เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 76
ตอนที่ 76
เสียงเทียนรำไรลอดผ่านบานหน้าต่างออกมา ราวกับหิ่งห้อยตัวน้อยที่ส่องแสงในความมืด อีกไม่กี่ยามก็รุ่งสางแล้ว คุรุษมันต์พราหมณ์ยังเก็บตนอยู่ในเรือนพักกระสับกระส่ายไปมาไม่อาจหลับได้สนิท ในจิตมีบางสิ่งรบกวนจึงลุกขึ้นจับกระดานชนวนขึ้นมาขีดเขียนคำนวณ แต่แล้วสมาธิก็ถูกทำลายลงเมื่อมีเสียงทุบประตูปึงปัง คนที่มาท่าทางจะร้อนรนนัก พราหมณ์เอกจึงลุกขึ้นมาเปิดประตูให้แล้วพบว่าเป็นพราหมณ์หนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์นั่นเอง
พระครูขอรับ ออกมาดูนี่เถิด
มีกระไร? คิ้วเข้มขมวดขึ้นอย่างติติง แต่พราหมณ์หนุ่มหาได้สงบท่าทีลงเลย
บนท้องฟ้ามีดาวดวงหนึ่งมันสว่างกว่าดาวประกายพรึก [1]นัก
พระครูฟังแล้วต้องประหลาดใจรีบเร่งลงเรือนไปยังที่แจ้ง แล้วแหงนหน้ามองตาม จึงพบว่ามีดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นทางตะวันออกแล้วเคลื่อนนำหน้าดาวศุกร์ มิหนำซ้ำยังทอแสงแข่งอีกด้วย ตามปกติแล้วดาวประกายพรึกหรือดาวศุกร์จะขึ้นเมื่อใกล้รุ่งเรืองแสงเด่นบนฟากฟ้า ทว่าเวลานี้ดาวประกายแสงอย่างดาวศุกร์ยังหลุบแสงหลบให้ดวงดาวนิรนามดวงนี้
เป็นลาง... พระครูอุทานออกมา
ลางดีหรือลางร้ายกันขอรับพระครู คุรุษมันต์พราหมณ์มิได้ตอบลูกศิษย์ เพียงแต่เดินจ้ำอ้าวนำหน้าไปยังท่าน้ำ แล้วหย่อนน้ำถุ้ง[2] ลงไปจนสุดปลายเชือกก็พบว่าเชือกที่ว่าต่อไว้ยาวนักยังต้องใช้จนสุดสาย
คงต้องต่อเชือกแล้ว พูดพลางค่อยชักน้ำถุ้งว่างเปล่าขึ้นมา
เป็นหน้าที่ข้าเองขอรับ
น้ำลดลงไปมากจากเมื่อวานอีกสองคืน มันลดเร็วเกินไป
พราหมณ์เอกพึมพำออกมาพอให้ได้ยินกันสองคน พราหมณ์หนุ่มจึงชูตะเกียงออกไปนอกท่าน้ำแล้วชะโงกหน้าลงไปดู พบว่าจากตัวท่าน้ำลดไปหลายเมตรลดลงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว
น้ำไม่เคยลดลงถึงเพียงนี้ นี่มันลดลงมากจนแทบแห้งเหือด... ความวิตกสอดแทรกออกมาในน้ำเสียง พราหมณ์หนุ่มหันมาสบตาผู้เป็นอาจารย์
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เล่าขอรับ... แต่ไม่มีคำตอบออกมาจากผู้สูงวัยกว่า
หรือเป็นเพราะ...ดาวดวงนั้น พราหมณ์หนุ่มพึมพำออกมาสายตายังจับจ้องอยู่ที่ดาวประหลาดบนฟากฟ้า ซึ่งกำลังส่องแสงเจิดจ้าท้าทาย
มันเริ่มขึ้นแล้ว....เริ่มจากตะวันออก จะมีผู้มาจากทิศนั้น
ใคร? ใครจะมา?
