นักฝันผู้ชอบเขียนเล่าเรื่อง
Group Blog
 
<<
กันยายน 2559
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
2 กันยายน 2559
 
All Blogs
 
โจทย์ประจำหลักกิโลที่ 162 : มุมกล้อง





 ตอนหนึ่งในซีรี่ย์ตะพาบของเจ้าของบล็อก



มุมกล้อง

ถึงพวกมันจะมีตา แต่ไม่มีหัวใจจึงไม่ใยดีต่อแววตาแห่งความเจ็บปวดของร่างที่หายใจเหนื่อยอ่อนบนพื้นกระดานฉันกัดฟันแน่นเมื่อความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ น้ำตาหลั่งรินอาบแก้มเพราะความกลัวหัวใจเต้นระริก ตัวสั่นเทิ้ม พวกมันเป็นใครกันถึงได้กระทำการกับฉัน คนที่ไร้ทางสู้มีแค่มือเปล่า

“อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวก็ดีเอง”

คำพูดของชายร่างหนา สูงใหญ่มีหนวดเคราขึ้นตามแนวแนวกราม ดวงตาเรียวชี้ขึ้น ขนานไปกับเส้นคิ้ว หนึ่งในสองของผู้บุกรุกเตือนฉันด้วยใบหน้าเหยียดและฉันรู้จักมันดี

พลตรีผยอง มันยืนมองฉันด้วยสายตาเวทนาไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่ฉันเคยยกมือไหว้ทำความเคารพจะมีจิตใจสกปรกได้ถึงเพียงนี้เสียดายความนับถือที่เคยมีให้

“ไอ้เลว แกทำ... ทำแบบนี้ทำไม...”ฉันพยายามออกแรงถาม ที่ปลายตายังปากกระบอกปืนเล็งมาไม่มีที่ท่าจะลดระดับ

ไอ้ผยองยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากตัวเอง “จุ๊ๆ แม่หนู แม่หนู พูดจาให้ไพเราะหน่อนสิจ๊ะฉันไม่อยากปลิดชีวิตเด็กนักเรียนแพทย์ที่ชาติกำลังขาดแคลนอย่างเธอหรอกนะแค่เธอนอนนิ่ง ๆ ผ่อนลมหายใจ ช้า ๆ ก็ช่วยให้ไม่ตายเร็ว เธอเรียนแพทย์ น่าจะรู้ดี”

ฉันนอนหงายกัดฟันอดทนกับความเจ็บกดมือลงบนบาดแผลหวังให้เลือดที่ไหลทะลักล้นจนเปลี่ยนเสื้อสีนักศึกษาขาวเป็นสีแดงฉาน“พี่มั่น...” ปากเรียกหาพี่ชายเสียงเบา แต่ใจหนึ่งก็อยากให้เขาหนีไปน้ำตาแห่งความเจ็บปวดหลั่งริน

นี่น่ะหรือความเจ็บของคนที่ถูกยิงหากไม่ได้รู้สึกด้วยตัวเอง ก็คงไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ป่วยบางคนถึงทนพิษบาดแผลไม่ไหวฉันนอนหงาย หายใจให้ช้าลง แต่สายตายังมองที่ปลายปืนด้วยจิตใจหวาด นิ้วชี้ของมือใหญ่อูมยังเตรียมพร้อมประจำการในตำเหน่งไกหากได้รับคำสั่งจากนาย มันคงลั่นกระสุนใส่ฉันทันทีให้กลิ่นเขม่าของดินปืนลอยล่องในอากาศ

เสียงกระทืบบันไดไม้ดังใกล้เข้ามา...

ฉันสะลึมสะลือตื่นขึ้นภายในห้องเพดานสีเทา กลิ่นแอมโมเนียฉุนกึกแตะจมูกปลุกประสาทการรับรู้ให้ฟื้นขึ้นทีละนิด

ที่นี่คือโรงหมอ พี่มั่นฉันมารักษาตัวที่นี่ด้วยความทุลักทุเลหลังจากที่ไอ้ผยองพาร่างใหญ่ของมันกับพวกออกไปอะไรคือสิ่งที่พวกมันต้องการแล้วทหารระดับชั้นพลเรือนอย่างพี่มั่นไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้น

แต่ในบทสนทนามีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันประหวั่นพรั่นพรึง‘มีคนตาย’ พวกเขาพูดถึงความตายของนักข่าว

“ใช่ มันอยู่กับกูอยู่ที่นี่”

เสียงกระซิบกระซาบที่ได้ยินทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้แต่ร่างกายของฉันยังคงแข็งทื่อจากฤทธิ์ยาชาที่ยังเหลืออยู่จึงหลับตารอเวลาให้สารเคมีในร่างกายเสื่อมสลายอานุภาพของมัน

“กูทำตามที่มึงบอกแล้วที่เหลือก็คอยดูกัน”

“มึงไม่ต้องให้อะไรกูไม่รับ และถึงกูจะเกลียดไอ้เดโชแค่ไหน กูก็ไม่อยากให้ใครตะ...”

