จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
24 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 15

ตอนที่ 15
ดอกเทียนปั้น



                ตะวันสีทองสาดแสงแรงกล้าส่องลงมาจนรู้สึกร้อนอบอ้าวยิ่งนัก ทั้งที่มีผืนหญ้าสีเขียวกับต้นไม้ใหญ่คอยดูดซับรับแสงลดอุณหภูมิบ้างแล้วก็ตาม แต่ไอร้อนยามบ่ายยังระบายไปทั่วบริเวณ จนเหงื่อผุดมาเป็นสายและยิ่งเมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งแบบนี้ด้วย ตรีภูมิขยับคอเสื้อยืดไปมาไล่ลมร้อนออกจากกาย พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อเป็นระยะ

                "ทำไมมันร้อนอย่างนี้วะ? ทีตอนเช้านี่เย็นจนหมอกลง"
เขาคงบ่นอุบอิบไปอีกนานหากไม่เหลือบไปเห็นรุ่นน้องหญิง รวมกลุ่มกันยืนนิ่ง แทนที่จะเดินตามเขาย้ายไปทำกิจกรรมอีกฐาน

                "เฮ้ย? ทำไมไม่ตามมา? ยืนทำอะไรกันอยู่?"

                ตรีภูมิเห็นดังนั้นจึงเดินตามสมทบกับกลุ่ม เมื่อทอดสายตามองไปยังศาลากลางน้ำในบึงบัว ที่สาวน้อยพวกนี้กำลังจดจ่ออยู่ ก็แลเห็นชายรูปงามสองคนในชุดพื้นเมือง ท่อนล่างนั้นสวมกางเกงเตี่ยวยาว แต่ท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าอวดแผงอกกว้างและกล้ามเนื้องาม กำลังนั่งกึ่งเอนกายพิงหมอนสามเหลี่ยมและสนทนากันไปพลาง

                "มองอะไรกันหา?" ตรีภูมิแกล้งตวาดเสียงดัง จนรุ่นน้องคนที่ยืนใกล้ที่สุดสะดุ้งและหันมายิ้มแห้งๆ ให้ชายหนุ่ม

                "มองชายในวรรณคดีค่ะพี่"

                "อ่อ...เหรอ...ไอ้ 2 คนนั่นเหรอชายในวรรณคดี อยากดูชายในวรรณคดีเพิ่มอีกสักคนไหมครับน้อง ? เดี๋ยวพี่ถอดให้ดู" รุ่นน้องคนเดิมหัวเราะคิกก่อนจะรีบปฏิเสธ

                "อย่าเลยค่ะพี่ตรีเกรงใจ"

               "งั้นเราจะไปกันได้หรือยังครับคุณน้อง ?" เจ้าหล่อนจึงค่อยพยักหน้าแล้วสะกิดเพื่อนคนอื่นๆ

               "แต่มองแบบนี้แล้วเหมือนผู้ชายโบราณจริงๆ นะพี่ ยิ่งไร่นี้แต่งแบบเก่าๆ แล้วเจ้าเขาก็แต่งตัวกันแบบนั้นกัน" สาวน้อยอีกคนเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตายังจับจ้องไปที่ศาลานั้นไม่ขยับ

               "อ่ะนะ..."

               ตรีภูมิเกาศีรษะปวดหัวกับพวกสาวๆ แต่พอมองตามไปก็อดคิดคล้อยตามไม่ได้ ในขณะที่หญิงสาวทั้งกลุ่มยังไม่ยอมขยับ และพากันวิจารณ์ออกรสออกชาติขึ้น โดยเฉพาะมิรันตีหล่อนไม่เก็บสีหน้าเอาเสียเลย

               "ถ้าบอกว่ากำลังถ่ายหนังย้อนยุคกันอยู่แอนก็เชื่อนะคะ ผู้ชายไทยแท้ก็ดูหล่อคลาสสิกไปอีกแบบ" มิรันตีออกความเห็นก๋ากั่นเหมือนเคย

               "เหรอจ๊ะ งั้นอย่าบังกล้องเขาเลยนะ ปล่อยเขาถ่ายหนังกันต่อไปเหอะ"

               ชายหนุ่มสรุปง่ายๆ แต่เมื่อเหลือบเห็นเคียงฟ้าผู้เคยออกปากว่าไม่สนใจชายหนุ่มทั้งสอง กลับยืนนิ่งจ้องมองคนทั้งคู่เขม็ง

               "น้องฟ้าๆๆ ซับน้ำลายหน่อย...จะหกแล้ว" สิ้นคำแซวของตรีภูมิทำเอาเพื่อนๆ พากันหัวเราะขำกันครืน เคียงฟ้าถึงรู้สึกตัวขึ้นมา

               "ไม่ใช่สักหน่อย ฟ้าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะคะ" หล่อนแก้ตัวเร็วระรัวใบหน้าก็แดงก่ำ

               "แล้วคิดอะไรจ๊ะ?"

