คุณมั่นคุณมั่นครับ ผมเรียกชื่อพร้อมกับเขย่าแขนเขาเบา ๆ เพื่อให้เขารู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่เก้าหรือสิบได้ที่ผมต้องคอยกระตุ้นประสาทของผู้ชายที่อยู่บนรถเข็นคนนี้ให้ตอบสนองการสนทนา
ผมว่าวันนี้เราพอแค่นี้เถอะการคุยรอบบนี้มันอาจจะตึงเครียดและยาวนานเกินไป ผมไม่อยากให้หมอออกคำสั่งให้ยานอนหลับคุณอีก
ไม่ไม่ คุณต้องอยู่ อยู่ฟังผม ผมไม่เป็นอะไร และถ้าคุณไม่มีธุระคืนนี้ผมอยากจะเล่าให้คุณฟัง... จนถึงเช้า
ถึงเช้าเลยหรือครับ...ผมน่ะคนโสด ไม่มีอะไรต้องไปจัดการนอกจากทำคดีของคุณ แต่ผมไม่มั่นใจว่า... คุณจะไหว
หมอเมื่อกี้ผมพูดถึงหมอใช่ไหม
ผมได้ยินถอนหายใจเสียงเบาใบหน้าแสดงออกนั้นหม่นหมองคล้ายกับผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ครับ เมื่อกี้คุณพูดถึงหมอหมายความว่าหมอยังไม่ตายใช่ไหมครับ
ชายผู้พิการร่างกายเงยหน้ามองหลังจากที่เขาใช้ดวงตาเพ่งอยู่แต่กับผ้าห่มที่ห่มหน้าตักหมอที่ผมรักเขาตายแล้ว เขาตายไปแล้วครับ เขาตายไปจากชีวิตของผม แต่...เกิดใหม่เป็นศัตรูตัวฉกาจและเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบหมอเลวร้ายกว่าศัตรูฝ่ายตรงข้ามยามรบ... แต่ผมก็ยังรักและเคารพเขาอยู่จนวินาทีสุดท้าย...
หลังจากที่ผ่านคืนแห่งการฟังเรื่องราวมาอยากยาวนานโดยไม่ได้หลับทำให้ผมล้าและขบเมื่อยร่างกายมากทีเดียว อาการแบบนี้ก็เพิ่งจะมาเกิดก็เช้าวันใหม่ทั้งที่ในหลายชั่วโมงก่อนหน้า เหตุการณ์ที่ชายคนบนรถเข็นนั้นไร่เลียงลำดับให้ฟังมันทำให้จิตใจผมจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่มากพอผมคงรบกวนคุณแค่นี้ มาครับ ให้ผมช่วยพยุงคุณไปที่เตียง คุณควรจะได้พักผ่อนผมบอกเขาแล้วลุกจากโซฟาเดินเข้าไปกำลังจะใช้มือสอดใต้รักแร้ทั้งสองของนายมั่นเพื่อประคองเขาขึ้น
ไม่ครับไม่ต้อง ผมยังไม่อยากพัก ผมอยากนั่งตรงนี้ คุณรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะยิ่งช้าเกินไป
เขาบอกผมแล้วใช้มือหมุนวงล้อรถให้ขยับไปทางหน้าต่างซึ่งเป็นมุมชื่นชอบของเขา ด้านนอกหน้าต่างนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรไม่มีอะไรน่าดู มีเพียงแต่อานาบริเวณของสถานที่พักฟื้นผู้ป่วยทางจิตมีแต่คนไข้ในความดูแลของโรงพยาบาลเท่านั้นให้เขามอง
ไม่มีอะไรน่าอภิรมย์สักนิดแต่สำหรับนายมั่น คนที่ผ่านสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นและสงบไปในปีที่ผ่านมา ทุกความยากลำบากทั้งกายและจิตใจในรูปแบบที่ไม่มีใครสามารถทำได้นายมั่นก็ก้าวผ่านมาแล้ว และคงถึงเวลาที่เขาจะโหยหาคงวามสงบให้ตัวเองขอเพียงมุมหนึ่งมุมเล็กที่สงบเงียบและสันติพอที่จะปลอบประโลมจิตใจเขาได้ผมถอยเท้าเดินพลางมองแสงสีขาวจากภายนอกส่องกระทบตกตามโค้งขอบหน้าของเขา แววตานั้นไร้ความหมายและสงบเงียบ
คุณทนายครับเขาเรียกผมแม้จะไม่ได้หันหน้ามามอง
ผมไม่เคยรู้จักความสงบมาก่อนตั้งแต่เกิดและเติบโตจนกระทั่งวันที่คุณทนายมาหาผมในวันนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีว่าผมไม่ได้สู้คนเดียวและรู้ว่าสักวันความสงบของแผ่นดินที่แท้จริงมันจะมาถึง
ผมก็เชื่อแบบนั้นและคุณก็มาถึงปลายทางหน้าที่ของคุณแล้วครับสารที่คุณส่งถึงผมจะถูกเผยแพร่ต่อคนทั้งโลก
ผมยอมรับแล้วว่านายมั่นเหมาะสมที่สุดกับหน้าที่นายทหารผู้ส่งสารอย่างหาใครเปรียบไม่ได้เพราะแม้ในยามที่สภาวะร่างกายและจิตใจย่ำแย่ต่ำสุด เขายังทำหน้าที่ส่งต่อเรื่องราวได้เต็มเปี่ยมสุดพลังที่เหลือและพลังที่เขาถ่ายทอดผ่านเรื่องราวนั้นเป็นส่วนเสริมให้ผมมีความกล้ามากขึ้นที่จะต่อสู้คดีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของมนุษยชนในชั้นศาล
คดีนี้ที่ผมสู้อุทรณ์ให้คืนกลับมาด้วยความยากลำบากและถ้าหากไม่เกิดสงครามและการลุกฮือต่อต้านผู้นำแห่งไทยะบุรี คดีนี้คงจะถูกเผาทิ้งในเมรุแห่งความอัปยศของมนุษยชาติเมื่อผ่านไปปีกว่าหลังความวุ่นวาย ได้เวลาที่ผมจะต้องทำหน้าที่แทนใครหลายคนที่เสียสละชีวิตในโลกนี้ให้คนรุ่นต่อมาได้ยืนหยัดบนแผ่นดินผมจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง วีรชนทั้งหลาย... ที่มองผมจากมุมสงบในอีกโลก
จุดเริ่มต้นนั้นมันมาจากเขาผู้ชายที่อยู่ในห้องนั้นแต่ทุกอย่างต่อจากนี้จะจบด้วยมือของผม ในนามของทนายความไร้สังกัดแต่ไม่ไร้อุดมการณ์และจรรยาบรรณผมจะนำความจริงเปิดเผยด้วยเครื่องบันทึกเสียงเปื้อนคราบเลือดอันนี้ที่เจ้าเดิมของมันส่งผ่านผู้ส่งสารมาสู่มือ...
ตอนที่ 1 ที่เธอถาม
..............................
เป็นมุมสงบที่ค่อนข้างเครียดนะคะ คริคิร