นักฝันผู้ชอบเขียนเล่าเรื่อง
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2560
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
2 กุมภาพันธ์ 2560
 
All Blogs
 
โจมตี






โจมตี



ร่างสูงใหญ่ของชายผิวกร้านแดดยืนผงาดนำหน้ารายล้อมด้วยบริวารรูปร่างไม่ห่างกันกับผู้นำของพวกเขา นับพลได้ร่วมราวยี่สิบนายที่เห็นได้ด้วยตาไม่หมายรวมถึงหลายสิบหรือหลายร้อยนายที่อาจซุกซ่อนพลางกายหลังม่านหนาของต้นหญ้าคาแห้งสีทองรอบทิศ

จะเป็นสลัดบกหรือสลัดทะเลโจรก็คือโจร ซึ่งพวกเขาก็ไม่เคยทิ้งแบบแผนการต่อสู้ที่มีมาช้านาน ผมคิดเอาเองให้หวั่นวิตกว่าหากเกิดการต่อสู่กันแล้วผู้ที่มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำจนแพ้พ่ายนั้นน่าจะเป็นฝ่ายทหารรักษาพระองค์ของเจ้าอิระวดี

“องค์เหนือหัวแห่งอิระวดี”ฝ่ายสลัดบกเป็นผู้ส่งเสียงก่อน “ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวั่นเกรงข้าและพวกพ้องน้องข้ามารอพระองค์ตามพระราชสารแล้วทรงเผยพระพักตร์ออกมาให้พวกเราได้ชมบารมีเถิด”

“องค์เหนือหัวทรงพระประชวรข้าไม่อาจให้พระองค์ต้องแสงอาทิตย์ ด้วยเกรงว่าจะมีพระปรอทสูง”

องค์รักษ์ผู้หาญกล้านายหนึ่งกระตุกเชือกบังคับม้าให้เคลื่อนตัวออกมาจากป้อมปราการชุดเกราะแล้วตอบโต้วาจาแทนองค์เหนือหัวของตนความองอาจผึ่งผายบนหลังอาชาไนยทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ทั้งหมด

“เราจะใช้ทุ่งกว้างแห่งนี้เป็นห้องหารือกันหรืออย่างไร”

ผู้นำสลัดบกแยกยิ้มเห็นฟันซี่ดำอันเป็นผลจากการกินลูกหมากตามวัฒนธรรมดั้งเดิม“ขึ้นอยู่กับเรื่องที่องค์เหนือหัวจะทรงเจรจากับพวกเรานั้นมีระดับความลับแค่ไหน”

ที่ผมเคยได้ยินจากคำเล่าขานของกองทหารประจำการภูมิภาคตะวันออกว่ายังมีชนเผ่าไร้แผ่นดินที่ลักลอบเข้ามาอยู่กินอาศัยในเขตแดนแห่งไทยะบุรีนั้นเป็นเผ่าเถื่อนทระนงแตกต่างกับชุมชนทางป้อมปตะวันตก และป้อมทางเหนือ ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและไม่เคยเรียกร้องอะไรจากรัฐไทยะบุรี แม้จะมีที่ตั้งในแผนที่ภายใต้เส้นแบ่งดินแดนก็ตาม

อาจคล้ายกับกรณีนายเพ็งที่ยอมก้มหัวให้รัฐไทยะบุรีในอดีตกาลเพื่อให้แผ่นดินที่เชื่อว่ากำเนิดจากพระสุริยาได้มีเนื้อที่แผ่ขยายออกไปไพศาลดั่งรัศมีของดวงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์ที่ควรปกป้องรักษาให้ความอบอุ่นแต่กลับกลายเป็นการยึดครองเผาทำลาย ริดรอนสิทธิเสรีภาพของคนต่างเชื้อชาติหรือแม้แต่คนต่างความคิด

“โปรดพาเราไปยังสถานที่ของท่าน”องค์รักษ์เอ่ยเสียงหนักแน่น

“ลงจากม้าแล้วเดินเท้าไปกับพวกข้า”

คำพูดของผู้นำโจรทำให้องค์รักษ์หนุ่มลอบมองผ่านหน้ากากเหล็กด้วยสายตากังขาไม่เว้นแม้แต่ผมที่ไม่ใคร่อยากทิ้งพาหนะมีชีวิตอันเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทางหรือยามรบผมรู้ดีว่าความรู้สึกในใจของทหารบนหลังม้าคงคล้ายกับเวลาที่พวกผมถูกบังคับให้ลงจากยานเกราะเพื่อเดินเท้าเข้าสู่อาณาเขตของศัตรู

“ที่ของพวกเรานั้นม้าไม่สามารถเข้าไปได้ หากท่านฝืนและอยากจะทรมานสัตว์ของท่าน ข้าก็จะไม่ขัด”