               "ฟ้า...แค่คิดว่าเหมือนเคยเห็นฉากแบบนี้ที่ไหนก่อนเท่านั้นเอง"

               หล่อนไม่กล้าบอกว่าคลับคล้ายว่าเคยเห็นภาพนี้มาก่อน หรือจะเป็นในความฝันหล่อนก็ไม่มั่นใจนัก เพียงแต่ภาพติดตาของชายที่นั่งอยู่ข้างวิมุตติเขามักมีรอยยิ้มละมุนให้หล่อน ไม่ใช่คนแข็งกร้าวเย็นชาเหมือนเจ้าภูวิษะคนนั้น

                "ก็ในละครไงล่ะ" มิรันตีตอบขึ้นมาพร้อมเอ่ยชื่อละครพีเรียตที่กำลังฉายอยู่

                "เออเนอะ!" ทำเอาหลายเสียงสนับสนุน

                "เอ้า!! พอๆ ไปได้แล้ว"

                บรรดาสาวจึงส่งเสียงประสานรับคำดัง 'ค่าาา' เป็นเสียงยาวแล้วจึงตั้งท่าจะเดินตามตรีภูมิไปด้วยอาการทอดถอน ชายหนุ่มมองแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงแกล้งตะโกนเรียกคนบนเรือนกลางน้ำนั่น

                "ไอ้เจ้าเว้ยยยยยย!! แกกับเจ้าภูวิษะน่ะ นุ่งผ้านุ่งผ่อนให้มันมิดชิดหน่อยได้ไหม? มาทำนมหกอยู่ได้สาวๆ เขาจะเป็นตากุ้งยิงอยู่แล้ว!!"

                 "พี่ตรี!!!?"
                 เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวทั้งกลุ่มร้องห้ามขึ้นพร้อมเพรียงกัน ยิ่งทำให้อึกทึกมากขึ้นจนคนที่ถูกกล่าวถึงหันมามอง รุ่นน้องหญิงจึงพากันดันร่างใหญ่ของตรีภูมิออกจากที่นั่นทันที

                 "เอะอะอะไรกันน่ะ" เจ้าภูวิษะถามขึ้นมา ในขณะที่วิมุตตินึกขำสาวน้อยเหล่านั้น

                 "เขาทำกิจกรรมต้อนรับรุ่นน้องกันน่ะ มีการละเล่นกันตามจุดต่างๆ คล้ายๆ การผจญภัย"

                 "แปลกนะ กาลสมัยเปลี่ยนพิธีการไปได้ถึงเพียงนี้ ในครั้งพวกเรานั้นมีแต่เข้าพิธีกราบอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์ รุ่นพี่ก็มีแต่ให้ศีลให้พรแนะนำระเบียบต่างๆ ให้ ไม่มีการละเล่นผจญภัยเช่นนี้" 

                 นาคราชจำแลงระลึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์วัย พระองค์ถูกพระบิดาผู้ครองยศพญามหิธราบดี ทรงส่งราชบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งในขณะนั้นภูวิษะเจ้าถูกประชาชนชาวจุมภะปุระทั้งปวง บวงสรวงพระองค์ และเรียกขานรวมเป็นพระนามเดียวกันกับพญานาคราชผู้เป็นพระบิดา จำแลงตนเป็นมนุษย์ไปฝากฝังให้เรียนวิชาความรู้ที่สำนักตักศิลาของพราหมณ์จารย์ที่มากด้วยคุโณปการผู้หนึ่ง ก่อนจะกลับมาอภิเษกสมรสกับมหิตาเทวีตามที่ได้ให้สัตย์สาบานไว้

                 "ใช่" วิทยาธรผู้ร่ำเรียนมาจากสำนักอาจารย์ผู้เดียวกันตอบรับ

                 "จุดประสงค์เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ผูกพันสามัคคีกันในระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง พูดให้ง่ายเข้าพิธีนี้คือแนะนำให้รุ่นน้องและรุ่นพี่ได้รู้จักมักจี่ซึ่งกันและกัน แต่บางครั้งรุ่นพี่ก็คึกคะนองลำพองในอำนาจที่ตนเองสมมุติขึ้นมามากเกินไป ในตอนที่เราไปเข้าพิธีนี้ก็ถูกกลั่นแกล้งมากนัก"

                 "อย่างท่านน่ะรึจะยอม?"

