จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2557
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
29 มิถุนายน 2557
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 67

ตอนที่ 67


            “พระเทวีเพคะ...เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”


            เสียงเรียกอ่อนโยนดังอยู่ข้างตัว เคียงฟ้าค่อยๆ ปรือเปลือกตาขึ้นมอง แลเห็นปทุมมากำลังใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้หล่อน


           “พระเทวีประชวรเพคะ ประเดี๋ยวลุกขึ้นมาเสวยยาหน่อย ไหวไหมเพคะ?” ปทุมมาไม่รอคำตอบแต่พยักหน้าเรียกเพื่อนนางกำนัลให้มาช่วยประคอง


           “พี่ปทุมมา...ทำไม..?” เคียงฟ้าครางออกมาเบาๆ นึกสงสัยว่าทำไมถึงสัมผัสกันได้ ทั้งที่หล่อนเป็นแค่รูปเงาในภพนี้เท่านั้น แต่เมื่อได้ยินพวกนางกำนัลเรียกหล่อนว่าพระเทวี เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นี่หล่อนกลับมาเป็นมหิตาเทวีอีกครั้งแล้วสินะ หญิงสาวหลับตาลงแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ความฝันที่ไล่ตามมาจากอดีตบัดนี้วิ่งไล่หล่อนจนทันเสียแล้ว เคียงฟ้ากับมหิตาจึงทาบทับกันสนิท


           “เจ้าภู...ภูวิษะเจ้าเสด็จกลับมาหรือยัง? ข้ามีเรื่องต้องบอกกับเขา...” นางกำนัลที่รายล้อมรอบตัวนั้นพากันเงียบเสียงลงไม่มีใครตอบ หล่อนเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ


           “ยังใช่ไหม?”


           “คือ...เอ้อ...คือ....” เมื่อเห็นแต่ละคนเอาแต่อ้ำอึ้ง เคียงฟ้าจึงถามซ้ำอีกครั้ง


           “กลับมาแล้วเพคะ...แต่ว่า...ตอนนี้ เอ้อ...” นางที่ทูลตอบเหลียวไปสบตาเพื่อนนางกำนัลคล้ายจะขอกำลังใจก่อนจะตอบอีกครั้ง


           “เสด็จไปเข้าเฝ้าพระบาทเจ้าที่ท้องพระโรงเพคะ” หากสังเกตสักนิดจะรู้ว่าพวกนางมิได้ทูลตามความจริงทั้งหมด แต่ทูลไปเฉพาะที่คัดกรองแล้ว มิกล้าทูลให้ทราบว่าเมื่อเจ้านาคราชเสด็จกลับมาจากนาคาลัยแล้ว ก็สั่งให้จัดห้องให้พระองค์แยกไปพักยังเรือนเล็กที่อยู่อีกฟากของตำหนักทันที


           “เสด็จพ่อจะตัดสินโทษแล้วรึ? “ ทั้งที่ร่างกายถูกรุมเร้าไปด้วยพิษไข้ แต่เคียงฟ้าก็ฝืนใจลุกขึ้นมา


           “เอ้อ...มิทราบเพคะ”


           “แล้วเรียกไปเรื่องกระไร ? ถ้าไม่มีใครรู้สงสัยต้องใช้พี่ศรีดาราไปสืบมาเสียกระมัง” บิดาของศรีดาราเป็นขุนพลใหญ่แห่งจุมภะ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่บุตรีจะทราบเรื่องราวทั้งหลายก่อนใคร แต่หญิงสาวลืมไปว่าเวลานี้ศรีดาราแม้จะลุกขึ้นยังทำไม่ได้


           “ศรีดาราถูกโขลนวังนำตัวไปจำไว้ที่เรือนดินแล้วเพคะ”