“พวกเราก็ไม่สามารถทิ้งม้าของพวกเราไว้กลางทุ่งหญ้าแห้งแล้งเช่นกัน”องค์รักษ์แย้ง

“คนของข้าจะดูแลม้าของท่านเป็นอย่างดีแล้วท่านจะพบม้าของท่านที่ปลายทางออกเมื่อเราทำการเจรจาเสร็จสมบูรณ์”

องค์รักษ์นายนั้นส่งสัญญาณทางสายตาให้กับนายทหารผู้ยืนอยู่เคียงข้างคงเป็นการสั่งการให้เข้าไปรายงานเจ้าอิระวดีและขอพระราชทานคำตัดสินพระทัยและในไม่กี่วินาที สารจากเจ้าอิระวดีก็ถูกนำส่งถึงหูองค์รักษ์โดยปากของผู้ส่งสาร

“มานา โอริโร่ !”

สิ้นเสียงสั่งการของหัวหน้าองค์รักษ์ นายทหารผู้ควบอาชาไนยทั้งหมดต่างลงจากม้าศึกของพวกตนโดยฉับพลันแน่นอนว่า ในใจของผู้ทำหน้าปกป้ององค์ราชันย์นั้นยังมีความหวั่นเกรงแต่ด้วยพระราชดำรัสที่ต้องปฏิบัติตามโดยไม่อาจฝืน

เมื่อไม่สามารถนำพาหนะมีชีวิตไปด้วยได้พระราชพาหนะของเจ้าอิระวดีก็เช่นกัน พระราชเกี้ยวถูกวางลงอย่างนุ่มนวลม่านบังตาที่เป็นผ้าผืนหนาปักลายตามวันฒธรรมแห่งลุ่มน้ำตะวันตกถูกแง้มออกด้วยมือผอมบางในที่สุดผมก็ได้เห็นใบหน้าน้องสาวหลังจากที่ไม่ได้เห็นนับตั้งแต่ออกเดินทางพ้นประตูทางเข้าโอเอซิส

มิ่งก้าวขาออกจากพระราชเกี้ยวก่อนแล้วจึงตามมาด้วยองค์ราชันย์ที่ไม่ได้ทรงเครื่องพระอิสริยยศใด ๆแต่สวมใส่เครื่องแบบเหมือนกับทหารของตนเจ้าอิรวะดีที่ผมไม่เคยได้พบเห็นนั้นผิดกับผมเคยวาดไว้ในหัวลิบลับด้วยการวางท่าทีนิ่งเฉย แต่มีใบหน้าอิ่มละไม

“ขออภัยที่ทำให้ท่านรอแล้วยังทำให้เสียเวลานานโปรดนำพวกเราไปยังสถานที่ท่านโดยเร็วเถิด เรายังมีอาการป่วยหลงเหลือเล็กน้อยไม่อาจทนต่อแสงแดดร้อนแรงเป็นเวลานานได้”

วจีของผู้เป็นใหญ่จากแผ่นดินอื่นที่มีต่อกลุ่มชนเร่ร่อนช่างนอบน้อมจนไม่อาจแสดงอาการขึงขังตึงตังใส่แต่แววตากล้าแกร่งของผู้นำสลัดบกก็ไม่ได้ฉายความหวั่นเกรงออกมา

“ข้าจะนำทางพระองค์ไปก็ต่อเมื่อพระองค์สั่งคนของพระองค์ทิ้งอาวุธไว้ที่นี่ทั้งหมดเสียก่อน”

“เรามีอาวุธพร้อมมือแต่เราไม่ได้มาเพื่อสู้รบปรบมือแต่มาเพื่อเจรจา” เจ้าอิระวดีรับสั่ง

“อาวุธจะไม่ถูกนำมาประหัตถ์ประหารชีวิตหากใจไม่สั่งการแต่ข้าจำต้องให้ท่านทิ้งอาวุธไว้ที่นี่เป็นเพียงการปกป้องความปลอดภัยอันมีต่อลูกหลานของโจรจากโพ้นทะเลและแสดงความบริสุทธิ์ใจที่แท้จริงว่าพระองค์เองก็ไม่ได้มาเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเรา”

คำขอแรกคือทิ้งม้าคำขอที่ตามมาคือทิ้งอาวุธ เสียงคำรามในลำคอของหัวหน้าองค์รักษ์ดังใกล้หูของผมแต่ก็มิอาจทำอะไรได้หากไม่มีคำสั่งจากเจ้าของตน

“ให้พวกกระผมคอยเฝ้าม้าศึกและอาวุธของท่านที่นี่เถิดเพราะกระผมและสหายเป็นแค่ผู้ติดตามขบวนของเจ้าเท่านั้น ไม่ใช้ทหารองค์รักษ์และก็อยากที่เข้าไปรับรู้เรื่องการเจรจาระหว่างพวกท่าน”