เจ้าไม่ต้องถาม!! ไม่นานก็รู้เอง
พราหมณ์เอกตระหนกอย่างบอกไม่ถูก...แม้จะมิได้เข้าใจทั้งหมดแต่พอได้เค้าลางบางสิ่งแล้ว เมื่อตั้งสติได้จึงว่าตนควรเตรียมตัวรับมือหากลางที่ปรากฏเป็นลางร้าย
วามะ พรุ่งนี้เกณฑ์คนลงไปดูแม่ก้นน้ำ ไปดูเสียว่าน้ำพร่องไปมากเท่าไรแล้วทำสัญลักษณ์ไว้ หัวรุ่งอีกวันให้ลงไปดูว่าต่ำกว่าที่ขีดไว้เมื่อวานหรือไม่
ได้...ขอรับ
นี่ไม่ใช่หน้าแล้ง แต่น้ำงวดลงไปเช่นนี้ทั้งที่หน้าฝนกำลังจะมาแท้ๆ เตรียมสะสมของแห้งข้าวปลาอาหารได้แล้ว เห็นท่าเราจักไม่มีปลากินไปอีกนาน ข้าวคงยากหมากคงแพงเป็นแน่ ไปดูในคลังที่มีอยู่ก็ให้ตรวจตราอย่าให้หนอนแมลงมาไชได้ ปลาที่มีก็นำมาตากแห้งเสียให้หมด วามะจงไปบอกชาวบ้านมีเนื้อ มีปลา ให้แล่ตากไว้ให้มาก....
แม้ยังไม่แน่ใจนักแต่เตรียมการไว้ก่อนคงไม่เสียหลาย หากน้ำแห้งพืชผลก็จะพลอยแห้งตายไปด้วย จึงควรสะสมอาหารไว้ และยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องตระเตรียม คุรุษมันต์พราหมณ์ยังไม่อยากสั่งการลงไปเสียทีเดียวเกรงว่าจะเป็นที่ตื่นตระหนกตกใจกันทั่วหน้า จึงตั้งใจว่าจะออกสำรวจตรวจตราในละแวกเสียก่อน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้คนมากมายออกันอยู่ที่ประตูเมืองตั้งแต่เช้ามืดดวงจันทร์ยังไม่ลาลับ ปาลปุระไม่เคยมีเรื่องมงคลน่าตื่นเต้นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว ครั้งล่าสุดก็เห็นจะเป็นเมื่อเจ้าราชบุตรอภิเษกสมรสเมื่อหลายปีก่อน จวบจนบัดนี้เพิ่งจะมีงานมงคลก็ครานี้
ฤกษ์ยามการออกจากเมืองจึงถูกกำหนดขึ้นเมื่อดาวประกายพรึกปรากฏเหนือเมืองอันเป็นเวลาใกล้รุ่งสาง ขบวนเจ้าสาวซึ่งประกอบด้วย ช้าง ม้า และเกวียนขนาดใหญ่เทียมวัวเผือกสองตัว ที่เหลือเป็นขบวนของข้าราชบริพาร หน้าขบวนนั้นนำด้วยกองทหารและม้าทรงของเจ้าชายฉัตรวรุณ
เมื่อได้ฤกษ์จึงเคลื่อนขบวนออกเดินทาง แก้วตาราเทวีเหลียวมองกลับไปทางเมืองจนเห็นประตูเมืองเพียงลิบๆ เสียงมโหรีส่งเสด็จค่อยๆ แผ่วเบาลงตามระยะทาง เทวีน้อยสูดพระวาโยเข้าอุระพยายามบอกองค์เองให้เข้มแข็ง ต่อแต่นี้มิใช่แก้วตาราเทวีแต่จะต้องยืนอยู่ในฐานะศรียศาเทวีผู้ทรงศักดิ์ให้ได้
เมื่อแสงอุษาเริ่มจับขอบฟ้าจนสว่างแจ้งแดดเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ เทวีแห่งปาลปุระจึงเสด็จลงจากหลังช้างแล้วเปลี่ยนที่ประทับเป็นเกวียนหลังใหญ่มีหลังคาทรงสูงสำหรับบังแดดฝนกว้างขวางพอที่สตรีจะนั่งรวมกลุ่มกันได้ถึงสี่คน