            เรือนดินเป็นที่กักขังสตรีในวังที่ทำกฎหมายหรือผิดจารีตประเพณีต่างๆ แต่ด้วยคุณงามความดีที่เคยได้ปรนนิบัติเจ้านายพระองค์ต่างๆ จะถูกส่งมากักขังที่นี่รอวันชำระความ หากได้ละเว้นโทษประหารก็จะถูกขับออกนอกวังไปเสีย แต่ก็มีบางคนที่ถูกกักมาหลายปีมิได้กลับสู่ภายนอก ตัวคุกนั้นเป็นเรือนกว้างมิได้ตีแบ่งห้อง แต่ทุกคนจะต้องกินนอนรวมกันในเรือนนี้ โชคยังดีที่นางบ่าว นางกำนัลทั้งหลาย มิได้มีใจกำเริบกล้าทำผิดจารีตนัก เรือนหลังนี้จึงมิต้องอยู่กันอย่างเบียดเสียด ทว่าก็ห่างเหินร้างผู้คนนัก จึงไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ตีตรวนใส่ข้อเท้า


           “โธ่...พี่ศรีดารา!” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวียกมือขึ้นปิดปาก นึกสงสารในชะตากรรมของนางคนทะเล้นนัก


           “ข้าจะไปเยี่ยมนาง เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” แล้วจึงทำท่าจะลุกขึ้น


           “ไม่ได้เพคะ...ไปไม่ได้นะเพคะ” ปทุมมารีบทูลห้ามเป็นการใหญ่


           “ทำไมเล่า?”


           “ท่านภูวิษะสั่งไว้เพคะ ว่าห้ามพระเทวีเสด็จออกจากห้องบรรทม” หญิงสาวนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะออกปากขัดขืน


           “นี่เขาขังกระทั่งมหิตาอย่างนั้นรึ?” เคียงฟ้าเผลอลืมไปชั่วขณะว่ามหิตาเทวีคือตัวหล่อนเอง


            “เชื่อฟังท่านภูวิษะเถิดเพคะ หาไม่อย่างนั้นแล้วพระเทวีอาจจะถูกส่งไปที่ตำหนักดินนะเพคะ”


            “ตำหนักดิน?” หล่อนอุทานออกมา


             ตำหนักดินนั้นไม่ต่างกับเรือนดิน ตรงเป็นเรือนจำขังสตรีชาววัง หากตำหนักดินเป็นที่คุมขังสตรีสูงศักดิ์ ตัวตำหนักนั้นใหญ่โตกว่าเรือนดินมากนัก มีการแบ่งห้องหับเป็นสัดส่วน มีเครื่องเรือนครบครัน ทุกวันจะมีนางกำนัลรับใช้นำอาหารมาให้แล้วรีบกลับออกไป


             เพียงแค่คิดความทรงจำของมหิตาเทวีถ่ายสู่หล่อนทันที ตำหนักดินอันเปลี่ยวเหงาตั้งอยู่ห่างไกลผู้คนนักแม้จะยังอยู่ในเขตพระราชฐานก็ตาม แต่ลึกลับและว้าเหว่ในสายตาของนางเทวีนัก เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ด้วยความรู้อยากเห็นจึงลอบไปถึงหน้าตำหนักดินพร้อมกับกุสุมาลย์ 


              แต่เมื่อไปถึงความใคร่รู้ถูกดับหายไปจนสิ้น เรือนไม้ขนาดใหญ่ตรงหน้าแม้วิจิตงดงามเพียงใด แต่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาเงียบเหงาวังเวงเหลือเกิน หนำซ้ำหน้าต่างแต่ละบานยังติดลูกกรงไม้เอาไว้เหมือนกรงขังนกไม่มีผิด นานๆ จะมีเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นล่องลอยออกมา จนเทวีน้อยหวาดกลัวต้องกอดกุสุมาลย์ไว้แน่น ครั้นพระแม่เจ้าทราบเข้าก็ทรงตำหนิแต่มิได้ลงพระอาญาแต่ประการใด ด้วยเห็นว่าพระธิดายังทรงพระเยาว์นัก


           “ก็นี่แหละถึงห้ามมิให้ไปอย่างไรเล่า ขวัญหายละสิลูกแม่” ตรัสแล้วก็ทรงอุ้มพระธิดามาโอบกอดแนบพระอุระ


           “ใครอยู่ที่นั่นหรือเพคะ เสียงร้องไห้นั่นนางเป็นคนหรือผีกันแน่?”