                 คนสนิทสนมแย้มสรวลอย่างรู้ทัน วิมุตติฟังเข้าก็ทำนิ่งเฉยมีเพียงรอยยิ้มอ่อนบางปรากฏที่ใบหน้า ภูวิษะเจ้าทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา

                 "ดูท่าการเป็นมนุษย์ของท่านจะลำบากอยู่ไม่น้อยสินะ"

                 "ย่อมต้องมีบ้าง มันเป็นบุพกรรม[1] ที่ตามมามิอาจหลีกเลี่ยงได้" ทั้งสองสนทนากันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชื่อของเคียงฟ้าถูกดึงมาเป็นหัวข้อ

                 "ประเพณีเป็นของคู่กับมนุษย์ที่บางคราก็ปั้นแต่งให้เรื่องมันยุ่งยากเกินจริง ยิ่งหากมนุษย์ผู้นั้นมียศฐาบรรดาศักดิ์สูงล้ำเพียงใด ความยุ่งยากนี้จะตามมาเป็นขบวน" นาคราชรูปงามตรัสรำพึงออกมาพลางถอนหทัยเบาๆ

                 "มนุษย์ใดจะมีศักดิ์สูงกว่านาคเจ้าได้ ท่านกล่าวดังเคยพบเจอความยุ่งยากอันใดมา" ผู้ถูกถามพยักพักตร์รับพลางทอดถอนหทัยออกมา

                "ก็ครั้งที่ไปรับมหิตามาเป็นเทวีตามสัญญาอย่างไรเล่า ติดข้อปัญหาหลายประการนัก"

                "หือ? จุมภะปุระเป็นเมืองนาคมิใช่หรือ? ในเมื่อท่านลั่นวาจาไปแล้ว ก็เท่ากับมหิทธราบดีนาคราชทรงรับรองถ้อยคำนั้นด้วย แล้วเหตุไฉนจึงเกิดความยุ่งยากขึ้น"

               "วิมุตติ...มนุษย์นั้นสร้างข้อแม้ขึ้นเพื่อยกตนให้ดูสูงกว่าสรรพสิ่งใดบนพื้นพิภพ คำสัญญาที่เราให้ไว้กับมหิตา เป็นเพียงสัญญาแต่เยาว์วัยเท่านั้นมิได้มีผู้ใดร่วมเป็นสักขีพยานรับรอง และในครั้งนั้นมหิตากลายเป็นพระเทวีผู้ทรงโฉมมิใช่เด็กน้อยวัยไม่ถึงสิบชันษาอีกต่อไป จู่ๆ จะให้เราไปทวงสัญญากับบิดานางคงมิได้ เพราะเป็นการหมิ่นเกียรติแห่งนาง จึงจำต้องยอมทำตามเงื่อนไขที่กษัตริย์แห่งจุมภะปุระกำหนดมา"

               "ท่านก็เลยเข้าพิธีเลือกคู่สยุมพรของเทวีน้อยงั้นรึ?" นาคเจ้าพยักพักตร์รับอีกครา

               กาลนั้นปฐพีแห่งจุมภะปุระคลาคล่ำไปด้วยผู้คนต่างพากันมุ่งตรงสู่พระนครเป็นทางเดียว บุรุษวัยฉกรรจ์อายุอยู่ในเกณฑ์กำหนด ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคาพยาธิอันใด ส่วนหนึ่งไปเพื่อสมัครเข้ารับการเป็นทหารรับใช้พระนคร แต่โดยมากมุ่งตรงไปเสี่ยงคู่ตาดีตาร้ายอาจได้เป็นราชบุตรเขย