เสียงกระซิบเงียบไปทดแทนด้วยเสียงย่ำเท้าที่ใกล้เข้าในทีแรกฉันไม่รู้ทำไมต้องใจสั่น แต่เจ้าของเสียงกระซิบนั้นก็ให้คำตอบฉันได้ในวินาทีต่อมาเปลือกตาของฉันถูกเลิกขึ้น เป็นเหตุให้ดวงตาตอบสนองแสงไฟฉายที่ส่องกระทบอัตโนมัติ

เขาดับไฟฉายใช้สองแขนค้ำเตียงผู้ป่วยขนาบร่างสั่นของฉัน จ้องเขม็ง เอ่ยถามเสียงเบา “เธอ...ได้ยินอะไรบ้าง”

ฉันเม้มปากส่ายหน้า ดวงตาคงฉายแววความหวาดกลัวชัดเจน ชายที่ใส่เสื้อคลุมผ่าตัดสีเขียวจึงคลี่ยิ้มบาง“ดี ไม่ได้ยินอะไรก็ดี”

เขายกแขนทั้งสองขึ้นหันหยิบถาดโลหะยกขึ้นให้ฉันดูลูกกระสุนเปื้อนเลือด “เฉียดกระเพาะไปนิดเดียวเท่านั้นไอ้ล่ำยังแม่นปืนเหมือนเดิม”

นั่นเขากำลังชื่นชมคนที่ส่งลูกปืนวิ่งผ่าผนังช่องท้องของฉันอยู่หรือรอยยิ้มที่มุมปากทำให้ฉันระแวง “พี่ชายของฉันอยู่ไหน” ฉันรีบถามหาคนของฉัน

“มันนั่งรอเธออยู่ข้างนอก”ถอดเสื้อคลุมออกแล้วคว้าถาดโลหะใส่กระสุนขึ้นไว้ในมือ แล้วเหมือนจะผลักประตูออกไปแต่เอี้ยวหน้าปรายตามองฉันแวบหนึ่งราวกับมีบางสิ่งคลางแคลงอยู่ในใจ “เธอจะได้ยินหรือไม่ได้ยินอะไรก็แล้วตาม...แต่เราไม่อาจเชื่อทุกสิ่งได้แค่หูฟัง”

คำพูดที่ไม่รู้จุดประสงค์การพูดแน่ชัดความถูกทิ้งไว้ในห้องหลังเขาก้าวออกไปฉันกลับมานอนหงายมองเพดานอีกครั้งนาฬิการุ่นโบราณอายุมากกว่าสองปีแกว่งตุ้มของมันเป็นจังหวะ จากซ้ายไปขวาจากขวามาซ้าย การแกว่งไปมาสลับขั้วสลับข้างส่งผลให้ฟันเฟืองหมุนส่งเข็มนาทีให้เดินหน้าต่อไป

กลไกนาฬิกาตุ้มโบราณเคยเป็นมายังไงความคิดของคนรุ่นใหม่ก็เป็นแบบนั้น ไม่เคยมีตรงกลาง มีแต่ซ้ายกับขวานักศึกษาแพทย์อย่างฉันก็เช่นกัน

‘นักศึกษาอย่างพวกเราต้องแสดงความชัดเจน

คำประกาศของนักศึกษาผู้ต่อต้านรัฐบาลดังทั่วจัตุรัสเสรีชัยในวันก่อนเหตุการณ์แตกหักของแผ่นดิน

ท่ามกลางฝูงชนที่เรียกร้องการทบทวนนโยบายรวมรัฐกับเมแกนของรัฐไทยะบุรีภายใต้การนำของนายพันเดโชฉันเดินตามหมู่ชนคอยยกเครื่องมือบันทึกภาพเก็บภาพการเคลื่อนขบวนของผู้นำคนรุ่นใหม่ที่กำลังป่าวประกาศความคิดของตนผ่านเครื่องขยายเสียงติดรถระบบต้นแรงดึงดูดโลกลอยเหนือพื้นดิน