เห่าดงเอ่ยอาสากับองค์รักษ์ผมไม่รู้ว่าเห่าดงมีความคิดอะไรในใจถึงไม่อยากรู้เรื่องระหว่างอิระวดีและสลัดบกอย่างผมแต่เมื่อลอบสบตากับสหายร่วมรบ แม้จะไม่ได้ทำให้ล่วงรู้ความคิด ก็ต้องยอมไว้ใจและสิ่งหนึ่งที่พอจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของสลัดบกว่าจะไม่เล่นกลลวงอะไรก็คือยอมให้ใครสักคนที่ไม่ใช่พวกตนอยู่ร่วมเป็นสักขีพยานของการเคลื่อนย้ายม้าศึกและอาวุธ

ผู้นำสลัดบกแย้มยิ้มยกนิ้วชี้ตรงมาที่เห่าดง “ข้าไม่ขัดข้อง หากจะให้ไอ้หนุ่มนั่นอยู่เป็นพยาน !”

การเสนอตัวได้ผลตอบรับทันทีผมสบตากับน้องสาวเพียงแค่แวบเดียวก่อนที่เธอจะหันหลังเดินตามเจ้าอิระวดีไปในฐานะแพทย์ผู้ติดตามพระองค์

“อย่างน้อยมึงก็มั่นใจเถอะว่า มิ่งจะปลอดภัยหากอยู่ใกล้เจ้าอิระวดีมากกว่าอยู่ใกล้พวกเรา”

เห่าดงพูดพร้อมกับตบบ่าของผมเป็นคำปลอบที่ทำให้เกิดความรู้สึกชั่วแวบหนึ่งในใจหัวใจของผมรู้สึกโหวงเหวงเคว้งคว้างประหลาดคล้ายกับถูกทิ้งให้อยู่เปล่าเปลี่ยวในห้วงอวกาศดำมืดภาพหลังของมิ่งที่กำลังเดินห่างออกไปคล้ายกับสัญญาภาพที่ผมเคยพบเคยสัมผัสครั้งใดครั้งหนึ่งมาก่อน

พวกเราทหารปลดประจำการแห่งรัฐไทยะบุรีเดินย่ำเท้าไปบนทางเดินหินขรุขระที่เลียบไปกับกำแพงหินธรรมชาติภูเขาหินปูนลูกนี้คงถูกระเบิดเพื่อนำเอาดินไปก่อสร้างเขื่อนขนาดให้ทางตอนเหนือของไทยะบุรีและไกลออกไปราว ๆ สองสามเมตรด้านหน้าคือเหล่าชายเชื้อสายโจรแห่งน่านนที ในมือของพวกเขามือสายจูงม้าลำตัวใหญ่บึกบึนส่วนในมือของพวกผมคือคานไม้ใหญ่หนักอึ้งที่ให้หาบเกี้ยวพระที่นั่งขององค์เจ้าอิระวดี

“กูไม่คิดว่าสมัยนี้ยังมีที่ไหนใช้ม้าศึกกับเกี้ยวแทนรถทหาร”ผมเปรยออกกับเห่าดงที่คงมองกลุ่มชายทมิฬข้างหน้าไม่วางตา

“อิระวดีปิดประเทศมานานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่รู้จักวิทยาศาสตร์หรือวิวัฒนาการอะไรพวกเขามีกลุ่มผู้บริหารเก่งกาจมากมาย และมีราชาผู้ทรงพระปรีชาหลายต่อหลายพระองค์”

เห่าดงตอบผมพลางเหลียวไปดูด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงกระพือปีกดังของกลุ่มนกแร้งก่อนกลับมาเอ่ยประโยคต่อให้จบ“เราไม่เคยเห็นการจับศึกของพวกเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาล้าหลังไม่มีอาวุธยุทธโทปกรณ์”

ผมนึกถึงภาพในหนังสือวิชาประวัติศาสตร์ที่เคยล่ำเรียนมาจำได้ลาง ๆ ว่ามีชนชาติหนึ่งทางแถบทวีปไกลโพ้นทำการศึกด้วยม้าเทียมเข้ากับรถแล้วต่อมาวิทยาศาสตร์ก็ก้าวไกลจนในอีกหลาย ๆประเทศที่วิวัฒนาการเครื่องมือต่อสู้ฆ่าล้างชีวิต ทว่าในอีกด้านที่มีไม่กี่ประเทศที่ใช้ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ในการค้นคว้าวิธีบำบัดผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บให้รอดชีวิต

โลกนี้ช่างมีการแบ่งแยกเกินไป ใคร ๆต่างมองกันแค่สีขาวหรือดำ ซ้ายหรือขวา สูงหรือต่ำ ร่ำรวยล้นฟ้าหรือจนยากไร้ข้าวประทังชีวิต

“กูได้กลิ่นไม่ดี”

คำพูดของเห่าดงดึงผมออกจากความคิดเพ้อพกสายตาของเขามีแววความโกรธเบาบางฉายอยู่ยามที่ส่ายตามองไปยังทุ่งหญ้าแห้ง

