จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
มกราคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 มกราคม 2559
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 72

ตอนที่ 72


“ท่านขอให้สร้อยประพาฬเทวีทำกระไรรึ?”


“เป็นทางออกของเราที่เห็นสมควรที่สุดในเวลานั้น” นาคเจ้ายิ้มน้อยๆตอนเล่าให้สหายฟัง “ขอให้ทรงรับเจ้าหญิงเมืองปาลไว้ในตำหนักของพระนาง”


“ท่าน...”


“แก้วตารา เพิ่งจะอายุ13 ย่างเข้า 14 เท่านั้น ยังประวิงเวลาได้อีกหลายปีกว่านางจะเป็นสาวเต็มตัว เราใช้ข้ออ้างนี้ฝากนางไว้ที่ตำหนักสร้อยประพาฬเทวี อ้างว่าให้เสด็จป้าช่วยฝึกฝนนางให้เป็นกุลสตรีที่เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาคนที่สองของเราอย่างไรเล่า”


“เจ้าปัญญานัก ฮะ ฮะ” วิมุตติพลอยหัวเราะเห็นดีเห็นงามไปด้วย “แบบนี้ผู้ใดก็ยากจะคัดค้านข้ออ้างนี้เสียด้วยสิ ท่านไม่ต้องผิดวาจา มหิตาก็ไม่เสียใจ ทุกอย่างดูจะคลี่คลายด้วยดีแล้วเหตุอันใดเมืองจึงล่มอีก?”


“ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามนั้น...หากดวงชะตาเราคงมีคราสเข้าบดบัง”เจ้านาคราชทอดถอนหายใจวงพักตร์ซีดเซียวลง แววเนตรมีหน่วยน้ำคลอแต่เพียงครู่เดียวอัสสุชนก็ถูกกลืนลงไปในอุระ


“มันคงเป็นชะตาที่ยากจะหลีกเลี่ยง”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ใช่..มันน่าจะเป็นไปตามแผนที่นาคเจ้าทรงดำริไว้ วันนั้นก่อนแสงสุรีย์จะลาลับภูวิษะเจ้ารีบเร่งฝีเท้าม้าเสด็จกลับตำหนัก ดวงพักตร์มีแต่รอยยิ้มสมพระทัยใคร่จะกลับไปบอกเรื่องนี้กับมหิตาเทวี แต่เมื่อกลับมาถึงก็ต้องประหลาดพระทัยเมื่อพบว่าพระชายามิได้อยู่ในตำหนักเหมือนเช่นเคยมีเพียงนางกำนัลออกมาต้อนรับ แม้คุณท้าวจันทร์หอมก็พลอยไม่อยู่ไปด้วย


“มหิตาไปไหน?”


“ไปเข้าเฝ้าพระมาตุจฉา[1]เพคะ”


“พระมาตุจฉา?”


“กมลมาลย์เทวีเพคะ” เจ้าของพระนามเป็นพระขนิษฐาของพระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวีซึ่งถวายงานใกล้ชิดหลายครั้งก็ทรงงานแทนตามรับสั่งครานี้ก็เช่นกัน


“ไปทำไม?”


“มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพคะ” นางกำนัลตอบเกรงๆ ด้วยว่าระยะนี้พระอารมณ์ภูวิษะเจ้าไม่ใคร่ปกตินักมักจะฉุนเฉียวง่าย เมื่อเห็นว่าไม่รับสั่งใดอีกนางจึงเลี่ยงไปหาน้ำมาถวาย


รอคอยอยู่หลายเพลาชายาอันเป็นที่รักก็มิได้กลับมาพบพักตร์ เจ้านาคราชได้แต่ดำเนินไปมาไม่ช้าก็เบื่อหน่ายและเผลอบรรทมไป ดังนั้นเมื่อมหิตาเทวีเสด็จกลับมาก็มิได้ทราบข่าวดีที่พระสวามีจะนำมาบอก...


