เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
30 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 14-2

ขุนศึก ตอนที่ ๑๔ (ต่อ)


ศรีเมืองกำลังบีบนวดให้พันอินอยู่ที่บ้านในตอนกลางคืน

       ศรีเมืองพูดอย่างเขินอายพลางนวดพันอินไป
       “พ่อท่านไม่น่าพูดเช่นนั้นเลย แล้วต่อไปลูกจะกล้ามองหน้าพี่เสมาได้กระไร”
       “พ่อเป็นฝ่ายพูด ไม่ใช่เจ้าแล้วเจ้าจักไม่กล้ามองหน้าเสมาได้อย่างไรเล่า”
       “แล้วพี่เสมาตอบพ่อท่านว่ากระไรหรือจ๊ะ” ศรีเมืองถามอย่างอยากรู้
       “นึกว่าเจ้าจะไม่อยากรู้เสียอีก” พันอินตอบพลางยิ้มขำ
       พันอินถอนหายใจ หน้าขรึมลงเมื่อนึกถึงคำพูดเสมาเมื่อคืน

       เมื่อคืน...เสมากำลังก้มลงกราบแทบตักพันอิน
       “ใช่ว่าเสมาจักอกตัญญู หากเป็นเรื่องอื่น แม้ว่าพ่อท่านใช้ให้ไปตาย ข้าพระเจ้าก็จะไปอย่างไม่ลังเล แต่เรื่องแต่งงานกับแม่ศรีเมืองนี้ ข้าพระเจ้าขอเถิด”
       “เหตุใดเจ้ารังเกียจศรีเมืองถึงเพียงนี้ หรือศรีเมืองไม่งดงามกิริยามารยาทไม่สมเป็นศรีเรือนหรือกระไร”
       “หามิได้เลยพ่อท่าน แม่น้องศรีเมืองงดงามไม่แพ้ผู้ใด กิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนก็ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ด้วยข้าพระเจ้าเห็นแม่ศรีเมืองเสมอน้อง แลไม่อาจตัดใจรักจากแม่หญิงเรไรได้ ข้าพระเจ้าจึงไม่คิดมีผู้ใดอีก”
       “เหตุเพราะแม่เรไรแท้ๆ ทำให้เจ้าต้องตกยากลำบากมาหลายปี อย่างไรเสีย แม่เรไรก็ต้องตกเป็นเมียหลวงณรงค์เป็นแน่ ถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังตัดใจไม่ได้อีกหรือ”
       “มิใช่ว่าข้าพระเจ้าไม่รู้ดอกขอรับพ่อท่าน แต่ปุถุชนใด ถึงมีฤทธิ์ยิ่ง ก็ไม่อาจใช้ดาบตัดสายน้ำไหลให้ขาดได้ ฉันใดนั้น เสมาก็ไม่อาจตัดใจลืมแม่หญิงเรไรได้เช่นกัน”
       พันอินมองเสมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่คิดว่าเสมาจะเด็ดเดี่ยวมั่นคงขนาดนี้

       เมื่อศรีเมืองได้ฟัง สีหน้าก็สลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด พันอินได้แต่มองศรีเมืองด้วยความสงสาร
       “เจ้าอย่าน้อยใจเลยที่เสมาพูดเช่นนี้ จงดีใจจักควรกว่า”
       “เหตุใดลูกต้องดีใจด้วยเล่าเจ้าคะ”
       พันอินลูบหัวศรีเมือง ยิ้มบางแล้วพูดขึ้น
       “อย่างน้อย เจ้าก็ไม่ได้ชอบพอผิดคน เสมาไม่เพียงแต่มีฝีมือแลรุ่งเรืองในยศศักดิ์เท่านั้น ยังมีจิตใจมั่นคงนัก หากหญิงใดได้ชายเช่นนี้ไปก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะทุกข์ใจในภายหน้า”
       “พ่อท่านกล่าวถูกแล้ว เสียแต่ลูกคงไม่ใช่หญิงผู้นั้นดอกเจ้าค่ะ”
       ศรีเมืองลุกขึ้นเดินหน้าเศร้าๆเลี่ยงไป พันอินมองตามด้วยความห่วงใยและสงสารลูก พูดพึมพำว่า
       “ พ่อจะทำให้เจ้าเป็นหญิงผู้นั้นให้จงได้”
       พันอินมีสีหน้ามุ่งมั่นและตั้งใจจะทำให้ได้

       เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ภายในวัด สมบุญ จำเรียง สิน และเอื้อยแตงกำลังนั่งพับเพียบพนมมือฟังพระสวดให้ศีลให้พร หลังจากมาทำบุญแต่งงาน ทุกล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้ม เปี่ยมไปด้วยความสุข ชำเลืองมองหน้ายิ้มให้กันเป็นคู่ๆ

       ภายในบ้านใหม่ของเสมา เมื่อยามบ่าย สิน เอื้อยแตง สมบุญและจำเรียงก้มลงกราบเท้ามั่นและแต้ม โดยมีเสมายืนอยู่ใกล้ๆ มั่นยิ้มแย้มแล้วบอก
       “ขอให้พวกเจ้าจงอายุมั่นขวัญยืน จำเริญสุขยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็มีหลานให้ข้าอุ้มเร็วๆหล่ะ”
       จำเรียงและเอื้อยแตงเขินอาย แต่สินกับสมบุญยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
       “ข้าก็ไม่รู้จะให้พรกระไร ยิ่งเอ็งด้วยแล้วอ้ายสิน หนอย มอมเหล้าข้าแล้วหลอกขอลูกสาว ข้าควรเตะถวายเสียมากกว่าให้พร” แต้มว่าพลางมองสินตาเขียวปั้ด
       สินเข้าไปประจบ นวดขาให้แต้ม
       “ โถ พ่อจ๋า อย่างไรเสียก็ล่วงเลยมาถึงป่านฉะนี้ แล้วอย่าถือโทษโกรธเคืองฉันเลยจ้ะ ฉันขอให้สัตย์ว่าจะดูแลพ่อให้มีสุข ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม มีเหล้าหอมอย่างดีกินทุกวันเลยจ้ะ”
       แต้มชักขาออกเพราะยังเคืองๆอยู่
       “อย่าเคืองมันเลยอาแต้ม ฉันเชื่อว่าอ้ายสินมันทำจริง ดูแต่เรือนที่มันปลูกให้เอื้อยแตงซี ใหญ่โตไม่แพ้เรือนอ้ายสมบุญเลย มิแน่ว่าเสร็จศึกหงสาครานี้ อ้ายสินได้เป็นถึงขุนขึ้นมา อาแต้มก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตาขุนเชียวนา” เสมาบอก
       แต้มคิดตามก็ชักเห็นด้วยกับเสมา แต่ก็ยังมองสินด้วยหน้าตาหงิกงอ
       “เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่เท่าใด ก็ต้องไปศึกเสียอีกแล้ว ครานี้ไปไกลถึงหงสาวดีเลยเชียว อีกนานเท่าใดจะเสร็จศึกก็หารู้ไม่” จำเรียงว่า
       สมบุญยิ้มแย้มแล้วจับมือจำเรียงไว้
       “ทหารก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ออกจากราชการก็ต้องไปศึก แต่แม่จำเรียงอย่ากังวลไปเลย ฉันให้สัตย์ว่าจะปลอดภัยกลับมาหาแม่จำเรียงให้จงได้”
       จำเรียงยิ้มรับ ใจชื้นขึ้นเยอะ
       เอื้อยแตงปั้นยิ้มหวาน
       “พ่อสิน พ่อสัญญากระไรไว้กับฉันคงไม่ลืมกระมัง”
       “ไม่ลืมดอกจ้ะ หากฉันได้บำเหน็จใดมาจะยกให้แม่เอื้อยแตงทั้งสิ้น แม่อยู่เรือนรอรับได้เลยจ้ะ”
       เอื้อยแตงยิ้มดีอกดีใจ
       “ไปศึก ใช่แต่จักมุ่งแสวงหาลาภยศดอกนะ ยิ่งศึกครานี้ถือเป็นศึกล้างอายที่อโยธยาเคยเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแก่หงสาวดีมาก่อน เป็นศึกที่จักกู้ศักดิ์ศรีของอโยธยาแลไทยทั้งมวลกลับมา” เสมาพูดเสียงจริงจังด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

       ขันและพุฒยืนพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่สนามหน้าบ้านขันเมื่อตอนหัวค่ำ
       “จะเป็นไปได้กระไร พวกเราน่ะหรือไม่มีชื่อในทัพที่บุกตีหงสา หลวงวิเศษเข้าใจกระไรผิดหรือไม่” ขันโวยลั่น
       “ไม่ผิดดอก ฉันตรวจทานโดยละเอียดแล้วเป็นเพราะเราสังกัดท่านเจ้าพระยาจักรี ซึ่งถูกคาดโทษไว้ที่ชะล่าใจให้มอญก่อกบฏจึงไม่ได้ตามเสด็จไปหงสาด้วย”
       “ศึกนี้สำคัญนัก หากไม่ได้ไปทัพเท่ากับเสียโอกาสทำความชอบครั้งใหญ่น่ะซี”
       “ท่านเจ้าพระยาชรามากแล้วคงเป็นหลักให้พึ่งไม่ได้อีก เห็นทีพวกเราต้องหาสังกัดใหม่เสียแล้ว”
       ขันเครียดหนักแล้วว่า
       “สังกัดอื่นก็มีคนพร้อมแล้วแลจะหาผู้มีอำนาจบารมีเท่าท่านเจ้าพระยาก็ยากนัก”
       พุฒคิดอยู่อึดใจแล้วบอก
       “มีอยู่ผู้หนึ่ง ที่มีอำนาจบารมีเหนือกว่าเสียอีก”
       “ผู้ใดกัน”
       “เจ้าพระยามหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหม”
       “ทหารในสังกัดท่านเจ้าพระยามีมากนัก แล้วจะรับพวกเราอีกหรือ”
       “หลวงณรงค์อย่าได้ลืมเทียวว่า ท่านเจ้าพระยานับถือพระรามเดชะนัก เรื่องน้อยใหญ่เป็นต้องหารือเสมอมาผู้อื่นอาจไม่ได้สังกัดท่าน แต่หากเป็นลูกเขยของพระรามเดชะก็ผิดแผกไปแล้ว”
       ขันคิดตามแล้วบอก
       “แต่ท่านอาต้องไปศึกหงสา มิรู้นานเท่าใดจึงจะกลับ”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
       “ไปก็ดีแล้ว ท่านอยู่ทางนี้ก็รวบรัดเสียเลย แม่หญิงเรไรจะทำกระไรได้ กว่าพระรามเดชะจะกลับ ท่านก็ได้เป็นเขยสมใจแล้ว”
       ขันลังเลปนกลัว
       “แต่...”
       พุฒพูดสวนทันที
       “อ้ายเสมาหาได้ตายจริงตามคำลือ แลกำลังรุ่งเรืองเป็นถึงจมื่นแสนศึกสะท้าน หากท่านไม่มีมูลนาย
       ใหม่ที่ดีกว่าเดิม แล้วจักเอากระไรไปสู้กับมัน หรือคิดจะยอมแพ้ก็บอกมา”
       ขันเงียบไปถนัดจะยอมแพ้เสมาได้อย่างไร เมื่อฟังพุฒแล้ว สีหน้าของขันก็แสดงเกลียดชังเสมาจนเห็นได้ชัด

       เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงแขเดินเชิ่ดๆลงเรือนมาหาขุนนเรนทร์ภักดีที่ยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าเรือน
       “แม่หญิงดวงแข สบายดีหรือไม่”
       ดวงแขสีหน้าเย็นชาตอบเสียงนิ่ง
       “ออกขุนมาหาฉันถึงเรือน เพื่อจักถามเพียงนี้หรือ”
       “ไม่ใช่ดอก ข้าพระเจ้าจะไปทัพเพื่อเข้าตีหงสาวดีแล้ว จึงมาลาแม่หญิง”
       “ถ้ากระนั้น ก็ขอให้ออกขุนจงโชคดีมีชัยต่อข้าศึก แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงเถิด”
       “ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก ข้าพระเจ้ายินดีเหลือในพร...”
       ขุนนเรนทร์ภักดียังพูดไม่จบ ดวงแขก็ตัดบททันที
       “หากไม่มีกระไรแล้ว ขอเชิญออกขุนกลับไปเถิด ฉันมีงานต้องทำอีกมาก”
       ดวงแขเดินกลับขึ้นเรือนไป ขุนนเรนทร์ภักดีคิดไม่ถึงว่าดวงแขจะชาเย็นเช่นนี้ได้แต่มองตามด้วยความน้อยใจ

       ดวงแขเดินกลับขึ้นเรือนมา เห็นอำพันกำลังมองตามขุนนเรนทร์ที่เดินซึมๆกลับไป
       “แม่ดวงแขชังหลวงวิเศษแม่พอจักเข้าใจอยู่ แต่ขุนนเรนทร์ภักดีผู้นี้ดูกิริยาท่าทางเป็นผู้ดี แลแม่รู้มาว่าฐานะบ้านช่องก็มั่งมีไม่น้อย แม่หาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดแม่ดวงแขจึงไม่มองท่านบ้าง” อำพันว่า
       “แม่ท่านก็ทราบอยู่ว่า ลูกมีผู้อื่นในใจแล้ว แม้ว่าขุนนเรนทร์จะดีเพียงใดลูกก็หาชื่นชอบไม่”
       อำพันถอนหายใจ
       “จมื่นแสนศึกสะท้านน่ะหรือ ดูดู๋ แม่ดวงแขร้องไห้ทุกข์ใจนักเพราะหลงเชื่อคำลือที่ว่าตาย แทนที่ปลอดภัยกลับมาจะมาหาลูกให้คลายกังวลก็หามาไม่ จนต้องไปรู้ข่าวจากแม่บัวเผื่อนแทน แล้วคนเช่นนี้ แม่ดวงแขยังจะปักใจรักภักดีอยู่อีกหรือ”
       ดวงแขหน้าขรึมลงแล้วแก้ตัวแทนเสมา
       “คุณพระนายมีราชการรัดตัวนัก จึงไม่ได้มาหาลูก แลเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ลูกไม่อยากคิดให้กลัดกลุ้ม แต่แม่ท่านวางใจเถิด ลูกเชื่อว่าคุณพระนายต้องคิดตรงกับลูกเช่นกัน”
       ดวงแขเดินเลี่ยงไป อำพันได้แต่มองตามแล้วส่ายหน้าถอนใจในความดื้อรั้นของดวงแขที่ไม่ยอมรับความจริง

       สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับที่ท้องพระโรงในเพลากลางวัน แวดล้อมด้วยเหล่าขุนนางที่มาเข้าเฝ้า ทรงตรัสว่า
       “นับแต่อโยธยาเสียกรุงเป็นเมืองขึ้นแก่หงสาวดี ไม่เพียงแต่จักเสียศักดิ์ แต่อาณาประชาราษฎร์ สมณะชีพราหมณ์ยังเดือดร้อนถ้วนทั่วทุกตัวคน กระทั่งเรายังต้องตกเป็นตัวประกันโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง นานหนักหนา