อดีตทหารหน่วยซุ่มโจมตีเร่งฝีเท้าเข้าไปหาพวกสลัดบก“อีกนานแค่ไหนจะถึงจุดหมายของพวกแก”

หนึ่งในนั้นมองเขาด้วยสายตาเหยียดแม้พื้นเพจะไม่ได้มาจากชนชาติอันมีอารยะธรรมสูงส่งแต่เพราะด้วยความเป็นมนุษย์ที่มักเห็นตัวตนสำคัญกว่าใคร

“เดินเลียบภูเขาหินนี่ไปอีกสามถึงสี่กิโลเมตรก็ถึงแหลมมหรรณพ”เขาตอบแล้วหันไปสื่อสารภาษาของชนชาติตนที่ผมจับใจความไม่ได้ก่อนหันมาพูดกับเห่าดงอีกครั้ง

“พวกแกเป็นคนไทยะ ฯ ทำไมถึงอยู่ในขบวนเดินทางของเจ้า ฯ”

“กูเป็นคนนครา”

เห่าดงตอบเสียงเรียบแต่ผมเห็นแววตาของบางคนในกลุ่มสลักบกไหววูบวาบ แล้วฉับพลันปลายกระยอกปืนยาวอันเป็นหนึ่งในอาวุธของทหารรักษาพระองค์ก็จ่อเล็งมาที่พวกผม

“หรืออิระวดีกับนคราจะเล่นไม่ซื่อเรียกผู้นำของเราออกมาพบหวังขับไล่ไสส่งให้ไร้ที่อยู่ที่กินเช่นเดียวกับที่ทำกับบรรพบุรุษของเรา!”

“เฮ้พวกมึงคิดให้ดีก่อนที่จะลั่นกระสุน” เห่าดงยกสองมือขึ้นเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในแบบที่เขาเป็น “ถ้าลูกปืนของพวกองค์รักษ์หายไปแม้นัดเดียวกูว่าพวกมึงนั่นล่ะที่จะจุดชนวนไฟที่มอดไปแล้วให้ลุกโหมอีกครั้ง”

ผมยึดกระเป๋าผ้าใบแน่นมากขึ้นเหลียวมองรอบตัวอย่างไม่ไว้ใจ การสนทนาตรงนั้นไม่ได้ทำให้ผมวิตกเท่าการความเคลื่อนไหวบางอย่างเพราะการก้องสะท้อนของเสียงกับกำแพงภูเขาหินหรือเพราะลมร้อนเจือกลิ่นเค็มจางที่พัดแผ่วฝูงนกทุ่งตัวเล็กจ้อยจึงบินฮือออกจากที่ซ่อนตามทุ่ง และไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น ยังบางคนในกลุ่มสลัดบกเองก็รู้สึก

“ไม่ทันแล้ว”

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเห่าดงก่อนที่จะมีหินก้อนใหญ่มากมายกลิ้งไหลลงจากทางลาดของภูเขาเป็นสิ่งจำใจของคนไม่อยากตาย ต่างปล่อยภาระหน้าที่หาที่หลบกันพลันวันน่าสงสารม้าศึกลักษณะดีหลายตัวที่ไม่รู้จักการเอาตัวรอดเหมือนคนเกี้ยวพระที่นั่งที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของผมก็ถูกหินขนาดเท่าตัวคนหล่นทับจนแตกหักจะมีก็คงเป็นอาวุธของทหารองค์รักษ์บางชิ้นที่รอดพ้นการถูกถล่มทับของหินจากภูเขา

เปรี้ยง!!!

อ๊าก!

ร่างของมนุษย์ตกลงมาจากชะง่อนผาเบื้องบนกระแทกกับความแข็งของพื้นดินเต็มแรงเจ้าของร่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงวิญญาณที่หลุดลอยจากคงมีเหตุมาจากกระดูกคอหักมากกว่ากระสุนที่เจาะทะลุลำตัว แต่ความน่าสยดสยองของความตายไม่ได้ทำให้ผมพรั่นพรึงได้หากแต่ผู้ตายนั้นไม่ควรจะเป็น...

“ทหารไทยะบุรี”

เห่าดงพูดกัดฟันกรอดเขาคว้าคอเสื้อของผมแล้วเหวี่ยงผมลอยละลิ่วเข้าซอกกำแพงผาหินจากนั้นจึงวิ่งฝ่าการสาดกระสุนจากยอดผาสูงตรงตามมาอย่างรวดเร็วนอกจากเห่าดงและผมที่ใช้การแนบลำตัวหลบวิถีลูกปืนก็ยังมีพวกสลัดที่รอดชีวิตร่วมใช้แนวกำแพงหินด้วยเช่นกัน

“มึงเป็นคนไทยะ มึงออกไปตะโกนบอกพวกมันให้หยุด !” หนึ่งในสลัดบกส่งเสียงสั่ง

เพราะมันไม่รู้ว่าที่กำลังถูกถูกสาดยิงอยู่นี้อาจเป็นเพราะตามไล่ล่าตัวผมนี้เองออกไปก็เท่ากับเป็นเป้านิ่ง แต่ยืนหลบนิ่งตรงนี้ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะรอดจากความตาย

เปรี้ยง!

