เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 23
ตอนที่ 23 รอยร้าว
แสงบนท้องนภาสลัวลงทุกที กำมะหยี่สีดำมืดค่อยๆ คลี่คลุมไปจรดปลายฟ้า ลมเย็นพัดผ่านมา เจือด้วยหยาดน้ำค้างหริ่งหรีดเรไรเริ่มส่งเสียงบรรเลง แต่กุสุมาลย์ยังยืนนิ่งอยู่กับอยู่กับที่ด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ มีเพียงผ้าทอมือสีดอกคำฝอย ผืนบางคลุมไหล่ปกป้องผิวนวลจากอากาศเย็น สองตาของนางมองตรงไปข้างหน้าอย่างเฝ้าคอยมากว่าชั่วยามแล้ว มิช้านานร่างอันองอาจผึ่งผายของคนที่รอคอยปรากฏขึ้นในความมืด และค่อยเดินตรงมาบริเวณที่นางยืนอยู่
"ภูวิษะเจ้าเพคะ!!" หญิงงามส่งเสียงเรียกออกไปทันทีที่เห็นเงาร่างสูงเดินใกล้เข้ามา ในขณะที่เจ้าของชื่อนึกฉงนว่าเหตุใดนางกำนัลคนโปรดของชายา จึงมาดักคอยหน้าตำหนักเช่นนี้
"มีอะไรรึกุสุมาลย์ ? "
"คือ....." ถึงเวลาที่รอคอยกุสุมาลย์กลับมิอาจกล่าวถ้อยคำได้ดังใจหมาย เพราะเกิดละอายในสิ่งที่พินทุมณีเทวีทรงตรัสไว้
"ว่ากระไร?"
"คือ...พระเทวีอารมณ์ไม่ใคร่ดีนักเพคะ" ดวงเนตรคมกล้าเบิ่งโตขึ้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่า
"มีเหตุใดเกิดขึ้นรึ?"
"หามิได้เพคะ....มิได้มีเหตุใดร้ายแรง เพียงแต่เมื่อตอนเย็นพระภคินีเสด็จมาเยือนตำหนัก เมื่อเสด็จกลับพระเทวีก็ทรงไม่สบายพระทัยเพคะ ยามนี้ผู้ใดก็เข้าหน้าไม่ติด"
"พระภคินีองค์ใด....พินทุมณีสินะ ?"
"เพคะ"
"หึ...จะมีผู้ใดอีกที่ชำนาญการร่ายมนต์ร้ายด้วยโอษฐ์เท่านางอีกเล่า" เมื่อรำพึงตรงนี้นางกำนัลคนงามฟังแล้วต้องเผลอตัวขบขันออกมา
"ทรงพระปรีชายิ่งนัก หม่อมฉันยังมิทันได้ทูลก็รู้ทันว่าเป็นผู้ใด" ภูวิษะเจ้าสดับฟังแล้วก็ทรงทอดถอนหทัยออกมา แม้ไม่ต้องใช้ทิพย์อำนาจอันใดก็พอจะคาดเดาได้
"นางพูดอะไรให้มหิตาไม่สบายใจอีก ? " คำถามนี้กุสุมาลย์มิอาจตอบได้ในทันที นางได้แต่ยืนนิ่งอ้ำอึ้งด้วยสีหน้าเขินอายนักหนา
"อย่าทรงตรัสถามหม่อมฉันเลยเพคะ..."