เห็นความมุ่งมั่น สัมผัสแรงฮึกเหิมและยินเสียงอุดมการณ์

ฉันมองเหล่าแขนของนักสู้ปัญญาชนชูขึ้นเพื่อแสดงสัญลักษณ์สายรัดข้อมือพิราบขาวผ่านเลนส์ช่างเป็นภาพที่ปลุกปั่นหัวใจให้อยากวางกล้องลงแล้วชูแขนทั้งสองตาม

ทว่า... นั่นเป็นสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์พาไปที่จากภาพหน้าเลนส์แต่ความคิดของฉันที่อยู่หลังเลนส์นั้น สวนทางกับพวกเขาโดยสิ้นเชิง

เสียงข้อความเข้าดังจากเครื่องรับสัญญาณโทรศัพท์ในรูปแบบนาฬิกาข้อมือฉันก้มลงมองเห็นข้อความถูกส่งเป็นภาพนิ่ง จึงเดินเลี่ยงออกจากฝูงชน หามุมลับตา

ฉันกดปุ่มดูภาพถ่ายจากหน้าจอนาฬิกาให้ภาพจากเครื่องรับสัญญาณฉายในมวลอากาศคลี่ยิ้มเมื่อเห็นจุตรัสเสรีชัยที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่มวลชนคล้ายกับดวงนางฟ้ากำลังมองลงมายังพื้นดิน

มุมกล้องมุมสูงนี้ดูสงบแตกต่างจากมุมกล้องแสนวุ่นวายที่ฉันอยู่มากนัก

“ข้างล่างเป็นไงบ้าง”

“ไฟกำลังลุกเลยล่ะ ข้างบนล่ะเป็นไง”ตอบเขาไปแล้วอมยิ้มเมื่อใช้สองนิ้วขยายภาพจากมุมกล้องของเขาดู ในหมู่ฝูงชนมีตัวฉันเองกำลังยกกล้องส่องในมุมที่แตกต่าง

“เย็นอย่างกับน้ำแข็ง” ปลายสายตอบกลับมา

ฉันอมยิ้มขำขัน “พวกเขาไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือ”

“นิ่งอย่างเดียว คงจะปล่อยให้พวกนั้นเดินเรียกร้องไปก่อน ตอนนี้กำลังเจรจาเงื่อนไขรวมรัฐกับผู้นำเมแกนท่าทางจะเครียดหนัก”

ฉันพ่นลมหายใจก้าวขาพาตัวเองออกห่างจากเสียงโห่ร้องเซ็งแซ่เพื่อได้ยินเสียงปลายทางมากกว่านี้ “นายพันจะทำแน่ใช่ไหมแล้วผู้นำเมแกนเขายื่นข้อเสนออะไรบ้าง”

ปลายทางหัวเราะในลำคอให้ฟังแต่ไม่มีคำตอบ ฉันลอบยิ้ม รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร“คราวนี้จะให้ฉันทำอะไรอีกล่ะครั้งก่อนฉันก็จดเลคเชอร์วิชากายภาพทั้งเทอมให้นายแล้วนะ”

“ก็...ไม่มากไม่มาย...”

ฉันพ่นลมหานใจส่ายหน้ากับตัวเองอย่างระอา เพราะเสียงนั้นดูมีลับลมคมนัย “จะให้ทำอะไรก็ว่ามา”

“ฉันอยากให้เธอ...”

ฉันเงี่ยหูฟังเดินให้ห่างจากเสียงฝูงชนมากที่สุด

“คบ...กับ... ฉัน...”

“นี่...นาย...”

“ฉันชอบเธอนะมิ่ง”

“แต่เรา...เป็นเพื่อนกัน” หัวใจฉันเต้นแรงและดังกว่าเสียงผู้นำปัญญาชนตรงกลางจัตุรัสนั่น

“ฉันไม่เคยคิดกับเธอแค่เพื่อนมานานแล้ว...และเธอก็คงไม่สังเกต” เขาเงียบไปชั่วอึดใจ “มิ่ง...เราคบกันนะ”

“ฉัน...” เสียงของฉันหายไปอ้ำอึ้งกับความคิดของตัวเอง

“ถ้าเธอยังไม่แน่ใจ...ในวันที่ไทยะกับเมแกนรวมชาติกัน... วันนั้นเธอให้คำตอบฉันได้ไหม”

ฉันสูดหายใจเข้าถามตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเพื่อนนักเรียนแพทย์คนนี้เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนชั้นปีแรก ให้ความช่วยเหลือกันและกันมาตลอดสนิทกันมาก เคยเมาหัวราน้ำมาด้วยกัน เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันเคยขึ้นวอร์ดด้วยกันเช้าชนเช้า ความสัมพันธ์ที่เรามีให้กันและกันมันเรียกว่าเพื่อนหรือไม่

ความหมายแววตาห่วงใยคู่นั้นท่อความหมายอะไรตลอดมาฉันไม่เคยรู้หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้กันแน่...