“เจ้าภู....”เสียงที่ผ่านริมฝีปากอิ่มของมหิตาเทวีออกมาเป็นเสียงของเคียงฟ้า


หล่อนนั่งลงข้างเตียงเมื่อเห็นร่างสูงของภูวิษะเจ้าบรรทมอยู่ หญิงสาวพินิจไปที่ใบหน้าที่ยังหลับตาสนิทนั้นนัยน์ตาของหล่อนก็รื้นไปด้วยน้ำตา ความรักมากมายมันเอ่อล้นอยู่ในอกเขาอยู่ตรงหน้าแล้วหล่อนอยากสวมกอดเขาให้หายคิดถึง อยากถามเขาว่าทำไมถึงหลบหน้าหล่อนทำไมถึงขังตัวเองอยู่ในความมืด แต่คนตรงหน้าไม่ใช่เจ้าภูวิษะคนที่หล่อนพบในแดนไสยาสน์ เป็นเพียงเงาในอดีตเท่านั้น


“ฟ้าคิดถึงคุณเหลือเกิน”หล่อนพูดได้แค่นั้นแล้วสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากกลัวว่าเสียงร้องไห้จะไปทำให้เขาตื่น


แค่ไม่ได้พูดคุยกันไม่กี่วันแต่สำหรับเคียงฟ้ามันช่างยาวนานเหลือเกิน หล่อนมีอะไรอยากบอกเขามากมายแต่จะให้ปลุกขึ้นมาก็ใช่ที่ จึงได้แต่ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วนั่งมองดูชายคนรักมองหลับ


‘เขาเป็นของมหิตา’ เคียงฟ้าบอกตัวเอง แล้วคำถามอีกมากมายก็ประเดประดังเข้ามาอดีตผ่านไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่การนิ่งเฉยยอมรับทุกสิ่งอย่างจนตรอกมันคงไม่ใช่เหตุผลที่นำกาลเวลานำหล่อนกลับมาที่นี่ บางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวบอกกับตนเองมาถึงขั้นนี้แล้วหล่อนยอมแลก..แม้จะไม่ได้กลับในกาลเวลาของตนเองอีกเลยก็ตาม!


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ก่อนแสงแรกของวันจะเริ่มขึ้นภูวิษะเจ้าลืมเนตรขึ้นมาก็พบว่าพระชายามิได้นอนอยู่ข้างเคียง แต่กำลังทรงอักษรอยู่บนตั่งเตี้ยภายในห้องท่าทางของนางเทวีดูหงุดหงิดงุ่นง่านคล้ายไม่ได้ดั่งใจรอบวรกายมีกองผ้าที่นำมาเขียนมีรอยดำกระด่างบ่งบอกว่าเขียนผิดพลาดอยู่หลายชิ้น


“เจ้าทำกระไร?”


“เจ้าภู! ตื่นแล้วเหรอคะ” หล่อนหันไปยิ้มให้ เจ้านาคราชกะพริบตาด้วยความไม่แน่พระทัย ในห้องบรรทมมีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงเท่านั้น กลับมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวอีกคนซ้อนทับพระพักตร์ของมหิตาเทวี จึงชะงักไปชั่วขณะ


“เจ้าภู...เสด็จพี่” เคียงฟ้ารีบเปลี่ยนสรรพนามเมื่อนึกขึ้นมาได้


ภูวิษะเจ้ามิได้ตอบ แต่กลับลุกขึ้นแล้วเคลื่อนองค์ไปเบื้องหน้าหญิงสาวก่อนจะรวบไหล่เธอไว้ดึงให้หันกลับมาประชันหน้าทั้งตัว พระหัตถ์อุ่นนั้นเชยคางหล่อนขึ้นมาอย่างเพ่งพินิจ


“...สะ..เสด็จพี่มีกระไรหรือเพคะ?”