พระนางถอดหัวโขนตำแหน่งศรียศาเทวีออกชั่วคราวยามเมื่อประทับในเกวียน ซึ่งภายในมีแต่ข้าราชบริพารหญิงล้วนที่ติดสอยห้อยตามกันมาแต่ปาลปุระ เทวีน้อยซบพระพักตร์ลงบนตักพระนม นางนมนั้นสงสารองค์อรนักจึงได้แต่ปลอบโยน
พระเทวีอย่างกรรแสงไปเลยเพคะ พระองค์สร้างความภาคภูมิให้ปาลปุระนับเป็นเกียรติยศนัก อย่าเสียพระทัยไปเลย
นม...ที่นั่นจะเป็นเช่นไร แล้วชายที่จะมาเป็นสวามีข้า...เขา...ภูวิษะผู้นั้นจะน่ากลัวหรือไม่...
ทำไมจึงคิดว่าเขาน่ากลัวเล่าเพคะ?
สีนวลเล่าว่า เขาโบยตีนางกำนัลของเขาปางตาย ทรงเอ่ยถึงเรื่องซุบซิบที่ฟังมา
โถ...ก็นางคนนั้นมันสมควรโดนโบยนี่เพคะ ที่จริงควรจะถูกตัดหัวเสียด้วยซ้ำ
แล้วนี่เรากำลังจะต้องเมียคนโหดร้ายแบบนั้น...ฮือ
ไม่เอาเพคะ อย่าทรงกรรแสง สัญญากับเสด็จแม่ที่สุสานหลวงแล้วไม่ใช่หรือเพคะ ว่าจะทรงเข้มแข็งไม่ขี้แง ไม่ทำตัวเป็นละอ่อนน้อยอีกแล้ว ก่อนเสด็จมาได้ไปอำลาพระแม่เจ้าซึ่งเป็นราชมารดาแท้ๆ ยังสุสานหลวง เมื่อได้สดับดังนั้นก็พยายามกลั้นสุรเสียงสะอื้น แล้วปาดอัสสุชลทิ้ง
แล้วข้าจะรักเขาลงไหม? แล้วเขาจะรักข้าหรือไม่?
อย่าทรงวิตกไปเลย เขาจะต้องรักพระเทวีแน่ๆ เพคะ ส่วนพระเทวีจะรักเขาหรือไม่นั้น...พระบาทเจ้ามิได้บังคับถึงเพียงนั้น พอพระนมเอ่ยถึงเสด็จพ่อเทวีน้อยก็กลั้นสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่
อย่าให้เขา...รักเราแบบที่เสด็จพ่อรักก็พอ อย่าได้เที่ยวบังคับให้เราต้องยกลูกสาวให้ใครต่อใครแบบที่เราโดน
พระเทวี.... พระนมฟังแล้วรู้สึกเวทนาสงสารพระนางน้อยของนางนัก แต่ไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรให้ทรงคลายความเศร้าโศกลงได้
พระสวามีจะต้องรักพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ ก็พระเทวีของหม่อมฉันน่าถนอมถึงเพียงนี้ สิ้นคำพูดนางนม เหล่านางกำนัลที่เงียบมาตลอดทางก็พลอยร่ำไห้ออกมา
ชะตากรรมที่แก้วตาราเทวีต้องแบกรับภาระของปาลปุระทั้งเมืองเอาไว้บนอังสา [3]อันบอบบางของตน ทั้งที่เพิ่งจะมีพระชนม์ได้สิบสามชันษาเท่านั้น ความเศร้าโศกทุกข์ร้อนจึงบังเกิดขึ้นอย่างมหันต์ มิใช่เพียงแต่ฝ่ายจุมภะปุระ มิใช่แค่มหิตาเทวีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เจ็บปวดจากเรื่องราวในครั้งนี้ แต่ทุกอย่างถูกลากจูงเข้ามาใกล้กันทุกขณะ ด้วยกรรมที่กระทำลงไปส่งผลกระทบเป็นทอดๆ อย่างมิมีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้ กรรมกำลังหน้าที่ของมัน...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหนื่อยหน่อยนะ...ถ้ามีแต่บุรุษคงจะไปได้เร็วกว่านี้ แต่นี่ขบวนใหญ่ไม่อยากให้เร่งรีบมากจักเหนื่อยเกินไป เจ้าชายฉัตรวรุณประทับอยู่หน้าเกวียนของแก้วตาราเทวี ตรัสผ่านม่านโปร่งไปถึงคนภายในเกวียน ด้วยพระทัยเวทนาเทวีองค์น้อย