ภาพเคลื่อนไหวจากอุปกรณ์รับสัญญาณภาพที่ข้อมือฉายออกกลางอากาศเป็นภาพชายหนุ่มที่กำลังขอเลื่อนตำเหน่งเพื่อนไปสู่คนรัก

เขากำลังขยับปากช้าๆ เป็นคำพูดธรรมดา ๆ ที่ชายหนุ่มทุกคนอยากบอกผู้หญิงที่ไหลหลง แม้สัญญาณภาพจะขาด ๆหาย ๆ ตามการรบกวนของคลื่นแสงอาทิตย์ แต่ฉันก็อ่านปากของเขาได้

แต่...คำสามคำที่เขาเอ่ยออกมา กลับเป็นคำสามคำสุดท้ายในชีวิต

บรึ้ม !!!

“อ๊ากกก !!!”

“กรี๊ด !!!” ฉันกรีดร้องดัง “ไม่นะ ไม่”ขากระตุกวิ่งตรงดิ่งไปยังตึกใหญ่อันเป็นที่ทำการเจรจาการรวมชาติระหว่างไทยะบุรีกับเมแกนเห็นควันสีดำทะมึนลอยโขมงออกมา

เมื่อหลังเสียงระเบิดกึกก้องและเพลิงร้อนของมันลามไหม้ร่างของชายหนุ่มในสัญญาณภาพขาด ๆ หาย ๆ ดิ้นทุรนทุรายขอความช่วยเหลือ

“มีผู้บุกรุก!”

“พวกชุมนุมบุกรุก !”

เสียงจากคลื่นโทรศัพท์ยังดังต่อเนื่องสลับกับเสียงครวญครางขอความช่วยเหลือฉันวิ่งด้วยความเร็วทะลุฝ่าฝูงชนทีเดินกันอย่างสับสนวุ่นวาย ในอกร้อนรนปากตะโกนบอกขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย มีคนเจ็บอยู่ในตึกสันติช่วยด้วย !”

ทว่าทั้งเสียงพูดผ่านเครื่องขยายเสียงและเสียงของขบวนต่อต้านดังกลบเสียงของฉันให้เบาเท่าเสียงลมเปลวเพลิงจากตึกกระพือหนัก เสียงความวุ่นวายภายนอกก็โหมลามไปทั่วจัตุรัสเหล่าปัญญาชนผู้ตื่นตระหนกต่างวิ่งกันสับสนอลหม่านไร้ทิศทาง

บรึ้ม !!!

“กรี๊ดดด !!!”

ฉันย่อตัวก้มหลบเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนที่ตรงหน้าไฟสีส้มลุกลามไปทั่วอาณาบริเวณ

บรึ้ม !!!

เสียงระเบิดครั้งที่สองตามมาไม่ห่างคลื่นฝูงชนกระเด็นแตกกระจายตามพลังของเสียงกัมปนาท เพลิงไฟท่วมจากทุกทิศเสียงกรีดร้องดังรอบตัว ฉันกัดฟันลุกขึ้นวิ่งฝ่าด่านสวนทางมนุษย์ผู้มีปัญญาหัวใจหลุดลอยไปหาเขาที่กำลังร้องเรียกหาโหยหวนทรมาน

“รอก่อนฉันกำลังไปช่วย” ฉันร้องตะโกนบอกเขา ไม่รู้ว่าจะได้ยินไหมเมื่อขบวนประท้วงอย่างสันติเปลี่ยนเป็นการจลาจลเต็มรูปแบบ

“ไอ้เดโชไอ้เดโชมันส่งหน่วยปราบจลาจลมาฆ่าพวกเรา !”

“ไอ้พวกต่อต้านบุกรุกเข้ามา !”

