ดวงตะวันเคลื่อนต่ำบอกเวลาว่าให้ผมรู้ว่าเราหนีพวกต้นน้ำมานานเท่าไหร่แล้วนับตั้งแต่ฟ้าสางพวกเราวิ่งท่ามกลางทุ่งต้นอ้อแห้งขึ้นสูงเหนือหัวสลับป่าละเมาะไม่มีต้นไม้ใหญ่เป็นที่กำบังให้พวกเราได้บังแดดอากาศวันนี้ก็ช่างร้อนสุดใจ หาน้ำที่ไหนอาบไม่ได้ก็ได้อาบเหงื่อต่างน้ำนี่แหละ
นี่เราหนีมาไกลพอหรือยัง
เสียงของที่มิ่งถามไล่หลังฟังดูคล้ายกำลังจะหมดแรงผมหันไปมองทันเห็นน้องสาวล้มพับนั่งกองกับพื้นดิน ใช้ใบหน้าอิดโรย อ่อนล้ากำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจนี่เราเลยเขตของพวกต้นน้ำมาแค่ไหนแล้ว ผมถามซุนก่อนตัดสินใจทำตามคำขอทางแววตา
อดทนเดินต่ออีกหน่อยถ้าผ่านชะง่อนหินนั่นไปแล้วเราก็เข้าสู่อยู่ในพื้นที่ปกครองของไทยะซุนบอกแล้วถอยหลังไปฉุดแขนน้องสาวของผมให้ลุกขึ้นยืนแต่ถูกมิ่งสะบัดมือออกพร้อมกับคำพูดที่มาจากอารมณ์ขุ่นเคือง
ฉันจะหยุดพักที่นี่ถ้าเธออยากไปก็ไปก่อนเถอะ อันที่จริง ฉันก็ไม่อยากจะไปด้วยแล้ว ฉันอยากกลับบ้านไม่อยากไปไหนทั้งนั้น !
เธอนี่มันทำตัวแย่รู้แบบนี้ฉันไม่ช่วยออกมาเสียก็ดี ! ซุนก็คงเหลืออกเหมือนกัน
เธอน่ะหรือช่วยคนที่ช่วยน่ะ พี่ชายฉันต่างหาก
ช่วยแบบที่เอาระเบิดปลอมไปขู่พวกนั้นน่ะหรือจะหลอก จะตบตาก็ทำไม่สุด ปล่อยให้เขารู้ เลยโดนตามล่าเอาเป็นเอาตายแบบนี้ไงแทนที่จะเดินออกมาสวยๆ
ผมไม่อยากฟังทั้งสองโต้เถียงกันอีกจึงขอหยุดสงครามวาจาไว้ พอเถอะ แค่วิ่งหนีก็เหนื่อยพอทนแล้วเก็บแรงไว้เดินทางต่อดีกว่ามาใช้แรงทุ่มเถียงกันผมพูดแล้วหยิบเอากระบอกน้ำออกจากกระเป๋ายื่นให้น้องสาวของผมดื่มจากนั้นจึงส่งต่อให้ซุนแต่ก่อนจะยื่นกระบอกน้ำส่งให้เธอ ผมขอเอ่ยอะไรบ้างฉันไม่ได้ป้ำเป๋อขนาดไม่รู้ว่านั่นเป็นระเบิดปลอม เพราะฉันจงใจแอบลักมาจากเห่าดงมันจะพกระเบิดปลอมไว้ใช้ขู่ฝ่ายตรงข้ามให้ยอมก่อนเสมอ ไม่มีใครอยากให้ใครตายและฉันก็ไม่คิดว่าชุมชนต้นน้ำเขาจะฝึกเด็กวัยรุ่นพวกนั้นให้เป็นหน่วยกล้าตายวิ่งพุ่งชนฉันจนลูกระเบิดหลุดมือ
ซุนมองผมเพียงแวบหนึ่งแล้วหันหน้าไปทางอื่นปฏิเสธน้ำที่ผมกำลังส่งให้
ฉันก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน
เธอพูดเสียงเบาและเสียงของเธอสั่นจนผมจับความรู้สึกได้ ไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อยทำไมต้องทำหน้าเศร้า