ตุ้บ!

หนึ่งนัดเท่ากับหนึ่งชีวิตทหารไทยะบุรีที่ร่วงหล่นมานอนตาเหลือกช่างคุ้นหน้าเสียจริงเราคงเคยร่วมรบจับทัพออกศึกที่ด่านไหนกันมาสักด่าน

“ระยำเอ๊ย ลูกปืนหมด !”

เห่าดงผู้ส่งมอบความตายให้ทหารร่วมชาติสบถด่า เขาแหงนมองเหนือหัวพยายามนับจำนวนกำลังพล คงกำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะสู้รบปรบมือกับกองทัพไทยะบุรีอย่างไร

“ไอ้เลวเดโช กัดพวกกูไม่เลิก !”

การลั่นคำของหนึ่งในสลัดบกทำให้ผมได้ความรู้ใหม่ว่าไทยะบุรีก็อาจกำลังใช้วกำลังบีบบังคับชนชาติอื่นเพื่อขยายอำนาจคล้ายกับการล่าอาณานิคมอย่างไรอย่างนั้นและคำถามหนึ่งจึงโดดเด่นเข้ามาในความคิดหรือว่าเจ้าอิระวิดีก็กำลังทำเช่นเดียวกัน แต่อาจมาในรูปแบบสันติวิธี

แล้วพวกเขาจะล่าอำนาจกันเพื่อเหตุใดไทยะบุรีเพิ่งผ่านการสงบศึกกับเมแกนและใกล้จะได้เซ็นสัญญารวมชาติหากไม่มีการจลาจลต่อต้านจากกองพลของนายพลอัศวินนั้นควรจะหยุดพักเพื่อฟื้นบำรุงประเทศที่ผ่านความบอบช้ำแต่นี่ยังย่ำแย่ไม่มากพอหรือ ทรัพยากรที่เคยอุดมก็ร่อยหรอเพราะถูกนำไปใช้ในการทหาร

นโยบายพัฒนารัฐของนายพันเดโชกำลังกลายเป็นกลลวงเสรีภาพมันคงไกลเกินมือคนธรรมดาสามัญจะได้สัมผัส

“กูอยากจับเป็นไอ้ทหารไร้สามัญสำนึก”เห่าดงว่าแล้วหันขวับมาทางผม “ไอ้มั่น มึงรักษาชีวิตมึงให้รอดตรงนี้ก่อน”

เห่าดงใช้ความชำนาญในการเคลื่อนไหวเคลื่อนกายเลียบไปตามกำแพงผา ท่ามกลางเสียงปืนและเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บไม่คนข้างบนก็ของคนด้านล่าง พวกสลัดบกบ้างก็ใช้ศพม้าศึกเป็นที่กำบังบ้างก็ซุกตัวคุดคู้ใต้ชะง่อนหิน

ผมย่อตัวก้มเก็บปืนสั้นด้านสีเงินสลักลายวิจิตร เดาไม่ยากว่าต้องเป็นของทหารองค์รักษ์คนใดคนหนึ่งหวังว่าอานุภาพของมันคงจะมีมากพอ ๆ กับความสวยของมัน

เปรี้ยง !

ผมลั่นไกปล่อยกระสุนสอยหนึ่งในเหล่ากองทัพที่เคยเกรียงไกรในอดีต แปลกที่ผมไม่รู้สึกว่าเป็นพวกเป็นพ้องแปลกที่ผมกลับสะใจที่ได้ปลิดชีพของชนชาติเดียวกันผมโทษสิ่งที่อยู่กระเป๋าผ้าใบในอ้อมกอดเหนียวเป็นตัวส่งพลังให้ผมอยากอยู่รอดอยู่ให้รอดถึงวันที่ความจริงเปิดเผย

ความลับที่ซ่อนอยู่ในเทปบันทึกเสียงของนักข่าวสาวคนนั้นอาจทำให้ใครหลายคนหมดศรัทธาในตัวคน ผมแหงนมองไปทางชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำป่ายปืนขึ้นหน้าผาอย่างไม่ลดละเขาผู้นั้นอาจเป็นหนึ่งในคนที่น่าเวทนาที่สุดหากรู้ว่าคนที่เขารักยิ่งกว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับการตายของผู้บริสุทธิ์มากมาย

และไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสงครามกลางเมืองมันผู้จะต้องก้มกราบผู้ตายที่สังเวยชีวิตแด่คำว่าเสรีภาพ ณ จัตุรัสเสรีชัย

ปังปัง ปัง ปัง !!!