“เราคงจะตาฝาดไปเอง” นาคเจ้าตรัสตอบเมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติ


“ทำสิ่งใดอยู่” ใต้ดวงเนตรนั้นมีแววหมองคล้ำจนเดาได้ไม่ยากว่าเมื่อคืนมหิตาเทวีมิได้บรรทม


“ว่างคุยกับหม่อมฉันแล้วใช่ไหมเพคะ”หล่อนคลี่ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ ในขณะที่คู่สวาทรู้สึกว่ามีบางสิ่งในตัวนางอันเป็นที่รักแปลกไป


“เจ้ามีเรื่องกระไร ถึงได้ทำหน้าระรื่นนัก” เคียงฟ้าไม่ได้ตอบในทันทีแต่หล่อนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ได้คุยกันเสียที


“แล้วนี่เขียนกระไรมากมาย” ตรัสจบก็หยิบขึ้นมาทอดพระเนตร


“...จุมภะอาจถึงคราวล่มสลาย!!?”เมื่ออ่านจบสีพระพักตร์ก็เปลี่ยนแปลงไปทันที ส่งผลให้หญิงสาวไม่มั่นใจเรื่องที่กำลังจะพูดอีกต่อไป ถึงกับหุบยิ้มลงทันที


“เขียนเรื่องอัปมงคลกระไร?!!”


“เสด็จพี่เพคะ..ฟังน้องนะคะเพคะ นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลมันสำคัญมาก น้องหาทางกราบทูลมาหลายเพลาแล้ว แต่จนใจที่มิได้พบหน้าสักที อยากจะหารือเรื่องนี้...”


“เหลวไหล!” แทบไม่ทันต้องตรึกตรองเจ้านาคราชตวาดใส่พระชายาทันที


“เดี๋ยวสิคะ...เจ้าภูอย่าเพิ่งโมโห ..เสด็จพี่น้องรู้ว่าพูดแบบนี้มันไม่ดี แต่น้องมีลางสังหรณ์ถึงอยากจะหารืออย่างไรเล่าเพคะ” คำพูดติดๆ ขัดๆไม่คล่องอย่างที่ใจคิด สลับสำนวนระหว่างภาษาที่เคียงฟ้าใช้กับภาษาที่มหิตาใช้


“เป็นไปไม่ได้! เจ้าลืมแล้วหรือว่าเราเป็นผู้ใด? หากเกิดอันใดขึ้นกับจุมภะ เราต้องรู้เป็นคนแรก ทั้งหมดมาจากความฟุ้งซ่านของเจ้าเท่านั้น”เคียงฟ้านิ่งอึ้งหล่อนเสียจังหวะที่จะเล่าดีๆ เจ้าภูก็ดันโกรธขึ้นมาเสียก่อนก็น่าอยู่หรอกนะ เขาเป็นเทพคุ้มเมืองมาพูดแบบนี้สมควรถูกโกรธอีกอย่างนี่คงเป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงด้วย


“ถ้าเจ้าว่างขนาดนั้น ไปคัดบทสวดบูชาพระวิษณุเสียยังดีกว่า”สุรเสียงห้วนจัดตรัสตำหนิออกมาโดยแรง


“ก็กำลังต้องไปคัดบทสวดถวายเทพอยู่แล้วนี่แหละเพคะ ไม่ต้องไล่ก็โดนบังคับให้ไปแล้ว”ภูวิษะเจ้านิ่งงันไปชั่วครู่ พระขนงเลิกขึ้นคล้ายจะถาม


“พระแม่เจ้าไม่ยอมพบหน้าน้องยังทรงกริ้วอยู่ ขนาดจะตรัสอะไรยังต้องผ่านเสด็จน้ากมลมาลย์เลย นี่ท่านสั่งให้น้องไปถือศีลอยู่ในอาศรมสตรี แล้วคัดบทสวดบูชาพระวิษณุออกแจกจ่าย 900 จบ”หล่อนพูดเร็วปรี๊ดแต่พระสวามีแค่ยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย


“สมควรแล้ว เจ้าก็ไปสิ”สิ้นคำตรัสเคียงฟ้าลุกพรวดทันที


“เจ้าภู! คุณนี่นะกวนประสาท! จะเป็นตอนนี้หรือตอนไหนก็กวนประสาทชะมัด” บุรุษข้างหทัยฟังแล้วชะงักไปนางดูแปลกไปทั้งวาจาตลอดจนท่าทาง แต่อึดใจต่อมาก็ทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นริมโอษฐ์ขึง สายพระเนตรส่งแววตำหนิออกมาอย่างชัดเจน


“เสด็จพี่....”