ผมพูดปลอบใจในแบบที่คิดว่าดีที่สุดแล้วเราพักกันก่อนก็คงได้ ฉันไม่ได้ยินเสียงปืนหรือเสียงคนเราน่าจะหนีพวกนั้นพ้นมากแล้ว
ก็ตามใจซุนยักไหล่ แต่อย่าลืมสัญญาที่คุณบอกไว้กับพี่เห่า หวังว่าคุณคงไม่บิดพลิ้วซึ่งถ้าจะให้พูดตามตรง ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคุณน่าเชื่อใจได้แค่ไหนแล้วที่คุณต้องเดินทางมาหาพี่เห่าถึงแหลมทองเพราะอะไร ฉันถามคุณจริง ๆ เธอคุณหนีอะไรมา แล้วคุณมีอะไรที่พวกเขาต้องการ
เธอพูดแล้วมองตรงมาที่กระเป๋าของผมไม่เกี่ยวกับเธอ บอกแล้วเดินผ่านซุนไปนั่งลงข้างน้องสาวที่เอนหลังลงไปนอนผ่อนลมหายใจกับพื้นนานแล้วมิ่งคงเหนื่อยมากจนไม่สนใจว่าตรงที่เธอมันเป็นผืนดินชุ่มมีหญ้าและวัชพืชขึ้นรกทีอาจมีมดแมลงมีพิษอาศัยอยู่
เรากลับบ้านกันไม่ได้หรือพี่มั่นกลับไปหาพ่อกับแม่ มิ่งพูดขณะหลับตา
เราจะได้กลับแน่แต่รอให้เข้าตัวเมืองไทยะเสียก่อน ฉันจะส่งแกขึ้นรถไฟ ให้แกกลับไปก่อนแล้วฉันจะตามไปถ้าเรื่องทุกอย่างจบแล้ว
นี่พี่ต้องตามคนพวกนั้นไปช่วยนายอัศวินอะไรนั่นจริงหรือมิ่งลืมตา ลุกขึ้นนั่งเหลือบมองไปทางซุน แล้วลดเสียงให้เบาลงเราจะเชื่อใจเขาได้หรือเปล่ายังไม่รู้ นี่พี่ไม่สังเกตหรือ ตั้งแต่เราออกจากไทยะแล้วาถึงแหลมทองก็มีคนมารับขวัญเราเลย แล้วยังเมื่อวันก่อนอีก ที่ฉันโดนจับที่ลำธารมันก็รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน... มิ่งหยุดพูดมองไปทางซุนอีกครั้ง ครั้งแรกนายเห่าดองนั่นมาช่วยเราได้ ฉันก็ยังไม่คิดอะไร แต่... พอมาครั้งที่สองมันจะบังเอิญไปไหมที่นายเห่าดองของพี่พเราไปใกล้ถิ่นของพวกนั้น
ผมมองแววตามั่นออกมั่นใจของมิ่งแต่ไม่ได้คิดตามอะไรทั้งสิ้น เพราะผมไม่เคยคิดว่าเห่าดงจะเป็นคนแบบนั้นภาพเก่าๆของมิตรภาพยามเราตกระกำลำบากในสงครามมันยังเด่นชัดเสมอถ้าเหนื่อยจนคิดอะไรเพ้อเจ้อ ก็นอนหลับซะ อยากพักนักไม่ใช่หรือ
ฉันไม่ได้เพ้อเจ้อนะมีคนของต้นน้ำพูดให้ฉันฟัง เขาก็เป็นนักศึกษารุ่นๆ ฉันนี่แหละ
เรื่องอะไรผมถามกลับ มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับไอ้เห่าหรือไง
ก็...ไม่เชิงเกี่ยวกับนายเห่าดองตรง ๆ หรอก แต่ฉันว่าก็มีเกี่ยวบ้างแหละ เขาพูดถึงคนที่ชื่ออัศวิน...นายพลอัศวิน ผู้บังคับบัญชาที่ถูกขังลืมในคุกอเวจีของพี่น่ะ
เขาบอกว่ายังไง...