            “มหิตาลูกรักอย่างได้พูดเรื่องที่เจ้าซุกซนไปถึงหน้าตำหนักดินให้ผู้ใดได้ยินเชียวนะ ที่นั่นน่ะหากไม่ได้รับพระราชทานอนุญาตจากพระบาทเจ้า ก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด เพราะมันมีไว้กักขังหญิงชั่วอย่างไรเล่า”


            “หญิงชั่ว?”


            “หญิงชั่วเหล่านั้น เป็นสตรีชั้นสูงที่ทำผิดกฎมณเฑียรบาล ทำผิดจารีต ผิดประเพณี ทั้งลักลอบเล่นชู้สู่ชาย ทำคุณไสยฯ ใส่ผู้อื่น ทำเสน่ห์ให้พระบาทเจ้าหรือเจ้าชายหลงรักโดยมิชอบ ใคร่ได้ยศศักดิ์...หรือจะด้วยอาลัยรัก หรือจะอ้างสิ่งใดมารั้งชีวิตพวกนางไว้ก็ตาม แต่ความรักที่เคยมีมาทำให้ทรงเมตตาจึงมิได้ถูกประหาร แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาเดินเชิดหน้าชูตาอีกแล้ว มีแต่จะต้องอยู่ในตำหนักนั้นไปชั่วชีวิต”


            “ชั่วชีวิตเลยเหรอเพคะ? แล้วผู้อื่นไปเยี่ยมนางได้หรือไม่เพคะ?”


            “ไม่ได้ดอก นางเหล่านั้นเป็นหญิงชั่ว ไปพบเข้าอาจจะถูกเสนียดจัญไรติดตัวกลับมาได้ แค่อ้าปากพูดกับพวกนางสักครึ่งคำก็เป็นอัปมงคลแล้ว”


            “แล้วนางกำนัลเล่าเพคะ พูดกับพวกนางได้ไหม?”


            “ไม่ได้เหมือนกันจ้ะ พวกนางมิใช่อยู่ในฐานะที่ต้องยกย่องต้องปรนนิบัติ เพียงแค่นำสำรับข้าวไปให้เสร็จแล้วก็ต้องรีบกลับออกมา ห้ามพูดคุย ห้ามสบตากับพวกนางเด็ดขาด”


            “แล้วจะไม่เหงาหรือเพคะ?”


           “ทำอย่างไรได้เล่า นี่เป็นการลงทัณฑ์ที่ทรงกรุณาที่สุดแล้ว ดีเท่าไรที่มิต้องโดนตัดหัว” พระธิดาองค์น้อยมิค่อยเข้าพระทัยนักแต่ก็สัมผัสได้ถึงความหดหู่อันแสนทรมานจากการถูกขังที่ตำหนักดิน


           “จำไว้นะมหิตา...ภายภาคหน้าหากเจ้าออกเรือนไปต้องภักดีต่อผัว หญิงเรามีผัวได้แค่คนเดียว หากมิใช่ผัวตายแล้วถูกประทานต่อให้พระองค์อื่น อย่าได้คบชู้สู่ชาย อย่าได้ทำลายศักดิ์ศรีนางกษัตริย์อย่างเด็ดขาด และอย่าได้คิดการณ์ใหญ่เชิดชูชายอื่นที่ไม่ใช่ผัว


            ที่สำคัญอย่าได้หึงหวงคิดครอบครองผัวไว้คนเดียว หากเมียน้อยนั้นมิได้กำเริบเสิบสานกับเจ้า หาไม่แล้วจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เว้นแต่ละวันหาความสงบมิได้ แล้วมันจะทำให้เจ้ากลายเป็นหญิงบ้า เฝ้าแต่หาทางดึงผัวกลับมาจนลืมสิ้นกฎห้าม หลงทำสิ่งเลวทรามลงไป เหมือนนาง...” ตรัสแล้วก็ทรงอ้ำอึ้งไปคล้ายนึกขึ้นได้ว่ามิควรตรัสต่อ


             “เหมือนใครเพคะ?”