       ที่ต้องกล้ำกลืนฝืนอัปยศ แต่ถึงเพลาแล้วที่เราจักกู้ศักดิ์ ล้างอัปยศให้แก่อโยธยา พวกเจ้าจงออกรบพร้อมกับเรา ร่วมกันทวงเกียรติแห่งอโยธยากลับมา”
       ขุนนางทุกคน ถวายบังคมพร้อมกัน
       “ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอสละชีวิตเป็นราชพลี พระพุทธเจ้าข้า”

       นับแต่เสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อปีพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระนเรศวรทรงตรากตรำทำศึกสงครามอยู่นานหลายปี รวมทั้งฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยาจนมีความมั่นคงเข้มแข็งพร้อมที่จะยกทัพบุกเข้าตีกรุงหงสาวดีได้...แต่ไม่คาดคิด กลับเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายขึ้นจนได้

       สามเดือนต่อมา ทหารพม่าจำนวนมากกำลังช่วยกันขนของมีค่า อาวุธต่างๆ ทั้งใส่เกวียน ทั้งหอบถือไว้เต็มไปหมด พระสังกทัตกำลังยืนดูทหารขนของมีค่าจำนวนมากด้วยความพึงพอใจ
       พระสังกทัตหันถามทหารคนสนิท
       “ทรัพย์สมบัติของมีค่าทั้งหมด ขนออกมาสิ้นหงสาวดีแล้วหรือไม่”
       ทหารถวายบังคมแล้วกล่าวว่า
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า สมบัติมีค่าทั้งมวลได้ขนออกมาจนหมดสิ้นแล้ว แลชาวประชาหงสาก็ถูกกวาดต้อนกลับตองอูไปสิ้นแล้วเช่นกันพระพุทธเจ้าข้า”
       พระสังกทัตยิ้มพอใจ
       “ดีมาก ต่อให้องค์พระนเรศยึดหงสาวดีได้ ก็ได้แต่เพียงเมืองร้างเท่านั้น แต่ความมั่งคั่งแลกำลังพลทั้งหมดต้องเป็นของตองอู”
       ขณะนั้นเอง ทหารพม่ากลุ่มหนึ่งก็หามเสลี่ยงคานหามซึ่งมีพระเจ้านันทบุเรงนอนประทับเพราะเจ็บป่วยหนักมาด้วย พระสังกทัตแปลกใจถาม
       “นั่นผู้ใดกัน”
       พวกทหารหามเสลี่ยงมาให้ พระสังกทัตทอดพระเนตรเห็นพระเจ้านันทบุเรงนอนป่วยอยู่ก็ตกใจ
       “สมเด็จลุง”
       พระเจ้านันทบุเรงไข้ขึ้นสูง เพ้อด้วยพิษไข้จนเห็นภาพหลอน
       “ลูกพ่อ อภัยให้พ่อเถิด พ่อไม่ได้ตั้งใจฆ่าเจ้า สุพรรณกัลยาอภัยให้พี่ด้วย”
       “นี่มันกระไรกัน เหตุใดพระเจ้านันทบุเรงทรงเป็นเช่นนี้”
       ทหารทูลรายงานว่า
       “นับแต่พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าหงสาวดีทรงตรอมพระทัยทรงประชวรบ่อยครั้ง หลายคราก็มีอาการเพ้อ เห็นแต่เหล่าคนที่ตายไปแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้านันทบุเรงสะลืมสะตื่นขึ้น พอเห็นพระสังกทัตก็ดีใจคิดว่าเป็นพระมหาอุปราชาจึงจับมือพระสังกทัตไว้)
       “มังกะยอชวาลูกกลับมาแล้ว พ่อคิดถึงเจ้านักมังกะยอชวาลูกพ่อ”
       พระสังกทัตหัวเราะลั่น
       “พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ผู้ออกศึกฆ่าขุนพลศัตรูแต่พระชนมายุเพียงสิบเอ็ดพระชันษา ทหารกล้าแห่งทัพพระเจ้าชำนะสิบทิ กลับมีบั้นปลายเช่นนี้เอง”
       พระสังกทัตหันไปสั่งทหาร
       “เชิญเสด็จพระองค์ไปตองอู พระองค์ยังต้องประทับอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นข้ออ้างในการรวมแผ่นดินของข้า”
       พระสังกทัตกระชากมือออกไม่ให้พระเจ้านันทบุเรงจับ พวกทหารช่วยกันหามพระเจ้านันทบุเรงไป พระองค์ได้แต่เพ้อเรียกชื่อพระมหาอุปราชามังกะยอชวาตลอดเวลา อย่างน่าเวทนา
       พระสังกทัตยิ้มยืด สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน

       พระสังกทัตทรงเชื่อคำมหาเถรเสียมเพรียม ส่งสารไปหาสมเด็จพระนเรศวรว่าจะขอสวามิภักดิ์ แล้วจะยกทัพเข้าช่วยเมื่อทัพกรุงศรีอยุธยาบุกเข้าตีหงสาวดี แต่แล้วก็ลอบไปยุแหย่หัวเมืองมอญให้ทรยศแก่สมเด็จพระนเรศวร จนสมเด็จพระนเรศวรต้องทำสงครามปราบปรามอยู่นาน
       ระหว่างนั้นทหารตองอูได้ลอบเข้าไปขนของมีค่าและกวาดต้อนผู้คน รวมทั้งนำตัวพระเจ้านันทุเรงไปตองอู เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการระดมพลสู้ศึก ซ้ำยังจุดไฟเผาเมืองหงสาวดีจนพินาศย่อยยับ
       สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรธมาก ที่พระสังกทัตตระบัดสัตย์เพราะพระองค์ตั้งพระทัยจะทำสงครามครั้งนี้ ให้เป็นพระเกียรติยศจึงยกกองทัพทั้งหมด หันไปตีเมืองตองอูแทนทันที

       ยามบ่ายวันหนึ่ง เรไรกำลังป้อนข้าวต้มให้ลำภูที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการป่วยหนัก
       “แม่กินไม่ไหวแล้ว” ลำภูบอก
       “อีกสักคำนะเจ้าคะแม่ท่าน”
       ลำภูส่ายหน้า
       “ไม่ไหวจริงๆ แม่เรไรเอ๋ย ป่วยครานี้ไม่คิดเลยว่าจะหนักถึงเพียงนี้”
       เรไรวางชามข้าวต้มลง
       “ไม่ใช่แต่แม่ท่านดอกเจ้าค่ะ เห็นแม่ศรีเมืองบอกว่าท่านหลวงพิมานก็เจ็บหนักเช่นกัน ไข้ปีนี้ดุเหลือมีผู้เจ็บไข้มากมายนัก”
       ขณะนั้นเอง พิณก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน
       “แม่หญิงเจ้าขา เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