ภูวิษะเจ้ามิได้โต้ตอบอันใดอีก แต่ทรงลุกขึ้นแล้วดำเนินไปที่ประตูเรียกหานางกำนัลให้ประกอบกิจประจำวันได้แล้ว หญิงสาวรู้ตัวว่าพลาดไปหล่อนลืมไปว่าภูวิษะคนเก่านั้นมีความทรงนงแบบเจ้าชายโบราณ ที่ถือเกียรติของบุรุษไว้สูงย่อมจะไม่พอพระทัยแต่จะไม่ต่อปากต่อคำกับหล่อนอีก แต่นั่นหมายความว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหรือแม้แต่เงาอีกหลายวันเชียว เมื่อคิดได้ดังนั้นเคียงฟ้าก็รีบวิ่งตามไปดึงแขนแล้วร้องคร่ำครวญ


“เสด็จพี่น้องขอโทษ อย่าเพิ่งกริ้วเลยเพคะ น้องนอนน้อยไปหน่อย เลยมึนๆเผลอพูดอะไรไปไม่คิด”ไม่พูดเปล่าหล่อนรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีรั้งเอวเจ้านาคราชเอาไว้แล้วพยายามลากกลับเข้าห้อง


“อย่าเพิ่งไป กลับมาคุยกันก่อนนะ..นะ นะเพคะ” วรองค์สูงมิทันได้ก้าวข้ามธรณีประตูจำต้องก้าวถอยหลังตามแรงลากนั้น


“มหิตา กระไรของเจ้า?” เมื่อเห็นเขายอมหันกลับมาคุยกับหล่อนแล้ว หญิงสาวรีบกุลีกุจอไปปิดบานทวารให้สนิทเพื่อไม่ให้นางกำนัลเข้ามาได้ยินได้


“เสด็จพี่!” หล่อนยิ้มกว้าง นัยน์ตาเป็นประกายดีใจนักหนาแล้วโผเข้ากอด


“มหิตา? ”


“นะเพคะ..เราอย่าโกรธกันอีกเลยนะเพคะ น้องขอโทษเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดน้องงี่เง่าเอง โง่ด้วย แถมปากแข็ง” หล่อนรัวเป็นชุดโดยไม่สนใจว่าสำนวนของหล่อนยังแปร่งหูอย่างไร


“แต่ที่ทำไปทั้งหมดนั่นน่ะ...เพราะว่า...เพราะว่า “หึง”รู้ไหม...ถ้าไม่รักจะไม่หึง ผู้หญิงยิ่งหึงมากน่ะแปลว่าอะไร เข้าใจไหมเพคะ”


ดวงตากลมโตคู่นั้นช้อนขึ้นสบตาเจ้านาคราช หน้าต่างดวงใจทุกบานเปิดตูออกเพื่อให้เขาเข้ามาสัมผัสสิ่งที่อยู่ภายใน ไม่จำเป็นต้องวางมาดวางฟอร์มอะไรอีกแล้วเคียงฟ้าบอกตัวเองว่าหล่อนยอมหมดทุกทาง ยัยมหิตาจะไม่ยอมทำก็ช่างหัวนาง หล่อนจะทำแทนเอง


เจ้านาคราชทรงพิศวงกับท่าทีขององค์ชายาแม้จะสังเกตเห็นว่าวิธีพูดจาของนางเปลี่ยนไปแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิมคือแววเนตรที่มองมายังเพราะองค์ ไม่ต่างกับเทวีน้อยเมื่อแรกรักกัน เมื่อมหิตาเทวีทรงเปิดพระทัยตรัสไม่อ้อมค้อมแบบนี้มีหรือจะทรงแข็งขืนอยู่ได้ แม้มิได้ตรัสอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวแต่สีพระพักตร์เริ่มแดงระเรื่อ