               หากเป็นที่ต้องตาพระธิดาเข้าเกณฑ์ทดสอบอื่นๆ อาจจะลดหย่อนผ่อนลงด้วย บุรุษจากทุกมุมเมืองทั้งในนครเองหรือต่างนคร ก็พากันมุ่งเข้าไปในพระราชวังหลวง ต่างคนต่างพกพาเอาของกำนัลมีค่า ไม่ว่าจะเป็น เครื่องประดับราคาสูงล้ำ หรือผ้าภูษาจากแดนไกล ไปถวายมหิตาเทวี ด้วยหวังจะให้พระธิดาผู้ทรงโฉมเลิศล้ำพอพระทัย

                พ่อค้าแม่ขายในตลาดท่าน้ำที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับฝั่งพระบรมมหาราชวัง จึงมิได้แปลกใจที่เห็นผู้คนมากหน้าเดินกันเกลื่อนตา บ้างก็ผูกเรือเล็กไว้ฝั่งท่าตลาดแล้วว่าเรือใหญ่ข้ามฟากไปเป็นหมู่คณะ บ้างก็ขี่ม้านำเกวียนมาแต่แดนไกลแล้วจึงค่อยให้เรือใหญ่นำพาตนเองและทรัพย์สินข้ามไปโน้นด้วยกัน สุดท้ายผู้ที่ได้กำไรมากที่สุดในงานนี้เห็นจะไม่พ้นพวกเรือจ้าง

                เนื่องจากภูมิทัศน์ของจุมภะปุระนั้นถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งที่แลเห็นไกลออกไปนั้นคือฝั่งพระราชวังซึ่งตั้งอยู่บนเนินสูง พื้นที่เขียวขจีค่อยลาดลดหลั่นลงมาเบื้องต่ำจึงเป็นเมืองผู้น้อย หากแต่มีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งขวางกั้น ราวกับเขียนเส้นแบ่งดินแดนแห่งชนชั้นระหว่างกันเอาไว้

                ลำน้ำสีโคลนนี้มิได้เขียวใสเหมือนดั่งลุ่มน้ำทั่วไป แต่เป็นสีขุ่นเกือบแดงไปด้วยฝุ่นทรายที่พัดมากับสายน้ำ แม่น้ำแห่งนี้นามว่าสามคดย่อมถูกตั้งชื่อตามลักษณะโค้งน้ำ ก่อนจะมาถึงจุมภะปุระอันถือเป็นจุดสิ้นสุดของแม่น้ำอีกสองสายที่โอบโค้งผ่านเมืองต่างๆ มาบรรจบกันที่นี่ และเทลาดลงมายังพื้นที่ต่ำ น้ำนั้นพุ่งมาแรงจนปะทะกัน จึงเกิดเป็นวังน้ำวน ณ ที่แห่งนั้น

                ยิ่งโดยเฉพาะฤดูน้ำหลากน้ำวนพัดหมุนเอาคนสิ่งของหรือเรือลำน้อยไปล่มที่วังน้ำวนเสมอ และไม่เคยมีสิ่งใดลอยกลับขึ้นมา พื้นน้ำบริเวณวังน้ำวนจึงถูกขนานนามว่าวังพรายผุด เพราะทุกสิ่งที่โดนแรงน้ำดูดลงไปนั้นจมดิ่งหายลับราวมีอาถรรพ์เร้นลับ เชื่อกันว่าวังพรายผุดนี้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเมืองมนุษย์กับเมืองบาดาล อันเป็นที่สถิตแห่งพญานาคราชผู้ปกป้องคุ้มครองจุมภะปุระ

                จากวังพรายผุดอันอยู่ปลายสุดระหว่างรอยต่อแม่น้ำสามสาย สายน้ำยังคงไหลแรงแต่มิได้แรงกล้าเท่าน้ำที่พัดเข้ามาพร้อมฝูงปลามิ่น ปลาลายดำพาดขวางตัวโตที่มีขนาดใหญ่จนต้องลงไปปล้ำจับขึ้นมาจากอวนทีละตัว ปลามิ่นมักจะว่ายน้ำขึ้นมาวางไข่ต้นน้ำสามคดบริเวณเมืองจุมภะพอดี เพราะสายน้ำบริเวณนั้นไหลช้ากว่าที่อื่น แรงน้ำนั้นถูกชะลอตัวด้วยภูมิประเทศเป็นตัวกำหนด นครจุมภะปุระนั้นมีพื้นที่เมืองโดยรอบเป็นแอ่งกระทะต่ำกว่าทางดินแดนของแม่น้ำอีกสองสาย เมื่อปลามิ่นว่ายมาวางไข่แล้วจึงไม่สามารถว่ายน้ำกลับไปได้ ทำให้จุมภะปุระนั้นอุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลาตลอดปี

                 บุรุษหนุ่มแปลกหน้าท่วงท่าสง่างามนั้น ทำให้ผู้คนในตลาดริมน้ำหันมามองได้เป็นทิวแถว นอกจากใบหน้างามปานสลักเสลาแล้ว ยังมีบางสิ่งที่ทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจลืมเลือนได้แม้พบเจอแค่ครั้งเดียว ชายหนุ่มนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าแผงขายขนม แม่ค้าวัยกลางคนเงยหน้ามาพบเข้าก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา

                 "ขนมที่สั่งไว้ได้แล้วเจ้าค่ะ รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ"

                 แม้ไม่รู้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นใคร แต่นางมั่นใจว่าต้องเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ที่มาเข้าร่วมพิธีเลือกคู่ของพระเทวีแน่นอน แต่แม่ค้าไม่กล้าถามว่าเพราะเหตุจึงมาหาซื้อขนมพื้นๆ ในตลาดเช่นนี้ นางกุลีกุจอยกขนมที่ห่ออย่างบรรจงไว้ในใบตองออกคลี่ให้เขาดู

                 "ใช้ได้ไหมเจ้าคะ? ปกติเทียนปั้นนี่เขาจะทำกันเป็นดอกเล็กๆ หลายๆ ดอกวางเรียงในกระทง แต่เห็นนายท่านอยากได้แค่ดอกเดียวให้สวยเป็นพิเศษ ข้าเลยทำเป็นดอกใหญ่เท่ากำปั้น"

                 "งามจริงแม่ค้า"

                 ชายหนุ่มออกปากชมเมื่อแลเห็นดอกไม้สีครามในกระทง กลีบดอกบางซ้อนเป็นระเบียบสวยงาม ตรงใจกลางมีเกสรสีเหลืองทำจากถั่วกวน แลดูคล้ายดอกไม้จริงๆ ฝ่ายแม่ค้าเมื่อได้รับคำชมจึงยิ้มแก้มปริ

                 "ถูกใจเรานัก ขอบใจมากนะ" ว่าแล้วจึงหยิบเบี้ยสีทองขึ้นมากำนัลแก่นางแม่ค้าสองเหรียญ ทำเอาหญิงวัยกลางคนตกใจมิกล้ารับ

                 "มันมากไปเจ้าค่ะ แค่ขนมชิ้นเดียวราคาไม่ถึงอัฐด้วยซ้ำเจ้าค่ะ"

                 "รับไปเถิด...เราพอใจฝีมือแม่ค้านัก" 

                 นางจึงยกมือขึ้นไหว้ท่วมศีรษะ ก่อนจะช่วยจัดแจงนำดอกไม้ขนมหวานนั้น บรรจุลงในหีบไม้สลักลายและประดับไปด้วยพลอยสีน้ำเงินที่ชายหนุ่มเตรียมมา

                 มาณพหนุ่มแปลกหน้าเดินออกจากแผงขายขนมหวาน ก็ถูกคนเรือจ้างดักหน้าถามไถ่ว่าต้องการว่าเรือหรือไม่ แต่หนุ่มรูปงามปฏิเสธและปลีกตัวจากไปเงียบๆ เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาที่ด่านประตูหน้ากำแพงวัง เรือนร่างสง่างามนั้นพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดทันสังเกตว่าเขาโดยสารมากับเรือลำใด เพราะผู้คนที่จอดเรือไว้ท่าฝั่งราชวังและเดินขึ้นเนินมามีเป็นจำนวนมาก นายอากรหน้าด่านจัดให้ลงทะเบียนผู้ผ่านเข้าไปในพระบรมมหาราชวังและเก็บเบี้ยผ่านทาง ชายหนุ่มลงชื่อไว้เพียงสั้นๆ ไม่ได้ระบุยศฐาบรรดาศักดิ์หรือที่มา แล้วจึงขออาศัยขึ้นเกวียนของผู้อื่นเข้าไปในวังหลวง

                  ชื่อในสมุดทะเบียนนั้นอ่านได้ว่า 'ภูวิษะ'


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                 "ท่านนำขนมไปให้นางงั้นรึ? คิดอย่างไรกัน?"