             “...นาง เอ้อ...ไม่มีดอก เจ้าฟังที่แม่สอนก็พอแล้ว”


             “ลูกไม่เข้าใจ ไฉนผู้ชายจึงมีเมียได้หลายนาง แต่หญิงเรามีผัวได้เพียงหนึ่งเดียวเล่าเพคะ? ผู้ชายจะมีเมียแค่เพียงคนเดียวมิได้หรือเพคะ แล้วไฉนผู้หญิงจึงเป็นฝ่ายผิด ผู้ชายจึงไม่ผิดเล่าเพคะ?” พระแม่เจ้าสดับแล้วก็ถอนพระปัสสาสะ


             “มหิตา...แม่จะบอกอย่างไรดี? อันหญิงเราต้องช่วยผู้ชายสร้างครัว จึงต้องมีหญิงหลายคน แต่ผู้ชายที่จะสืบพงศ์พันธุ์จะมีผู้เดียว เช่นเดียวกับบนแผ่นดินจะมีผู้เหนือหล้าได้เพียงผู้เดียว คือพระบาทเจ้าเท่านั้น การสร้างครัวก็เป็นเช่นนั้น”


             พระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวีมิกล้าบอกเล่าความหลังเมื่อครั้งเก่า หากไม่เป็นเพราะ...สตรีนางหนึ่ง นางที่เดินเคียงคู่กับพระบาทเจ้าสิทธิเสณก่อนจะได้เสวยราชสมบัตินั้นเป็นหมัน มิอาจมีราชบุตรสืบวงศ์ อีกทั้งมิได้ประสูติแม้แต่พระธิดาสักองค์หนึ่งเลยเสียด้วยซ้ำ เมื่อไม่อาจอุ้มเชื้อพระหน่อ พระนางจึงถูกปลดลงจากตำแหน่งพระชายาเอก ด้วยน้ำพระหัตถ์ของพระแม่เมืององค์ก่อน


             แม้จะดูว่าสัสสุ ทรงพระทัยร้าย แต่นั่นเป็นสิ่งที่จำต้องทรงกระทำเพื่อจุมภะปุระ เจ้าหญิงกมุทราเทวีจึงถูกเถลิงยศขึ้นมาแทนที่ ยังทรงจดจำได้เป็นอย่างดี วันที่พระนางบุษมาลีตรัสสาปแช่งทุกคนด้วยสติอันวิปลาส


             “ไม่มีวัน...ไม่มีวันที่เจ้าจะให้กำเนิดลูกชาย กุมุทรา ไม่มีทาง สิทธิเสณท่านไม่มีทางมีราชบุตร จุมภะจะต้องพินาศด้วยมือของผู้หญิง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงสรวลนั้นยังดังก้องอยู่ในพระกรรณจนบัดนี้


             “แล้วเจ้าจะรู้สึก...ลูกสาวเจ้าจะต้องเสียผัวรัก นางจะถูกปลดยศ นางต้องเป็นอย่างข้า เป็นบ้าแบบนี้อย่างไรเล่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า คอยดูเถิดกมุทราข้าขอสาปแช่ง ข้าขอสาปแช่งเจ้า!” ดวงเนตรอันเกรี้ยวกราดนั้นกวาดไปทั่ว และไปจบที่พระสัสสุ


             “เจ้าด้วย! มหาเทวีผู้ชราเอ๋ย..เจ้าก็เช่นกัน ข้าจะสาปแช่งเจ้า เจ้าไม่มีทางนอนตายตาหลับ จุมภะที่เจ้ารักนักรักหนาจนให้ร้ายข้า ต้องพินาศ ต้องพินาศ ต้องพินาศศศศศศศ!!!!”


             “หุบปาก!! บุษมาลีเจ้ามันหญิงอัปมงคล ถูกผีป่าสิงสู่ หาไม่แล้วจะไม่เป็นแบบนี้ ดูสภาพเจ้าตอนนี้สิ ต่างอะไรกับผีบ้า เพราะเจ้ามันเป็นหญิงบาป ลอบคิดชั่ว คิดร้ายกับทุกคน คิดว่าทำเสน่ห์แล้วสิทธิเสณจะกลับมารักเจ้ารึ พอไม่สำเร็จก็สาปแช่งผัว พระวิษณุเจ้าถึงไม่ประทานบุตรให้เจ้าอย่างไรเล่าหญิงชั่ว!!”