“เสด็จพี่...หายโกรธนะ ที่ผ่านมาน้องไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องมันเป็นอย่างนั้น แต่...” พูดจบหล่อนก็ร้องไห้ออกมา น้ำตามากมายเหมือนทำนบทลายหลั่งออกมาจนพระอุระภูวิษะเจ้าเปียกชุ่ม


“..เฮ้อ” มีเพียงเสียงทอดหทัยเบาๆ ออกมาเท่านั้นก่อนที่อุ้งหัตถ์อุ่นจะลูบบนแผ่นหลังของหล่อนอย่างอ่อนโยน


“มันผ่านไปแล้ว มันแก้ไขไม่ได้”


“น้องรู้...แต่ยังดีกว่าไม่ได้ขอโทษใช่ไหมเพคะ”เสียงสะอึกสะอื้นยังดังอยู่ หญิงสาวไม่ได้เงยหน้ามองคนที่กำลังสวมกอด ไม่อย่างนั้นหล่อนคงจะได้เห็นสีหน้าอ่อนโยนกับแววตาห่วงหามองตอบลงมา....


ใช่...เจ้านาคราชพระทัยอ่อน...ยวบแต่ติดที่ความทะนงจึงทรงไม่ตรัสปลอบโยนใดๆ ด้วยเกรงว่าพระชายาจะได้ใจสิ่งที่เกิดขึ้นจะผ่านไปอย่างง่ายดาย


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ทั้งสองนั่งเคียงกันอยู่บนแท่นบรรจถรณ์[2] เคียงฟ้าเอียงกายพิงอกภูวิษะเจ้าหล่อนไม่ปิดบังใจตัวเองอีกแล้วว่าหล่อนต้องการอ้อมอกนี้เพียงใดมือเล็กก็ยังกุมมือใหญ่อยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย


“ฟ้าสางแล้วนะ...” สุรเสียงห้าวใหญ่ตรัสขึ้นมา


“หือ?” แสงทองรอดเข้ามาตามช่องบัญชร


“ปล่อยได้แล้ว” รอยแย้มสรวลอ่อนๆ มาพร้อมดำรัสยังผลให้เคียงฟ้ากระเด้งตัวออกจากอ้อมอกที่พิงอยู่ ด้วยใบหน้าเขินอาย


“ข้าก็อยากให้เจ้ากอดอยู่อย่างนี้ แต่วันนี้มีราชการ ส่วนเจ้าก็ต้องไปอาศรมใช่ไหม” เท่านั้นแหละหล่อนแทบจะมุดดินหนี


“เจ้าภู...” หล่อนบ่นอุบอิบ ทีบทจะยอมก็หวานไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“ใช่ค่ะ ฟ้า...เอ้อน้องต้องไปอาศรม แต่...มันแย่ตรงที่ว่าพระแม่เจ้าทรงบัญชาให้ไปตั้ง7 วัน” หล่อนกุมขมับ


“เอาไว้จะไปเยี่ยม”


“ไม่ได้เพคะ!” หล่อนร้องห้าม


“ห้ามบุรุษเข้าไปสินะ”


“มิได้...เพียงแต่ต้องถือศีล ภาวนา คัดลอกพระคัมภีร์และมนตราคาถาต่างๆ ระหว่างนั้นห้ามเราพบกัน แล้วก็ห้ามไม่ให้ใครไปเยี่ยมด้วยเพคะ ”


“อืม...งั้นก็อดทน เราทั้งคู่มีความผิด แต่ยังมิได้รับโทษอันใดแค่ไปคัดลอกบทสวดนี่ถือว่าทรงปรานียิ่งนัก เจ้าต้องตั้งใจให้มาก”


“เรื่องนั้นน่ะ...น้องเข้าใจ แต่ว่าก่อนที่จะไปน้องมีเรื่องอยากทูลเสด็จพี่ แต่...อย่ากริ้วก่อนฟังจบได้ไหมเพคะ” เจ้านาคราชขมวดคิ้ว นึกอ่อนใจล่วงหน้านี่ต้องเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้วก็พระทัยอ่อน