ใครกันที่บุกรุกใครกันที่บงการจลาจล และใครกันที่ต้องการให้เกิดการแตกแยก ฉันไม่สนใจอีกต่อไปในหัวตอนนี้คือการไปช่วยเขา

เสียงเรียกหาหายไปหัวใจของฉันก็เช่นกัน รถหุ้มเกราะมากมายออกมาขวางกั้นกำแพงมนุษย์หุ้มเกราะสีดำตั้งด่านหนา ใบหน้าของพวกเขาเหล่ามนุษย์ติดอาวุธช่างถมึงทึงปลายปืนทุกกระบอกถูกยกขึ้นพร้อมเพรียง เสียงใบพัดของแมลงปอเหล็กดังทั่วน่านฟ้า

แต่เสียงเพรียกหาของเขา

“มิ่...ง...”

ผู้ชายที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่า‘รัก’ก็สูญสิ้นดับหายไปชั่วนิรันดกาล

ฉันเงยหน้าร้องไห้กับท้องฟ้าหากบนนั้นมีใครก็ตามที่เฝ้ามองอยู่ อยากให้รู้ว่าคนบนแผ่นนี้กำลังร่ำไห้ร้องหาสันติสุขท่ามกลางไฟสงคราม

ฉันสะดุ้งเมื่อมีความอุ่นเกิดที่ปลายนิ้วและลามขึ้นมากอบกุมเต็มมือ ฉันสะบัดมือตัวเองจากการเกาะกุมมองมือหยาบหนาแรงจนกระปุกยาในมือตกยาน้ำสมานรอยแผลที่บรรจุภายในหกนองเต็มพื้นเตียง ทว่าเจ้าของมือยังไม่ยอมหยุดเขาใช้แขนแกร่งรวบตัวฉันเข้ากอดรัด

“อย่าแตะต้องตัวฉัน”สั่งด้วยเสียงขึงขังกับแววตาจริงจัง

คงไม่น่าเกรงขามพอสำหรับผู้ชายคนนี้“นายไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้ ถ้านายยังไม่ปล่อย ฉันบอกได้เลยโทษการล่วงละเมิดเพศตรงข้ามมันร้ายกว่าทะเลาะวิวาทนัก”

รอยยิ้มที่กดตรงมุมปากนั่นทำให้ฉันของขึ้นเขาต้องสื่อความหมายแทนคำพูดว่าอยากท้าทายโทษสถานหนัก “ปล่อย”บอกเสียงเขียวอีกครั้ง เบนหน้าหลับตาหนีปลายจมูกโด่งเปื้อนสีที่เคลื่อนเข้ามา

“อิ๊ด...อึ๋ง”

คำพูดที่พยายามกลั่นออกจากช่องปากไร้ลิ้นถึงจะไม่เป็นคำที่ทำให้ฟังแล้วโรแมนติกอย่างในหนังฝรั่งมังค่า แต่ก็ทำให้หัวใจของผู้หญิงแข็งนอกอ่อนใจอย่างฉันเขว

“ฉันไม่ใช่มิ่งคนเก่าที่จะให้นายหลอกใช้ง่ายปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” ผลักไสใบหน้าที่ฉาบด้วยสีขาวของเขาให้ออกห่าง “ปล่อยฉันได้แล้วถ้าเจ้าอิรวะดีรู้ว่านายแตะตัวฉัน นายจะเดือดร้อน”

“ไอ้อัว”

ฉันส่งเสียงฮึดฮัด“นายไม่กลัว แต่ฉันกลัว”

“อัวอั๋นอายอื๋อ”

ฉันลอบยิ้มในใจ“นายตายน่ะสิดี แต่ไม่ตายแล้วลำบากให้ฉันต้องรักษาพยาบาลไปตลอดชีวิต”

คำขู่นี้คงถูกใจผู้ชายนิสัยหยาบมากกว่าที่จะหวั่นเกรงจมูกโด่งนั้นจึงกดที่ต้นคอซุกไซ้หนักจนฉันครางประท้วง “หยุดนะพี่เห่าเมียพี่คือซุน ไม่ใช่ฉัน อย่าทำกับฉันแบบนี้อีก”

เขาจึงยอมหยุดปลายจมูกที่ซุกซนแต่ลมหายใจอุ่นนั่นยังเป่าใกล้ต้นคอทั้งไอร้อนผะผ่าวจากเนื้อกายเขาทำให้เนื้อตัวของฉันร้อนขึ้น