            “ไม่จริง! ข้าไม่ได้ทำเสน่ห์ เจ้าต่างหาก ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ หรือว่าเป็นเจ้ากมุทรา เจ้าอิจฉาข้าใช่ไหม? อยากขึ้นมาเป็นเมียเอก เจ้าใช่ไหมที่เอาใบจารคำสาปมาซ่อนไว้ใต้ฟูกนอนของข้า ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ หรือว่า..เจ้าด้วยงั้นเหรอ? วนาศรี เจ้าอีกคนใช่ไหม? พวกเจ้าร่วมกันใส่ร้ายข้าใช่ไหม?” 


            บุษมาลีเทวีชี้ดัชนีกราดไปทั่ว สร้างความตระหนกใจให้กับทุกคน ดวงเนตรนั้นแดงก่ำ มีท่าทีประหวั่นตลอดเวลา ดูก็รู้ว่าสติมิได้เป็นปรกติแล้ว


           “สิทธิเสณทำไม่ช่วยข้า เจ้าอยากกำจัดข้าใช่ไหม? ข้ารักเจ้า..ข้ารักเจ้านะ ผัวข้าทำไมทำกับข้าเช่นนี้ ข้าสิคู่ควรจะขึ้นเป็นพระแม่เจ้าเคียงคู่กับเจ้า ข้าเป็นลูกของท้าวไวษวิกรณ์ ข้าคู่ควร ข้าสูงส่ง...ทำไม? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ต้องมีคนทำร้ายข้า ข้าถึงไม่มีลูกสักที กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!” เมื่อกรีดร้องแล้วก็จิกทึ้งพระเกศาของตนเองอย่างบ้าคลั่ง เหมือนจะไล่ความเจ็บปวดออกไปกับเส้นผม ยามนั้นกมุทราเทวีได้แต่ยืนตะลึงนิ่งอึ้งกับภาพตรงหน้า


            “จับมัน!! เอานางบ้านั่นไปขังไว้ที่ตำหนักดิน เอาไปเร็วๆ เข้า เดี๋ยวก็ได้ไล่ฆ่าคนกันพอดี” เป็นพระสัสสุที่บัญชาการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็ว


            จากนั้นพระนามของบุษมาลีเทวีก็กลายเป็นพระนามต้องห้าม ห้ามมิให้ผู้ใดกล่าวถึงอีก ตลอดพระชนม์ชีพที่เหลือบุษมาลีเทวีประทับอยู่ ณ พระตำหนักดิน ตราบจนสิ้นพระชนม์ มีเสียงร่ำลือว่าพระนางถูกใส่จัดฉากใส่ร้าย และที่ไม่อาจควบคุมพระสติได้ก็เพราะถูกวางยาขนานหนึ่งเข้าไป เพื่อจะได้ปลดยศลงอย่างง่ายดายและไม่มีผลทางการเมืองไม่มีชนวนให้เกิดสงครามกับท้าวไวษวิกรณ์ผู้เป็นพระบิดาของพระนาง


            หลายปีต่อจากนั้นเจ้าชายสิทธิเสณได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เถลิงราชสมบัติอวยยศขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งจุมภะปุระ กมุทรามหาเทวีก็เช่นกันทรงขึ้นเป็นพระแม่นั่งเมือง และมิกล้าตรัสถามหรือสืบหาเรื่องราวครั้งนั้น ด้วยกลัวจะเป็นความจริง และยิ่งไม่กล้าตรัสถามพระสัสสุอีกเลย