"ทำไมเล่า?" เจ้านาคราชจำแลงมิได้ข้องพระทัยกับกับท่าทีสะเทิ้นอายของนางเลยแม้แต่น้อยจึงได้แต่แปลกพระทัย
"ทรงเอาพระทัยพระชายาหน่อยแล้วกันเพคะ ประเดี๋ยวจะทรงกลัดกลุ้มพระทัยมากไปกว่านี้"
"ก็เจ้าไม่บอกเรา แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องอันใด?" ยิ่งทรงซักถามหญิงงามก็ยิ่งมีสีหน้าอึดอัดขัดข้อง
"ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันมิอาจทูลได้" สีหน้าของนางแดงก่ำขึ้นทุกขณะ แต่พระองค์ไม่ทันสังเกตเห็นเพราะแสงสลัวอำพรางไว้
"เอาเถอะถ้าลำบากใจก็ไม่ต้อง เราจะคุยกับมหิตาเอง ขอบใจเจ้ามาก" ตรัสจบก็ก้าวดำเนินผ่านพระพี่เลี้ยงโฉมงามไป ปล่อยทิ้งให้นางได้แต่มองดูแผ่นหลังของร่างสูงสง่าไปจนลับสายตา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยามนั้นมหิตาเทวีประทับอยู่ในห้องบรรทมตามลำพัง และจมอยู่กับดำริอันขุ่นมัวในพระทัยตนเอง จึงไม่ได้ยินเสียงเปิดบานทวารตามด้วยฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้อง จวบจนกระทั่งพระสวามีตรัสเรียกจึงค่อยรู้สึกพระองค์
"มหิตาเป็นอะไรไป?" ทรงฉงนพระทัยมิใช่น้อย เมื่อเห็นเทวีน้อยสะดุ้งจนสุดวรกาย ก่อนจะเหลียวมาทอดพระเนตรพระองค์ด้วยสีพระพักตร์ประหลาด
"เราทำให้เจ้าตกใจรึ ?" ตรัสพลางก้าวเดินไปประทับเคียงคู่บนแท่นบรรทม
"มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่คิดอะไรเพลินๆ เท่านั้น มิทันได้ยินเสียงจึงมิได้ออกไปต้อนรับ ราชกิจเป็นอย่างไรเพคะ ทรงเหน็ดเหนื่อยหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะได้จัดเตรียมพระกายาหารถวาย"
"เราถามเจ้า มิใช่ให้เจ้าย้อนถามเรา" ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลก่อนจะลูบนวลปรางพระชายา
"ไม่ต้องจัดอาหารให้เราหรอก เราเสวยมาพร้อมพระบาทเจ้าแล้ว เจ้าล่ะ?"
"หม่อมฉันไม่หิวเพคะ"
"เป็นอันใดไป...หรือพินทุมณีเทวีกล่าวอะไรให้เจ้าไม่สบายใจรึ?"
"ไฉนจึงทรงทราบ ผู้ใดทูลพระองค์" มหิตาเทวีเลิกขนงขึ้นด้วยความฉงนทันที
"บ่าวไพร่ตำหนักนี้มิได้หูตาฝ้าฟางนี่"
"ภูวิษะเจ้า....อย่าทรงถือสาพระพี่นางเลยนะเพคะ พระพี่นางมิได้ตั้งใจจะตรัสให้ทรงขุ่นเคือง แต่ทรงเป็นห่วงน้องจึงเสนอความคิดที่พระองค์คงเห็นว่าดีมาเท่านั้น" เทวีน้อยลุกขึ้นนั่งกุมหัตถ์พระสวามี ทรงเข้าพระทัยไปว่าภูวิษะเจ้าทราบทุกสิ่งแล้ว
"เราไม่เคยเห็นพินทุมณีมีความคิดอันดีงามเลยสักครั้ง มิเช่นนั้นเจ้าจะมานั่งจับเจ่าซึมเซาในห้องไปทำไม?"
"หม่อมฉัน...." พระชายาทรงหลุบสายพระเนตรหลบ
"เอาเถอะอย่างไรนางก็เป็นพี่สาวของเจ้า...เฮ้อ...."