       ขัน และพุฒกำลังคุมลูกน้องขนย้ายข้าวของออกจากห้องภายในบ้านของพระรามเดชะ พวกทาสได้แต่มองตามตาปริบๆ ไม่กล้าขวาง เรไรและพิณ เดินออกมาจากข้างใน
       “นี่กระไรกันหลวงณรงค์ ถือดีกระไร ถึงได้ย้ายข้าวของในเรือนผู้อื่นตามใจชอบเช่นนี้” เรไรถาม
       ขันสีหน้ายิ้มแย้มแล้วว่า
       “แม่หญิงอย่าเพิ่งถือโทษเลย ข้าพระเจ้าได้ยินว่าท่านอาหญิงเจ็บไข้ จึงใคร่มาช่วยดูแลให้คนย้ายข้าวของออกไปเสียบ้าง จะได้จัดห้องใหม่เพื่อความเหมาะควร”
       “แต่ฉันไม่ได้ร้องขอ หลวงณรงค์กลับไปเถิด”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น
       “จะร้องขอหรือไม่ ก็ค่าเทียมกัน ในเมื่ออีกไม่กี่วัน ก็ต้องทำพิธีแต่งงานกันแล้ว”
       เรไรตกใจสุดๆ
       “แต่งงานกระไรกัน ฉันหารู้เรื่องไม่”
       “นี่หลวงท่านเห็นว่าคุณพระไปศึกจึงคิดข่มเหงกันกระนั้นหรือเจ้าคะ” พิณถาม
       ขันตะคอกใส่ทันที
       “หุบปากนังทาสใต้ถุนหาใช่เรื่องของเอ็งไม่”
       ขันหันไปพูดกับเรไรต่อ
       “เราหมั้นกันมานานเกินไปเสียแล้วแม่หญิง แลข้าพระเจ้าก็ได้ฤกษ์ยามมาแล้ว หากต้องรอท่านอากลับจากศึกก็คงเสียฤกษ์อีก”
       เรไรตกใจไม่เห็นด้วย ขันไม่สนใจรีบตัดบท
       “ฉะนั้นแม่หญิงทำพิธีแต่งงานกับข้าพระเจ้าก่อนเถิด ท่านอากลับจากศึกเมื่อใด ข้าพระเจ้าจะขอขมาท่านเอง”
       เรไรอึ้งไปถนัด ขันยิ้มกวนประสาทก่อนจะเดินลงจากเรือนไป เรไรมองตามแล้วขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจที่ขันฉวยโอกาสที่ไม่มีใครอยู่มามัดมือชกเช่นนี้

       ภายในบ้านขัน อำพันทราบเรื่องจึงโกรธขันเป็นอย่างมาก
       “พ่อขันทำเช่นนี้ เหมือนจักแกล้งให้แม่อกแตกตาย มีอย่างหรือบุกขึ้นเรือนแล้วยังบังคับแต่งงาน กระทำเช่นนี้ไม่ได้ต่างจากโจรเล”
       “ลูกรู้ว่าลูกผิดนัก แต่พิธีแต่งของลูกกับแม่หญิงเรไรเลื่อนมาหลายคราแล้ว หากไม่ทำเช่นนี้แล้วเมื่อใดจะได้แต่งเล่า”
       “ก็แล้วรอให้คุณพระรามเดชะกลับมาก่อนไม่ได้หรือไร คราก่อนก็กระทำหยามหมิ่นด้วยการคิดข่มเหงน้ำใจแม่เรไรมาครั้งหนึ่งแล้วยังจักกระทำซ้ำอีกรึ”
       “รอหรือแม่ท่าน อ้ายเสมาได้ไปศึกแต่ลูกหาได้ไปไม่ มันกลับมาอาจได้ขึ้นถึงพระยาก็เป็นได้ แล้วลูกจะเอากระไรไปสู้มัน หากไม่ชิงทำเช่นนี้คงไม่แคล้วถูกถอนหมั้นเป็นแน่”
       “คุณพระรามเดชะเป็นคนมีสัตย์ ไม่ทำเช่นนั้นดอก”
       ขันเบะปากดูถูก
       “อำนาจวาสนามากองอยู่ตรงหน้า มีหรือยังจักทนรักษาสัตย์อยู่ได้”
       “ที่แท้เจ้าคิดเช่นนี้เองจึงไม่เห็นแก่ศักดิ์ตระกูล แลความชอบพอกันของคนรุ่นพ่อแม่ ผีร้ายตนใดสิงสู่พ่อขันกันถึงได้คิดชั่วเช่นนี้ หากพ่อขันยังเห็นว่าแม่เป็นแม่ แม่ขอสั่งให้พ่อขันไปพาคนออกมาจากเรือนพระรามเดชะเสียเดี๋ยวนี้”
       ขันขบกรามแน่น แต่ทิฐิมีมากกว่าเลยก้มลงกราบเท้าแม่
       “ลูกขอขมาแม่ท่านเถิด แม่ท่านอย่าถือโทษโกรธลูกเลย แต่ลูกทำตามคำสั่งแม่ท่านไม่ได้จริงๆ แล้วสักวันแม่ท่านจะเข้าใจสิ่งที่ลูกทำ”
       ขันลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกจากเรือนไปเลย อำพันนึกไม่ถึงว่าลูกจะทำแบบนี้
       “พ่อขัน กลับมาหาแม่ก่อน พ่อขัน”
อำพันได้แต่ร้องเรียกด้วยความเสียใจจนน้ำตาคลอเบ้า

ในเวลากลางคืน ขันกินเหล้าย้อมใจจนเมาแอ๋มาถึงหน้าห้องนอนเรไรในบ้านของพระรามเดชะ ขันไป เคาะประตูห้องเรียก

       “แม่หญิงเรไร แม่หญิง”
       เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
       “เปิดประตูห้องเถิดแม่หญิง คุยกันสักคำสองคำก็ยังดี แม่หญิงรู้หรือไม่ ว่าเพื่อแม่หญิงแล้ว ข้าพระเจ้าต้องยอมเป็นลูกอกตัญญูเชียว แม่หญิงๆ”
       ขันลองผลักประตูดูปรากฏว่าประตูเปิดออก แต่เรไรไม่ได้อยู่ข้างใน
       “ให้มันรู้กันไป ว่าจะพ้นเงื้อมมือข้าไปได้”
       ขันเสียงอ้อแอ้พูดด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องอย่างหัวเสีย