เขาบอกว่า....นายพลอัศวินเป็นกบฏ ต้องการปลุกปั่นชาวชุมชนนอกเขตพัฒนาให้ต่อต้านนโยบายเป็นหนึ่งเดียวกันกับเมแกนของรัฐบาลยุคฟื้นฟูนายพลอัศวินไม่ยอมรับพวกเมแกนให้เข้ามายืนในแผ่นดินไทยะ หรือแม้แต่ในแผ่นดินที่เคยเป็นของไทยะก็ตาม
เพราะนายพลอัศวินคิดว่าความคิดนี้ไม่ต่างจากการถูกรุกรานอานาเขตด้วยอาวุธสงครามแต่จะเป็นการรุกรานแบบกลืนกินของปรสิต... ผมเองที่ต่อคำพูดของมิ่งไทยะจะถูกแทะเล็มทีละนิดๆ โดยไม่รู้ตัวจนสุดท้ายไม่เหลือสิ่งที่เป็นของไทยะโดยแท้จริงแม้แต่ความคิดมันเป็นแผนของพวกเมแกนที่จะให้ลูกหลานของตนเข้ามาครอบครองถิ่นทำกินในไทยะได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
ใช่...มิ่งพูดด้วยแววตาประหลาดใจ แต่ถ้ามันจะทำให้สงครามสงบ ผู้คนอยู่กันโดยสันติฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหน... ที่พี่เคยพูดให้ฟังบ่อย ๆว่านายพลอัศวินรักในเสรีภาพเขาก็ควรยอมรับว่าก่อนจะมีเสรีภาพมันต้องมีสันติภาพมาก่อนไม่ใช่หรือ
หมายความว่าเธออยากให้ทุกชุมชนรวมชาติกันแม้แต่เมแกนก็ควรรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเราใช่ไหม
ผมและมิ่งหันไปทางเสียงแทรกบทสนทนาซุนนั่นเอง เธอเคลื่อนตัวมาใกล้ได้เงียบจนผมไม่รู้สึกตัวเธอนั่งลงคุกเขามองมิ่งด้วยสายตาคาดหมายอะไรบางอย่าง
มัน...มันก็น่าจะเป็นแบบ...นั้น น้ำเสียงมิ่งฟังไม่มั่นใจเลยสักนิดผมรู้ว่าน้องสาวผมคนนี้มีแนวคิดสมัยนิยมเหมือนนักศึกษาทั่วไปที่รักเสรีภาพแต่ก็มีมากที่ไม่กล้าบอกความคิดเห็นของตัวเองแบบตรงไปตรงมา เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจลับที่ไม่อาจต่อต้าน
ถ้าเธอคิดแบบนั้นจริง เธอก็คือดวงตะวันดวงใหม่อีกหนึ่งดวงเป็นดวงตะวันในวันพรุ่งนี้ของใครหลายๆ ที่ใฝ่ฝันถึงเสรีภาพและสันติภาพอันอบอุ่น
ผมมองดวงตาซุนขณะเอ่ยประโยคนั้นมันเป็นดวงตาแห่งความปีติ ผมยิ้มออกมาพลัน ก็เมื่อกี้เธอยังตีหน้ามุ่ยอยู่เลยไม่ทันไรเปลี่ยนอารมณ์เป็นอีกอย่างแล้ว แต่ผมอยากให้เธอรู้อะไรมากกว่านี้อยากบอกเธอว่า มีดวงตะวันอย่างที่เธอบอกมากมายหลายดวงในแผ่นดินที่จุติโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าแล้วก็จากดับไปในแผ่นดินอย่างไม่คิดที่จะหวนกลับมา แต่โลกาจะไม่มีวันดับหากความคิดของพวกเขาถูกถ่ายทอดออกไปจากรุ่นสู่รุ่น