             บุษมาลีเทวีครองตำหนักดินอยู่ผู้เดียวนานหลายปี มิเคยได้ตรัสหรือเจรจากับผู้ใดอีกเลย จนมีนางสนมที่ต้องโทษเข้าไปร่วมตำหนักแต่ก็หวาดกลัว อารมณ์อันวิปลาสของพระนางจึงไม่กล้าที่จะเสวนาด้วย เรียกได้ว่าเป็นพระชนม์ที่ว้าเหว่และเดียวดายนัก บ่อยครั้งที่มีเสียงสะอื้นไห้ เสียงกรีดร้องลอยออกมาจากตำหนักดิน ยิ่งทำให้ถูกเล่าขานอย่างน่ากลัว


             คำสาปแช่งของพระนางบุษมาลีเป็นจริงขึ้นมาทีละเรื่อง...ทีละเรื่อง เริ่มจากแม้พระสัสสุมิได้สิ้นพระชนม์อย่างปกติธรรมดา ทรงพระชวรด้วยไข้ประหลาดชนิดหนึ่งซึ่งเป็นๆ หายๆ เมื่อไม่มีไข้พระวรกายจะเย็นเฉียบทำให้ไร้เรี่ยวแรง ไม่อยากเสวยพระกระยาหาร นับวันก็ยิ่งผอมซูบลงทุกที แล้วไม่กี่วันก็จะไข้ขึ้นสูงสลับกันเช่นนี้ จนต้องต้มพระโอสถถวายกันแทบตลอดเวลา 


             ตำหนักหลวงยามนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นโอสถ เป็นเหตุให้พระบาทเจ้าองค์ก่อนผู้เป็นบิดาของพระเจ้าสิทธิเสณ แยกห้องบรรทม และย้ายไปประทับพระสนมแทน


            พระสัสสุต้องทรมานเช่นนี้อยู่หลายปีกว่าจะสิ้นพระชนม์ในราตรีหนึ่ง นางกำนัลรับใช้เข้าใจว่าทรงบรรทมหลับไปแล้ว จึงเลี่ยงออกไปนอนเฝ้าอยู่หน้าบานทวารแทน พอรุ่งสางเข้าจึงเข้ามาพบว่าสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ด้วยสีหน้าพระพักตร์บิดเบี้ยว ดวงเนตรเบิกกว้าง บนแท่นบรรทมมีร่องรอยการดิ้นรน พระเขนย กลิ้งตกลงมาอยู่ข้างเตียง ผ้าคลุมบรรทมร่วงหล่นลงมาครึ่งผืน เหมือนทรงต่อสู้ดิ้นรนและหวาดกลัวอะไรบางอย่างสุดขีด จนพระหทัยวายเป็นเหตุให้สิ้นพระชนม์


            ในตอนนั้นกมุทรามหาเทวียังทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าจะมาจากฝีมือภูตผี หรือคำสาปแช่ง เพราะผู้ใดก็ทราบว่าพระสัสสุทรงประชวรมาหลายปีแล้วและทรงชรามาก การสิ้นพระชนม์มิใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่ในพระทัยลึกๆ ก็ประหวั่น เมื่อตั้งพระครรภ์และมีประสูติกาลหลายครั้ง และทุกครั้งเป็นพระธิดาทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าเมืองนี้จะถูกปกครองโดยสตรี ทั้งสองพระองค์ก็รีบจัดบวงสรวงขนานใหญ่ถวายแด่จอมบาดาลพญามหิทธราบดีนาคราช กมุทรามหาเทวีเชื่อว่าอำนาจแห่งนาคาเทพย่อมเหนือกว่าคำสาปแช่งของบุษมาลีเทวี เหตุการณ์ร้ายต่างๆ ทุเลาลงจนปลาสนาการ


            จุมภะปุระภายใต้การปกครองของพระเจ้าสิทธิเสณ สงบสุข ร่มเย็น เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งกว่ายุคพระบาทเจ้าองค์ก่อน กมุทรามหาเทวีก็เบาพระทัย ทรงเป็นสุขจนแทบจะลืมเลือนพระนางบุษมาลีไป จนกระทั่งพระธิดาองค์น้อยตรัสถามขึ้นมา


            “ไฉนบุรุษจึงมีสตรีได้หลายนาง? อยุติธรรมยิ่งนัก..” พระธิดาน้อยบ่นอุบอิบ ด้วยท่าทีแสนงอน