จอมนาคราชถอนหทัยเสียงดังออกมา ทุกสรรพสิ่งในโลกทรงแข็งขืนได้ด้วยฤทธา แต่จะอ่อนข้อให้เพียงอย่างเดียวคือหยาดอัสสุชลของอนงค์นาง
"มหิตา....เราไม่อยู่สองวันคิดถึงเราหรือไม่ ? "
ตรัสแล้วก็ทรงแย้มสรวลสายพระเนตรพราวแสงประหลาดคล้ายยั่วเย้า แน่งน้อยโฉมงามสบดวงเนตรหยาดเยิ้มเข้าก็สะเทิ้นอาย แม้จะผ่านวัยเดียงสามาแล้วก็ตามแต่ยังมิชินกับเหลี่ยมเล่ห์เสน่หานี้เลย
"เสด็จพี่...." ถ้อยดำรัสมิได้หลุดออกจากโอษฐ์อิ่มครบทุกถ้อยคำ ร่างน้อยก็ถูกดึงรั้งขึ้นมาสู่อ้อมพระพาหาแข็งแกร่ง
"พี่คิดถึงเจ้า...."
น้ำคำหวานระรื่นกระซิบอยู่ข้างพระกรรณแผ่วเบา แต่ดังก้องไปทั้งดวงหฤทัย มหิตาเทวีพริ้มดวงเนตรลง ยามนี้ทรงอิ่มเอิบไปด้วยถ้อยวจีของบุรุษอันเป็นที่รัก เรียวหัตถ์บอบบางจึงโอบกอดตอบรับวรกายสูงนั่น และอิงแอบอยู่ในอ้อมอุระเนิ่นนาน ความขุ่นเคืองที่ตกค้างมาแต่ดวงอาทิตย์ยังมิสิ้นแสงมลายหายไปสิ้น เหลือแต่เพียงความชุ่มฉ่ำฤทัยดังแสงจันทร์นวลฉายส่อง ทั้งสองพระองค์ทรงแย้มสรวลให้กันและกัน
"สองวันมานี้ราชกิจหนักไหมเพคะ" พระเทวีน้อยตรัสถาม ในขณะที่วรกายยังเอนอ่อนแนบชิดพระสวามี
"จะว่าหนักก็มิเชิง เพียงแต่...ตลอดวันและคืนเรานั้นหามีสมาธิในกิจการที่ทำไม่"
"ทำไมล่ะเพคะ ? "
"ก็ไม่ว่าพบเห็นสิ่งใด...ก็คิดถึงแต่ดวงหน้าเจ้า"
"หม่อมฉันไม่เชื่อหรอก" ตรัสปดทั้งที่หทัยนี้ปรีดานัก
"ไม่เชื่อรึ....งั้นดูสิเรามีอะไรมาฝากเจ้า" ภูวิษะเจ้าล้วงหยิบล้วงเอากล่องไม้เล็กบางออกมาจากห่อผ้า ที่ทรงวางไว้บนโต๊ะข้างแท่นบรรทม
"อะไรรึเพคะ?"
"ด่านหัวน้ำมีเรือสำเภาพ่อค้าชาวสิบสองจุไทเข้ามาขายสินค้า มีของงดงามแปลกตามากมายนัก เราอนุญาตเพียงให้ส่งสินค้าเข้ามาในเมือง แต่ไม่อนุญาตให้ดำเนินการค้าขายเอง....แต่ว่ายิ่งเห็นแพรพรรณ เครื่องประดับเหล่านั้นก็อดนึกถึงน้องพี่มิได้ จึงนำติดมือมาฝาก...ลองเปิดกล่องดูสิชอบหรือไม่?" ชายานี่เคียงคู่บนแท่นบรรทมทรงแย้มยิ้มอย่างเปี่ยมสุข
"เพคะ แต่ทำไมมีสองกล่อง"
"เลือกเอากล่องที่ชอบสิ" ตรัสแล้วก็ทรงช่วยเปิดกล่องอีกใบให้ทรงทอดพระเนตรเปรียบเทียบ
"ปิ่นปักผม?"