ถ้าเสรีภาพสันติภาพแบบที่นายพันเดโชพูดนั้นมันดีจริงแล้วทำไมถึงยังมีพวกที่ต้องการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย พวกเธอเคยคิดดูไหมทำไมคนที่ต่อสู้เพื่อเอกราชและความสงบของรัฐถึงลุกขึ้นต่อต้านนโยบายรวมชาติล่ะมีใครฉุกคิดบ้างหรือเปล่า ผมย้อนถาม พี่มั่น.... บางที ฉันก็สงสัยว่า พี่มั่นรู้อะไรมากกว่าที่พี่ทำตัวมิ่งแทรกขึ้น คนที่ต้นน้ำเขาบอกอีกว่า... พี่มั่นพี่ชายของฉันคนนี้สำคัญมากกว่าที่ฉันรู้นัก
ไอ้คนต้นน้ำนั่นมันเป็นใครกันถึงได้พูด...ผมยังไม่ทันพูดจบ
พี่เก็บอะไรไว้กับตัวพี่มั่น พี่เก็บอะไรไว้ในกระเป๋านั่น เพราะเจ้าสิ่งนั้นใช่ไหมที่ทำให้ฉันถูกยิงเพราะเจ้าสิ่งนั้นใช่ไหมที่ทำให้เราต้องระเห็จออกจากบ้าน
มิ่ง...ผมหาคำอธิบายไม่ได้ หากพูดไปก็รู้ว่าต้องโกหก
พี่เคยเรียนมาไหมไทยะที่เราเรียก ๆ กันแท้จริงมามาจากคำว่า ไทสุริยะ หรือตะวันแห่งอิสระเสรี !
ผมฟังน้องสาวพูดอย่างเก็บความรู้สึกชั่วครู่แล้วเค้นคำพูดของตัวเองออกจากความคิดที่ค่อยๆ ลำเรียงออกมา แล้วดวงตะวันอย่างพวกเธอน่ะทำไมถึงมอดไหม้ไปในทุกเช้าวันใหม่ล่ะ ที่เห็นหยิ่งทะนงตนว่าเป็นตะวันดวงใหม่มีความคิดใฝ่เสรี ถ้ามีดวงตะวันมากขนาดนั้น มีไฟขนาดนั้นถามทีว่าทำไมยังมีความขัดแย้งกันอยู่แบบนี้ถามตัวเองให้แน่ว่าตัวเองเป็นดวงตะวันหรือดวงไฟที่ใช้พลังงานไปไม่เท่าไหร่มันก็มอดสู้ไม่ได้แม้กับหิ่งห้อย แมลงในตำนานตัวเล็กกระจ้อยร่อยที่มันเอาพลังงานชีวิตทั้งชีวิตสร้างแสงไฟเพียงเพื่อต้องการให้เผ่าพันธุ์ของพวกมันได้เกิดใหม่
ผมไม่รอให้ทั้งสองไม่ตอบโต้วาจาใดๆ และไม่อยากรอด้วย นายพลอัศวินและพวกพ้องของเขาก็เป็นเหมือนหิงห้อย ที่ยอมตายเพื่อคนรุ่นหลัง...พวกเขาอยู่ได้ด้วยพลังแห่งศรัทธาในพลังของตน ไม่ได้อยู่เพราะเฝ้ารอแสงของดวงตะวันที่มีแต่จะถูกเก็บลับหายไปในห้วงมิติจักรวาลความคิดที่ยอกย้อน !
เปรี้ยง!