       เรไรกำลังปูฟูกนอนข้างๆเตียงลำภูที่ยังป่วยหนักอยู่ ลำภูนึกสงสารเรไรจับใจ
       “แม่เรไร กลับเข้าวังไปพึ่งบารมีเสด็จท่านเถิด ไม่ต้องอยู่กับแม่ที่นี่ดอก”
       “ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ แม่ท่านป่วยหนักนัก ลูกทิ้งไปไม่ได้ดอก แลเพลานี้คนของหลวงณรงค์ก็คุมอยู่ ลูกคงไม่มีทางได้ออกจากเรือนดอกเจ้าค่ะ”
       “หลวงณรงค์เสียแรงที่รักใคร่เอ็นดูมาแต่เล็กแต่น้อย กลับสนองคุณด้วยการหักหาญน้ำใจกันเช่นนี้ คุณพระกลับมาเมื่อใด ต้องให้ท่านชำระความให้จงได้”
       เรไรถอนใจ
       “ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก มิรู้ว่าอีกนานเท่าใดพ่อท่านจะได้กลับ ลูกเกรงว่าหลวงณรงค์จะข่มเหงน้ำใจลูกเสียก่อน หากถึงเพลานั้นลูกมีแต่ต้องยอมตายเพื่อรักษาศักดิ์ไว้”
       ลำภูตกใด้วยความเป็นห่วง
       “อย่าเชียวแม่เรไรอย่าคิดเช่นนั้น เราเป็นหญิงแม้จักสู้ชายไม่ได้แต่ความเป็นหญิงก็ทำให้ชายประมาทได้ แม่เรไรมีสติปัญญา จงคิดหาทางรอดเอาเถิด อย่าได้สละชีวิตเยี่ยงคนเขลาเลย”
       เรไรฟังแม่พูดแล้วก็ได้คิดตามเพื่อหาทางรอดจากขัน
       เสียงของขันดังขึ้นที่หน้าประตูห้องนอนของลำภู
       “หลบข้าได้อีกไม่นานดอกแม่หญิง”
       เรไรมีสีหน้าตกใจจับมือแม่เอาไว้แน่น
       “วันมะรืนคือฤกษ์วันแต่งของเรา”
       เรไรเหลืออดฮึดสู้ ลุกเดินไปพูดที่หน้าประตูห้อง ลำภูตกใจด้วยความเป็นห่วง
       “อย่าเปิดประตูออกไปเชียวนะแม่เรไร” ลำภูพูดเตือน
       เรไรเสียงแข็งพูดเสียงดังออกไป
       “จะแต่งงานมะรืนนี้ได้อย่างไรกัน ฉันไม่ยอมดอก”
       ที่หน้าห้อง...ขันพูดตอบ
       “ยอมหรือไม่ แม่หญิงก็ต้องเข้าพิธีกับข้าพระเจ้าเพราะได้ฤกษ์มาแล้ว ออกญาผู้ใหญ่โดยมากก็ไปศึก ไม่ต้องเชื้อเชิญผู้ใดดอกทำพิธีให้ถูกตามธรรมเนียมก็พอ”
       “ไม่ หากพ่อท่านไม่กลับมา ฉันไม่ยอมออกเรือนเป็นอันขาด”
       “ รอท่านอากลับ หรือรออ้ายเสมากลับกันแน่ อย่านึกว่าข้ารู้ไม่ทันหน่อยเลย หากแม่หญิงไม่ยอมเข้าพิธีกับข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าจะประจานให้ทั่วอโยธยาว่า บุตรีพระรามเดชะยังพะวงถึงชู้รัก จนไม่ยอมเข้าพิธีกับคู่หมั้นตัวเอง”
       เรไรโมโหสุดขีด
       “ใจชั่วแล้วยังปากชั่วอีก ฉันกับเสมาไม่เคยกระทำบัดสี อย่ามาใส่ความกันเช่นนี้”
       ขันยิ้มเจ้าเล่ห์
       “ถึงข้าพระเจ้าจักใส่ความ แต่เชื่อเถิด ว่าต้องมีคนเชื่อครึ่งค่อนอโยธยาเป็นแน่ แล้วคนรักหน้าตาเช่นท่านอากับท่านอาหญิงจักทำฉันใดกัน แม่หญิงลองตรองดูเถิด”
       ขันโกรธอยากเอาชนะเรไร แต่ยามนี้จำต้องเดินเป๋กลับไปก่อน เรไรหันกลับไปมองลำภูที่นอนน้ำตาท่วม เพราะรู้สึกผิดและเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ลูกสาวต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
       “แม่เสียใจเหลือเกินเรไร”
       เรไรน้ำตาคลอเดินเข้าไปจับมือแม่เอาไว้ สีหน้าแววตาครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากขัน

       เรไรส่งจดหมาย 4 ซองยื่นให้พิณและทาสหญิงอีกสามคน
       “พวกเจ้าจงนำความนี้ไปให้แต่แม่เอื้อยแตง แม่จำเรียง แม่บัวเผื่อนแลแม่ศรีเมืองให้ครบถ้วนทุกคน ระวังให้จงดี อย่าให้คนของหลวงณรงค์จับได้เป็นอันขาด”
       “เจ้าค่ะแม่หญิง พวกบ่าวจะระวังเท่าชีวิตเลยเจ้าค่ะ” พิณบอก
       พิณและพวกทาสต่างลุกขึ้นแยกย้ายกันไป
       เรไรสีหน้านิ่งขรึมกับการวางแผนเล่นงานขันเพื่อให้พ้นจากถูกจับแต่งงาน

       ยามเที่ยงวัน แต้มนอนเมาหลับคาอยู่หน้าห้องและได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วมา แต้มงัวเงีย ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
       “ผู้ใดมาร้องไห้แถวนี้กันวะ”
       แต้มหันไปมองปรากฏว่าเรไรนั่งพับเพียบร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใกล้ๆ แต้มหน้าเสียรีบลุกขึ้นแล้วปั้นยิ้ม
       “หลานเรไรเองหรือ เกิดกระไรขึ้นถึงได้ร้องห่มร้องไห้เช่นนี้”
       เรไรบีบน้ำตา
       “หลวงณรงค์เจ้าคะอาแต้ม ข่มเหงน้ำใจจะให้หลาน เข้าพิธีแต่งงานวันมะรืนนี้ หลานไม่อยากออกเรือน จึงมาขอบารมีอาแต้มช่วยเจ้าค่ะ”
       แต้มสงสารหลานแต่ลึกๆแล้วแต้มกลัวขันมากกว่า
       “อาก็เห็นใจเจ้าดอกนะ แต่หลวงณรงค์มีอำนาจ แลคนของเขาก็เข้ามาคุมเรือนไว้สิ้นแล้ว พวกเราก็เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือจะหนีไปพ้นได้อย่างไร แล้วเจ้าเองก็เป็นคู่หมั้นของหลวงณรงค์เข้าพิธีแต่งงานกันก็ควรแล้ว อย่าบิดพลิ้วอีกเลย”
       เรไรชะงักไปครู่ ไม่คิดว่าแต้มจะเอาตัวรอดแบบนี้จึงแกล้งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
       “แต่หากหลวงณรงค์ออกเรือนกับหลาน ทรัพย์สมบัติทุกอย่างในเรือนก็ต้องตกเป็นของหลวงณรงค์สิ้น”
       แต้มผู้ละโมบชะงักหยุดกึกไปทันที
       “แลหากภายหน้าหลวงณรงค์ได้ปกครองเรือนแทนพ่อท่าน ยังมิรู้ว่าบ่าวไพร่จะเดือดร้อนเพียงใด แม้แต่อาแต้มก็ต้องพลอยมีทุกข์ไปด้วย หลานจึงวิตกนัก”
       แต้มหน้าเสียพลางว่า
       “อาน่ะหรือจะเดือดร้อนเหตุใดกัน อาไม่เคยทำร้ายกระไรหลวงณรงค์แล้วจะเดือดร้อนได้กระไร”
       “อาแต้มตรองดูเถิด พ่อท่านรักอาแต้มที่เป็นน้องจึงให้เบี้ยใช้ไม่ขาดมือ แลอยู่ที่เรือนก็มีข้าทาสรับใช้ ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ แล้วหลวงณรงค์จะทำเช่นนี้สืบไปหรือ มีแต่จะขับไล่อาแต้มออกไปให้พ้นเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเท่านั้น”
       แต้มตกใจหน้าซีดเผือดเมื่อ คิดตามที่เรไรพูดก็มีเหตุผล
       “ไม่ได้เสียแล้ว เห็นทีต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
       แต้มรีบตาลีตาเหลือกเดินไปหาขันทันที เรไรยิ้มเล็กน้อยที่ดึงแต้มเป็นพวกสำเร็จจึงรีบเดินตามไป