“มันสำคัญมาก...”หล่อนไม่พูดเปล่าแต่ลงมานั่งคุกเข่าอยู่ปลายเท้าของภูวิษะเจ้าแล้วจับพระหัตถ์ไว้แน่น


“ทรงฟังหน่อยเถิด...” เมื่อเห็นว่าทรงเงียบไม่ตรัสตอบหล่อนก็โมเมเองว่าตกลง


“น้องฝันเพคะ มันอาจฟังดูเหลวไหล แต่ความฝันมันชัดเจนมากจนคิดว่ามันอาจเป็นลางไม่ดี...”


หล่อนเริ่มเล่าเรื่องโดยเติมแต่งตอนต้นเข้าไปมันง่ายต่อการจะเล่าต่อมากกว่าจะบอกไปตรงๆหล่อนไม่คิดว่าเจ้านาคราชจะยอมเชื่อสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ง่ายกว่าจะบอกว่าในอนาคตมีศาสนาหนึ่งมาแทนที่ศาสนาพราหมณ์ที่นับถือกันอยู่ในห้วงเวลานี้ศาสนานั้นเรียกว่า “พุทธ” สอนให้รู้ว่าจิตวิญญาณของคนเรามีการเวียนว่ายตายเกิด รวมไปถึงหล่อนเองก็มีปาฏิหาริย์บางสิ่งส่งข้ามกาลเวลามาให้มองเห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นในอดีต


“ในความฝันมีชายคนหนึ่งเขาเป็นบุรุษที่สง่างามมีรัศมีเรื่อเรืองรอบกาย...น้องคิดว่าชายผู้นี้เป็นเทวาเพคะ เขาบอกน้องว่า...อีกไม่นานจุมภะจะถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ...หากเลวร้ายเมืองทั้งเมืองจะจมลงไปในสายน้ำ”


“เป็นไปไม่ได้!!” นาคาบุตรผุดลุกขึ้นยืนทันทีสีพระพักตร์นั้นผสมผเสระหว่างโกรธเกรี้ยวกับตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน หญิงสาวรีบดึงหัตถ์ใหญ่นั้นมากุม


“น้องกลัว...กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นความจริง”


“มันไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้นไปได้ เจ้าเพียงแค่ธาตุกำเริบ[3]เลยฝันร้ายไปเท่านั้น” สุรเสียงอ่อนลงบ้างเมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าของหล่อน เคียงฟ้าหน้าตาเอ่อคลอสีหน้านั้นก็ดูเศร้าสลดนัก


“น้องก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเพคะ...เพียงแต่ แต่เล็กมาน้องมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร และสิ่งนั้นก็ทำให้เราทั้งคู่มาประสบพบกัน”


“เจ้าหมายถึง...”


“เทวานิมิต..เกิดจิตสังหรณ์เพคะ”เจ้านาคราชยอมนั่งลงบนบรรจถรณ์ตามเดิม


“เจ้าคิดมากเกินไป บางครั้งความฝันก็หาได้มีความหมายอันใด”


“น้องปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น...แต่น้องไม่อาจวางใจในเมื่อที่ผ่านมานับแต่เด็กจนโตเรื่องในความฝันเหล่านี้...มักจะกลายเป็นเรื่องจริงไปทีละเรื่องสองเรื่อง แม้แต่...”หล่อนทอดเสียงลงเล็กน้อยแล้วนัยน์ตาคู่สวยก็ประสานเข้ากับนัยน์ตาของภูวิษะเจ้า


“คนในความฝัน...บัดนี้ก็มานั่งอยู่เบื้องหน้าหม่อมฉัน”ร่างของหล่อนสั่นเล็กน้อยโดยไม่ได้เสแสร้งจนสัมผัสได้ถึงความหวั่นวิตก


“มหิตา...”