“ซุนอยู่ที่เขตวังด้านในเป็นเขตหวงห้าม ถ้าไม่ใช่คนวังหลวงก็ไม่มีใครได้เข้าไป” ฉันบอกสิ่งที่คิดว่าเขาต้องการรู้เป้าหมายของผู้ชายนี้จะเป็นอะไรได้ถ้าไม่มาตามหาผู้หญิงของตัวเอง แต่เขาเงียบไปนานไม่มีเสียงเล็ดลอดจากปากนอกจากเสียงทอดถอนลมหายใจ จึงหันสายตากลับไปมองเห็นแววตาอาทรในดวงตากร้านโลก

“พี่รู้แล้วว่าซุนไม่ได้ตั้งใจหักหลังพี่พี่อภัยเธอแล้วใช่ไหม” ไม่ควรเลยที่ฉันจะพูดแทนผู้หญิงอีกคนที่เขายกขึ้นเป็นภรรยาส่วนฉันเป็นเพียงความรักที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในห้องลับลึกสุดใจ

เขาปล่อยแขนออกแล้วลุกขึ้นจากเตียงไปเท้าแขนที่ขอบหน้าต่างจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมนักเดินทางราคาถูกจะมีทิวทัศน์อะไรให้น่ามอง มีแต่เสียงคนเมาเคล้าเสียงเพลงจากสถานบันเทิงเริงรมย์ที่มีไว้บริการชายกำหนัดตามเขตชายแดนการค้าเสรีร่วมกับการค้าประเวณีที่ทำกันอย่างลับหลบสายตาผู้ตรวจการของเจ้าอิระวดี

แสงสลัวของไฟหัวเตียงราคาถูกส่องให้เห็นรอยแดงเป็นแนวยาวเต็มแผ่นหลังแกร่งหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปอาจเจ็บแสบจนขยับตัวไม่ไหว แต่กับชายคนนี้ เห่าดงผู้ที่ไม่เคยขยาดต่อความเจ็บรูปแบบใด ๆ

ฉันลุกขึ้นจากเตียงมองด้านหลังร่างสูงใหญ่ จดจำภาพให้ติดตาขึ้นใจก่อนจะเดินออกจากห้องพักโดยไม่เอ่ยคำลาเห่าดงอาจมาที่นี่เพื่อมาตามทวงคืนรักเก่าส่วนนายอีกคนนั้นมาที่นี่เพื่อเหตุผลอะไรความสงสัยทำให้ฉันมาหยุดเท้าที่หน้าห้องเสวยพระกระยาหาร

ได้ยินเสียงพระสรวลภายในก็อุ่นใจที่กลับมาทันก่อนที่เจ้าจะทรงออกจากห้องเสวยแล้วเรียกใช้งานฉันรีบเดินกลับเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว เปิดลิ้นชักตู้ไม้แกะสลักออกหยิบเอากระเป๋าหนังที่ลอบหยิบมาได้ระหว่างที่เห่าดงกับเพื่อนของเขากำลังชุลมุนตะลุมบอนที่ค่ายชายแดน

“แม่มิ่งแม่มิ่งอยู่ในนั้นหรือเปล่า”

ฉันสะดุ้งเฮือกรีบเก็บซองสีน้ำตาลเก่า ๆ กลับเข้ากระเป๋า แล้วยัดมันกลับเข้าไปในตู้ตามเดิม

“โปรดพระราชทานอภัยที่หม่อมฉันให้เจ้าทรงรอ”ฉันเปิดประตูไม้ ย่อเข่าถวายบังคม

“ดูเจ้าร้อนรนเพิ่งกลับมาจากข้างนอกหรือ”

ฉันก้มหัวหลีกทางให้เจ้าเสด็จเข้ามาให้ห้อง ส่วนฉันย่อตัวหมอบตรงที่ประตู “เพคะฝ่าบาทหม่อมฉันออกเยี่ยมอาการคนไข้ ยังไม่ได้อาบน้ำจึงไม่ได้เข้าไปเข้าเฝ้าเจ้าที่ห้องเสวย”

“เรื่องนายใบ้นั่นถ้าไม่ใช่แม่มิ่งขอ ฉันคงจะสั่งให้โบยจนครบโทษ แม่มิ่งเป็นคนใจอ่อนรู้ก็รู้แล้วยังจะขอดูการทำโทษอีก” เสียงพระราชดำรัสคล้ายตำหนิ

“เพราะหม่อมฉันไม่ดีจึงทำให้เจ้าเดือดร้อนพระทัย แต่หม่อมฉันเห็นว่าเพื่อนของนายใบ้เป็นคนจากสมาพันธ์เขาอาจนำความไปบอกพวกของเขาแล้วจะทำให้เจ้าต้องทรงวุ่นวายขึ้นไปอีก”