คำพูดสุดท้ายที่หลุดจากปากสร้างความเจ็บปวดในอกเป็นเพราะคำพูดของผมหรือลูกปืนปริศนา ร่างของผมฟุบลงคว่ำหน้า พร้อมกับเสียงหวีดร้องของมิ่งพยายามบังคับลมหายใจเข้าออกดันตัวเองให้ลุกขึ้นจะบอกให้ผู้หญิงทั้งสองไปหาที่ซ่อนก็ไม่มีประโยชน์เพราะเจ้าของลูกตะกั่วที่ฝังในร่างผมคงเฝ้าดูจากที่ไหนสักแห่งในดงดอกอ้อ
ตะวันคล้อยลอยอยู่ตรงหน้าอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงชะง่อนผา ที่ ๆ มีเส้นแบ่งดินแดนไทยะออกจากแผ่นดินอื่นผมเป็นคนของไทยะ ไม่ได้เป็นคนไร้แผ่นดินที่ไม่มีใครคอยคุ้มหัว และผมก็จะไม่ยอมก้มหัวให้ใครที่กระทำการกับคนอื่นแบบไร้อารยะธรรมไร้ความปราณี เลือดชายชาติทหารจะหลั่งออกจากอกรดล้างแผ่นดินเพื่อประชาราษฎร์เท่านั้น
ถ้าเราไม่ใช้แผนล้างบางเราก็ไม่มีทางพลิกแผ่นใหม่ได้ ล้างเอาคนเก่าออก ล้างเอาความคิดเก่าออกให้หลงเหลือแต่พวกที่เชื่อเรา คิดแบบเดียวกับเรา
แว่วเสียงประโยคนั้น...ที่ผมได้ยินจากปากของไอ้เดโชก่อนที่สาวนักข่าวจะจบชีพลงหิงห้อยแสนสวยงามที่เปล่งแสงสุดท้ายของเธอ ผมกอดกระเป๋าแน่นเข้าไว้ แสงสุดท้ายที่เธอเสียสละไปผมจะไม่ยอมให้มันดับลงอย่างสูญเปล่าเด็ดขาด ผมจะเก็บแสงริบหรี่นั้นไว้ด้วยพลังของตัวเองเก็บพลังแห่งศรัทธาของเธอ ที่เป็นพลังแห่งตะวันที่แท้จริง
แต่...ก่อนอื่น ผมต้องคงต้องเอาพลังนั้นมาช่วยตัวเองหนีรอดจากตรงนี้ให้ได้เสียก่อน !!!
ตอนที่ผ่านมา
ตอนที่ 1 ที่เธอถาม
..........................................................................................................................................
คุยกัน(ยาว)หน่อย
โจทย์ยากมาก ไม่รู้จะเอาโจทย์ไปใส่ตรงไหน เกรงว่าเขียนไปจะพามั่นกับมิ่งออกทะเล
เอ้า เขียนออกมาได้แล้ว ไม่ออกทะเลแต่ก็ไปทอดสมอแถวๆ บางปะกง
เดือนพฤษภาแล้วนะ เดือนนี้มีหยุดยาวติดกันสามวัน ใช้ให้คุ้ม
แต่ของ จขบ ใช้ไปกับงานของบริษัทที่ต้องหอบรักของเจ้านายกลับมาเติมเต็มที่บ้าน
แหมเอ๊ยยย ชั่วโมงทำงานวันละแปดชั่วโมงกว่าๆ ไม่พอให้ทำงานเสร็จกันเลย
งานช่วยเหลือสังคมเพื่อนร่วมงานก็ขาดเราไม่ได้ แต่งานเรานี่สิ หาใครทำแทนกั๊น บ่อได้
กรีดร้อง ๆ
แต่ทว่า สามวันทำงานเต็มๆ ก็ไม่เสร็จฮ่ะ รำพึงไปพลางจิบกาแฟไปพลาง
ดูชิลล์นะ...