            “ลูกแม่..เจ้าเป็นเจ้าหญิงแห่งจุมภะ บุรุษใดก็ต้องยอมสยบแก่เจ้าด้วยเห็นแก่บารมีของพระบาทเจ้า เขาคงไม่ให้นางใดมาเหนือเจ้าได้หรอก เจ้ามิต้องกลัวไป อีกประการเจ้าได้พรจากพญามหิทธราบดี บุรุษใดก็ต้องสยบแก่เจ้าทั้งสิ้นแล” ตรัสพลางยกหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์พระธิดา


            “จริงด้วยเพคะ ลูกจะขอพรนี้จากพญามหิทธราบดี ขอให้ลูกได้พบบุรุษที่รักลูกเพียงผู้เดียว ไม่มีหญิงอื่นนางใด” ตรัสพลางยกมือขึ้นพนมเหนือศีรษะคล้ายตั้งจิตอธิษฐาน ทำให้พระแม่เจ้าทรงสรวลขึ้นมาด้วยความเอ็นดู


            “เด็กน้อย...เจ้ายังอ่อนเดียงสานัก อย่าเอาเรื่องพวกนี้ไปรบกวนท่านเลย”


            ความทรงจำเหล่านี้ค่อยๆ เรียงร้อยขึ้นมาให้เคียงฟ้ารับรู้ เป็นเวลาหลายปีที่จิตอันพิสุทธิ์ของเทวีองค์น้อยเฝ้าเพียรขอสัจจะนี้จากราชบุตรแห่งพญามหิทราบดี ซึ่งก็ทรงรับคำทำให้มหิตาเทวียินดีนัก บุรุษอื่นใดจะเอ็นดูนางก็หาปรีดาเท่าเจ้านาคราชไม่ คำสัญญานั้นสลักมั่นไว้ในใจมาแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์


            “รักหม่อมฉันคนเดียวนะเพคะ ห้ามเหลียวแลหญิงอื่น ไม่อย่างนั้นหม่อมฉันต้องอกแตกตายแน่ๆ เลย” ยามนั้นยังเป็นเพียงเด็กหญิงที่ยังไม่ระดูเท่านั้น


            “อกแตกตาย...เป็นอย่างไรเจ้ารู้รึ?” เจ้านาคราชสนทนากับนางผ่านจิตมิได้เสด็จมาด้วยองค์จริง จึงนิมิตมายาเป็นภาพพญานาคราชผู้มีเกล็ดสีรุ้งพร่าวพราวตลอดวรกาย ปรากฏในห้องบวงสรวงของนาคาลัย


             “รู้เพคะ ถ้าหัวใจร้องไห้ก็หายใจไม่ออกแล้วอึดอัด จากนั้นก็...อกแตกเลย ก็เลยตายไงเพคะ”


             “เคยเห็นรึ?”


             “ไม่เคยเพคะ? เคยแต่ได้ยินพระนมเล่าให้ฟัง มันดูน่าสงสารและทรมานมากกว่าจะตาย คงหายใจไม่ออก” แม้จะวิเคราะห์ความหมายไปคนละทางกับที่พระนมกรรณิการ์เล่าทูลให้สดับ แต่สีพระพักตร์นั้นน่าสงสารจับใจราวกับว่าหากปฏิเสธไม่ให้สัตย์รับคำสัญญานี้ นางคงจะร้องไห้ข้ามวันข้ามคืนจนปลอบแทบไม่ทันเป็นแน่


             “นะ..เพคะ สัญญากับหม่อมฉันนะเพคะ”


             “มหิตา...เราเคยกล่าวเท็จกับเจ้าหรือไม่?”


             “งั้นหมายความว่า?” ดวงเนตรเบิกโตมีประกายแห่งความยินดีระริกไหวอยู่ภายใน


             “ทรงรับปาก ไชโยๆๆ เท่านี้หม่อมฉันก็ไม่ต้องอกแตกตายแล้ว หม่อมฉันเป็นหญิงที่โชคดีที่สุด หม่อมได้พระสวามีที่ดีที่สุดในหล้า ” ตรัสจบก็ลุกขึ้นกระโดดขึ้นลงด้วยความดีพระทัย


             “มหิตา...มีสตรีชั้นสูงคนใดกระโดดโลดเต้นอย่างเจ้าบ้างหือ?”