“ถ้าแม่มิ่งคิดแบบนั้นฉันก็ขอบใจที่เป็นห่วง”

ปลายพระบาทใกล้เข้าเกือบจรดปลายเส้นผมของฉันแต่ยังไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ เกรงว่าจะทรงจับสังเกตจากดวงตาหวั่น กดทรงพระหัตถ์เบาๆ บนศีรษะอย่างที่ทรงทำเสมอที่เสด็จมาที่ห้อง

“แม่มิ่ง...แม่มิ่งเคยบอกว่ามาอยู่กับฉัน จะเป็นข้ารับใช้ของฉันแลกกับชีวิตใหม่ของแม่มิ่งและแม่ซุนฉันยังจำได้ และคิดว่าแม่มิ่งกับแม่ซุนจะทิ้งชีวิตเก่าไว้หลังกำแพงเมืองนั่นแล้วแม่มิ่งคือหมอหลวงในอาณัติของฉัน ส่วนแม่ซุนเป็นสนมเอกของฉัน หวังชีวิตใหม่ที่ฉันมอบให้จะทำให้ลืมทุกอย่างได้”

“หม่อมฉันไม่เคยลืมวันแรกที่ระเห็จมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารฝ่าบาทและมิ่งเชื่อว่าพระสนมก็คงคิดเช่นนั้น”

“ดีอย่าให้ฉันผิดหวัง”

ฝ่าบาทก้าวออกจากธรณีประตูฉันยังคงหมอบแนบพื้นจนกว่าจะได้ยินเสียงประตูห้องพระบรรทมปิดลง บรรยากาศจึงปลอดโปร่งขึ้นจนอยากสูดลมหายใจเต็มปอดฉันมองไปที่ตู้ไม้สลักอีกครั้ง กระเป๋าหนังใบนั้นยังคงเก็บอย่างมิดชิด ส่วนเจ้าของกระเป๋านั้นคงกำลังกระวนกระวายใจอยู่ที่เรือนรับรองแขกเมืองเขาคงเฝ้ารอให้ของสำคัญกลับสู่อ้อมอกใจแทบขาด

ฉันพาร่างตัวเองไปที่เตียงนั่งกอดเข่าครุ่นคำนึงถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่อดีตอันทุกข์ทนระหว่างลี้ภัยแต่เป็นอดีตที่เคยใช้ชีวิตที่ภูผายา

บ้านเกิดเมืองนอนที่คงไม่มีโอกาสได้กลับไปนอนหนุนตักมารดา

ฉันกลายเป็นต้องโทษการเมืองของไทยะบุรีด้วยข้อหาคบคิดกับก่อกบฏ เป็นภัยต่อความสงบ ฉันหวนคิดถึงคำพูดของหมอ

‘เราไม่อาจเชื่อทุกสิ่งได้แค่หูฟัง’

พวกเขาเชื่อคำพูดพกลมศาลของไทยะไม่มีเอกภาพพอที่จะตัดสินใจเองได้การพึ่งกฎหมายของสมาพันธ์กลายเป็นสิ่งการันตีความดีงามว่าพวกเขามีความยุติธรรมพอแล้ว ความยุติธรรมที่มาจากความเห็นชอบของผู้ตั้งตนอวดอ้างว่าเห็นแก่มนุษยชน

ทว่าในมุมมองของฉัน มันคือการเห็นแก่ตัว จะมองให้ตัวเองสูงหรือต่ำก็อยู่ความพอใจจะปรับมุมกล้องหาภาพถูกใจแม้ตัวแบบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยก็ตาม

ภาพจากนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าในวันนั้นยังตราตรึงในหัวเสียงสุดท้ายของชายหนุ่มที่บอกรักฉันยังฝังลึกในหัวใจ เขาตายจากโลกไปก่อนที่จะได้รู้ว่าไม่มีวันรวมชาติของเมแกนและไทยะบุรีเกิดขึ้นมีแต่วันรวมรัฐของสมาพันธ์ต่างหากที่จะอยู่ยืน

การรวมชาติที่ฉันเคยคิดว่าจะช่วยให้แผ่นดินสงบสุขเป็นแค่ฉากบังหน้าของพวกผีแร้งที่กำลังจ้องมองฝูงหมาขี้เรื้อนกัดกันให้ต่างฝ่ายต่างตายลงจมกองเลือดแห่งสงครามแล้วสุดท้ายผู้ที่ยืนเหนือศพเหล่านั้นจะได้เป็นผู้ลิ้มลองซากเนื้อตายช้า ๆ