ทุกครั้งที่ลั่นไกปืน คือหนึ่งร่างของทหารกล้าร่วงหล่นจากผาดั่งใบไม้แห้งโดยผู้เด็ดใบนั้นคืออดีตทหารชาติเดียวกันเอง ทำไมผมต้องหมายเอาชีวิตพวกเขานั่นคงเป็นเพราะพวกเขาก็คงหมายเอาชีวิตของผมเช่นกัน มือหนึ่งลั่นไกปล่อยกระสุนมือหนึ่งก็ต้องยึดเอาสิ่งที่ต้องรักษาไว้มั่น หากผมยอมแพ้และปล่อยมันไปแม้ชีวิตผมจะหลุดลอยหาย แต่ก็คงมีหลายคนได้ผลกระทบ

ผมไม่ได้เป็นฮีโร่ และไม่เคยคิดอยากเป็นเลยแต่ผมเป็นผู้ส่งสาร ภารกิจหน้าที่มันค้ำคอ ถ้าจะตายก็ขอให้ตายเพราะทำภารกิจสำเร็จ ซึ่งก่อนที่จะมองไปถึงอนาคตผมจะต้องรอดพ้นสงครามฆ่าฟันขนาดย่อมนี้ไปให้ได้ก่อน แต่ดูเหมือนว่าห่ากระสุนที่สาดซัดใส่กันนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

ลำพังแค่ปกป้องชีวิตตนจากการโจมตีด้านบนก็แย่พอแล้วผมยังต้องปกป้องที่กำบังตัวจากพวกสะบัดบกที่คอยจะเข้ามายื้อแย่งกระเทียมหัวเดียวลีบ ๆ อย่างผมจึงต้องพบศึกสองด้านอย่างช่วยไม่ได้แต่ในการศึกสงคราม ยุทธวิธีที่จะทำให้เหนือศัตรูนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาวุธยุทโธปกรณ์แต่ปัญญาและความสามัคคีต่างหากที่จะนำพาชัยชนะมาสู่พวกตน

แต่หนไหนแต่ไรมา ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปการพัฒนาศักยภาพทางอาวุธกลับกลายเป็นสิ่งสำคัญในหมู่ผู้เจริญทางวัตถุแต่ถ้าหากลองตรึกตรองดูให้ดีเหตุใดจักรวรรดิที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีตอย่างไทยะบุรีหรือแม้แต่เมแกนที่มากพร้อมด้วยความเจริญทางเทคโนโลยีจึงล่มสลายแต่อิระวดี หรือนครนครายังคงสืบอยู่อย่างมั่นคง

ผมแหงนมองหาคำตอบที่กำลังไต่คืบระห่ำท้าทายแรงโน้มถ่วง เห่าดงผู้มีเชื้อสายนครนคราไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ตัวเองรอดชีวิตและเจ้าอิระวดีก็ไม่ได้มาเยือนไทยะบุรีเพื่อต่อชีวิต

เพื่อให้คนอื่นรอดชีวิตต่างหากคือสิ่งที่ทั้งสองคิดและทำ การรักที่จะให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ต่อไปจะเป็นความหมายใหม่ของการต่อสู้

แล้วผมจะห่วงชีวิตตัวเองไปเพื่ออะไร

เปรี้ยง !

ผมปล่อยลูกกระสุนออกจากกระบอกปกป้องชีวิตของเห่าดงจากการโจมตีด้านบนพวกพ้องของผม แต่...

พลั่ก!

ผมจำต้องถีบส่งคนของสลัดบกที่จะเข้ามายื้อแย่งที่มั่นใต้ชะง่อนหินแห่งนี้ที่เป็นสิ่งปกปักรักษาชีวิตเพราะถ้าผมตาย ก็ไม่มีใครปกป้องเขา

ทุกอย่างดำเนินไปเสียงปืนและเสียงครวญครางยังดังต่อเนื่องสายเลือดกระเซ็นสาดระเหยหายไปกับไอร้อนของแดดอันแผนเผายาวนานราวกับผ่านไปชั่วกัลป์ห่าลูกกระสุนยังคงซัดสาดลงมาราวกับพายุชะล้างหน้าแผ่นดินยังผลให้ไม้รากอ่อนแอทั้งหลายโค่นล้มพังทลาย

“หยุดยิง!”