             “ขออภัยเพคะ” เทวีน้อยรีบแย้มสรวลประจบ


              “เจ้าทำราวกับสวามีเป็นของเล่นชิ้นใหม่”


              “แหม...หม่อมฉันแค่ดีใจเท่านั้นเอง ดีใจจริงๆ นะเพคะ ” เสียงหัวเราะใสไม่ต่างกับระฆังแก้ว เรียกความชุ่มชื่นหทัยให้ภูวิษะเจ้า จนต้องเผยอโอษฐ์แย้มสรวลออกมาบ้าง แต่เจ้าหญิงพระองค์น้อยมิได้ทอดพระเนตรเห็น เพราะเห็นเพียงวรกายนิรมิตเท่านั้น


              เคียงฟ้ายิ้มบางๆ ออกมากับภาพในความทรงจำ นัยน์ตาหล่อนมีน้ำตารื้น ความสุขเมื่อวันวานแสนหวานเสียจนไม่อยากลืมเลือน


             “ฉันเข้าใจ..มหิตา ฉันเข้าทำไมเธอถึงรักเขามากมายขนาดนี้ รักตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นร่างมนุษย์ด้วยซ้ำ” หล่อนพูดกับตนเองแล้วนึกไปถึงเจ้าภูวิษะที่พบในวันเวลาของหล่อน เขาต่างกันกับเจ้านาคราชในวันวานเหลือเกิน ความเจ็บปวดเสียใจพรากเอารอยยิ้มไปจากใบหน้านั้นจนหมด


              เขาเสียใจ...เธอก็เสียใจ ในความย่อยยับล่มสลายของความรัก แต่ครั้งนี้...หล่อนไม่รู้ว่านอกจากรับรู้แล้วหล่อนยังสามารถช่วยเหลือแก้ไขอะไรได้อีกหรือไม่ เคียงฟ้ามองไม่เห็นอาจารย์วิมุตติแล้ว เรียกหาก็ไม่ได้ยินไร้เสียงตอบรับใดๆ คงมีแต่ตนเองที่ต้องเฝ้ามองกรรมที่เคลื่อนไปอย่างเข้มแข็ง


            “เจ้าภู...ขอให้ฟ้ารู้จนถึงที่สุด อย่างน้อยๆ ฟ้าจะได้รู้ว่าควรจะทำอะไรได้บ้าง ถึงแม้จะแก้ไขอะไรไม่ได้เลยก็ตาม แต่อย่างน้อย...อย่างน้อย ฟ้าจะไม่ทำลายหัวใจคุณอีกแล้ว” พูดจบก็ปล่อยน้ำตาออกมาเป็นสาย ปทุมมาแอบอยู่ไกลเข้าใจไปว่าพระเทวีของหล่อนกรรแสงออกมาด้วยกลัวโทษทัณฑ์ที่เกิดแก่พระสวามี



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





Create Date : 29 มิถุนายน 2557
Last Update : 29 มิถุนายน 2557 3:22:25 น. 3 comments
Counter : 2303 Pageviews.

 
ว๊าวววว เซอร์ไพร์สมากคะ นึกว่าจะไม่มีโพสต์ให้อ่านแล้ว รอมานานม๊าาาาก ยังสนุกเหมือนเดิม
ขออนุญาตรอตอนต่อไปนะค่ะ ^_^


โดย: jaja IP: 183.89.140.32 วันที่: 29 มิถุนายน 2557 เวลา:17:12:45 น.  

 
ตามมาตลอดค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ


โดย: Rose IP: 192.95.30.51 วันที่: 21 มิถุนายน 2559 เวลา:8:22:45 น.  

 
เมื่อไรจะมาต่อให้ค่ะ รอๆๆๆนะค่ะ


โดย: Rose IP: 188.165.201.164 วันที่: 15 มิถุนายน 2560 เวลา:3:54:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.