อันที่จริงหากจะเดินทางจากปาลไปยังจุมภะให้เร็วและสบายกว่านี้ ก็ต้องไปทางเรือ
เรือ? แก้วตาราเทวีตรัสออกมาด้วยความฉงน เพราะไม่เคยเดินทางออกจากเมืองมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ทำท่าจะยื่นพักตร์ผ่านม่านออกมาถามเสียเอง แต่ถูกพระนมปรามไว้มิให้ทำเช่นนั้นด้วยว่าดูไม่งาม จึงทรงสนทนากันผ่านม่านโปร่งต่อไป
แต่...ว่าเมืองปาลของเราไม่ติดแม่น้ำแล้วจะไปทางไหนหรือนม? ทรงหันมาตรัสถามนางนม แต่ได้ยินไปถึงภายนอก
ต้องไปขึ้นท่าหน้าเมืองรชยะ
รชยะ?
ชื่อนี้ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ที่ทรงจำได้ดีเพราะเคยได้ยินเสด็จพ่อเคยดำริว่าใคร่ส่งพระธิดาองค์ไปถวายแด่เจ้าราชบุตรเมืองนั้น เนื่องด้วยเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงกับปาลปุระมากที่สุด แต่สิ่งที่ดำริมิได้สมพระทัยเพราะเพลานั้นรชยะปุระมีศึกติดพันทั้งภายนอกและภายในเอง
ปัจจัยจากศึกภายนอกยังมิร้ายแรงเท่าเรื่องภายใน เจ้าชายอาทิตรวรรษถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าราชบุตรทั้งที่เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวที่ทรงมีด้วยซ้ำ จากนั้นก็หายสาบสูญไปจากเวียงอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อสิ่งที่ดำริไม่เอื้ออำนวยแผนการผูกสัมพันธ์ด้วยการอภิเษกสมรสจึงไม่อาจเป็นไปได้ หลายปีต่อมาพระบาทเจ้าไชยาศรียังไม่เลิกดำริเรื่องการผูกสัมพันธ์กับอาณาจักรใหญ่ จึงปวารณาตัวเข้าหาเมืองพะโคจนเป็นเหตุแห่งสงครามให้จุมภะปุระยกทัพมาตีเมืองนั่นเอง
ใช่แล้ว น้องหญิงรชยะไม่ได้ห่างจากปาลปุระเท่าใดนัก เพียงแค่เดินเท้าลงทางใต้อีกหนึ่งวันแล้วไปขึ้นเรือท่าน้ำหน้าเมืองรชยะ ที่นั่นเป็นท่าใหญ่จะต่อแพหรือผูกเรือโยงไปเป็นขบวนก็สะดวกนัก
ส่วนมากถ้าขนถ่ายสินค้ามักจะมาแขวนเกวียนที่นี่แล้วขนลงแพไปส่งต่อยังเมืองอื่นๆ จะเสียอัฐค่าขึ้นท่าก็ไม่มากเท่าไร ให้ขบวนม้าขบวนช้างไปล่วงหน้าก่อน แล้วค่อยล่องเรือไปทางแม่น้ำยม ลำน้ำมันโค้งไปตามทางไม่ต้องเดินอ้อมเขา
ระหว่างทางเจ้าจะได้ชมวิวด้วยเพราะเรือผ่านเมืองต่างๆ อีกสามเมือง จนถึงเวสารัช [4]เป็นเมืองสุดท้ายก่อนจะเข้าจุมภะ ที่นั่นแม่น้ำยมจะมาบรรจบกับแม่น้ำปิงพอดี เราก็ไปต่อตามแม่น้ำปิง แล้วลัดไปอีกโค้งเดียวก็จะมาถึงท่าน้ำด้านตลาดหน้าเวียงจุมภะ...