กล่องในอุ้งหัตถ์มหิตาเทวีบรรจุไปด้วยจุฑามณีสีทองอร่ามล้ำไปตลอดคันด้ามทั้งสองขา ด้านปลายสุดถูกตีเป็นแผ่นทองขนาดใหญ่ และจึงตีตอกเป็นลวดลายบุปผชาติซอกซ้อนกันหลายดอก ส่วนอีกกล่องที่มีขนาดเล็กและลวดลายเรียบกว่า ตัวด้ามปิ่นยาวเล็กแหลมทำจากเงินลงยา ปลายอีกด้านประดับเชื่อมไปด้วยแผ่นเงินสี่เหลี่ยม ตีตอกเป็นลวดลายผกาดอกน้อย มีพู่ร้อยเกี่ยวด้วยสายเงินเส้นเล็กห้อยลงมาคล้องเกี่ยวด้วยใบไม้สีเงินเล็กๆ สองสามใบ
"เจ้าชอบชิ้นใด?" มหิตาเทวีมิได้ตอบแต่ทรงเหลียวไปมองพระสวามีด้วยความสงสัย หากจะนำมาประทานให้ไฉนจึงไม่เลือกจุฑามณีมีค่าเคียงกัน แต่ทรงเลือกมาอย่างต่างศักดิ์อย่างเห็นได้ชัด
"เสด็จพี่ล่ะเพคะ?" จึงทรงแสร้งตรัสถาม
"เจ้าชอบชิ้นใดก็ประดับชิ้นนั้นเถิด"
"อืม....ปิ่นทองนี้งดงามจับตานัก หากประดับออกงานหรือติดตามเสด็จพ่อยามไปอาลักษณ์อักษรที่บรรณาลัย ปิ่นทองนี้คงลงตัวกับอาภรณ์ชิ้นอื่น ส่วนปิ่นเงินนี้ก็งามสง่าเรียบง่ายหากประดับในวันที่มิต้องออกไปไหนก็คงเหมาะสมเพคะ หม่อมฉันชอบทั้งสองชิ้นแต่ชอบปิ่นทองมากกว่าเพคะ"
"ถ้าเช่นนั้นปิ่นเงินนี้ก็ให้กุสุมาลย์ไปก็แล้วกัน" รอยแย้มสรวลเมื่อครู่พลันหายวับไปจากดวงพักตร์ของมหิตาเทวี
"นางน่าจะชอบ ไว้พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยประทานให้นางเถิด" ดำรัสนั้นทำเอาหทัยดวงน้อยแข็งทื่อดุจดังโดนทัณฑ์สาปให้กลายเป็นศิลา
"ทำไมหรือ? ก็เจ้าชอบปิ่นทองมากกว่าไม่ใช่รึ?"
"เพคะ....ขอบพระทัยเพคะ ที่ทรงคิดถึงหม่อมฉันและพี่กุสุมาลย์"
"เราก็คิดว่าเจ้าคงชอบปิ่นทองมากกว่าเช่นกัน จึงตั้งใจเลือกลายที่เหมาะกับเจ้ามาให้ มานี่สิลองประดับดู" พระชายายังทรงมึนงงเกินกว่าจะเอ่ยตรัสถ้อยคำใดออกมาได้ จึงได้แต่ส่งปิ่นทองนั้นให้พระสวามีทรงสวมประดับลงในเกศา
"เสร็จแล้วลองส่งกระจกดูสิ"
ภูวิษะเจ้าทรงกอดตระครองมหิตาเทวีไปหน้ากระจกทองเหลือง ในภาพนั้นฉายเงาเทวีผู้เลอลักษณ์แต่สีพระพักตร์นั้นหม่นหมองนัก ต่างกับนาคราชจำแลงซึ่งบัดนี้ทรงแย้มสรวลให้กับความงดงามของพระชายา
"งามสมคะเน" ทรงปลื้มพระทัยในการเลือกเฟ้นขององค์เองนัก
"เพคะ...."