หากหมอยังอยู่ฉันอยากจะบอกหมอว่า ฉันได้ยินเสียงกระซิบของหมอ ฉันรู้ว่าคำสุดท้ายก่อนที่เสียงหมอจะหายไปอะไรแม้ว่าสุดท้ายแล้ว เราจะยืนกันคนละฝ่าย แต่เราก็ไม่อยากให้ใครตายเหมือนกัน และฉันรู้ดีว่ากระสุนที่หมอเหนี่ยวไกยิงพี่ชายฉัน

มันไม่ได้ถูกจุดสำคัญเลยแม้แต่น้อย




Create Date : 02 กันยายน 2559
Last Update : 2 กันยายน 2559 23:35:06 น. 5 comments
Counter : 527 Pageviews.

 
ชลบุรีมามี่คลับ Literature Blog ดู Blog
เจิมๆๆๆ
ซะงั้น
ไม่ได้โดนจุดสำคัยเลย



โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 3 กันยายน 2559 เวลา:7:03:45 น.  

 
มาอ่านตะพาบค่ะ

ความเจ็บปวดไม่โดนเองคงไม่ซึ้งนะคะ


โดย: ซองขาวเบอร์ 9 วันที่: 3 กันยายน 2559 เวลา:13:47:53 น.  

 
ดราม่ามากค่ะ ฮืออออออออออออออ
ขอแนวมุ้งมิ้งบ้างได้ไหมคะ ชอบแนวนี้มากกว่า


โดย: ประกายพรึก วันที่: 3 กันยายน 2559 เวลา:21:12:23 น.  

 
สงคราม การต่อสู้ ไม่มีใครอยากให้เกิดเลยนะคะ แต่ในบางครั้งเราก็เลี่ยงที่จะเผชิญไม่ได้ ในโลกที่ยังมีการแก่งแย่งชิงดีกันอยู่

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมค่ะ และก็ขอชื่นชมในสำนวนการเขียนของคุณ แตงยังเขียนไม่ได้อย่างนี้เลยนะ

ชื่นชมค่ะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ชลบุรีมามี่คลับ Literature Blog


โดย: comicclubs วันที่: 9 กันยายน 2559 เวลา:23:51:37 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ ชลบุรีมามี่คลับ
จำได้ว่า คุณเคยเข้ามาเยี่ยมบล็อกของครูนานมากแล้ว และครูได้อ่านเรื่องนี้ ตอนก่อน ๆ แต่อยู่ ๆ คุณไม่ได้มาบอกในบล็อกเลย เลยตามอ่านไม่เจอ ห้าห้า คนแก่ ก็อย่างนี้แหละ โลเทค ไม่บอกก็ไม่รู้จะไปอ่านที่ไหน อิอิ
มาอ่านบล็อกนี้ พอจะจำเรื่องตอนก่อนได้บ้าง รู้แต่ว่า เป็นเรื่องสงคราม การรวมชาติ ต้องอยู่ในป่า เขาลำเนาไพร อิอิ
โหวดหมวด งานเขียนของเจ้าของบล็อก จ้ะ
ขอบใจที่มาเยี่ยม บล็อก มุมกล้อง ที่ครูเขียน และชม ภาพของครูด้วย อิอิ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 11 กันยายน 2559 เวลา:12:19:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ชลบุรีมามี่คลับ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เป็นนัก(หัด)เขียนนิยายพาร์ทไทม์ เป็นคุณแม่ทำงานที่ชอบฝันกลางวันแบบฟูลไทม์ด้วย

บล็อกนี้มีเรื่องเล่ามากมาย เข้ามาค้นหาสิ่งที่อยากรู้ได้ตามสบาย


ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ติดตามนิยายของ จขบ
สามารถอานได้ทั้งทางเวบ

Hongsamut : https://hongsamut.com/writerdetail.php?writerid=3992

และทางเว็บ Dek D ค่ะ
https://my.dek-d.com/redapplels/


เนื้อหา ภาพถ่าย ในบล็อกนี้
ได้รับความคุ้มครอง
ตามกฏหมายพ.ร.บ.
สิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 ห้าม
นำไปใช้ คัดลอก ดัดแปลง
แก้ไขส่วนหนึ่งส่วนใดโดย
เด็ดขาดนะจ๊ะ

คนดี...


New Comments
Friends' blogs
[Add ชลบุรีมามี่คลับ's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.