ครอบครัวนี้รักสงบ แต่เมื่อไรมีรบไม่เคยขาด คือคำโปรยเก๋ๆบนโปสเตอร์ของหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์แนวตลกร้าย
Malavita หรืออีกชื่อในอเมริกาว่า
The Family หนังสร้างมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ
โตนิโน เบนาควิสตา (Tonino Benacquista) โดยได้ผู้กำกับ
ลุค เบสซอง (Luc Besson) เจ้าของผลงานชั้นเยี่ยมอย่าง
La Femme Nikita, Léon: The Professional และ
The Fifth Element มากำกับ นำแสดงโดยนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง
โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro), ทอมมี่ ลี โจนส์ (Tommy Lee Jones), มิเชลล์ ไฟเฟอร์ (Michelle Pfeiffer) ร่วมดัวยนักแสดงรุ่นใหม่ฝีมือจัดจ้านอย่าง
ไดแอนน่า อาร์กอน (Dianna Agron) และ
จอห์น ดีลีโอ (John D'Leo)หนังว่าด้วยเรื่องราวหลังจากที่หัวหน้าแก๊งมาเฟียอย่าง
เฟร็ด (โรเบิร์ต เดอ นีโร) เปิดเผยรายชื่อผู้เกี่ยวข้องในวงการมาเฟียให้กับทางการ เขาและครอบครัวอันประกอบไปด้วย ภรรยา
แม็กกี้ (มิเชลล์ ไฟเฟอร์) ลูกสาว เ
บลล์ (ไดแอนน่า อาร์กอน) และลูกชาย
วาร์เรน (จอห์น ดีลีโอ) จึงจำใจต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ภายใต้การดูแลของ
เจ้าหน้าที่สแตนสฟิล์ด (ทอมมี่ ลี โจนส์) และครั้งนี้พวกเขาได้ย้ายไปอยู่ที่ นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ที่ซึ่งพวกเขาจะสำแดงให้ทุกคนได้เข้าใจถึงความหมายของคำว่าครอบครัวสุดเถื่อนที่แท้จริง!!
Malavita เป็นภาษาอิตาลี แปลตรงตัวว่า
มาเฟีย ตัวหนังก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชื่อเรื่องนั่นแหละ แต่เพียงแค่ไม่ได้มาเป็นแบบหนังแก๊งส์เตอร์มาเฟียจ๋าเท่าไร แต่ขอมาเป็นแค่หนังแอ็คชั่นทริลเลอร์เน้นตลกร้ายเสียมากกว่า ซึ่งดูจบก็พบว่าฝีมือของผู้กำกับเบสซองตกไปมาก เพราะหนังทำได้ไม่ดีกว่าหรือดีเท่าหนังแอ็คชั่นเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา เนื่องด้วยช่วงแรก
Malavita น่าเบื่อมาก บทพูดเยอะมากเกินไป ความสนุกเลยติดขัด ไม่ค่อยสร้างอารมณ์ต่อเนื่องสักเท่าไร
ดีสุดก็คงเป็นฉากเปิดตัวความแสบของครอบครัวนี้ที่แต่ละคนต่างแสบซ่าส์ได้ใจ และโชคดีหน่อยที่ได้นักแสดงรุ่นเก๋า+รุ่นใหม่มีฝีมือ+มีเสน่ห์มารับบทไม่อย่างนั้นหนังจะกร่อยมากกว่านี้อีกเยอะ!! นอกจากฉากเปิดตัวความแสบของครอบครัวนี้แล้วก็ยังมีอยู่หลายฉากที่ยังพอติดตาและมีอะไรให้พูดถึงอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นฉากระลึกความหลังตอนพิมพ์นิยายของตัวพ่อที่พอมีสีสันน่าติดตามอยู่ หรือจะเป็นบรรดาฉากฮาตลกร้ายทั้งหลายที่พอขำหน่อยก็คงเป็นตอนตัวพ่อได้มาดูหนังมาเฟีย(ที่เดอ นีโรก็นำแสดง)ในตำนานที่มันช่างกัดจิกได้อย่างแสบสันต์ดีแท้..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังก็ไม่ได้แย่มากมายอะไรขนาดนั้น เพราะช่วงหลังผู้กำกับก็เริ่มคืนฟอร์ม หนังกลับเริ่มสนุกขึ้นมาอีกครั้ง ฉากแอ็คชั่นก็เริ่มจัดหนักจัดเต็มมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงไคลแมกซ์ช่วงสุดท้ายที่ยิงกันสนั่นระเบิดกันกระจายให้ได้ระทึกอยู่..
ส่วนกับด้านการแสดงนั้นก็ถือว่าเป็นส่วนที่แข็งและดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะนักแสดงรุ่นเก๋าทั้ง 3 คน (เดอ นีโร, ลี โจนส์ และไฟเฟอร์) ต่างคนก็แสดงได้ดีและมีฉากเด็ดเป็นของตัวเอง ส่วนรุ่นใหม่อย่างอาร์กอนและดีลีโอต่างก็เอาอยู่และมีที่ทางเป็นของตัวเอง
กับข้อคิดดีๆที่ได้รับกลับจากหนังเรื่องนี้คงเป็นประโยคหนึ่งที่หลุดมาจากปากของตัวพ่อที่พูดกับเจ้าของโรงงานใหญ่ว่า..
บางครั้งการไม่ทำอะไรเลยก็ผิดพอๆกับการทำเรื่องไม่ดี!!
นักแสดงน่าสนใจ แต่พี่คงไม่ได้ดู
อยากดูหนังเรื่อง Marry is Happy อ้ะ ยังไม่รู้จะหาเวลาไปดูได้หรือเปล่าเลย เหอๆ