                เสียงคู่สนทนานั้นแม้พยายามกดให้ราบเรียบ แต่ก็ฟังแล้วเข้าใจได้ว่าทั้งขบขันทั้งพิศวง ภูวิษะเจ้ามิได้ตอบในทันทีแต่ทรงแย้มสรวลออกมาเมื่อรำลึกถึงความหลังครั้งเก่า

               "นั่นเป็นขนมที่นางชมชมชอบรับประทานมาแต่ยังเยาว์"

               "ในขณะที่ผู้อื่นนำเครื่องประดับอันทรงค่าและงดงามไปบรรณาการ แต่ท่านกลับเลือกที่จะให้ขนมปั้นรูปดอกไม้งั้นรึ? ใช่มีความหมายใดเป็นพิเศษซ่อนไว้หรือไม่"

               "ก็เพราะใครๆ ก็ปรารถนาจะให้ของสูงค่าแก่นางน่ะสิ เราเพียงต้องการบอกเป็นนัยว่าเราได้มาตามคำสัตย์สาบานแล้ว แต่เล็กมามหิตาซุกซนนัก นางมีความคิดประหลาดกว่าผู้อื่นเสมอ นางมิได้ชอบรสชาติของขนมมากไปกว่ารูปลักษณ์ของมันดอก"

               ดวงเนตรสีทองส่องประกายระยับ เมื่อหวนคำนึงถึงอดีตเมื่อครั้งวันวาร มหิตาเทวีน้อยนั้นแย้มโอษฐ์สรวลกว้างจนแก้มป่องกลม เมื่อหยิบขนมเทียนปั้นขึ้นมาชูให้นาคเจ้าทอดพระเนตร

              'เหมือนกับว่าเรากำลังเสวยดอกไม้จริงๆ เลยเพคะ หม่อมฉันเคยคิดไว้ว่าดอกไม้จะหอมหวานเหมือนกลิ่นของมันหรือไม่ ตอนนี้หม่อมฉันก็เลยคิดไปว่าได้เสวยแล้วจริงๆ ทอดพระเนตรดูสิเพคะ ขนมเทียนปั้นนี่น่ารักจริงสีก็สวย หากได้ขนมเทียนปั้นดอกใหญ่เท่ากุหลาบป่าหม่อมฉันคงดีใจมากแน่ๆ '

              'แค่ได้กินขนมก็มีความสุขแล้วรึ ? '

              'เพคะ' เสียงหวานนั้นตอบตรัสมาอย่างไร้จริตจะก้าน นำความอบอุ่นสู่ดวงฤทัยพญานาคราชยิ่งนัก

              'เอาไว้เราจะนำดอกไม้สีสวยที่กินได้มาให้เจ้า อยากรู้นักว่าถึงตอนเจ้าจะดีใจสักเท่าใดมหิตาเอ๋ย' ทรงรำพึงอยู่ในพระทัย

              เมื่อแลเห็นสหายสูงศักดิ์นิ่งเงียบไป หากแต่ดวงพักตร์นั้นอิ่มเอิบฉาบไปด้วยความสุข และแย้มสรวลอยู่ตลอดเวลา ก็พอทำให้วิมุตติคาดเดาได้ว่านั่นเป็นความทรงจำอันเปี่ยมสุขล้นปรี่

             "หมายความว่าพอแลเห็นเทียนปั้นดอกใหญ่นั่น เทวีน้อยก็รู้ทันทีว่าเป็นท่าน?" เจ้าของดวงเนตรสีทองพยักพักตร์รับอีกครั้ง แล้วจึงค่อยเล่าความต่อ

              ใจกลางมหาราชวังในห้องโถงของท้องพระโรงใหญ่นั่น เสียงหัวเราะประสานกันดังออกมาจนกึกก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดรายการของกำนัลที่เหล่าบุรุษที่นำมาถวายพระธิดา เมื่อหีบประดับพลอยของภูวิษะเจ้าถูกเปิดออกและพบว่าภายในมีเพียงขนมเทียนปั้นดอกใหญ่อยู่ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ต่างกับบุรุษอื่นที่นำเอาทรัพย์ศฤงคาร มณีสูงค่า ผ้าไหม แพรพรรณ ล้วนแล้วแต่เลิศเลอทั้งสิ้น ต่างฝ่ายต่างประชันขันแข่งอวดมั่งมีตรงกันข้ามกับมาณพหนุ่มผู้นี้ จึงพากันส่งเสียงครางออกมาด้วยความเหลือเชื่อ และเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะขบขันไปในที่สุด