แล้วไฉนเราจึงไม่ไปทางนั้นเล่าเพคะ พระนมฟังแล้วอดมิได้ที่จะถามขึ้นมา
น่าเสียดายนัก...เพลานี้กระแสน้ำลดลงมากจะล่องเรือไปก็ไม่สะดวก อีกทั้งท่าหน้าเวียงจุมภะก็ปิดซ่อมแซมตลิ่งอยู่ ครั้นจะล่องเรือไปแล้วไปขอขึ้นที่เมืองเวสารัชที่ว่าอยู่ใกล้จุมภะที่สุดแล้วก็ยังต้องเดินเท้าต่ออีกเป็นวันๆ สู้เดินไปเท้าไปแล้วไปเข้าประตูตะวันออกมิได้ หนทางสะดวกกว่านัก
แก้วตาราเทวีสดับแล้วทอดถอนหายใจ สิ่งใดก็ดูไม่เป็นใจสำหรับพระองค์เลย
แล้วเราจะใช้เวลาเท่าใดจึงจะไปถึงจุมภะปุระเพคะ พระนมทูลถามต่อ
3 วัน ขอให้อดทนหน่อยนะน้องหญิง
เพคะ... แก้วตาราเทวีตอบรับเรียบๆ พลางทอดพระเนตรผ่านม่านโปร่งบางไปยังวรกายสง่าที่เดินจากไป
น่าเสียดายนะเพคะ...เจ้าราชบุตร [5]ทรงเป็นผู้มีน้ำพระทัยงาม น่าเสียดายที่ไม่ใช่คู่อภิเษก นางพระนมถอนหายใจออกมา ถ้าเป็นเจ้าชายฉัตรวรุณนางยังสบายใจได้ว่าจะทรงดูแลเทวีน้อยของนางเป็นอย่างดี แต่ภูวิษะผู้นั้นยังไม่รู้ว่าเป็นคนเช่นไร
น่าเสียดายนักที่ในยุคนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูป ครั้นจะให้ช่างเขียนภาพไปให้ทอดพระเนตรกันถึงเมืองตามธรรมเนียมนั้นก็มิได้มีเวลามากพอ ด้วยความเร่งเร้าให้เกิดพิธีอภิเษกสมรส แก้วตาเทวีจึงมิได้ยลโฉมเจ้านาคราชว่าทรงสิริโฉมเพียงใดดังเทวาสรรสร้าง มิเช่นนั้นมหิตาเทวีจะทรงลุ่มหลงหึงหวงพระสวามีถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ความรักนั้นเหมือนมนตรามัดใจหากเกิดขึ้นแล้วยากจะถ่ายถอน เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีก็เช่นกันหล่อนผูกพันกับราชบุตรแห่งจอมบาดาลด้วยสัญญา [6]เก่าแต่ปางบรรพ วันนี้เป็นวันครบกำหนดเจ็ดวันที่ไปถือศีลพอดี เดิมทีพระบาทเจ้าอยากให้ยืดระยะกักตัวพระธิดาให้อยู่แต่อาศรมสตรีจนกว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จ แต่ท่าทางมั่นอกมั่นใจในการรับมือกับปัญหาของเจ้านาคราชผนวกกับการเตรียมงานต่างๆ ทำให้ทรงลืมเลือนไปเสียสนิท
มหิตาเทวีผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์จากชุดถือศีลสีขาวที่ทรงสวมไว้ เปลี่ยนเป็นซิ่นสีขี้นกการเวก [7] กับผ้าแถบรัดอุระสีจันทร์ [8]แล้วทรงถนิมพิมพาภรณ์งามสมเป็นธิดากษัตริย์ เมื่อแล้วเสร็จจึงค่อยเสด็จออกจากอาศรมขึ้นเสลี่ยงกลับไปยังพระตำหนัก
