18 มีนาคม 2553 0:06:30 น. |
Counter : 9456 Pageviews. |
|
|
|
ได้เข้ามาเจิมเป็นคนแรก