หากพระอินทร์เป็นผู้สั่งการสูงสุดของฝนฟ้าผู้สั่งการห่ากระสุนก็คงเป็นเห่าดง ผมแหงนมองออกไปเหนือผาเห็นหัวของทหารฝ่ายไทยะบุรียื่นโผล่ออกมาโดยมีร่างใหญ่ผงาดง้ำเบื้องบนในมือของเห่าดงคือไพ่ตายใบสุดท้ายที่ผมเคยใช้กับพวกชุมชนต้นน้ำเป็นบทพิสูจน์ทฤษฎีรักตัวกลัวตายทำให้กองทัพจากไทยะบุรียอมยกธง

พวกสลัดบกคงยึดสุภาษิตโบราณยามศึกสงครามว่าเอาตัวรอดเป็นยอดดีพวกที่เหลือรอดชีวิตจึงไม่คิดหือหรือต่อต้านแถมยังช่วยผมกับเห่าดงจับทหารไทยะบุรีตรึงไว้รวมกัน

“ไอ้ผยองให้พวกมึงตามหาตัวกูอยู่ใช่ไหม”

“กูไม่ได้ถูกสั่งมาให้ตอบคำถาม”

เห่าดงย่อเข้าใช้ปลายมีดเชยคางเชลยแยกเขี้ยวแหลมถาม “แล้วพวกมึงคงไม่ได้ถูกสั่งมาให้ตายด้วยใช่ไหมมึงถึงสั่งหยุดยิงเพราะกลัวตัวกระจุย”

การไม่ตอบก็เหมือนกับเป็นการยอมรับเหงื่อของทหารเชื้อชาติเดียวกันไหลผ่านหน้าผากแคบจรดสู่ปลายคางดวงตาคั่งแค้นเพ่งมองชายผู้เคยร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายก่อนที่จะหลุบตาลงก้มมองรองเท้าหนังหนาเปื้อนขี้ดิน

“มึงจะเอายังไงกับพวกมัน”

หนึ่งในสลัดบกพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกี้ยวถึงจะคร่าชีวิตอีกฝ่ายได้หลายคน แต่พวกของตนก็ล้มตายไปด้วยเช่นกัน

“มัดพวกมันไว้ทิ้งอย่างนี้” เห่าดงบอกแล้วค้นหาอาวุธที่ยังติดตัว

“นี่มึงจะไม่เชือดมันทิ้งหรือไงมันฆ่าพวกกูตายไปหลาย” เกิดคำทักท้วงทันใด

“แต่ก็ยังไม่ตายเพื่อนกูก็ยังไม่ตาย ถ้ามึงจะทำอะไรพวกมันก็เรื่องของมึงแต่กูว่ามึงมีเวลาไม่นานนัก ไม่รีบไปพบหัวหน้ามึงที่จุดนัด เพราะกูก็ไม่แน่ใจว่ายังมีไอ้พวกนี้ดักซุ่มรอฆ่าพวกพ้องมึงอย่างที่โดนอยู่นี่หรือเปล่า”

การเลือกระหว่างเสียเวลาในการฆ่าคนอื่นที่ในตอนนี้ไม่สามารถทำอันตรายกับตัวได้กับรีบไปช่วยเหลือพวกพ้องของตนดูจะเป็นการเลือกที่ไม่ต้องใช้ความคิดตรึกตรองแต่ผมไม่คาดคิดว่าสลักบกมีวิธีการอื่นที่ช่วยทุ่นแรงกว่านั้น

“กูไม่ปล่อยให้ไอ้ระยำพวกนี้ตามไปฆ่ากูและพวกกูให้เจ็บใจ!”

เปลวไฟถูกจุดด้วยหญ้าแห้งที่ปลายเท้าเชื้อเพลิงอย่างดีลุกลามเผาผลาญรายล้อมสร้างกรอบสังหารหมู่น่าสยดสยอง ผมมองเห่าดงหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันมามองทำราวกับเสียงร้องโหยหวนนั้นเป็นเพียงเสียงของหริ่งหรีดเรไรที่ร้องระงมในยามตะวันรอนแต่ภายในอกนั้น ผมรู้ว่าเห่าดงรู้สึกอย่างไร

เพื่อปกป้องพวกพ้องเพื่อปกป้องพวกพ้อง เพื่อปกป้องพวกพ้อง...

ผมได้ยินเสียงตัวเองพูดพร่ำซ้ำไปซ้ำมาควบคู่ขนานไปกับเสียงแห่งความตาย

‘อย่าอาลัยต่อเถ้าตะโกของอดีตเหล่านั้นแต่จงมุ่งมั่นไปให้ถึงเป้าหมาย’

คำกล่าวของนายพลอัศวินผู้ประกาศกร้าวว่าจะต่อสู่เพื่อเสรีภาพที่แท้จริงยังคงเป็นคำถามสำหรับผมว่าเราจะต้องเห็นความตายสักกี่ครั้งจึงจะได้มาเพื่อเป้าหมายของคำว่าเสรีภาพ


-----------------------------




Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2560 23:24:52 น. 10 comments
Counter : 1268 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณเรียวรุ้ง, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณnewyorknurse, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน


 
สวัสดีค่ะ

เอ็นทรี่ที่แล้ว หมดไฟ ยังงงอยู่ว่าทำไมไม่เป็นเรื่องเห่าดงหว่า

อ่านจบก็ต้องแวบไปดูเป็ดสวรรค์ว่าโจทย์ตะพาบตอนใหม่มาแล้วหรือไงนะ

แต่โจทย์ตะพาบก็ยังไม่มา

แสดงว่าต่อไปนี้เรื่องราวของเห่าดงจะไม่ต้องไปผูกพันกับโจทย์ตะพาบแล้วใช่มั้ยคะ

อ่านไป...อ่านไป ก็ระลึกขึ้นได้ว่า บ้านนี้แต่งนิยาย สาดกระสุนกระจาย ฆ่ากันเลือดสาด ผิดกับบ้านอื่นที่เน้นรักหวานแหวว พ่อแง่แม่งอน บ้านนี้แหวกแนวจริงๆอะ

ชลบุรีมามี่คลับ Literature Blog


โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:12:28:51 น.  