เคียงฟ้ารู้สึกว่าตนเองสงบและปลอดโปร่งเป็นอันมาก หลังจากที่ได้มาถือศีลคัดลอกบทสวดมนต์ถวายมหาวิษณุเทพ หล่อนนิ่งขึ้นจิตใจที่พะว้าพะวงจดจ่ออยู่กับการคัดอักษรจึงเกิดเป็นจิตสมาธิ หลายวันที่ผ่านมาหล่อนพอจะทำใจได้บ้าง หากอะไรจะเกิดขึ้นหล่อนจะยืนหยัดให้ถึงที่สุด จะพยายามไม่เดินซ้ำรอยเดิมเมื่อชาติก่อน ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมิให้ตนเองเสียใจ ไม่ใช่ภูวิษะเจ้าเศร้าโศก แต่เพื่อจุมภะปุระทั้งเมือง!
ก่อนออกจากอาศรมหญิงสาวร้องเรียกวิมุตติผู้เป็นอาจารย์ แต่หามีเสียงใดตอบรับกลับมาหล่อนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็สูดหายใจเข้าอกโดยแรง เอาเถิด...นี่เป็นเวลาที่มิอาจพึ่งพาใครได้จะต้องอยู่กับสติของตนเองให้มากที่สุด
อย่ากลัว...เคียงฟ้า...อย่ากลัว เรากับเจ้าภูจะต้องฝ่าฟันมันไปด้วยกัน จะต้องไม่เกิดเรื่องขึ้น
เมื่อบอกตนเองดังนี้พลันรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น จึงก้าวออกจากอาศรมขึ้นประทับบนเสลี่ยงด้วยท่าทีสง่างามสมกับเทวีแห่งจุมภะ ดวงพักตร์หวานล้ำเชิดหน้าขึ้น ดวงเนตรเปล่งประกายกล้า บ่งบอกกับใจตนเองจงกำกับใจอย่าได้หวั่นไหวต่อสิ่งที่รู้มาล่วงหน้า
ทว่าเคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีมัวแต่หมกมุ่นกับความคิดของตนเอง จึงมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติในแววตาของทหารที่หามเสลี่ยง พวกมันสบตากันอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าแล้วยกเสลี่ยงขึ้นออก ใครเห็นเข้าก็เข้าใจว่าให้สัญญาณพร้อมยกเท่านั้น หารู้ไม่ว่าก่อนหน้านี้เพียงแค่สามวัน
พวกเจ้าจงเสลี่ยงพระเทวีผ่านหน้า หอเทวภูมิหน้าทางขึ้นนาคาลัย แล้วค่อยพาออกไปทางเอกทวาร
ทางนั้นอ้อมยิ่งนัก หากทะลุประตูด้านอาศรมไปยังพระราชวังจะใกล้กว่า หนึ่งในนั้นถามขึ้นด้วยความงุนงง
เป็นคำสั่งท่านภูวิษะ ต้องการให้พระเทวีแวะสักการะหอเทวภูมิในหอคำเสียก่อน แล้วจึงค่อยนำเสด็จกลับ คำสั่งนั้นเป็นผ่านทหารคนหนึ่งมาบอกกล่าว
ได้ขอรับ แล้วเรื่องเครื่องสักการะจักแจ้งนางกำนัลเอง หรือให้พวกข้าไปบอกกล่าว?