       ขันและพุฒกำลังยืนดูลูกน้องเปิดหีบใส่เครื่องประดับอยู่ พอเปิดออกก็เห็นข้าวของทองหยองเต็มหีบไปหมด
       “พระรามเดชะมั่งมีไม่น้อยจริงๆ” พุฒพูดยิ้มแย้ม
       “ยังสู้ที่เรือนฉันไม่ได้ดอก แลหากพ่อฉันไม่สิ้นบุญไปก่อนคงมีมากกว่านี้นัก”
       ขันหันไปสั่งลูกน้อง
       “เฮ้ย ย้ายไปเก็บที่ห้องข้า”
       พวกลูกน้องกำลังจะขนไป แต้มก็รีบเข้ามาในห้องพอเห็นกำลังขนของมีค่าก็โวยลั่นทันที
       “ทำกระไรกันวะ นี่สมบัติของพี่ชายข้า พวกเอ็งคิดขโมยกันรึ”
       “ระวังปากไว้อ้ายเฒ่าแต้ม พวกข้าหรือจะลักขโมยให้เสียศักดิ์” พุฒว่า
       “ก็เห็นอยู่ตำตายังจักมุสาอีก”
       “ฉันไม่ได้มุสา แต่ฉันจะให้คนของฉันเข้ามาอยู่ในเรือนเพิ่มขึ้น จึงต้องย้ายของมีค่าไปเก็บไว้ที่ห้องฉัน เพื่อใช้ห้องนี้เป็นที่พักแลจักได้ป้องกันไม่ให้ของหายถึงผิดใจกัน” ขันว่า
       “ถ้ากระนั้นก็เอาไปเก็บไว้ที่ห้องข้า สมบัติของพี่ชายข้า ข้าดูแลเองได้”
       “พูดเช่นนี้ ก็เหมือนหยามว่าฉันไม่ต่างจากขโมย ฉันเห็นแก่ว่าอาเป็นน้องชายพระรามเดชะดอก จึงยอมลงให้ แต่อย่าให้เกินเลยไปนัก” ขันว่า
       “เกินเลยแล้วจะทำกระไร หนอย คิดจะยึดเรือนยึดสมบัติ พอจับได้ก็ข่มขู่ หากภายหน้าได้ปกครองเรือนแทนพี่ชายข้า เห็นทีจะไล่ส่งข้าออกจากเรือนเป็นแน่ ไป ไสหัวไป ข้าไม่ให้เอ็งแต่งงานกับหลานสาวข้าแล้ว” แต้มพูดแล้วก็เข้าไปผลักอกขัน
       ขันโมโหมาก ผลักอกแต้มกลับไปเพื่อตอบโต้
       “อ้ายเฒ่า”
       ขันผลักเต็มแรง แต้มแก่แถมเมาไม่สร่างเลยเสียหลักล้มหัวฟาดกับขอบตู้จนหัวเลือดไหลออกมา
       ทันใดนั้น เรไร เอื้อยแตง จำเรียง ศรีเมือง และบัวเผื่อนก็มาถึงตามแผนที่เรไรวางไว้
       เรไรตกใจด้วยนึกไม่ถึงจึงร้องขึ้น
       “คุณพระช่วย อาแต้ม”
       เอื้อยแตงห่วงพ่อ รีบเข้าไปดูทันที
       “พ่อ”
       เอื้อยแตงเห็นพ่อหัวแตกก็โมโหมากหันไปด่าขันทันที
       “อ้ายคนใจทรามรังแกได้กระทั่งคนแก่”
       “ฉันแค่ผลักนิดเดียว ตาเฒ่าแต้มล้มลงไปเองต่างหาก” ขันว่า
       “เห็นคาตายังจะปดอีกรึ แม่เอื้อยแตงอย่าช้าอยู่เลย แจ้งนครบาลเถิด” จำเรียงว่า
       “มันเรื่องกระไรของเอ็งวะนังจำเรียง แส่เช่นนี้ คงอยากโดนดีกระมัง” พุฒว่า
       “แล้วหลวงวิเศษท่านเล่ามีดีกระไร แม่เอื้อยแตงแม่จำเรียงเป็นเมียหมื่นทิพหมื่นเทพ ฉันก็เป็นบุตรหลวงพิมานมงคลนอกราชการ นึกว่าจะรังแกกันได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อนหรือ” ศรีเมืองว่า
       บัวเผื่อนยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น
       “ยังมีฉันอีกคน ฉันจะรีบกลับเข้าวังไปกราบทูลเสด็จว่ามีทหารถืออำนาจบาตรใหญ่รังแกผู้คน คอยดูเถิด ว่าองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับมาเมื่อใด จะเกิดกระไรขึ้น”
       ขันและพุฒหน้าเสียกลัวเรื่องบานปลายจะไปกันใหญ่ขันเสียงอ่อนลงทันที
       “ ไปกันใหญ่แล้ว เพียงฉันไม่ตั้งใจผลักเฒ่า เอ่อ อาแต้มล้มลงจักต้องถึงพระเนตรพระกรรณกันเชียวหรือ”
       “หลวงท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าถึงเป็นเรื่องใส่ความก็อาจมีคนเชื่อครึ่งค่อนอโยธยา แล้วเรื่องอาแต้ม เหตุใดจะไม่ถึงพระเนตรพระกรรณได้บ้างเล่า”
       ขันอึ้งไปเมื่อเจอเรไรย้อน ได้แต่เก็บความเจ็บใจไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้

       เวลาต่อมา ภายในห้องนอน เอื้อยแตงกำลังทายาให้แต้มที่นั่งร้องโอดโอยอยู่บนเตียง โดยมีเรไร จำเรียง ศรีเมือง บัวเผื่อน ยืนอยู่ใกล้ๆ
       เรไรก้มลงกราบแทบตักแต้ม
       “หลานต้องขอขมาอาแต้มด้วย แต่เดิมเพียงแค่อยากให้อาแต้มออกหน้าจะได้ฉวยโอกาสไล่หลวงณรงค์ออกจากเรือนเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้อาแต้มต้องบาดเจ็บเช่นนี้เลย”
       แต้มร้องโอยเพราะเจ็บแผลแล้วบอก
       “ไม่เป็นกระไรดอก อ้ายสองหลวงนั่นชั่วนัก แม่เรไรไล่พ้นเรือนเสียก็ดีแล้ว”
       “แต่ฉันเกรงว่าสองหลวงจักยังไม่ยอมเลิก ยิ่งหลวงรงค์ด้วยแล้ว อย่างไรก็ต้องบีบให้แม่หญิงเรไรออกเรือนด้วยเป็นแน่” จำเรียงว่า
       “ถ้ากระนั้นแม่หญิงก็ต้องกลับเข้าวังเสีย มีแต่พึ่งบารมีของเสด็จท่านจึงจักรอดพ้นได้” ศรีเมืองว่า
       “แต่แม่ท่านป่วยหนักนัก ฉันเป็นห่วงเหลือ แล้วจะไปได้อย่างไร” เรไรบอก
       “ฉันจะย้ายกลับมาที่เรือนเองเพื่อดูแลป้าท่านให้ แม่หญิงวางใจเถิด” เอื้อยแตงบอก
       “ฉันก็จะไปทูลเสด็จให้เรียกหลวงณรงค์ หลวงวิเศษมาปรามอีกที อย่างไรเสียก็คงไม่กล้าข่มเหงกันมากไปกว่านี้ดอก” บัวเผื่อนว่า
       “ขอบน้ำใจทุกคนมากนัก หากไม่ได้ทุกคนช่วยไว้ ครานี้ฉันคงไม่รอดเงื้อมมือหลวงณรงค์เป็นแน่”
       ศรีเมืองได้แต่บีบแขนเรไรให้กำลังใจ เรไรมีรอยยิ้มบางๆ สีหน้าผ่อนคลายมีความสบายใจมากขึ้นที่จัดการเรื่องขันไปได้