 
สวัสดี จ้ะ คุณ ชลบุรี มามี่คลับ
อิอิ ชื่อนี้ หายไปจากบล็อกครู นานมากนะเนี่ย แต่ครูก็ยังจำเนื้อหา และตัวละคร ได้ เห่าดง มิ่ง ไทยะบุรี (ชื่อเมือง) มาอ่านอีกที ไม่รู้ว่า เนื้อหาเก่า จะจำผิดจำถูก จำได้แต่ว่า เป็นการต่อสู้ ของคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อคำว่า อิสรภาพ อะไรประมาณนั้น แล้วอยู่ ๆ นวนิยายเรื่องนี้ก็หายเงียบไปนานเชียวนะ ห้าห้า อ่านแล้วสนุกดี โดยเฉพาะตอนนี้ อ่านไปลุ้นไป
โหวดหมวด งานเขียนของเจ้าของบล็อก จ้ะ
ขอบใจที่แวะมาเยี่ยมที่บล็อกครู นะจ๊ะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:17:18:20 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณที่ไปเยี่ยมไปหากันนะคะ
วางแผนอะไรไว้ปีนี้ขอให้สำเร็จค่ะ



โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:20:03:39 น.  

 
โจมตีเพื่อต่อสู้เพื่เสรีภาพ
สุดยอดค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:15:58:40 น.  

 
ตามมาอ่านต่อค่ะ
เกือบจำเรื่องเก่าไม่ได้ แหะๆ
ชลบุรีมามี่คลับ Literature Blog



โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:22:24:19 น.  

 
มาส่งกำลังใจค่ะ
โหวดค่ะ


โดย: newyorknurse วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:20:40:00 น.  

 
งั้นก็ยินดีกับเห่าดงด้วยจ้า

เพราะจะมีทิศทางเป็นของตัวเองแล้วไม่ต้องถูกลากไปถูกจูงมานิ

ขอบคุณที่ไปขำแตกที่บล๊อกค่ะ ถ้าไม่ได้ภาพประกอบนี่ยังไม่รู้เลยจะส่งงานตะพาบรูปแบบไหนดี


โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:21:28:02 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้อง ชลบุรีมามี่คลับ
แวะมาเยี่ยม จ้ะ จะมาอ่านนวนิยายต่อ ก็ยังไม่มีตอนใหม่เลย รออ่านอยู่ จ้ะ อิอิ
ขอบใจที่แวะไปเยี่ยมที่บล็อกครูจ้ะ
น่าเสียดาย ที่ไม่ได้แวะไปที่ ปิล็อกและตลาดอีต่อง หาโอกาสไปใหม่ได้ จ้ะ ธรรมชาติชายแดนไทย พม่า ยังสวยงามมาก จ้ะ สำหรับคนชอบธรรมชาติ ต้องหาเวลาไป ชมนะจ๊ะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:11:20:00 น.  

 
แวะมาโหวตค่า


โดย: บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:22:47:25 น.  

 
ครบเดือนพอดีเด้อค่ะ มาแอบดูตอนใหม่
ทิ้งนานจะลืมหมดอีกอ่ะจิ



โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 2 มีนาคม 2560 เวลา:10:27:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชลบุรีมามี่คลับ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เป็นนัก(หัด)เขียนนิยายพาร์ทไทม์ เป็นคุณแม่ทำงานที่ชอบฝันกลางวันแบบฟูลไทม์ด้วย

บล็อกนี้มีเรื่องเล่ามากมาย เข้ามาค้นหาสิ่งที่อยากรู้ได้ตามสบาย


ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ติดตามนิยายของ จขบ
สามารถอานได้ทั้งทางเวบ

Hongsamut : https://hongsamut.com/writerdetail.php?writerid=3992

และทางเว็บ Dek D ค่ะ
https://my.dek-d.com/redapplels/


เนื้อหา ภาพถ่าย ในบล็อกนี้
ได้รับความคุ้มครอง
ตามกฏหมายพ.ร.บ.
สิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 ห้าม
นำไปใช้ คัดลอก ดัดแปลง
แก้ไขส่วนหนึ่งส่วนใดโดย
เด็ดขาดนะจ๊ะ

คนดี...


New Comments
Friends' blogs
[Add ชลบุรีมามี่คลับ's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.