มิต้อง จะทรงเตรียมไว้ให้ที่หอเทวภูมิ พวกเจ้าเพียงแต่นำเสด็จพระเทวีมาที่นี่ก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ เดี๋ยวคุณท้าวจะไปบอกกล่าวเอง หน้าที่พวกเจ้ามีแค่นี้
คำสั่งที่มาโดยพระนามของภูวิษะเจ้าล้วนเป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม แม้จะประหลาดใจไปบ้าง แต่นายโขลนทั้งสี่ก็ทำตาม จึงนำเสลี่ยงของพระเทวีออกนอกเส้นทางเดิม โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นคำสั่งลวงที่มิได้ออกจากโอษฐ์เจ้านาคราช!
อ่านต่อตอนหน้านะคะ
[1] ดาวประกายพรึก อีกชื่อหนึ่งของดาวศุกร์
[2] น้ำถุ้ง - เป็นภาชนะสานด้วยไม้ไผ่ยาด้วยชันและน้ำมันยาง ใช้สำหรับตักน้ำจากบ่อน้ำ รูปร่างของน้ำทุ่งเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยเป็นอย่างดีคือ มีลักษณะคล้ายกรวยป้อมๆ ส่วนก้นมนแหลม ที่ปากมีไม้ไขว้กันเป็นหูสำหรับผูกกับเชือกเพื่อสาวน้ำทุ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำ ความมน แหลมของก้นน้ำทุ่งจะช่วยให้น้ำทุ่งโคลงตัวคว่ำลงให้น้ำเข้าเมื่อโยนลงไปในบ่อ
[3] อังสา ไหล่
[4] เวสารัช คือเมืองที่มีศึกกับจุมภะปุระก่อนหน้านี้ ต่อมาเวสารัชพ่ายศึกจึงถวายเจ้าหญิงมาเป็นข้าบาทบาริจาริกาแก่พระเจ้าสิทธิเสณ ซึ่งพระองค์ประทานหญิงงามให้แก่เจ้านาคราช ซึ่งยกต่อไปให้เจ้าชายอนันตราชพระสวามีของกัมลาภาเทวีนั่นเอง
[5] ตำแหน่งที่เจ้าชายฉัตรวรุณถูกสถาปนาขึ้นมา เนื่องจากพระบาทเจ้าสิทธิเสณไม่มีพระโอรสจึงยกพระนัดดาขึ้นมาเป็นเจ้าราชบุตร
[6] สัญญา ความหมายทางพุทธศาสนา หมายถึง การระลึก หมายรู้ หมายจำ สัญญาเก่าคือตะกอนแห่งความทรงจำเก่าจากชาติปางก่อน เมื่อไรที่สัญญาถูกกระตุ้นให้ตะกอนความจำฟุ้งขึ้นมา บางสิ่งบางอย่างในความรู้สึกจะเกิดขึ้น เช่น รู้สึกถูกชะตา รู้สึกเกลียดชัง รู้สึกรักแต่แรกเห็น อย่างไม่มีสาเหตุมาก่อน
[7] สีขี้นกการเวก สีเขียวของอึนกการเวก หรือ สีเทอร์คอยส์นั่นเอง
[8] สีจันทร์ สีเหลืองขุ่นๆ
Create Date : 27 มิถุนายน 2559 |
|
4 comments |
Last Update : 27 มิถุนายน 2559 10:50:50 น. |
Counter : 1883 Pageviews. |
|
|
|
ลางบอกเหตุแรงขนาดนี้ เคียงฟ้าจะฝืนชะตาได้หรือคะ ยังเดินตามเกมพวกประสงค์ร้ายอยู่เลย แถมเจ้าภูไม่รู้ซะด้วย