"อีกอันคงเหมาะกับกุสุมาลย์ หวังว่านางคงจะชอบเราไม่ใคร่ถนัดเลือกเครื่องประดับสตรีนัก"
"เพคะ....คงชอบ"
"นางปรนนิบัติรับใช้เจ้ามานาน และยังเผื่อแผ่มาถึงเราสมควรจะกำนัลสิ่งของตอบแทนบ้าง"
น่าเสียดายนักที่เพลานั้น ภูวิษะเจ้ามิได้ทันสังเกตสีพระพักตร์และสุรเสียงของมหิตาเทวีเลย จึงมิทรงทราบว่าในหทัยชายานั้นปวดร้าวสักเท่าใด เมื่อพระนางทรงเข้าพระทัยผิดไปใหญ่หลวงเสียแล้ว ในดำรินั้นกลับมีแต่ภาพดวงพักตร์กุสุมาลย์คนงามกำลังยิ้มแย้มด้วยความยินดี ที่ได้รับพระราชทานจุฑามณีเงินนั้น แว่วเสียงพระเชษฐคินีพินทุมณีดังมาให้สดับฟัง
'มีแต่เจ้าเท่านั้นดอกหนาน้องพี่ที่มิเคยสังเกตอันใด สวามีเจ้ารึจะมองข้ามหญิงงามเพียบพร้อมเช่นกุสุมาลย์ เพียงแต่เขารึจะกล้าแสดงความนัยออกมาให้เจ้าพบเห็น หากเพ่งพินิตให้ดีมิช้านานก็คงรู้'
ค่ำคืนนั้นมหิตาเทวีได้แต่ทรงกรรแสงอย่างเงียบงัน ในขณะที่ภูวิษะเจ้าที่บรรทมอยู่เคียงข้างนั้น เข้าสู่นิทราไปอย่างง่ายดาย และบรรทมสนิทด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยในราชกิจ จึงมิได้รู้เลยว่าดวงฤดีอันบอบบางที่ทรงเฝ้าถนอมกำลังเศร้าโศกเพียงใด
"ผู้ชายอสัตย์ไว้ใจไม่ได้!!?"
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในความมืด แต่มิมีผู้ใดได้ยินแม้กระทั่งมหิตาเทวีผู้กำลังจมอยู่กับความโศกตรม เสียงนั้นเป็นเสียงของเคียงฟ้าที่เฝ้าดูเหตุการณ์มาตลอดนั้น เสียงสะอื้นเจือแววขมขื่นและรวดร้าวแทนเจ้าหญิงแห่งจุมภะปุระ ภาพรักที่เคยงดงามราวภาพฝันเมื่อครั้งก่อนแตกสลายไม่มีชิ้นดี หญิงสาวไม่เข้าใจทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองทำไมถึงเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้ หยาดน้ำตาไหลนองออกมาอาบสองแก้ม ทั้งที่หล่อนยังไม่ฟื้นตื่นจากความฝันเลยด้วยซ้ำ ภาพของชายหญิงในยุคโบราณค่อยๆ ลอยถอยห่างออกไปจนหายลับ
"ไม่มีทางที่ฉันจะถูกคุณหลอกซ้ำสองเจ้าภูวิษะ!!!"
หล่อนปฏิญาณกับตนเองในความมืดทั้งที่ยังไม่ได้สติ หากแต่ฝ่ามือทั้งสองกำจนเกร็งแน่นเสียจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เสียงพร่ำพูดถ้อยคำอันกัดกร่อนดวงใจค่อยๆ เบาลงไป เมื่อเคียงฟ้าคลายอาการเกร็งร่าง ลมหายใจค่อยผ่อนคลายจนสม่ำเสมอและสงบไปในที่สุด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 01 ธันวาคม 2555 |
Last Update : 1 ธันวาคม 2555 3:48:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3693 Pageviews. |
|
|