ช่วงที่งานเยอะจนทำให้สมองจัดระเบียบไม่ถูก
นี่มีเพลียกันบ้างนะคะ ยิ่งมีเพื่อนร่วมงานชวนจี๊ด
นี่ก็ยิ่งสั่งสมแต้มความเพลียเข้าไปใหญ่
วันหยุดก็หาได้หยุดไม่ ต้องสะสางงานให้เสร็จให้มากที่สุด
หนังสือฮาร์วาร์ดบอกไว้ ก้าวทีละนิดในทุกวันก็ดีแล้ว
เชื่อเขา ๆ
แต่ใครจะปล่อยให้เวลาทองแห่งการพักผ่อนหมดไปกับเอกสารกองโตล่ะ
มาพักผ่อนกับงานเขียน (ที่ยากกว่า) ให้เสร็จด้วยเลยดีกว่า
จะยุ่งแค่ไหนก็ไม่ลืมงานที่ตัวเองรักหรอกนะ ขอเปลี่ยนบรรยากาศปลุกวิญญาณคนชอบเล่าเรื่อง
ให้ออกจากร่างทรงมนุษย์เงินเดือน
พูดถึงงานที่ตัวเองรัก ใครได้ทำงานที่ตัวเองรักถือเป็นสิ่งดี
แต่ใครที่รักงานที่ทำแม้จะไม่ใช่งานที่รักก็ยิ่งดี
ในวันวิสาขบูชา พาลูก ๆ ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า
ได้มีโอกาสฟังท่านพระอาจารย์สมปองเทศน์ ฟังแล้วอมยิ้มๆ
สายตาก็ไปเห็นชายร่างผอม ความสูงไม่มากนัก เขากำลังใช้ที่คีบโลหะ
คีบขยะออกจากถังขยะหนึ่งมาใส่ในถังขยะที่ตัวเองเข็นอยู่
วันหนึ่ง ๆ มีคนมาเที่ยวห้างกี่ร้อยกี่พัน แล้วเขาต้องเดินคีบขยะกี่รอบ
แต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ดูเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นเพราะเขารักงานที่ทำ
หรือไม่มีทางเลือกจึงต้องทำ
ถ้ามองในมุมบวก ค่ะ... มุมโลกสวยนั่นแหละค่ะ
เขาไม่ได้รักงานนั้นหรอก แต่เขารักที่จะทำงาน
บางคนมีงาน แต่เกี่ยงงอน เกียจค้าน (ว่าตัวเอง)
บ่นทุกครั้งที่งานเยอะ งานมาก
แต่ลองคิดดู ถ้าวันหนึ่งเราว่างงานในช่วงที่ไม่มีอะไรมารองรับ
หนี้บัตรเครดิตล่ะ ค่าความสุขที่ต้องแลกด้วยเงินล่ะ
จะเอามาจากไหน
ย้อนมาคิดเรื่องชายคีบขยะในห้าง
ถังขยะที่เขารับผิดชอบก็ไม่มีเศษขยะเลย
เก็บได้เรียบร้อยดีเสียด้วย
สิ่งที่เขาทำ ทำให้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ดูสะอาด ขยะไม่สั่งสมแม้จะมีคนมาใช้บริการล้นหลาม
โอ เขาช่างทำสิ่งสำคัญให้กับเจ้าของกิจการ
เป็นหน้าตาของห้างสรรพสินค้า
ถ้าเจ้าของห้างเขามาเห็นก็คงคิดเหมือนกับเรา นะ... แอบมีคำว่า..นะ
เอาเป็นว่า ถ้าเรารักที่จะทำงาน การเป็นคนขยันจะทำให้เราก้าวหน้ากว่าใครไปหนึ่งก้าว
แค่ก้าวเดียวแต่ก็เป็นก้าวสำคัญนะ
หนังสือฮาร์วาร์ดกล่าวไว้
ปลอบตัวเองก่อนเริ่มงานวันจันทร์กันนะทุกคน
เอ๊ะ อะไรนะ พรุ่งนี้วันจันทร์
โฮ.... เอาวันหยุดของฉันคืนมา
จบเถอะ
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Close To Heaven Food Blog ดู Blog
Insignia_Museum Education Blog ดู Blog
ชลบุรีมามี่คลับ Literature Blog ดู Blog
แวะมาอ่านและมาโหวตให้ค่ะ