“ทรงโปรดเถิด ภูวิษะเจ้า...ท่านเป็นผู้ครองน้ำเป็นราชบุตรแห่งพญามหิทธราบดี หากมันเกิดขึ้นจะแก้ไขมันได้ไหมเพคะ” เจ้านาคราชนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนดวงเนตรนั้นจะวาวขึ้นด้วยแสงแห่งอำนาจ


“มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น”


“มันอาจมีเหตุไม่คาดฝัน ทรงคิดหรือไม่ว่าจะหยุดหรือบำบัดมันอย่างไร” น้ำเสียงของหล่อนคาดคั้นจริงจัง


“น้ำคือวิญญาณของข้า คือกายของข้า คือบ้านของข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นที่นี่ก็ย่อมจะรู้ล่วงหน้า”


“แม้มันจะมาที่อื่นหรือปะทุขึ้นด้วยเหตุอัปมงคลอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเพคะ”


“กระแสน้ำจะนำข่าวมา แม้เทวาอารักษ์ก็ยังทราบล่วงหน้า”


“ถ้าน้ำนั้นมารวดเร็ว ทรงหยุดมันได้ไหมเพคะ” นาคเจ้ามิได้ตอบในทันทีแต่ดำริเงียบๆ ในพระทัยในขณะที่สังเกตความจริงในดวงตาของหล่อนไปด้วย


“ได้...เว้นแต่” เคียงฟ้าเกือบจะยิ้มออกมาหากชะงักด้วยคำว่าแต่..


“แต่..กระไรเพคะ มีข้อยกเว้นด้วยหรือ?”


“เว้นแต่เป็นบัญชาให้จมเมืองเสีย” สิ้นคำตอบหล่อนไม่อาจทรงกายอยู่ได้ต้องนั่งพับพาบลงไปกับพื้น ใบหน้านวลนั้นขาวซีดด้วยความวิตก


“มหิตาทำใจดีๆ ไว้ แค่ว่าให้ฟัง มิได้รับบัญชาใดมา เสด็จพ่อทรงรักเมืองนี้นักเมื่อส่งให้เราดูแลก็สั่งให้ดูแลให้ดี ให้มีน้ำมีปลาพืชพรรณอุดมเมืองนี้จะไม่มีวันแล้ง”


“เพคะ...ไม่มีวันแล้ง..” หล่อนเว้นคำพูดไว้ในอก...ไม่มีวันแล้ง...แต่มีวันจม


“ถ้าหาก..ถ้าหากว่าน้ำมาทรงห้ามมันได้ใช่ไหมเพคะ...ละแล้วมีเหตุใดบ้างที่จะทำให้น้ำท่วมได้อย่างรวดเร็วจนคนมิทันตั้งตัวบ้างไหมเพคะ”


“เหตุที่ทำให้น้ำท่วมอย่างรวดเร็วมีประการเดียวคือ ‘นาคล่มเมือง’!!”



[1] พระมาตุจฉา –ญาติข้างแม่น้า,ป้า

[2] บรรจถรณ์ –เตียง

[3] ธาตุกำเริบ –ธาตุในตัวไม่สมดุลอาจเกิดจากกินอาหารแล้วไม่ย่อยกรดไหลย้อน หรืออาการอื่นๆล้วนแต่ทำให้นอนหลับไม่สบายเลยฝันร้ายเหล่านี้เรียกว่าความฝันอันเป็นเหตุด้วยธาตุกำเริบเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยแห่งความฝัน 4 ชนิด คือบุพนิมิต,เทพสังหรณ์,จิตนิวรณ์และธาตุโขภ






Create Date : 25 มกราคม 2559
Last Update : 25 มกราคม 2559 15:33:25 น. 1 comments
Counter : 1937 Pageviews.

 
เห็นตอนที่ 73 อยู่ตรงหน้า แต่ไม่กล้าคลิกไปอ่านค่ะ
อยากอ่านมากๆใจจะขาดแต่กลัวอ่านแล้วจะจบไปเลย
ถ้าคุณแก้วกังไสยังไม่มาอัพนี่...สงสัยจะขาดใจแน่เลยจ้ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆนะคะ ^_^


โดย: Patt IP: 180.180.8.221 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา:16:57:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.