               ในขณะที่มหิตาเทวีที่ประดับอยู่บนบัลลังก์ทองทางด้านซ้าย ถัดจากบัลลังก์หลวงแห่งพระบาทเจ้า ทรงฉงนกับเสียงหัวเราะเหล่านั้นนักหนา ถึงกับต้องเรียกหาเอาขนมนั้นมาทอดพระเนตร ต่างกับสิ่งอื่นที่ทรงรับฟังไปอย่างแกนๆ มิได้สนใจจะเชยชม

               "ขนมเทียนปั้น!"

               มหิตาเทวี กุสุมาลย์ และศรีดารา ต่างอุทานออกมาพร้อมกันแต่ต่างไปคนละความรู้สึก ข้างฝ่ายนางศรีดารานั้นถึงต้องยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก

              "นำขนมมาถวาย คิดอย่างไรกันนี่? เหมือนดั่งเอาขนมมาล่อเด็กน้อยเลย"

              คำพูดที่มิได้รู้ความนัยนั้นจุดประกายขึ้นในดวงหทัยของเทวีโฉมงาม จึงทรงเงยพักตร์ละสายพระเนตรจากขนม ขึ้นสบดวงเนตรอ่อนโยนอบอวลไปด้วยแววหวานละมุนที่ฉายส่งมาให้ ดวงฤทัยของพระนางเต้นระส่ำขึ้นทันที ด้วยรู้ว่ามาณพรูปงามที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงนั้นเป็นผู้ใด เมื่อหายตกตะลึงมหิตาเทวีก็แย้มสรวลตอบกลับ ดวงเนตรกลมโตนั้นสุกสกาวดั่งดาวพราวแสง พระนางรู้ว่าคนที่รอคอยนั้นนำดวงใจเปี่ยมด้วยรักมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์แล้ว

              ภูวิษะเจ้าทรงชื่นชมสมฤดียิ่งนัก มิต้องเอ่ยความนางเดียวในดวงหทัยก็เข้าใจความหมาย มิเสียแรงที่เฝ้ารอคอยจนถึงวันนี้ วันที่นางเติบใหญ่เปลี่ยนจากเด็กน้อยมาเป็นสาวสะพรั่งเต็มวัย จากดอกไม้ตูมค่อยๆ แย้มผลิกลีบเบ่งบานช้า เช่นเดียวกับดวงหทัยของพระองค์ ที่ค่อยๆ ถูกเติมเต็มไปด้วยวันเวลาทีละน้อยจวบจนสิ้นเวลาแห่งการรอคอย นาคเจ้าทรงทราบดีว่าพระทัยของมหิตาเทวีตรงกับพระองค์ ดังท่วงทำนองของเครื่องดนตรีต่างประเภท แต่สอดประสานเคล้าคลอไปด้วยกันจนเกิดเป็นทำนองไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก

               แต่มีสิ่งหนึ่งที่ภูวิษะเจ้ามิได้ทรงทราบในเวลานั้น ยังมีดวงใจของหญิงสาวอีกนางหนึ่งที่เต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อพบพักตร์พระองค์เช่นเดียวกับมหิตาเทวี ยามนั้นดวงตาหวานซึ้งของกุสุมาลย์ส่องแสงราวมีหมู่ดาวประกายพรึกปรากฏอยู่ภายใน ใจหนึ่งก็ตื่นเต้นประหลาดล้ำ ไม่นึกฝันว่าสิ่งที่เคยรับฟังจากเทวีน้อยที่ตนคอยดูแลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะเป็นจริงขึ้นมา อีกใจหนึ่งก็ชื่นชมในท่วงท่าองอาจพิลาสล้ำของพญานาคราชยิ่งนัก...



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

[1] บุพกรรม = กรรมแต่ปางก่อน



Create Date : 24 ตุลาคม 2555
Last Update : 24 ตุลาคม 2555 3:06:36 น. 0 comments
Counter : 3130 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.