       บ่ายวันนั้น ดวงแขกำลังต่อว่าขันด้วยความโกรธจัดที่หน้าบ้าน
       “แล้วพี่ขันยอมออกจากเรือนทำกระไร เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องทำถึงที่สุด ออกมาเช่นนี้คงไม่มีทางได้กลับเข้าไปอีกแล้ว”
       “แม่ดวงแขก็พูดได้ หากพี่ไม่ออกมาแล้วถูกจับตีกรวนใส่คุก แม่ดวงแขจักว่ากระไร”
       “แล้วพี่ขันคิดว่าทำเช่นนี้จักพ้นผิดหรือ ช้าเร็วเรื่องนี้ก็ต้องถึงเสด็จครานี้อย่าหวังเลย ว่าพี่ขันจะกระดิกตัวทำกระไรได้อีก รอแต่ท่านอากลับจากศึกแล้วตัดสินโทษพี่เถิด”
       “แม่ดวงแขจักให้พี่ทำอย่างไรก็ว่ามา พี่คิดกระไรไม่ออกแล้ว”
       ดวงแขคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอก
       “ฉันจำต้องเข้าเฝ้าพระอัครชายา เพื่อทูลขอแม่เรไรแทนพี่เสียแล้ว หากรอท่านอากลับมา ทุกอย่างที่เพียรทำมาคงล้มเหลวเป็นแน่”
       อำพันเดินลงมาจากเรือนด้วยน้ำตาคลอเบ้า เสียใจกับสิ่งที่ลูกทำ
       “ที่แล้วมายังไม่ได้สำนึกอีกรึ หรือต้องให้แม่ช้ำใจตายต่อหน้า พ่อขันแลแม่ดวงแขถึงจะหยุดได้”
       ขันและดวงแขอึ้งไป
       “แม่ท่านฟังลูกก่อน...” ขันว่า
       อำพันพูดสวนทันที
       “แม่ฟังมามากพอแล้ว รู้สิ้นทุกสิ่งจึงเสียใจอยู่เช่นนี้ ลูกชายที่หมายจะให้เป็นศักดิ์แก่ตระกูล ก็มัวเมาในยศศักดิ์จนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ลูกสาวที่หวังจะให้เป็นศรีก็หักหลังเพื่อนที่คบกันมาแต่เล็กได้ลงคอ จนแม่ไม่กล้ามองหน้าแม่ลำภูแล้ว เอาเลย อยากจะทำกระไรก็ทำเลยออกจากเรือนไปทำให้สมใจ แล้วไม่ต้องมาเรียกแม่ว่าแม่อีก” อำพันน้ำตาไหลออกมาด้วยความช้ำใจก่อนหันเดินกลับขึ้นเรือนไป
       ขันและดวงแขมองตามอำพันไปด้วยน้ำตาคลอเบ้าต่างรู้สึกผิดมากที่ทำให้แม่เสียใจขนาดนี้

       สี่เดือนผ่านไป สมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับนั่งอยู่ในกระโจม โดยมีพระเจ้าเชียงใหม่ พระรามเดโชซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งนั่งอยู่ใกล้ๆ
       สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเป็นประธานในการไกล่เกลี่ยคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายไม่ให้ทำสงครามกัน ก่อนจะทรงให้ทั้งสองฝ่ายรวมทั้งตัวพระองค์เองดื่มเหล้าเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี

       กองทัพของสมเด็จพระนเรศวรทรงล้อมเมืองตองอูอยู่นานหลายเดือน แต่เมืองตองอูมีชัยภูมิที่ดี ประกอบกับขาดแคลนเสบียงจึงต้องยกทัพกลับ ระหว่างทางได้ข่าวว่าเมืองเชียงใหม่กับหัวเมืองล้านนาผิดใจกันถึงขั้นจะทำสงคราม สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงให้สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จไปห้ามทัพ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงไกล่เกลี่ย และระงับศึกครั้งนี้ได้ โดยไม่สูญเสียทหารแม้แต่นายเดียว จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วถึงพระปรีชาสามารถในครั้งนี้

       จำเรียงออกมาจากในบ้านใหม่ของสมบุญด้วยความดีใจที่สมบุญกลับจากสงคราม
       “พี่หมื่นเทพ”
       สมบุญดึงจำเรียงเข้ามากอดด้วยความคิดถึง แต่ซักพัก จำเรียงก็ต้องรีบดึงตัวออกมาด้วยความเขินอาย
       “อายบ่าวไพร่มันบ้างเถิด พี่หมื่นเทพ”
       สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “ก็ฉันคิดถึงแม่จำเรียงนัก มันสุดจะหักห้ามใจแล้วนี่จ๊ะ”
       จำเรียงทิ้งค้อนด้วยความเขินอาย
       “กระไรก็ไม่รู้พี่หมื่นเทพ”
       “หมื่นเทพกระไรกัน ขุนจงใจรบต่างหาก”
       “ขุนจงใจรบ นี่พี่ได้เป็นถึงขุนเชียวหรือ”
       “ถูกแล้ว นับแต่นี้ แม่จำเรียงจักได้ชื่อว่าเป็นเมียของขุนจงใจรบ ไม่ต้องน้อยหน้าผู้ใดอีกแล้ว”
       จำเรียงดีอกดีใจที่สมบุญปลอดภัยแถมยังได้เป็นใหญ่เป็นโตอีก

       ในเวลาเย็น สินและเอื้อยแตงกำลังยืนดูบรรดาทาสขนของมากมาย ทั้งถือมา ทั้งขนใส่เกวียนซึ่งล้วนแต่เป็นของที่สินซื้อมาฝากเอื้อยแตงทั้งนั้น สินยิ้มแย้มแล้วว่า
       “เป็นกระไรบ้างแม่เอื้อยแตง ถูกใจหรือไม่ ฉันรู้ว่าแม่เอื้อยแตงชอบค้าขาย จึงซื้อมาฝาก ครานี้คงได้กำไรโขหล่ะ”
       เอื้อยแตงยิ้มพอใจ
       “ต้องเช่นนี้ซี ขุนแกล้วกลางณรงค์ จึงค่อยสมเป็นพ่อเรือนของนังเอื้อยแตง พ่อได้ตำแหน่งขุน ฉันยังไม่ดีใจเท่าได้ของฝากพวกนี้เลย”
       สินโอบบ่าเอื้อยแตงไว้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “ถ้ากระนั้น คืนนี้แม่เอื้อยแตง อย่าลืมตบรางวัลให้ฉันเสียเล่า”
       เอื้อยแตงหยิกสินเบาๆ ก่อนจะทิ้งค้อนด้วยความเขินอาย สินกระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งโอบกอดเอื้อยแตงแนบแน่นกว่าเดิม

       เสมาก้มลงกราบแทบตักของมั่นเมื่อตอนหัวค่ำ มั่นดีใจและปลาบปลื้มใจจนน้ำตาคลอเบ้าพลางลูบหัวเสมาด้วยความรักและเอ็นดู
       “เสมาเอ๋ย เจ้าช่างเป็นเกียรติยศแก่ตระกูลเหลือ ปู่เจ้าเป็นขุนชำนะพลแสนก็ว่ามีศักดิ์ไม่น้อยแล้ว แต่เจ้ากลับได้เป็นถึงพระยา พ่อดีใจจนพูดกระไรไม่ออกแล้ว เสียดายที่แม่เจ้าไม่มีวาสนาได้เห็นความจำเริญของเจ้าในวันนี้”
       เสมายิ้มบางๆ เข้าไปกอดพ่อ
       “ที่ฉันเป็นเช่นนี้ได้ ก็เพราะพ่อทั้งสิ้น หากพ่อไม่สั่งสอนแลให้ฉันไปเรียนวิชาที่วัดพุทไธสวรรย์กับพระครูขุนท่าน ไหนเลยฉันจะเป็นถึงพระยาได้ ศักดิ์พระยานี้ก็เป็นของพ่อกึ่งหนึ่งเช่นกันจ้ะ”
       “พูดกระไรเช่นนั้น เจ้าลำบากตรากตรำออกศึกแลเอาเลือดเนื้อแลกมาต่างหาก ศักดิ์พระยานี้เป็นของเจ้าโดยภาคภูมิแล้ว พระยามหาสงครามลูกพ่อ”
       เสมากอดพ่อด้วยความดีใจแล้วนึกขึ้นได้
       “เอ่อ พ่อ ระหว่างที่ฉันไปศึก เกิดกระไรขึ้นทางนี้บ้างหรือไม่ ฉันไม่รู้ข่าวกระไรเลย”
       มั่นถอนหายใจ
       “หลายเรื่องเชียวเสมาเอ๋ย แต่เรื่องที่ใหญ่ที่สุด คงไม่พ้นเรื่องของหลวงณรงค์ดอก”
       เสมาหน้าขรึมลงตั้งใจฟังมั่นเล่าให้ฟังว่าขันทำอะไรไว้บ้าง

       เช้าวันรุ่งขึ้น ขันก้มลงกราบพระรามเดชะ แล้วปั้นยิ้มประจบประแจง
       “ข้าพระเจ้าแจ้งว่า ท่านอาได้เลื่อนเป็นพระยาศรีพิชัยสงคราม ให้ดีใจนัก จึงเร่งมาแสดงความยินดีกับท่านอาขอรับ”
       รามเดชะปั้นยิ้มแล้วตอบ
       “ขอบน้ำใจหลวงณรงค์นัก อาเองก็มีเรื่องอยากพูดกับหลวงณรงค์อยู่เหมือนกัน”
       “ท่านอามีกระไรให้ข้าพระเจ้ารับใช้หรือขอรับ”
       “รับใช้กระไรกัน อาเพียงแต่ต้องการถอนหมั้นระหว่างหลวงณรงค์กับแม่เรไรเท่านั้น” พระยาศรีพิชัยสงครามพูดหน้านิ่ง
       ขันตกใจทันที
       “ท่านอา...นี่ท่านอาโดนเป่าหูมาใช่หรือไม่ขอรับ ผู้ใดกันที่มันพูดชั่วให้ท่านอาโกรธเคืองข้าพระเจ้าเช่นนี้”
       “ลูก เมียแลน้องชายของอาเอง หลวงณรงค์เห็นคนเหล่านี้พูดยุแยงหรือไม่เล่า”
       พระยาศรีพิชัยสงครามชี้หน้าขัน
       “เจ้าฉวยโอกาสตอนอาไปศึก ถึงกับขึ้นเรือนมากระทำการบังอาจ แล้วยังจะให้อายกลูกสาวให้อีกหรือ”
       “ท่านอาฟังก่อนขอรับ เพลานั้น ข้าพระเจ้าเห็นว่าป้าท่านป่วยหนัก แลทั้งเรือนไม่มีชายคอยปกป้อง จึงเพียงแต่คิดจะดูแลป้าท่านกับแม่หญิงเรไรเท่านั้น หาได้คิดล่วงเกินท่านอาไม่ขอรับ”
       “แล้วที่ทำร้ายพ่อแต้มเล่าจะว่าอย่างไร เสียแรงอาเห็นเจ้าเป็นลูกหลาน แต่กลับหยามน้ำมะหน้าไม่เกรงใจกัน แม้แต่น้องชายอาเจ้ายังกล้า ภายหน้าหากอาสิ้นวาสนาลงก็คงโดนดุจเดียวกันกระมัง”
       “ไม่จริงดอกขอรับ ข้าพระเจ้าไม่...”
       พระยาศรีพิชัยสงครามพูดสวนขึ้นทันที
       “พอเถิด คราก่อนอาก็ให้อภัยมาหนหนึ่งแล้ว แต่เจ้ากลับไม่สำนึก ยังทำผิดร้ายกว่าเก่าถือว่าเราไม่มีบุญที่จะดองกันเถิด”
       ขันเห็นพระยาศรีพิชัยสงครามไม่อภัยแน่ก็ยิ่งโกรธจัด
       “ไม่มีบุญ หรือท่านอาคิดจะดองกับผู้อื่นกันแน่ ออกญามหาสงครามกระไรเล่าขอรับ ได้ดี จำเริญถึงเพียงนี้ ท่านอาคงอยากได้เป็นเขยกระมัง ออกญาช่างตีเหล็กคงสมใจท่านอามากกว่าข้าพระเจ้า”
       ขันลุกขึ้นแล้วสะบัดหน้าลงจากเรือนไป โดยไม่ยอมไหว้ลาพระยาศรีพิชัยสงครามแม้แต่น้อย
       พระยาศรีพิชัยสงครามมองตามขันด้วยสายตาโกรธจัดที่ขันดูถูกถึงเพียงนี้

       เวลาต่อมา ลำภูกำลังคุยอยู่กับพระยาศรีพิชัยสงครามอยู่ในห้องนอน โดยเปิดประตูห้องไว้
       “ตายแล้ว พูดถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่คิดเลยว่าจักพาลร้ายกาจเช่นนี้ เคราะห์ดีนักที่ถอนหมั้นเสียได้” ลำภูว่า
       “หลวงณรงค์ดูแคลนฉันนัก หาว่าฉันถอนหมั้นเพื่อจะยกแม่เรไรให้อ้ายเสมา ถึงมันจะเป็นพระยาเช่นกัน ฉันก็ไม่เคยหลงยศศักดิ์ของมัน ไม่มีวันที่ฉันจะยกแม่เรไรให้เป็นอันขาด”
       “แต่จักว่าไป ออกญามหาสงครามผู้นี้ก็เก่งกาจนัก จากทหารอาสาไร้ยศ กลับกินตำแหน่งพระยาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
       “นี่แม่ลำภูชื่นชมมันหรือ ลืมไปแล้วกระมังว่า อ้ายเสมามันเคยมีศักดิ์ไม่ต่างจากข้ารับใช้ในเรือนนี้ ฉันยังเคยตีกรวนจำคุกมันเสียด้วยซ้ำ แล้ววันหนึ่งพอมันรุ่งเรืองเป็นพระยา ก็จะให้รับมันเป็นเขยกระนั้นหรือ รอฉันตายเสียก่อนเถิด”
       เมื่อพระยาศรีพิชัยสงครามหันกลับไปที่หน้าห้องก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเรไรยืนหน้าเศร้าๆอยู่
       “นี่แม่เรไรออกจากวังตั้งแต่เมื่อใด แม่ไม่เห็นรู้เลย” ลำภูพูดขึ้น
       “ลูกได้ยินว่าพ่อท่านกลับจากศึกแล้ว จึงตั้งใจจะมากราบเจ้าค่ะ” เรไรพูดแล้วก็นั่งพับเพียบลงกราบรามพระยาศรีพิชัยสงครามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า

พระยาศรีพิชัยสงครามมองลูกด้วยความกระอักกระอ่วนไม่สบายใจ ลำภูได้แต่มองลูกสาวพร้อมทอดถอนใจยาวออกมาด้วยความสงสาร เรไรนึกสมเพชตัวเองที่ความรักกับเสมาคงไม่มีวันสมหวัง



Create Date : 30 พฤษภาคม 2555
Last Update : 1 มิถุนายน 2555 9:11:26 น. 2 comments
Counter : 5271 Pageviews.

 
กำลังสนุกและน่าติดตามนะครับ


โดย: **mp5** วันที่: 30 พฤษภาคม 2555 เวลา:17:12:37 น.  

 
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อครับ...^ ^


โดย: archparty วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:12:32:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.